Monday, 9 June 2025
POLITICS NEWS

'ก้าวไกล' ยันไม่ทิ้งซักฟอกรัฐบาล แค่ยังไม่สรุปว่าจะเปิดอภิปรายแบบใด

(29 ก.พ.67) ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นกรณีมีกระแสข่าวที่ตั้งข้อสังเกตว่าพรรคก้าวไกลจะไม่ซักฟอกรัฐบาลผ่านการอภิปรายแบบไม่ลงมติหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่าความจริงแล้วพรรคก้าวไกลยังไม่สรุปว่าจะเปิดอภิปรายแบบใด อย่างที่ประชาชนเห็นการทำงานของเรา การอภิปรายต้องคำนึงถึงข้อมูลที่มากพอ ต้องนำไปสู่การซักฟอกที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคมจริง ๆ ไม่ใช่แค่เปิดอภิปรายเมื่อถึงวาระ 

อีกทั้งปีนี้การพิจารณางบประมาณ 2567 และงบประมาณ 2568 มีระยะเวลาใกล้กันมาก ประมาณเดือนมิถุนายนปีนี้ ก็จะเป็นช่วงการพิจารณางบประมาณ 2568 ซึ่งเป็นงบที่จัดโดยรัฐบาลชุดนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะได้เห็นหน้าตางบประมาณของรัฐบาลเศรษฐา 1 จึงถือเป็นอีกโอกาสที่พรรคก้าวไกลและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะได้ตรวจสอบรัฐบาลผ่านงบประมาณด้วย 

“ยืนยันว่าพรรคก้าวไกล ทำหน้าที่ซักฟอกและตรวจสอบรัฐบาลมาโดยตลอด ผ่านกลไกกระทู้ทั่วไป กระทู้ถามสด หรือกรรมาธิการ ดังนั้นหากจะมาตั้งข้อสังเกตว่าเราไม่ตรวจสอบรัฐบาล คงเป็นการกล่าวหากันมากไป ไม่อยู่บนข้อเท็จจริง และการอภิปรายซักฟอกนั้นต้องคำนึงถึงข้อมูลที่มี ก่อนจะพิจารณาอีกทีว่าจะเป็นอภิปรายทั่วไปหรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ” ภคมนกล่าว

รองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า เชื่อว่าพี่น้องประชาชนและสังคมเห็นการทำงานของพรรคก้าวไกลมาโดยตลอด ว่าเราทำหน้าที่ฝ่านค้านเชิงรุกอย่างเต็มที่ ใช้ทุกโอกาสในการตรวจสอบรัฐบาล ดังนั้นสำหรับคนที่พยายามกล่าวหาพรรคก้าวไกล แล้วใช้วิธีเชื่อมโยงแบบมั่วๆ เหมือนที่เคยทำมา ขอให้รู้ว่าพรรคก้าวไกลทำงานการเมืองแบบมีเป้าหมายและทำงานด้วยข้อมูล หากจะวิเคราะห์วิจารณ์กันเราก็รับฟัง แต่ขอให้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง อยากเชิญชวนให้ทำงานกันแบบนี้ จะเป็นประโยชน์กับประชาชน ยกระดับการเมืองไทยให้ดีกว่าที่เคยเป็น

'หมอวรงค์' วิเคราะห์ 3 ต้นสายปลายเหตุ 'ก้าวไกล' ทิ้งซักฟอก 'ฮ่องกงมิตติ้ง-ย้อนศรล้มล้างปากปกครอง-ไร้น้ำยา'

(29 ก.พ.67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ทำไมพรรคก้าวไกลไม่ซักฟอกรัฐบาล’ ระบุว่า เมื่อปลายเดือนมกราคม 2567ที่ผ่านมา นายพิธาเองเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเศรษฐา ช่วงเดือนเมษายนนี้ก่อนปิดสมัยประชุมสภา ในประเด็นทุจริต บริหารล้มเหลว ทำงานล่าช้า

แต่กลายเป็นว่าปลายเดือนกุมภาพันธ์ล่าสุดนี้เอง ประธานวิปฝ่ายค้าน แถลงกลับลำเฉยว่า จะยังไม่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสมัยประชุมนี้ เพราะรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหาร ยังไม่ได้ใช้งบ

