Monday, 9 June 2025
POLITICS NEWS

‘ฟ้าคราม’ ชวนคนไทย #ยืนข้างสถาบัน #องคมนตรีลุงตู่ ทำเพื่อ ‘ชาติ-ปชช.’ ลั่น!! พรรคไหนด้อยค่าสถาบัน คนไทยควรยืนอยู่ตรงข้ามแบบชัดเจน

(26 ก.พ.67) ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อช่อง fhakram.chavit หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘คุณฟ้าคราม’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนคนไทย ออกมายืนหยัดเคียงข้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้ที่สร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์แก่แผ่นดินไทย โดยระบุว่า…

“อ้าว ยืนข้างนักการเมืองเหรอครับ ผมขอไม่ยืนข้างนักการเมืองนะครับ ผมขอยืนเคียงข้างสถาบันฯ ตลอดไปครับ ผมฟ้าครามนะครับ

อ๋อ องคมนตรีลุงตู่อีกคนครับ เพราะว่าท่านไม่ได้เป็นนักการเมืองแล้ว และหลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องด่างพร้อยแล้ว มีแต่ผลงานที่ฝากเอาไว้มากมาย งั้นผมก็ขอยืนเคียงข้างองคมนตรีลุงตู่อีกคนนะครับ”

คุณฟ้าคราม ยังกล่าวอีกว่า นักการเมืองมาแล้วก็ไป ได้รับผลประโยชน์เยอะแยะมากมาย ทุกพรรคต่างฝ่ายต่างโจมตีกันไปโจมตีกันมา แต่สถาบันฯ อันเป็นที่รักนั้น จะอยู่เป็นเสาหลัก ปักหลักให้กับประเทศชาติ และความมั่นคงของชาติต่อไป

“หากมีพรรคการเมืองไหน สามารถที่จะลากกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง ให้ออกมาด้อยค่าสถาบันฯ มาหมิ่นสถาบันฯ ได้นั้น ผมขอเลือกอยู่ตรงข้ามพรรคการเมืองนั้นตลอดไปครับ ชีวิตต้องชัดเจน ชีวิตต้องเลือกให้ถูก ไม่ได้หรอก นักการเมืองเขาผลประโยชน์เยอะ โจมตีกันไปโจมตีกันมา เป็นเกมทางการเมือง แต่ถ้ายึดและยืนข้างสถาบันฯ อันเป็นที่รักของเรานั้น มีแต่ความมั่นคงและแน่นอนที่สุดครับ” คุณฟ้าคราม กล่าวทิ้งท้าย

‘เท่าพิภพ’ หยั่งเสียง!! โชว์ภาพตัวอย่าง ฉลากใหม่คุม ‘เหล้า-เบียร์’ ด้านชาวเน็ต ชี้!! ถ้าคนจะดื่ม ติดภาพน่ากลัวขนาดไหน ก็ดื่มอยู่ดี

จากกรณี ร่างประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ฉลาก พร้อมทั้งข้อความคำเตือน สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตหรือนำเข้า พ.ศ. … ที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกรมควบคุมโรค เปิดรับฟังความเห็นผ่านเว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตั้งแต่ 12-29 กุมภาพันธ์ 2567

โดยมีสาระสำคัญ คือกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ฉลาก และข้อความคำเตือนของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตหรือนำเข้า ดังนี้

1.) กำหนดให้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นภาชนะบรรจุต้องมีปริมาณบรรจุสุทธิไม่น้อยกว่า 175 มิลลิลิตร
2.) กำหนดให้บรรจุภัณฑ์และฉลากของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะต้องไม่ใช้ข้อความตามที่กฎหมายกำหนด
3.) กำหนดให้มีข้อความคำเตือนบนภาชนะบรรจุของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
4.) กำหนดให้มีข้อความคำเตือนถึงโทษและพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บนภาชนะบรรจุและหีบห่อบรรจุของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งให้จัดทำเป็นรูปภาพ 4 สี 9 แบบ สับเปลี่ยนกันไปตามลำดับในอัตรา 1 แบบ ต่อ 1,000 ภาชนะบรรจุและหีบห่อบรรจุ
5.) กำหนดขนาดของข้อความคำเตือนถึงโทษและพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น โดยให้ประกาศมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ล่าสุด วันนี้ (26 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.)  โพสต์ข้อความผ่านเพจ ‘เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร – Taopiphop Limjittrakorn’ ระบุว่า…

“[ฉลากเบียร์น่ากลัว #SoftPower ไหม]

ตัวอย่างฉลากที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ที่มีอำนาจออกกฎห้ามขายเวลา วัน และออนไลน์) พยายามออกข้อบังคับใช้ให้ติดบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดทุกประเภท

ฉลากต้องใส่รูปน่ากลัว 30% ของพื้นที่ขวด ทางสมาคมคราฟท์เบียร์ ลองทำตัวอย่างตามกฎหมายมาสภาพจะออกมาประมาณในภาพครับ

ตอนนี้ร่างรอหมอชลน่านเซ็นรับรองเเละบังคับใช้ได้เลย

ทุกท่านคิดเห็นว่าไงครับ

#สุราก้าวหน้า #ก้าวไกล”

หลังจากโพสต์ข้อความไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น…

- “คิดว่าฉลากไม่มีผลสำหรับคนดื่มแอลกอฮอลล์ครับ คนไม่ดื่มคือยังไงก็ไม่ดื่ม ส่วนคนดื่มติดภาพน่ากลัวขนาดไหน ก็ดื่มอยู่ดี เหมือนบุหรี่”
- “หน้าซองบุหรี่ก็เห็นทำมานาน ถามว่าช่วยทำให้คนสูบบุหรี่น้อยลงไหม? ก็ไม่ แต่เป็นข้อบังคับก็ต้องทำอะเนอะ”
- “ตกลงมันเขาผลิตมาให้คนดื่มหรือเอาไปฉีดฆ่าวัชพืชครับ”
- “ติดไว้หน้าซองบุหรี่ ก็เห็นสูบกันพรึบพรับ คนเค้าเห็นทุกวันมันชิน”
- “ผมเห็นฉลากแล้ว จะอ้วกคือ อาจจะหยุดดื่มได้เลยครับ”
- “ตัวอย่างที่ล้มเหลว เช่น บุหรี่ ยอดลูกค้าเพิ่มทุกปี ต่อให้ราคาเพิ่ม ลูกค้าก็เหนี่ยวแน่น แถมได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆเพิ่มอีก สุราก็น่าจะล้มเหลวเช่นกัน ต้องแก้ไขที่คนดื่ม ปลูกฝังให้มีความรับผิดชอบ”

‘โรงเชือด-เกษตรกร’ จี้รัฐ!! ช่วยลืมตาดูความจริง สรุป!! “วัวโลละร้อย จะขายได้กี่โมง ขายที่ไหน?”

ช่วงแรกของการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน ประชาชนต่างคาดหวังว่ารัฐบาลนายเศรษฐาจะเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประชาชนกลุ่มเกษตรกรรากหญ้า ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ถูกตำหนิว่า ‘มือไม่ถึง’ เพราะพรรคเพื่อไทยโปรโมตตัวเองว่า เป็นมือแก้เศรษฐกิจ

แต่ความหวังของประชาชนกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐา จากความคาดหวังสูงสุด ต้องยอมรับว่า วันนี้เริ่มถดถอย เพราะนโยบายหลายอย่างที่ประกาศไว้ไม่เกิดขึ้นจริง ไม่ต้องพูดถึงนโยบายเงินดิจิตัล ที่เวลานี้ยังหาข้อสรุปกันไม่จบ ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทอยู่ที่ไหน ปริญญาตรี 25,000 บาท ยังไม่ขยับ ราคาผลผลิตการเกษตรไม่เห็นหน้าเห็นหลัง

ปัญหาภาคเกษตร ในห้วงแรก รัฐบาลมีท่าทีขึงขัง เอาจริงเอาจริง จะทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น 3 เท่า อย่างปัญหาการลักลอบการนำเข้าเนื้อสัตว์ ทั้งหมู เนื้อเถื่อน ตีนไก่เถื่อน ยางพาราเถื่อน แรกๆ ข้าราชการหลายคนหนาวๆ ร้อนๆ เดินสายตรวจค้นโกดัง ข้าราชการโดนเด้ง แต่ผ่านมา 4-5 เดือนแล้ว เรื่องนี้ก็เหมือนจะจับมือใครดม เอาผิดไม่ได้ 

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมที่เป็นตัวหลักสำคัญในการออกมาเคลื่อนไหวแฉเรื่องนี้ ออกมา ยอมรับว่า “คดีหมูเถื่อนตีนไก่สวมสิทธิ์ ถูกแทรกแซงคดีเงียบ ก็เป็นมวยล้มต้มคนดู รัฐบาลก็ทอดทิ้งเกษตรกร”

เมื่อครั้งประกาศโชว์ผลงาน 60 วันแรก เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ พลิกโฉมประเทศไทย นายเศรษฐา แถลงว่า ประเทศจีนและองค์กรทางด้านรัฐวิสาหกิจที่ลงทุนเกี่ยวกับความมั่นคงทางด้านอาหาร ปศุสัตว์ และเกษตรกรรม ที่ซาอุดีอาระเบียถึงความต้องการเนื้อวัวจากประเทศไทย ระบุว่า ทั้ง 2 ประเทศมีความต้องการเนื้อวัวที่ชำแหละแล้วเป็นจำนวนมาก แต่ไทยมีโรงเชือดที่ใหญ่ที่สุดคือที่จังหวัดชุมพร เชือดได้วันละ 200 ตัวเท่านั้น ในขณะที่บราซิลมีกำลังการผลิตในการเชือดวัวสูงถึง 45,000 ตัวต่อวัน รัฐบาลก็กำลังพิจารณาสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ในการเชือด พร้อมทั้งคำนึงถึงหลักศาสนาอาหารฮาลาล เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น 3 เท่าตามนโยบายที่ประกาศไปก่อนหน้านี้

ครบ 6 เดือน (180 วัน) ก็ยังโชว์ลีลาแสดงวิสัยทัศน์ 8 ด้าน อย่างไร้ความหวัง ไม่กล้าโชว์ผลงาน มีแต่บอกเรื่องจะทำในอนาคต

วันนี้โรงเชือดที่ชุมพร ก็ยังมีปัญหาสภาพคล่องไม่มีเงินไปซื้อวัวมาเชือด ได้ยินข่าวมาว่า ทำเรื่องขอสินเชื่อจากแบงก์รัฐ ก็ไม่ได้ อ้างเงื่อนไขติดปัญหาสารพัด ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายรัฐ แต่ดูเหมือนกลไกราชการไม่ยอมตอบสนอง

นายหัวไทรไปเยี่ยมชมโรงเชือดชุมพรมาแล้ว ถือว่าเป็นโรงเชือดที่ได้มาตรฐาน แต่ยังมีปัญหาสภาพคล่องอย่างที่ว่า วัวเข้าโรงเชือดต่อวันยังไม่เพียงพอกับศักยภาพในการเชือดต่อวันถึง 200 ตัว

ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งเหมือนกันว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวเนื้อบ้านเราก็ยังพัฒนาไปไม่ถึงขั้นมาตรฐาน ยังต้องยกระดับขึ้นไปอีก อย่างโครงการโคบาลชายแดนใต้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการโคบาลชายแดนใต้งบประมาณกว่า 1,566 ล้านบาท โดยเฉพาะในระยะนำร่อง เริ่มกังวล อาจจะเป็นหนี้ในอนาคต เพราะกู้รัฐมาทำโครงการ

แม่พันธุ์วัวขนาดเล็ก ไม่แข็งแรง ผลัดตกโคลนและไม่สามารถลุกเองได้ และแม้สมาชิกในกลุ่มวิสาหกิจเลี้ยงโคทาชิมะ ตำบลกระเสาะ อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี จะช่วยมันขึ้นมา แต่ความอ่อนแอของมัน จึงไม่อาจขุนให้เป็นแม่พันธ์ที่สมบูรณ์ได้แล้ว จึงต้องขายเพื่อรอเชือดในราคา 6,000 บาท ทำให้ขาดทุนทันที 11,000 บาท เนื่องจากกลุ่มเกษตรที่เข้าร่วมโครงการโคบาลชายแดนใต้ งบประมาณ 1,566 ล้านบาท จำเป็นต้องซื้อแม่พันธุ์วัวมาในราคาตัวละ 17,000 ตามสัญญาในโครงการ

ในฐานะเคยไปเห็นปัญหาขออนุญาตนำเสนอ คือ ถ้าโรงเชือดที่ชุมพร ซึ่งถือว่า มีความพร้อมที่สุดแล้วยังทำไม่ได้ตามศักยภาพ ก็อย่าไปคิดว่า จะมีนโยบายสร้างโรงเชือดที่นู้นที่นี่อีก เพราะงบลงทุนหลักเป็นพันล้านต่อโรง จะกลายเป็นเรื่องหวานคอแร้ง

วันนี้ราคาโคเนื้อมีชีวิตขายได้กิโลกรัมละ 75 บาท ขณะที่ต้นทุนกิโลกรัมละ 80 บาท ถ้ารัฐบาลมัวดีแต่พูด อีกไม่นานเกษตรกรจะจนลงอีก 3 เท่า ไม่ใช่รวย 3 เท่า

ทางออกเรื่องนี้ #นายหัวไทร แนะต้องทำคู่ขนานหลายเรื่อง คือ...

1.) ต้องทำให้โรงเชือดเดินหน้าสายการผลิตได้ เพราะโรงเชือดซื้อโคเนื้อเข้าไปเชือดกิโลกรัมละ 100 บาท

2.) การลดต้นทุนค่าอาหารเลี้ยงโคเนื้อไม่เกิน 70 บาท แต่ให้คุณภาพคงเดิม ภาครัฐต้องเร่งรัดให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

3.) เกษตรกรหรือฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการต้องไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดง โดยกรมปศุสัตว์เข้าไปตรวจรับรอง

4.) สมาคม-สหกรณ์ผู้โคเนื้อรวบรวมโคเนื้อปลอดสารเร่งเนื้อแดงจากฟาร์มที่ผ่านการรับรองโดยกรมปศุสัตว์ ส่งโรงฆ่าสัตว์ที่เข้าร่วมโครงการ

5.) โรงฆ่าสัตว์ต้องตัดแต่งซากโคให้เป็นชิ้นส่วนตามมาตรฐานสากลพร้อมจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออก (ถ้าตลาดมีรองรับจริงตามที่รัฐบาล กล่าวอ้าง)

6.) กรมปศุสัตว์ทำความตกลงกับผู้ขออนุญาตนำเข้าเนื้อโคที่ยกเว้นภาษีภายใต้ FTA ขอให้ช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศด้วยการซื้อชิ้นเนื้อโคของเกษตรกรแทนการนำเข้า

7.) กรมปศุสัตว์ขอยืมเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร 100 ล้านบาท ให้โรงฆ่าสัตว์ที่เข้าร่วมโครงการยืมใช้เป็นเงินหมุนเวียน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2% (สถาบันการเงินของรัฐเรื่องมาก ไม่ยอมปล่อย)