พรรคก้าวไกลแน่ใจหรือว่า รัฐบาลนี้เข้ามาบริหาร แล้วไม่มีประเด็นที่ประชาชน อยากให้ฝ่ายค้านตรวจสอบ ซึ่งในความเป็นจริงมีหลายประเด็นมากที่ประชาชนสงสัย เช่น

การใช้อภิสิทธิ์ของนักโทษชายทักษิณ ซึ่งฝ่ายค้านตรวจสอบเรื่องนี้น้อยมาก ทั้งๆ ที่หลักฐานข้อมูล เอกสารต่างๆ ชัดเจนมาก

โครงการแจกเงินดิจิทัล 10000บาท สรุปแล้วจะได้หรือไม่ แล้วที่สัญญาว่าจะไม่กู้ยังจะกู้ไหม

ปัญหายาบ้า 5 เม็ด ที่นำไปสู่ การค้าบ้าเสรีสำหรับรายย่อย

ปัญหาเกาะกูด ที่ประชาชนหวาดระแวง ที่จะนำไปสู่การเสียดินแดน ทั้งๆ ที่สัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในปี 2449 ระบุชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย

ปัญหาปากท้องประชาชน จนตลาดเงียบเป็นป่าช้า

หรือแม้แต่ปัญหาที่ดิน ส.ป.ก. ที่เมื่อเปลี่ยนเป็นโฉนดเพื่อการเกษตรแต่กลายเป็นเอื้อนายทุนฮุบที่ป่าได้เป็นทางการ

คำถามที่ต้องถามกลับไปยังพรรคก้าวไกล ทำไมพวกท่านไม่กล้าซักฟอกรัฐบาล หรือว่า

1.การที่นายธนาธรไปพบนายทักษิณที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2566 ทำให้พรรคไม่กล้าซักฟอกนายทักษิณ

2.หรือพรรคก้าวไกลกลัวถูกย้อนศร กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องล้มล้างการปกครองฯ ในทำนองเองก็ชั่ว ข้าก็เลว

3.หรือว่าพรรคก้าวไกลไร้น้ำยาจริงๆ มีแต่จะยกเลิก ม.112 ระวังถ้าเป็นแบบนี้สักวันหนึ่งจะโดนโห่ไล่ลงเวที

อดไม่ได้!! เมื่อ 'เด็กสามนิ้ว' ต้องหมดอนาคตในคุกตาราง แล้วใครกันที่ควรร่วมรับผิดชอบชีวิตที่แหลกสลายนี้?

ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แม้จะเอือมระอากับพฤติกรรมของ 'เด็กสามนิ้ว' ที่ดาหน้ากันออกมาก่อกวนสังคม และจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย เป็นสิ่งที่ต้องล้มล้างทำลายให้หายไป

แต่เมื่อเราเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวต้องโดนคดี 112 ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ ต้องหมดอนาคตลงทันทีอย่างน่าเสียดาย บางอารมณ์ก็คงจะอดสงสารไม่ได้ และคงมีคำถามผุดขึ้นในใจมากมายว่าใครกันบ้างที่ใจอำมหิต มีส่วนทำให้ 'เด็กหนุ่มเด็กสาวสามนิ้ว' เหล่านี้ ต้องลงเอยที่คุกตาราง?

1.) พ่อ แม่ ที่ไม่เคยห้ามปรามลูก ไม่เคยสั่งสอนให้ลูกของตัวเองตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบสังคมที่ดีงาม หากพ่อแม่มีความละเอียดอ่อนในการดำเนินชีวิต คิดดี คิดเป็น ลูกของตัวเองจะไม่มีทางตกเป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองที่นิยมการล้างสมองเด็ก ให้ออกหน้ามากระทำการอันชั่วร้ายแทน พ่อแม่ที่ดีจะสั่งสอนอบรมลูกไม่ให้จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์ และไม่กระทำการใด ๆ ที่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายทั้งปวง 

2.) พรรคการเมืองที่มีความคิดอยากล้มล้างสถาบัน พรรคการเมืองพรรคนี้ถนัดแต่ 'ซุกกระโปรงเด็ก' เลือกหลอกใช้เด็กที่มีความกล้า ปนความคิดที่อยากได้รับการยอมรับในแบบที่แตกต่างจากเด็กรุ่นเดียวกันมาเป็นเครื่องมือ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายชั่ว ๆ ของตัวเอง แต่เมื่อถึงคราวที่เด็กถูกดำเนินคดี สังคมคนส่วนใหญ่ลุกฮือขึ้นมาปกป้องสถาบัน พรรคการเมืองพรรคนี้ก็ทอดทิ้งชีวิตของ 'เด็กสามนิ้ว' ให้ไปเผชิญชะตากรรมร้ายในคุกโดยลำพัง