ข้อเสนออันนี้ไม่ใช่เรื่องของการอุ้ม ไม่ใช่การทุ่มงบประมาณแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่เป็นมาตรการช่วยเหลือเพื่อให้วงจรการผลิตเดินไปได้ ที่เหลือกลไกตลาด และภาคเอกชน เขาเดินกันไปได้เอง

วันนี้นายหัวไทรเดินตามไปคอกวัวขุน เจอแต่คำถามว่า “วัวโลละร้อย จะส่งขายได้กี่โมง ส่งขายที่ไหน”

ต้องยอมรับความจริงว่า เกษตรกรรายย่อยที่เลี้ยงวัวเนื้อประสบปัญหาด้านการตลาด ทั้งไม่มีที่ระบาย ต้องค่อยๆ ขายทีละตัวสองตัว เมื่อมีงานศพ งานแต่ง รังแต่จะแบกรับต้นทุน และท้ายที่สุดคือ 'ขาดทุน' โรงเชือดก็ขาดเงินหมุนเวียนซื้อวัวเข้าโรงเชือด

อยากเรียกร้องให้รัฐบาล ลืมหูลืมตา ดูข้อเท็จจริง รับฟังปัญหาจากผู้รู้จริง จะได้แก้ไขปัญหาถูกจุด และเป็นระบบ

คดีเว็บพนัน ส่อเละเป็น ‘โจ๊ก’ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ วืด ‘ผบ.ตร.’ อีกรอบ!?

ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า...ศึกครั้งนี้ใครจะเละเป็นโจ๊ก..ใช่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง หรือว่าเป็นอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าฝ่ายบิ๊กต., บิ๊กป., บิ๊กย. หรือบิ๊กอะไรดี...เพราะเท่าที่ดู ๆ มีส่วนผสมของหลายบิ๊ก…

แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ ‘บิ๊กเต่า’ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) ในฐานะโฆษกทีมพนักงานสอบสวนคดีบิ๊กโจ๊ก ออกมาชักธงรบด้วยท่าทีท่วงทำนองมั่นอกมั่นใจ…ถึงขั้นบอกว่าระวัง ‘แมวเก้าชีวิต’ จะไม่มีชีวิตที่สิบ

สืบสาวราวเรื่อง สรุปสั้น ๆ นี่คือความเก่าคดีเก่าที่ค้างปี ที่ตำรวจไซเบอร์จับกุมนาย ‘บอสตาล’ นายพงษ์ศิริ ฐานราชวงศ์ศึก ประธานทีมฟุตบอลลำพูนริเวอร์ กรณีเว็บพนัน, ฟอกเงิน เมื่อ 20 มิ.ย.2566 และขยายผลกันมาจนถึง ‘มินนี่’ ธนัยนันท์ สุจริตชินศรี และเครือข่าย ลามมาถึงค้นบ้าน ‘บิ๊กโจ๊ก’ เมื่อ 25 ก.ย. และดำเนินคดีกับลูกน้องบิ๊กโจ๊ก...บลา..บลา..บลา...

ความร้อนแรงเรื่องนี้เมื่อปลายปี 2566 ควบคู่ไปกับการช่วงชิงตำแหน่ง ผบ.ตร. ที่พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ‘บิ๊กต่อ’ ผู้อาวุโสน้อยสุดแต่โชคดีสุด...เข้าป้าย…

สถานการณ์วันนี้ คดีต่าง ๆ ท่าน ‘บิ๊กต่อ’ มอบหมายให้พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ ที่เพิ่งขึ้นตำแหน่งรองผบ.ตร. เมื่อต.ค. 2566 (เกษียณ 2569) เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน คุมคดี โดยมี ‘บิ๊กเต่า’ เป็นทีมงานและโฆษก 

คดีในส่วนที่เกี่ยวกับ 8 ตำรวจ (ทีมงานบิ๊กโจ๊ก) ที่ถูกกล่าวหา ทาง ป.ป.ช. มีมติส่งกลับให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อ แต่คดีที่กล่าวหาตัวบิ๊กโจ๊กกับลูกน้องรวม 5 นาย ป.ป.ช. ยังสงวนท่าทีว่าจะส่งกลับหรือรับไว้ดำเนินการเอง...ข่าวว่าสัปดาห์หน้ากรรมการ ป.ป.ช. จะฟันธงว่าเอาไง…

วันสองวันก่อน…สื่อโซเชียลขอบคุณบิ๊กโจ๊กกับบิ๊กเต่าที่เปิดแอร์วอร์ตอบโต้กันเดือดพล่าน ยอดวิวทุกสำนักกระฉูด…ทางทีมสอบสวนนั้นอยากให้ ป.ป.ช. ส่งสำนวนกลับไปทำคดีต่อ ฝ่ายบิ๊กโจ๊กดักคอว่าอย่าก้าวก่าย ป.ป.ช...!!??

กล่าวถึง ป.ป.ช. ก็ต้องอัปเดตสักเล็กน้อยว่าอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน สรรหาทดแทน 5 ท่านที่ครบวาระ สว. โหวตเห็นชอบและโหวตคว่ำกันมาโดยลำดับ…

สรุปว่า ณ นาทีนี้ ป.ป.ช. ครบองค์ประชุม (ไม่น้อยกว่า 5 ท่าน) แล้ว ประกอบด้วยพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ, นางสุวณา สุวรรณจูพะ, นายวิทยา อาคมพิทักษ์, นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข และที่เพิ่งโปรดเกล้าฯ เมื่อ 3 ม.ค.ปีนี้ นายเอกวิทย์ วัชวัลคุ

5 ท่านนี้จะชี้ชะตาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับตัวบิ๊กโจ๊กโดยตรงว่าจะรับดำเนินการต่อเองหรือส่งกลับตามพนักงานสอบสวนขอ…

แต่ไม่ว่าจะออกมุมไหน...สายข่าวแทบทุกสำนักเขาฟันธงกันแล้วว่า สำหรับเก้าอี้ ผบ.ตร. นั้น แม้ปีนี้ ‘บิ๊กโจ๊ก’ จะอาวุโสเป็นลำดับ 1 แต่หวยจะไปออกที่คนอื่นค่อนข้างแน่นอน...ส่วนจะเป็นใคร ‘เล็ก เลียบด่วน’ ขอยกไปวันอังคารที่ 27 ก.พ. ครับ

‘สว.คำนูณ’ ชวนจับตา!! ‘เส้นเขตผ่ากลางเกาะกูด-แหล่งปิโตรเลียม' หลัง ‘พี่น้องสองแผ่นดิน’ ได้พบปะกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

(23 ก.พ.67) นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง พี่น้องสองแผ่นดิน มีเนื้อหาดังนี้

สมเด็จฯ ฮุนเซนมาเยี่ยมพี่ชายที่คบกันมา 32 ปีนับแต่ยุค IBC Cambodia เมื่อวานซืนนี้ถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า มีข้อดีอยู่อย่างตรงที่ทำให้สังคมไทยหันมาสนใจแผนที่อ่าวไทยลักษณะประมาณนี้อีกครั้ง แล้วเกิดการถามไถ่วิพากษ์วิจารณ์กันตามสมควร

หนึ่งในประเด็นสำคัญคือเกาะกูด!

กัมพูชามาลากเส้นเขตแดนทะเล (เส้นเขตไหล่ทวีป) ผ่ากลางเกาะกูดของไทยมาตั้งแต่ปี 2515 (ค.ศ. 1972) และยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน

คำถามคือเกิดขึ้นได้อย่างไร จะมีผลกระทบต่อสิทธิอธิปไตยของไทยแค่ไหน และเกี่ยวข้องกับการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ในทรัพยากรปิโตรเลียม (หรือที่นายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันเรียกใหม่ว่าไฮโดรคาร์บอน) มูลค่า 20 ล้านล้านบาทอย่างไร

เพราะเกาะกูดเป็นของไทยอย่างชัดเจนโดยไม่มีข้อโต้แย้ง โดยสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ข้อ 2

เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่กัมพูชาสมัยนายพลลอนนอล

จู่ ๆ ก็ประกาศกฤษฎีกากำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2515 โดยลากออกมาจากแผ่นดินบริเวณหลักเขตแดนไทยกัมพูชาที่ 73 บริเวณบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ตรงลงทะเลมาทางทิศตะวันตกผ่ากลางเกาะกูดตรงไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้ววกลงใต้ขนานกับแผ่นดินกัมพูชา

พูดตรง ๆ เป็น ‘เส้นฮุบปิโตรเลียม’ โดยแท้!

ภูมิหลังของเรื่องคือไทยกับกัมพูชามีการเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลและผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในอ่าวไทยมาตั้งแต่ปี 2513 ซึ่งเป็นช่วงที่สองประเทศเริ่มดำเนินการให้สัมปทานบริษัทต่างชาติผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยมาหมาด ๆ ขณะที่การเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควรในยุคสมเด็จนโรดม สีหนุ ก็พอดีเกิดการรัฐประหารเปลี่ยนแปลงใหญ่ในกัมพูชา นายพลลอนนอลขึ้นมามีอำนาจตั้งตนเป็นประธานาธิบดีได้ 2 ปีก็ประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปทันที

เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร บุคคลในประวัติศาสตร์ของไทยท่านหนึ่งทั้งเขียนและเล่าไว้อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ

พล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ ผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มายาวนาน เขียนบทความเรื่อง ‘การเจรจาปัญหาการอ้างเขตไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทยของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน’ เผยแพร่ในเว็บไซต์โครงการจัดการความรู้เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล และนำความทำนองเดียวกันมาเล่าด้วยวาจาในเวทีสัมมนาสาธารณะของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา จัดที่สยามสมาคมเมื่อวันพุธที่ 28 กันยายน 2554 ว่า จอมพลประภาส จารุเสถียรเคยเล่าให้ท่านฟังว่านายพลลอนนอลผู้นำกัมพูชาขณะนั้นบอกท่านว่า เส้นเขตไหล่ทวีปนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและบริษัทเอกชนตะวันตกที่ขอรับสัมปทานแสวงประโยชน์จากปิโตรเลี่ยมในเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเสนอขึ้นมาให้ โดยตัวนายพลลอนนอลและกัมพูชาไม่มีความมุ่งประสงค์ใด ๆ ทั้งสิ้นต่อเกาะกูดของไทย พร้อมที่จะแก้ไข แต่ขอให้ไทยเห็นใจหน่อยว่าการเมืองภายในกัมพูชามีความเปราะบาง หากรัฐบาลทำการใดทำให้ประชาชนไม่พอใจอาจพังได้ ก็เลยไม่มีการแก้ไขใด ๆ ที่ตอบสนองฝ่ายไทยได้

เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ประกาศออกมาสร้างความตะลึงและไม่สบายใจให้กับรัฐบาลไทยและคนไทยในช่วงนั้นมาก

เพราะเป็นห่วงเกาะกูด!

ทำอย่างไรจะให้กัมพูชายกเลิกเส้นเขตไหล่ทวีปนี้ให้ได้ เป็นโจทย์ใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทย

คุณูปการของจอมพลประภาส จารุเสถียรคือท่านลงมากำกับการเจรจาเอง และคุยตรงไปตรงมากับนายพลลอนนอล เพราะเป็นทหารด้วยกัน เดินตามยุทธศาสตร์อเมริกันเหมือนกัน ที่สุดเมื่อคุยไม่เป็นผล ท่านก็รักษาสิทธิของไทยโดยการออกประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเส้นไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทยที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและกฎหมายระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 ตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 90 ตอน 60 หน้า 1-2 วันที่ 1 มิถุนายน 2516

เป็นเส้นที่ลากจากหลักเขตที่ 73 ลงทะเลตรงจุดกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดของไทยกับเกาะกงของกัมพูชา

นอกจากประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปแล้ว รัฐบาลไทยสมัยนั้นสั่งการให้กองทัพเรือเข้าดูแลรักษาสิทธิในน่านน้ำอ่าวไทยเขตไหล่ทวีปของไทยตามประกาศทันที

นั่นเป็นเหตุการณ์แค่เพียง 5 เดือนก่อนจอมพลประภาส จารุเสถียรพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

การเจรจาระหว่าง 2 ประเทศไม่คืบหน้า

เพราะกัมพูชาตกอยู่ในสภาวะสงครามหลายรูปแบบอยู่ยาวนานจึงค่อยฟื้นคืนสู่สันติภาพ

กว่าจะมาเริ่มเจรจากันจริงจังอีกครั้งก็ปี 2538

ไม่คืบเช่นเคย!

กัมพูชาไม่พยายามจะพูดเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีป หรือเรื่องแบ่งเขตแดนทางทะเล จะพูดแต่เฉพาะเรื่องการแบ่งปันปิโตรเลียมใต้ทะเลเท่านั้น ขณะที่ไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศพยายามพูดทั้ง 2 เรื่อง

ในที่สุด MOU 2544 ก็ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544

ลงนามในยุคที่พี่น้อง 2 แผ่นดินต่างขึ้นครองอำนาจทางการเมืองในแผ่นดินของตน

เกิดเป็นกรอบแนวทางการเจรจาตามภาพกราฟิกที่นำมาแสดง

ดูเหมือนการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ในปิโตรเลียมจะคืบหน้าไปมาก จนมีตัวแบบและตัวเลขแบ่งผลประโยชน์ออกมา ขณะที่การเจรจาแบ่งเขตแดนแม้จะถูกจำกัดตามกรอบ MOU 2544 ให้ทำเฉพาะส่วนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือเท่านั้นก็ยังคงไม่คืบหน้าเช่นเดิม

หลังผู้พี่ตกจากบัลลังก์อำนาจฝั่งไทยเมื่อปี 2549 การเจรจาสะดุดไป เพราะมีปัญหาเขตแดนทางบกบริเวณปราสาทพระวิหารเข้ามาแทรกเสียร่วม 10 ปี

วันนี้เมื่อผู้พี่กลับเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าอีกครั้ง และหัวหน้าคณะรัฐบาลที่มีพรรคของลูกสาวเป็นแกนนำประกาศนโยบายพลังงานว่าจะพยายามนำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ให้ ‘เร็วที่สุด’ โดยบอกว่าจะ ‘แยก’ จากเรื่องเขตแดน แม้ผู้น้องจะเพียงมาเยี่ยมไข้ผู้พี่และถือโอกาสเชิญหลานสาวคนเล็กไปเยือนกัมพูชาเดือนหน้า ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองใด ๆ ก็ตาม

แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ปรากฏการณ์พบกันของพี่น้องสองแผ่นดินคู่นี้จะต้องเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งอยู่ดี

เส้นฮุบปิโตรเลียมจะยังอยู่หรือไม่ ?

สองประเทศจะแบ่งผลประโยชน์จากขุมทรัพย์ 20 ล้านล้านบาทกันได้สำเร็จหรือไม่ตลอดอายุรัฐบาลไทยชุดนี้ และจะมีผลกระทบต่อเขตแดนทางทะเลในอนาคตของไทยหรือไม่อย่างไร ??