3.) สื่อที่มีแนวคิดเป็นลบกับสถาบัน มีซุกซ่อนอยู่ในสังคมไทยยุคสมัยนี้ไม่น้อย ถือเป็น 'สื่ออีแอบ' ที่มักจะสนับสนุน 'เด็กสามนิ้ว' ให้ดูเป็นฮีโร่ของสังคม เชิดชูและยกย่องเวลาที่เด็กสามนิ้วแสดงความใจกล้าในทางที่ผิด แต่ในเวลาที่เด็กสามนิ้วต้องถูกดำเนินคดี ก็จะใช้วิธีเขียนข่าวว่าเด็กถูกกลั่นแกล้งจากมาตรา 112 ทั้ง ๆ ที่กฎหมายอยู่ของมันเฉย ๆ 

4.) ผู้คนในสังคมที่ไม่ลงลึกกับที่มาที่ไป มักนิยมสิ่งที่ถูกใจมากกว่าจะรักษาสิ่งที่ถูกต้อง โหมใช้สื่อโซเชียลในแต่ละวันของตัวเองสนับสนุนการกระทำของ 'เด็กสามนิ้ว' จนกลายเป็นเด็กที่มีตัวตน เป็น 'ไอดอลกลวง ๆ กาก ๆ' ของเด็กรุ่นใหม่ จนมีความกล้าออกมาทำสิ่งที่ท้าทายอำนาจรัฐ 

ถ้า 'เด็กสามนิ้ว' สักคนต้องจบชีวิตลงในคุก คนในข่าย 4 ข้อนี้แหละครับสมควรต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ความผิดของกฎหมายมาตราใดเลย

‘รัดเกล้า’ เผย ‘กม.สมรสเท่าเทียม’ พิจารณาครบถ้วนแล้ว พร้อมเตรียมดันเข้าระเบียบวาระสภาฯ 20 มีนาคมนี้

(29 ก.พ.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี โฆษกประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … หรือ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม เปิดเผยว่า วานนี้ (28 ก.พ.67) ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ได้มีการพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ครบถ้วนทุกมาตราทั้ง 68 มาตราแล้ว และได้มีการทบทวนการพิจารณาแก้ไขรายมาตราทุกมาตราเรียบร้อยแล้ว พร้อมมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการนำมติที่ประชุมไปจัดทำร่างรายงานนำเสนอคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ในวันพุธที่ 13 มีนาคม 2567

ซึ่งภายหลังจากคณะกรรมาธิการมีมติเห็นชอบแล้ว จะนำเสนอบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบในวาระ 3 โดยตั้งเป้าหมายให้ทันวันพุธที่ 20 มีนาคม 2567 ซึ่งหากสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมก็จะสามารถเดินหน้าเข้าสู่ขั้นตอนการนำเสนอวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป

“คณะกรรมาธิการทุกท่านให้ความสำคัญและทุ่มเทให้กับการพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมกันเป็นอย่างมาก การพิจารณากฎหมายได้ดำเนินการไปด้วยความเข้มข้น ละเอียด และถี่ถ้วน เพราะเนื้อหาในร่างกฎหมายนี้เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนสูงในหลากหลายมิติ

นอกเหนือจากความปิติยินดีในภารกิจพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมกันที่ได้เสร็จสิ้นไปแล้วนั้น สมาชิกหลายคนในคณะกรรมาธิการเดินหน้าจัดงานแถลงข่าวการจัดกิจกรรม ‘บางกอกไพรด์ เฟสติวัล 2024 (Bangkok Pride Festival 2024)’ ที่จะจัดขึ้นภายใต้ธีม ‘Celebration of Love’ ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของการนับถอยหลังสู่การฉลองสมรสเท่าเทียมกันในประเทศไทย โดยงานแถลงข่าวดังกล่าวจะมีขึ้น ณ หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 29 ก.พ. 2567) เวลา 13:00 - 15:00 น.” นางรัดเกล้า กล่าว