ล้วนเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ

ผลงานจาก 'ลุงตู่' ถึง 'พีระพันธุ์' พากระแสมวลชนคนไทยตีกลับ ความเจริญที่ผู้คนเริ่มโจษขาน อาจดับฝัน 'ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน'

(23 ก.พ. 67) จากช่องติ๊กต็อก @fhakram.chavit หรือ ‘คุณฟ้าคราม’ โพสต์คลิปวิดีโอแสดงความคิดเห็นต่อผลงานของ ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ที่ท่านได้ทำมาโดยตลอดระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรี ในมุมที่หลายคนอาจจะไม่รู้ข้อมูลมาก่อน ก่อนถึง ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ และคนอื่น ๆ ที่สามารถสานต่อโครงการเหล่านี้ได้ในอนาคต โดยระบุว่า…

ที่บอกว่าก้าวไกลทั้งแผ่นดินเนี่ย…ไม่ต้องไปกลัวหรอก ยังไงสีเหลืองก็ชนะ ซึ่งทุกคนจะไปกลัวอะไร ก็ในเมื่อขนาดช่วง ‘พิธาฟีเวอร์’ ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เลย และนับภาษาอะไรกับตอนนี้ ส่วนอันต่อมาคือช่วงก่อนนี้ ‘สีเหลือง’ ยังเป็น ‘พลังเงียบ’ อยู่เลย แต่ขอโทษนะพิธาฟีเวอร์ก็สู้ ‘ลุงตู่องคมนตรีฟีเวอร์’ ไม่ได้

แล้วเพิ่งช่วงหลังเลือกตั้งนี่เอง ที่ประชาชนเพิ่งรู้ในเรื่องของม.112 เกี่ยวกับเยาวชนทะลุวังหรือใครคิดยังไงกับสถาบัน เพราะฉะนั้นสถานการณ์ต่างกันมาก ต่อมาประเทศไทยเราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่ากัน สังคมอย่าไปให้ค่าเจเนอเรชันใหม่จนเยอะลิมิต เพราะวัยรุ่นที่ดีและสง่างามจริง ๆ ในหัวใจควรจะเป็นคนที่นอบน้อมกับผู้ใหญ่ รวมถึงเรื่องสถาบันด้วย เพราะว่าวัยรุ่นต้องมีความสํานึกรู้คุณกตัญญูกตเวทีในหัวใจ มันถึงจะสง่างาม และตอนนี้อินฟลูเอนเซอร์ฝั่งเหลืองเยอะมากและเยอะที่สุดแล้ว

นอกจากนี้ เดี๋ยวนี้เขายังมีการจัดโพลกันแบบกลัว ‘ท่านพีระพันธุ์’ กันแล้วนะ ถ้าเขาไม่กลัวเขาไม่ขัดขาหรอก อย่างโพลของ Line Today ที่ได้สร้างผลสำรวจคะแนนความนิยมของนักการเมืองที่คุณชื่นชอบ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ซึ่งคุณรู้ไหมว่าโพลนี้มีนักการเมืองแทบทุกคนเลยนะ อย่างอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร, พิธา, เศรษฐา, หมอชลน่าน, รัชนก ศรีนอก หรือ รังสิมันต์ โรม ก็มา แต่กลับไม่มีท่านพีระพันธุ์ โอ้โห…กลัวอะไรขนาดนั้นใจเย็น ๆ 

ถัดมายังมีอีกโพลกับหัวข้อ ‘ถ้าท่านต้องเลือกตั้งวันนี้จะเลือกพรรคใด’ ซึ่งมีให้ 2 พรรค ก็คือ เพื่อไทยและก้าวไกล แต่ของเพื่อไทยมีรูปอิโมจิหน้าตกใจประกอบ แต่ถ้าเป็นก้าวไกลก็เป็นหัวใจแทน และก็ไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติเช่นเดิม ก็คิดดูว่าจัดโพลแบบกลัวอะไร? 

ซึ่งอย่างที่เคยบอกไปว่าสามกีบหลาย ๆ คนเนี่ยไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วก็ชอบบอกว่าส้มทั้งแผ่นดินอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ต้องอะไรมากหรอก ความจริงคือความจริง ความดีคือความดี เดี๋ยวผู้คนเขาก็จะเห็นเอง อย่างเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ก็ต่างผุดผลงานลุงตู่ออกมาเพียบ แล้วผู้คนก็จะได้เห็นผลงานลุงตู่ที่ทะลุมิติ ทะลุมัลติเวิร์ส เรียกได้ว่าเป็น S Curve ของเมืองไทยเลยก็ได้

เพราะที่ผ่านมาลุงตู่ได้สร้าง EEC : Eastern Economic Corridor ที่มีรถไฟฟ้าตัดผ่าน 3 สนามบินอย่าง ดอนเมือง, สุวรรณภูมิ แล้วก็ไปถึงอู่ตะเภาด้วย แล้วก็มีการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเพื่อรองรับเป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 3 ของประเทศไทย โดยทั้งหมดนี้สร้างมา 5 ปีแล้ว ซึ่งเสร็จปี 70 ซึ่งก็อีกแค่ 3 ปีเท่านั้น จากสนามบินดอนเมือง-บางอู่ตะเภา ใช้เวลาไม่ถึง 60 นาที โคตรสุดยอด นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องนั่นก็คือ ‘วังจันทร์วัลเลย์’ ที่กําลังจะยกระดับประเทศไทยของเราให้เป็น Smart City ซึ่งมันสุดยอดมาก มันคือ Smart Innovative แพลตฟอร์มดี ๆ นี่เอง และยังเป็นเมืองต้นแบบอัจฉริยะทางเทคโนโลยี ซึ่งในนั้นมีเรื่องของการวิจัย การพัฒนา การทดลอง พลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก หรือเกี่ยวกับเรื่องของหุ่นยนต์ (Robotics) ต่าง ๆ อย่างด้าน AI และยังสามารถรองรับกลุ่มผู้สูงอายุในการใช้เทคโนโลยีทําให้การเป็นอยู่ของผู้สูงอายุสบายขึ้น

อีกเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ เรื่องของการวิจัยพัฒนาอีวี เกี่ยวกับเรื่องของรถอีวี แบตเตอรี่ และมีโรงเรียนที่น่าเข้าไปมาก ๆ อย่าง ‘โรงเรียนกำเนิดวิทย์’ (kvis) ซึ่งเป็นโรงเรียนเกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยี โดยจะได้เรียนเกี่ยวกับพลังงานสะอาด เอไอ หุ่นยนต์ ทั้งนี้ EEC และ วังจันทร์วัลเลย์ ที่อยู่ในนั้น อยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของลุงตู่

กลับมาเรื่องรถไฟฟ้า 10 กว่าสายในกรุงเทพมหานคร และภาคอีสานความเจริญสุด ๆ กําลังจะไปถึงแล้ว เพราะลุงตู่ทําให้รถไฟฟ้าความเร็วสูงลากไปตั้งแต่ดอนเมือง สระบุรี อยุธยา อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย ส่วนภาคเหนือรถไฟฟ้าไปตั้งแต่ ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ลําปาง ลําพูน เชียงใหม่ ส่วนสายใต้ฝั่งท่องเที่ยวก็จะมี นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี หัวหิน ประจวบ ชุมพร สุราษฎร์ พัทลุง หาดใหญ่ นครศรีธรรมราช เยอะแยะไปหมด

นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมท่าเรือแหลมฉบังมาบตาพุด ท่าเรือน้ำลึก ให้ไทยเราเป็นจุดศูนย์กลางแห่งการส่งออกของโลก ซึ่งสิ่งที่เราจะได้ก็คือการเกิดงานและเงินให้กับลูกหลานของเราที่ต้องออกไปทํามาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัว และก็มีรายได้ต่อหัวที่สูงมากขึ้น รวมทั้งผู้สูงอายุจะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะจะใช้เทคโนโลยีนี้ผ่านการควบคุมจากสมาร์ทโฟนได้ และจะมีรายได้เข้าประเทศมหาศาล…ซึ่ง ‘แลนด์บริดจ์’ จะดูเล็กไปเลย เพราะว่าไทยกําลังจะเป็น Spider Web ซึ่งก็คือใยแมงมุมของด้านการคมนาคม ที่เชื่อมโยงกันทั่วทั้งประเทศ จนทะลุไปถึงประเทศจีน ทั้งนี้ EEC ได้เสร็จไปแล้วเฟสแรก มีเงินเข้ากระเป๋าประเทศไปแล้ว 80- 90%

ทั้งนี้ ในวังจันทร์วัลเลย์ พัฒนากลุ่มอวกาศ มีดาวเทียมดวงแรกของประเทศไทยซึ่งก็คือ THEOS 2 ซึ่งคุณเศรษฐาก็ออกมาพูดว่าไทยเราจะเป็นจุดศูนย์กลางของโลก แล้วก็ตื่นเต้นมากเกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาอีวี หรือภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจริง ๆ มันเจริญมามากแล้วคุณเศรษฐาก็รู้ แต่เป็นผลงานลุงตู่นะ คุณต้องให้เครดิตมาก ๆ หน่อย แล้วก็ค่อย ๆ สานต่อไป ซึ่งไม่สานต่อไม่ได้เพราะมันอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี…

นอกจากนี้ยังมี โครงการเรื่องเครื่องกําเนิดแสง, เมืองนวัตกรรมอาหาร, เมืองนวัตกรรมการบินและอวกาศ, การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อชุมชน, มีเงินสํารอง, มีทองสํารอง, แอปกระเป๋าตังค์ที่เยียวยาฟื้นฟูในช่วงโควิด-19 เป็นต้น และด้วยทั้งหมดนี่คือการหาเงินเข้าประเทศอย่างแท้จริง รวมถึงในอนาคตที่กำลังจะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในด้านการคมนาคมและการท่องเที่ยวของโลก 

แต่ต่างจากนโยบายของพรรคก้าวไกล ซึ่งเรือธงของเขาก็คือ ‘รัฐสวัสดิการ’ ตั้งแต่เกิดยันเสียชีวิต คำถามคือ เอาเงินมาจากไหน? ต้องกู้ไหม? แค่เงินของผู้สูงอายุก็หลายแสนล้านแล้ว และจะให้จะแจกตั้งแต่เกิดยันเสียชีวิตเลยเหรอ ฟังดูแล้วมันก็เคลิ้ม ๆ นะ แต่ว่าประเทศพังแน่…แล้วหาเงินเข้าประเทศยังไง จะไปตัดรถตัดทอนความมั่นคงก็ระวังประเทศมันจะพังเอา และจะมาแก้ไขม. 112 อีก ซึ่งไม่ได้เลยนะ เพราะความมั่นคงของใครที่เขามาลงทุน ก็เพราะพระมหากษัตริย์ ทําให้ไทยเรามีความมั่นคง ไม่โดนแทรกแซงจากต่างชาติ 

ดังนั้น อย่าไปโดนใครกล่อมเรื่องประชาธิปไตย มันไม่ได้ดีไปซะทั้งหมดทุกอย่าง มันพังกันมาแล้วก็หลายประเทศ อย่าปล่อยให้ประชาธิปไตยมันครอบงําสมองเราขนาดนั้น ดูที่ข้อเท็จจริงและความเป็นจริง ว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นคนทําจริงเราเห็นอยู่ดี เขาไม่ได้คิดแต่พูด แต่เขาจะทําให้เราเห็น…

ต่อมาคําถาม ‘ถ้าดีขนาดนี้แล้วทําไมคนไม่เลือก?’ สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด คุณคิดว่ามีคนรู้เรื่องแบบผมสักกี่คน ซึ่งหลาย ๆ คนไม่รู้เรื่องนี้เลย ดังนั้นคุณไม่ควรถามผมเลยนะว่าทําไมดีแล้วคนไม่เลือก ซึ่งคําตอบมันมีอยู่แล้ว ก็ถ้ามันดีแล้วคุณไม่เลือกก็แปลว่าคุณ (โดนหลอกแล้ว) … ซึ่งอาจจะไม่มากนัก แต่เปลี่ยนใจกันได้ไม่เป็นไร หลงผิดไปยินดีกลับมาสู้ด้วยกันใหม่ ยินดีเสมอ…

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้การใช้ชีวิตก็ดีขึ้น เพราะมีคมนาคมที่ทำให้เราเดินทางไปทำงานสะดวก จึงอยากให้ทุกคนลองปรับตัวกันบ้าง ไปทำงานกันบ้าง หรือใครที่รู้สึกว่าปรับตัวในโลกดิจิทัลมันยากและปรับไม่ทัน อันนี้ผมเข้าใจ แต่พวกที่ด่าอย่างเดียวเลยว่าไม่มีเงิน เศรษฐกิจแย่ ประเทศชาติแย่ ระบบแย่ อยากจะเปลี่ยนแปลงและให้ประเทศมันดีขึ้นกว่านี้ คำถามคือประเทศมันยังไม่ดีพออีกหรอทุกวันนี้… ‘ลุงตู่’ ท่านทำ S Curve สร้างไว้ให้ขนาดนี้ คุณไม่คิดจะพัฒนาและปรับตัวเลย คุณจะรอแต่รัฐสวัสดิการและขอเงินอย่างเดียว แล้วคุณจ่ายภาษีกันเท่าไหร่…อย่างสวิตเซอร์แลนด์, เนเธอร์แลนด์, ไอซ์แลนด์, เยอรมัน เขาจ่ายภาษีกันประมาณ 40-50% เลย จะเอาประชานิยมที่เขาแจกอย่างเดียว จะให้รอเอาเงินมาให้ เอาสวัสดิการดี ๆ มาให้ แต่ต้องมากู้สาธารณะ ทีนี้ลุงตู่กู้มาล้นเพดาน แถมเงินทุกบาททุกสตางค์ของที่กู้มา มันก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบที่ได้พูดไป เพื่อให้พวกคุณไง ด่าเช้าด่าเย็นแต่ก็ใช้ถนน ด่าว่า 8 ปีไม่ทําอะไรเลย แต่ก็ใช้รถไฟฟ้า เรียกร้องจะเอาวัคซีนที่ดีที่สุดอย่างไฟเซอร์ โมเดอร์นา แล้วตอนนี้เป็นไงเสียชีวิตกันเป็นแถบ… ดังนั้นลุงตู่ไม่ใช่เทพที่ไหน ไม่ใช่คนเลวจากการรัฐประหาร แต่เป็นคนดีที่ตั้งใจทําผลงานสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และสร้าง S Curve ให้กับประเทศไทยได้อย่างน่ามหัศจรรย์

แล้วล่าสุดท่านพีระพันธุ์คุยกับผู้ว่าการมณฑลยูนนานของจีน สร้างสัมพันธไมตรีอันดี ซึ่งความพีกก็คือเขาก็มาคุยกันเรื่องของการพัฒนาต่อยอดเศรษฐกิจ พวกโครงสร้างพื้นฐานที่มันเชื่อมกันพลังงานสะอาด พลังงานสีเขียว และก็อุตสาหกรรมสีเขียว แล้วก็แลกเปลี่ยนความรู้ด้านพลังงาน รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน นี่แหละ…มันเป็นความสําเร็จทั้งหมดแล้วมาเชื่อมโยงกันได้ดีมาก สุดท้าย…สีเหลืองคนละไม้คนละมือ จะไม่ชนะได้ยังไงโครงการดี ๆ ขนาดนี้ สู้ไปด้วยกัน…

‘ลอรี่’ ชี้!! ‘สส.อัครเดช’ อภิปรายตามกฎ-กรอบเวลา ซัด!! ‘รองอ๋อง’ เจตนาตัดบท-ขัดขวาง-ละเมิดสิทธิ์ชัดเจน

(23 ก.พ. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ ลอรี่ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า เหตุการณ์ในวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ กรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ใช้อำนาจแทรกตัดบทไม่ให้นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติอภิปรายลงรายละเอียด ระหว่างตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดระเบียบสายไฟฟ้า และสายสื่อสาร และการบริหาร การจัดการไฟฟ้าส่องสว่างอย่างทั่วถึง ทั้งที่กำลังอภิปรายตามกรอบเวลา ถูกต้องตามข้อบังคับ ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ถูกต้องและไม่เคยมีประธานในที่ประชุมคนใดเคยทำมาก่อนในประวัติศาสตร์

นายพงศ์พล กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ส่อเข้าข่ายผิดข้อบังคับการประชุมข้อ 9 วรรค 1 ที่ระบุไว้ชัดว่าประธานฯ ต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ แต่นายปดิพัทธ์กลับใช้อำนาจกลั่นแกล้งปิดปาก อ้างผู้อภิปรายพูดร่ายยาวซ้ำซาก

“เท่าที่ผมเปิดเทปฟังการอภิปรายย้อนหลัง นายอัครเดชอภิปรายย้ำถึงการนำสายไฟสื่อสารลงใต้ดินประหยัดงบประมาณได้หลายสิบล้านพูดตัวเลข 70-80 ล้านบาทไม่กี่ครั้ง เพราะเป็นตัวเลขสำคัญชี้ให้ประชาชนเห็นถึงการประหยัดงบประมาณของรัฐได้จำนวนมาก ขณะนั้นผู้อภิปรายใช้เวลาไปยังไม่ถึง 10 นาที จากสิทธิอภิปรายเต็ม 15 นาที ถูกหลักเกณฑ์ทุกอย่าง แต่ไม่เข้าใจเหตุใดประธานที่ประชุมจึงใช้อำนาจตัดบทเช่นนี้” นายพงศ์พล กล่าว

รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ตำแหน่งประธานที่ประชุม คือ ผู้อำนวยการเอื้อการประชุมให้ราบรื่น (moderater) ไม่มีอำนาจมาออกความเห็นแทรกแซงเนื้อหาของผู้อภิปราย หรือเซนเซอร์นู่นนี่ หรือคิดแทนแต่อย่างใด ส่วนตัวแนะนำว่า ถึงจะมีเรื่องติดใจส่วนตัวกับนายอัครเดชมาก่อนจากการอภิปรายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ไม่ควรนำอารมณ์ส่วนตัวมาลงตรงนี้ เพราะทำให้สภาฯ สูญเสียความน่าเชื่อถือ และประชาชนถูกปิดกั้นจากการได้รับข้อมูลรอบด้านทั้ง 2 ฝ่าย

“เมื่อมานั่งเก้าอี้ประธานสภาฯ แล้ว จงวางหมวกนักการเมืองทิ้งไว้นอกห้องประชุม แล้วจงวางตัวทำหน้าที่ให้เป็นกลาง ถ้าทำไม่ได้ลงไปนั่งข้างล่าง แล้วให้คนมีวุฒิภาวะดีกว่าขึ้นมาทำแทนดีกว่า” รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

'อัครเดช-รทสช.' ท้วง 'รองอ๋อง' ไม่เป็นกลาง-เบรกไม่ให้พูด กล่าวหาตนอภิปรายยืดเยื้อ สุดท้ายกระทู้ถาม รมต.ล่ม

(22 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานสภา เข้าสู่การพิจารณากระทู้ถามทั่วไป ที่นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ถามเรื่องติดตามความคืบหน้าการจัดระเบียบสายไฟฟ้า สายสื่อสาร และการบริหารจัดการไฟฟ้าส่องสว่างอย่างทั่วถึงทั้งประเทศ ถามนายกรัฐมนตรี โดยมอบหมายนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ตอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอัครเดชได้อภิปรายเป็นเวลาเกือบ 10 นาที แต่ยังไม่ได้ถามคำถาม นายปดิพัทธ์จึงทักท้วงว่า นายอัครเดชใช้เวลาเกือบ 10 นาทีแล้ว ขอให้ถามคำถามได้แล้ว ทำให้นายอัครเดชไม่พอใจและกล่าวว่า กระทู้ถามทั่วไปไม่ได้ระบุเวลา แต่ตนรู้ข้อบังคับดี เดี๋ยวตนกำลังจะถามคำถามแล้ว ท่านประธานต้องอย่าทำตัวเอียง ต้องวางตัวให้ตรง วินิจฉัยอะไรต้องรับผิดชอบด้วย 

จากนั้นนายปดิพัทธ์จึงกล่าวว่า ตนให้โอกาสในการอภิปรายแต่นายอัครเดชพูดเรื่อง 70 ล้าน 80 ล้านมา 2 รอบแล้วจึงจะเข้าข่ายวนเวียนแล้ว และคิดว่าเราได้ประเด็นของเนื้อหาจึงอยากให้ช่วยบริหารเวลาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่ให้ท่านอภิปราย

นายอัครเดชกล่าวว่า “จริง ๆ กระทู้ถามสดนั้น ผู้ถามมีเวลาถาม 15 นาที และผู้ตอบมีเวลา 15 นาทีในการตอบเช่นเดียวกัน ผมเพิ่งถาม 10 นาที ท่านมาเบรกผม ท่านมีอะไรกับผมเหรอครับ”

นายปดิพัทธ์กล่าวว่า “ท่านมีอะไรกับผมเหรอครับ ไม่มีครับ” แต่คิดว่ากระทู้ถามแต่ละครั้งที่วันนี้ตนให้อภิปรายเกิน 10 นาทีได้ เพราะวันนี้มีกระทู้ของนายอัครเดชคนเดียวที่เหลือเป็นการเลื่อนกระทู้ และตนแค่บอกเฉย ๆ ว่าตอนนี้ควรที่จะต้องเข้าสู่คำถามได้แล้ว เพราะเป็นการอภิปรายที่มากพอแล้ว ตนไม่มีอะไรกับนายอัครเดช ขอให้เข้าสู่เนื้อหาเลย หากจะอภิปรายกับตน ตนคิดว่ามันเสียเวลาของสภา ขอเข้าสู่กระทู้ต่อ

นายอัครเดชกล่าวว่า ตนต้องชี้แจงเพื่อที่ประชาชนจะได้เข้าใจข้อบังคับและสิทธิของ สส. ด้วยความเคารพสิทธิของสมาชิก คือเวลาที่ถามนั้น ตนยังอยู่ในเวลาที่ใช้สิทธิอยู่ และหากไปดูเรื่องข้อบังคับกระทู้ถามไม่ได้ระบุระยะเวลา ตนเคารพสภา โดยการใช้สิทธิตามระยะเวลาที่มีอยู่คือ 15 นาที ฉะนั้น การอภิปรายของตนก็เป็นประโยชน์ต่อรัฐมนตรี ในการให้ข้อมูลของรัฐมนตรีไปบริหารประเทศเพื่อประหยัดงบประมาณเงินภาษีของพี่น้องประชาชน ตนจึงบอกว่า 70 ล้านกับ 10 ล้านมันต่างกัน สิ่งที่ตนอภิปรายเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติดีกว่าที่จะอภิปรายที่ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา แล้วท่านวินิจฉัยกลายมาเป็นประเด็นที่ทะเลาะกัน ตนว่าแบบนั้นเสียเวลามากกว่า ขอให้ท่านได้ทำตามข้อบังคับและเคารพสิทธิของสภาด้วย