'ชัยวัฒน์' ลั่น!! ที่ดิน ส.ป.ก.ส่วนใหญ่เป็นของผู้มีอิทธิพล ชี้!! ถ้าจริงใจต่อประเทศชาติ ต้องกล้ายึดคืน

(28 ก.พ.67) ที่รัฐสภา นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวภายหลังชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร กรณีที่ดินของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) รุกล้ำเขตอุทยานเขาใหญ่ว่า ภายในห้องประชุมกรมแผนที่ทหารได้อธิบายที่มาของแผนที่ ซึ่งอ้างอิงจากสมุดจดรังวัด (field book) ของกรมอุทยานแห่งชาติ ซึ่งทางกรมอุทยานแห่งชาติ โต้กลับไปว่าการอ้างอิงลักษณะนี้ ต้องอิงจากหลักฐานเดิม ซึ่งปัจจุบันไทยมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ที่ชัดเจน รวมถึงมีคณะกรรมการ one map ส่งหลักฐานเพิ่มเติม โดยได้ทำหนังสือเตือน ส.ป.ก. ไปแล้ว ว่าให้พิจารณาแนวเขตที่วางทับกับแนวเขตของอุทยาน และ ส.ป.ก.ได้ตอบกลับไปชัดเจนว่าพื้นที่นั้นอยู่ในแนวเขตอุทยานเขาใหญ่จริง หนังสือนี้ตอบกลับไปก่อนที่จะเกิดเรื่องขัดแย้งพื้นที่ทับซ้อนขึ้น ซึ่งเรื่องนี้สามารถดำเนินการได้อย่างไร อาจด้วยอำนาจ หรือมีอะไรที่มากกว่านั้น? เรื่องนี้ กมธ. ที่ดิน และกมธ. มั่นคงของรัฐ ได้พิจารณาแล้ว แต่ยังมีอีกชุดโดยในวันที่ 6 มีนาคม จะเข้าไปชี้แจงเพิ่มเติม และจะเชิญสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมรับฟังคำชี้แจงด้วย 

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ประชาชนที่เดือดร้อนเรื่องที่ทำกิน จะได้ที่ทำกินจาก ส.ป.ก. ด้วยความสุจริตใจแน่นอน และหน่วยงานของ ส.ป.ก. เล็งเห็นผู้ยากไร้ไม่มีที่ทำกินจริง ๆ ไม่ใช่ให้กับผู้ที่มีอำนาจหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 

“วันนี้ต้องเดินหน้าสู้พร้อมกัน เพราะว่า ส.ป.ก.ที่ออกมาส่วนใหญ่ ผู้ที่ครอบครองจะเป็นผู้มีอิทธิพล นักการเมือง นักลงทุน ซึ่งไม่ใช่เกษตรกรผู้ยากไร้หรือไม่มีที่ทำกินจริง ๆ“ นายชัยวัฒน์ กล่าว

”พี่น้องประชาชนที่ไม่มีที่ทำกินสบายใจได้ ส.ป.ก. ตั้งใจจะทำงานนี้ด้วยความถูกต้องและแม่นยำ ต้องเอาคนที่เป็นกลุ่มทุน กลุ่มที่ได้ไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ยึดกลับมาครับ ถ้า ส.ป.ก. มีความจริงใจต่อประเทศชาตินี้ เอาแบบนี้ดีกว่า“ 

อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ เชื่อว่า ที่ดินบริเวณอุทยานเขาใหญ่ ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ แม้กระทั่งผู้ใหญ่บ้านยืนยันว่าลูกบ้านได้ยื่นชื่อเพื่อขอโฉนด ส.ป.ก. แต่กลับไม่มีชื่อ วันที่ 1 มีนาคมนี้ จะไปดูว่าใครเป็นผู้ครอบครอง ซึ่งจะได้เห็นว่าเป็นเกษตรกร และที่ตรงนั้นเป็นทำเลทองหรือไม่ 