นายปดิพัทธ์ชี้แจงว่า กระทู้ถามข้อบังคับบอกว่าต้องไม่เป็นลักษณะการอภิปราย หากนายอัครเดชไม่ถามกระทู้ ขออนุญาตว่าจะไม่ถามก็ได้ และเวลาของนายอัครเดชนั้น ตนเคารพ แต่ตอนนี้นายอัครเดชใช้เวลามากเกินไปกับสิ่งที่ไม่อยู่ในกระทู้

นายอัครเดชกล่าวว่า อยากให้นายปดิพัทธ์ที่ทำหน้าที่ประธาน ท่านจะใช้ดุลพินิจหรือวินิจฉัยอะไร ขอให้ท่านอยู่ในข้อบังคับและรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนด้วย ตนกำลังอภิปรายประเด็นนี้และตนถามกระทู้มาตั้งแต่สมัยที่นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธานสภา ตนไม่ได้ถามกระทู้นี้กระทู้แรก และตนไม่เคยมีปัญหาเช่นนี้เพราะตนรู้ข้อบังคับ ทำให้นายปดิพัทธ์ ทักท้วงขึ้นว่า ขอให้เข้าเรื่องได้แล้ว ไม่เช่นนั้นตนไม่อนุญาตให้พูดและคำวินิจฉัยของประธานเป็นที่สิ้นสุด

นายอัครเดชกล่าวว่า หากท่านประธานวินิจฉัยเช่นนี้ ตนขอให้สภาแห่งนี้บันทึกไว้ว่า สส.ที่นำปัญหาของพี่น้องประชาชนมาอภิปราย แล้วอภิปรายตามข้อบังคับและจะถามรัฐมนตรีตามระเบียบ แต่ท่านใช้ดุลพินิจของท่านวินิจฉัยให้ สส.หยุดอภิปราย จึงขอให้สภาบันทึกไว้ว่าตนมีความตั้งใจที่จะถามกระทู้นี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ หากท่านวินิจฉัยเช่นนี้ ตนขอไม่ถามกระทู้ต่อ

นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ตนจำเป็นต้องบริหารเวลาและข้อบังคับให้ชัดเจน ไม่ได้มีเจตนาที่จะเบรกไม่ให้นายอัครเดชถาม ขอให้ท่านอภิปรายและเข้าสู่คำถามเพราะเห็นว่าอภิปรายได้ครบถ้วนแล้ว ซึ่งก็รอคำถามจากท่านอยู่ ตนเคารพท่านและสภาฯ ก็บันทึกไว้ได้ว่าตนวินิจฉัยเช่นนี้

นายอัครเดชลุกขึ้นทักท้วงอีกรอบว่า ท่านประธานไม่จบ นายปดิพัทธ์จึงกล่าวขึ้นว่า ตนจบแล้ว และไม่อนุญาตให้พูด ขอบคุณรัฐมนตรี ซึ่งผู้ถามไม่ได้ใช้สิทธิ์ถามแล้ว และเจ้าหน้าที่ที่บันทึกการประชุมว่า นายอัครเดชทำผิดข้อบังคับ ไม่เคารพคำวินิจฉัย ตนไม่สามารถให้อภิปรายตัวตนได้เพราะนี่ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำให้นายอัครเดชลุกขึ้นประท้วงว่า ตนไม่ได้อภิปรายและขอประท้วงว่าประธานทำผิดข้อบังคับ ท่านเป็นประธานต้องวางตัวเป็นกลาง อย่าเอาอารมณ์เมื่อครั้งที่แล้วมาทำเช่นนี้กับสมาชิก ไม่ถูกต้อง ท่านเป็นประธาน ตนและ ส.ส.เคารพท่านเพราะตำแหน่งท่านแต่การที่ท่านวินิจฉัยและมาขัดการอภิปรายเช่นนี้ ตนถือว่าเป็นสิ่งที่ประธานไม่ควรทำและไม่สร้างสรรค์อย่างยิ่ง

นายปดิพัทธ์ได้ย้ำอีกครั้งถึงเรื่องข้อบังคับสภา ในการถามกระทู้และไม่ได้มีเจตนาที่จะเบรกไม่ให้นายอัครเดชถามกระทู้แต่อย่างใด จากนั้นจึงเข้าสู่วาระถัดไป

'ไอลอว์' ยอมรับ 'บุ้ง-ตะวัน' อดอาหารในคุกหลายครั้งแล้ว ความพยายามไม่เป็นผล จนไม่รู้จะเคลื่อนไหวยังไงต่อ

(22 ก.พ. 67) นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ และสมาชิกโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า... 

เรื่องบุ้ง ทะลุวัง อดอาหาร มาเกือบสามสัปดาห์แล้ว เรื่องตะวัน และแฟรงค์ ที่ก็เพิ่งเข้าโรงพยาบาลกันไป

ไม่ได้ลืมพวกเขานะครับ ก็คิดอยู่นะ ว่าจะทำอะไรได้บ้าง พอจะตั้งต้นค้นคว้า และเขียนบทความเรื่องต่าง ๆ ก็พบว่า เขียนไปหมดแล้ว เพราะการอดอาหารเกิดขึ้นหลายรอบ ก็เขียนไว้หลายเรื่องแล้ว ก็ตันเอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ

การจะต่อสู้เรียกร้องจนพวกเขาได้เห็นสิ่งที่กำลังเรียกร้อง ภายในช่วงเวลาอดอาหารนี้ ยังไม่เห็นช่องทางเลย ตอนที่เรียกร้องกันเมื่อปีที่แล้วก็พยายามแล้ว แต่มันไม่ได้เกิดขึ้น

‘อัษฎางค์’ ถามดังๆ ถึง ‘คณาจารย์-ผู้บริหาร’ ม.ราม ปล่อย ‘ก้าวไกล’ เอี่ยวกิจกรรมนักศึกษา เพื่ออะไร 

(21 ก.พ.67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ในหัวข้อ ‘เด็กราม ยอมให้เขาทำแบบนี้ใช่มั้ย ?’ ระบุว่า…

คณาจารย์ ผู้บริหาร ม.ราม ยอมให้เขาทำแบบนี้ใช่ไหม?

ศิษย์เก่า จะนิ่งดูดายหรือไม่?

ปล่อยให้พรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของนักศึกษา ด้วยเหตุผลอะไร? 

ก้าวไกลคิดครอบงำองค์กร นศ.หรือไง หวังผลอะไร?

องค์กรนักศึกษา ตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมของนักศึกษาและมหาวิทยาลัย หรือเพื่อเป็นแขนขาของพรรคการเมือง ที่ศาลวินิจฉัยว่า มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง 

นอกจากนี้ยังปล่อยให้มีการซื้อเสียงตั้งแต่ยังเป็น นศ. นี่หรือคือการเมืองของคนรุ่นใหม่?

ถามดังๆ ไปถึงน้องๆ นักศึกษา คณาจารย์และผู้บริหาร

ท่านปล่อยให้พรรคการเมืองที่ศาลวินิจฉัยว่า มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง ให้เข้ามาเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงองค์กรนักศึกษา เท่ากับท่านสนับสนุนพรรคที่ศาลวินิจฉัยว่า คิดล้มล้างการปกครอง ใช่หรือไม่?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top