สำหรับวันที่ 1 มีนาคมนี้ ได้ทำหนังสือเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปด้วย เช่น ป.ป.ช. ส.ป.ก. ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ปปป. รวมฝ่ายปกครองทั้งหมด และคณะอนุกรรมาธิการ ของกมธ. ชุดนี้ ลงพื้นที่จริง ไปดูกันว่าที่ ส.ป.ก. จัดแปรงนั้นอยู่ในเขตของกรมป่าไม้หรือเขตของกรมอุทยาน มีตรงไหนบ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะได้ชี้ชัดไปเลย ตนเชื่อมั่นในแนวเขตของอุทยานแห่งชาติอยู่แล้ว และเป็นแนวทางมาตลอด ซึ่งทางคณะกรรมการนโยบาย นโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ก็มีมติมาตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2565 เห็นชอบแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ตนก็พยายามทำให้ดีที่สุด 

เมื่อถามว่าในที่ประชุม กรมแผนที่ทหารได้ชี้แจงการแบ่งเขตอุทยานแห่งชาติหรือไม่ นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ทางกรมอุทยานแห่งชาติ ได้ชี้แจงเรื่องการถ่ายทอดเส้นรังวัด ซึ่งจัดทำโดยพื้นที่ การจำแนกพื้นที่นั้น มาก่อนหลังโดยเฉพาะการปฏิรูปและระเบียบนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น แต่ยืนยันว่า อุทยานใด หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าใด ที่ประกาศก่อน ส.ป.ก. ต้องยึดตามเขตอุทยานหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ดังนั้นเขตอุทยานประกาศปีพ.ศ. 2505 มีแนว พ.ร.ฎ. ชัดเจน ส.ป.ก. ไม่สามารถจับที่ดินแนวเขตอุทยานได้ ซึ่งต้องดูว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังของกระบวนการที่เกิดขึ้น เป็นบุคคลที่ได้มาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 

'รทสช.' มีมติรับหลักการ 'ร่างพ.ร.บ.กลุ่มชาติพันธุ์' ที่เสนอโดย ครม. แต่ปัดตก 3 ร่างเสนอประกบ ที่มีเนื้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

ไม่นานมานี้ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นประธานการประชุม สส.ของพรรค โดยมี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ประธาน สส. และเลขาธิการพรรค รวมทั้ง สส.ของพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยหารือถึงประเด็นการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ...ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมพรรคว่า ที่ประชุมพรรคได้พิจารณารายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ที่เสนอโดย ครม. รวมถึงร่าง พ.ร.บ.ในลักษณะเดียวกันที่เสนอโดยพรรคการเมืองและเสนอโดยภาคประชาชนอีก 3 ร่าง โดยที่ประชุมพรรค ได้อภิปรายเนื้อหากันอย่างกว้างขวาง และมีมติเป็นเอกฉันท์รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอโดยครม. ส่วนอีก 3 ร่าง พรรคพิจารณาแล้วเห็นว่า เนื้อหาจะเป็นปัญหาด้านความมั่นคงต่อประเทศไทยในอนาคตแน่นอน จึงไม่เห็นด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากเนื้อหาในร่างพ.ร.บ.ของพรรคการเมืองและภาคประชาชนอีก 3 ร่างกำหนดให้มีสภาชนเผ่าพื้นเมือง จึงทำให้พรรคมีความห่วงใยในเรื่องภัยความมั่นคงของชาติในอนาคต เพราะการตั้งสภาชนเผ่าพื้นเมือง จะเป็นปัญหาในด้านการปกครองตนเองในอนาคตจึงเป็นประเด็นที่พรรคไม่เห็นด้วย

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า สาระสำคัญในร่างพ.ร.บ.ฉบับของคณะรัฐมนตรี ได้กำหนดให้สิทธิในด้านต่าง ๆ กับกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งมีกว่า 60 ชาติพันธุ์ครอบคลุมทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งสิทธิที่ดินทำกิน สิทธิความเป็นคนไทย สิทธิในการศึกษา สิทธิในการรักษาพยาบาล รวมถึงสิทธิต่าง ๆ ทางกลุ่มจะได้รับเหมือนกับเป็นคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มชาติพันธุ์ได้เรียกร้องและต้องการ โดยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ได้

“พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์รับหลักการเฉพาะในส่วนร่าง พ.ร.บ.ของรัฐบาล เพราะให้สิทธิทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ส่วนอีก 3 ร่างพ.ร.บ.ที่เสนอให้สภาฯ พิจารณาโดยมองว่า จะกลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคงในอนาคตแน่นอน เพราะจะมีการแบ่งแยกการปกครอง ขณะเดียวกันประเทศไทยเราได้เคยไปแถลงที่องค์การสหประชาชาติว่า ประเทศไทยไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง ประเทศไทยมีแต่กลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 70 ได้ให้ความคุ้มครองความเป็นคนไทย ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ว่าชาติพันธุ์ไหนจะได้รับความคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ” นายอัครเดช กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 ก.พ.67 สภาก็ได้มีมติรับร่างหลักการกฎหมายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองทั้ง 5 ฉบับ ที่มาจาก สภาชนเผ่าฯ, กระทรวงวัฒนธรรม, พีมูฟ, พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล เพื่อนำไปสู่การเสนอชื่อกรรมาธิการต่อไป โดยทั้ง 5 ฉบับ ประกอบด้วย…

1.ร่าง พ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เสนอโดยสภาชนเผ่าฯ
2.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดย ศมส. กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นร่างของรัฐบาล
3.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง โดย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ
4.ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยพรรคเพื่อไทย
5. ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยพรรคก้าวไกล

โดยภายหลังจากที่ได้รับฟังการนำเสนอร่างกฎหมายทั้ง 5 ฉบับ ก็มีสมาชิกในที่ประชุมได้แสดงความประสงค์ร่วมอภิปรายทั้งสิ้น 25 คน ประกอบด้วย สส. ฝ่ายรัฐบาล 21 คน และพรรคฝ่ายค้านอีก 5 คน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายก่อนจะมีการลงมติ เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ยื่นญัตติขอให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงมติจากเดิมที่จะลงมติรวมทั้ง 5 ฉบับ เป็นการลงมติรายฉบับ แต่ในท้ายที่สุดสภาก็มีเสียงส่วนใหญ่รับร่างหลักการทั้งหมด และนำไปสู่การเสนอชื่อกรรมาธิการต่อไป

‘อุ๊งอิ๊ง’ โผล่รายชื่อผู้เข้าฝึกอบรม ‘วปอ.บอ.รุ่นที่ 1’ ทายาทนักการเมือง-นามสกุลดัง ร่วมคลาสเพียบ

หลังจากเว็บไซต์วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ประกาศรายชื่อผู้ที่มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ในหลักสูตรผู้บริหารยุคใหม่ในอนาคต วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หรือ วปอ.บอ. หรือที่เรียกว่า หลักสูตร ‘มินิ วปอ.’ ซึ่งปรากฏชื่อของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นหนึ่งในรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติ จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านี่คืออภิสิทธิ์ชนหรือไม่นั้น

ล่าสุดทาง วปอ.บอ. ได้ประกาศรายชื่อผู้ได้รับการเข้าฝึกอบรม ‘วปอ.บอ.รุ่นที่ 1’ แล้ว โดยมีชื่อของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ร่วมอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม การที่ แพทองธาร ได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าศึกษาหรือไม่นั้น ทาง วปอ. ก็ได้มีการยืนยันว่า หลักสูตรดังกล่าวไม่ได้เปิดขึ้นมาเพื่อรองรับแพทองธารตามที่มีการตั้งข้อสังเกต เพราะการจัดทำหลักสูตรเพื่อเปิดรับบุคคลเข้ารับการศึกษาต้องเป็นไปตามหลักวิชาการ และผ่านการพิจารณาจากสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (สปท.) ก่อนเข้าสู่ความเห็นชอบจากสภา วปอ. ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ทุกอย่างทำตามระเบียบ และผ่านการพิจารณามาร่วม 3 ปี ตั้งแต่ยุคที่ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) แต่ยังไม่ได้ข้อยุติในเรื่องของหลักสูตรและข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ แต่มาเดินหน้าต่อในยุคที่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนปัจจุบัน

สำหรับการเปิดรับสมัครเข้าหลักสูตรมินิ วปอ. จะแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มงาน กลุ่มการทหาร กลุ่มตำรวจ กลุ่มข้าราชการพลเรือน กลุ่มนักธุรกิจ และกลุ่มการเมือง จะให้ผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติทั้งหมด 492 คน เข้ามาสอบสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกให้เหลือ 200 คน จากนั้นจะประกาศรายชื่อ และเปิดภาคการศึกษาในเดือนเมษายน ระยะเวลาของการศึกษาทั้งหมด 6 เดือน ในส่วนข้าราชการจะมีการอุดหนุนงบประมาณให้ ส่วนภาคเอกชนจะต้องจ่ายเงินในการเข้ารับการศึกษาเอง

ขณะที่ ‘วปอ.บอ. 67’ จะถือเป็นรุ่นที่ 1 หรือรุ่นแรก ผู้เข้ารับการศึกษาต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ ได้แก่ อายุตั้งแต่ 35-42 ปีในภาคราชการ มีทั้งข้าราชประจำ และข้าราชการการเมือง ส่วนข้าราชการทหาร-ตำรวจ ทหารต้องมีชั้นยศ พ.อ. - พ.อ. (พิเศษ) หรือเทียบเท่า ตำรวจต้องมีชั้นยศ พ.ต.อ. – พ.ต.อ. (พิเศษ) หรือเทียบเท่า และต้องจบหลักสูตรเสนาธิการทหารของโรงเรียนเสนาธิการทหารเหล่าทัพ เป็นต้น

ส่วนภาคเอกชนต้องเป็นนักธุรกิจ เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ของหน่วยงาน ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองกรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หรือผู้จัดการโรงงาน หรือผู้จัดการภูมิภาค หรือเทียบเท่าบุคคลทั่วไปคือ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายมีชื่อเสียงในด้านความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และเผยแพร่เรื่องราวต่างๆ บนโซเชียลมีเดียมีผู้ติดตามและเป็นที่รู้จักจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเจเนอเรชัน Y, Z และ Alpha สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ดีต่อสังคม เช่น นักแสดงในวงการบันเทิง นักเขียนในวงการหนังสือ นักจัดรายการ โปรแกรมเมอร์ในวงการไอที ที่ปรึกษาในวิชาชีพต่างๆ เช่น ที่ปรึกษากฎหมายแรงงาน โดยมีประสบการณ์หรือทำงานเกี่ยวข้องกับความมั่นคงระดับชาติอย่างน้อย 3 ปี เป็นต้น

เมื่อกางดูรายชื่อพบว่ามีการสมัครเข้าอบรมหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 จำนวนมาก แต่สามารถสอบเข้าสู่รอบสอบสัมภาษณ์ได้ทั้งสิ้น 492 คน โดยมีทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน นักการเมือง และนักธุรกิจ เช่น ชัยชนะ เดชเดโช สส.ประชาธิปัตย์, รัดเกล้า สุวรรณคีรี รองโฆษกรัฐบาล, คณาพจน์ โจมฤทธิ์ หรือ เอิง ทีมงานนายกฯ

นอกจากนั้นยังมีลูกหลานคนดังและทายาทนักการเมืองหลายคน เช่น พชร นริพทะพันธุ์, ศิรินันท์ ศิริพาณิชย์, ภัทรพงศ์ ภัทรประสิทธิ์, อาทิตย์ หวังศุภกิจโกศล, ศศิยาพัชร์ เลาหพงศ์ชนะ, พิมพ์ศิริ จีนะวิจารณะ, พสุ ลิปตพัลลภ, ณัฐธิดา เทพสุทิน, สงกรานต์ เตชะณรงค์, รวิศ สอดส่อง, พัฒนา พร้อมพัฒน์ และ ปิยะชาติ อิศรภักดี เป็นต้น

สำหรับหลักสูตรดังกล่าว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เคยพูดไว้ว่า การเรียนวปอ. เป็น แหล่งพบปะสมาคม สานสัมพันธ์อันดี ความแข็งแกร่งของศิษย์เก่าเป็นที่ประจักษ์ สายสัมพันธ์-คอนเนกชันในประเทศ ทำให้พวกท่านเป็นบุคคลพิเศษ เป็นท็อป 1% หรือน้อยกว่านั้นของประเทศนี้ และในสถาบันที่ทรงคุณค่าอย่างมากแห่งนี้ หลายคนอยากเข้ามา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้รับการคัดเลือก 

สรุป 4 สถานการณ์เด่นการเมืองไทยฉบับ 'เล็ก เลียบด่วน' 'บิ๊กโจ๊กลุ้นเละ-บิ๊กแดงโรครุม-เศรษฐาใจชื้น-คปท.ฝืนต่อไม่ไหว'

นาทีนี้สถานการณ์เหตุบ้านการเมือง...ชี้เป็นชี้ตายมากมายหลายเรื่อง จนไม่รู้ว่าจะนำเสนออย่างไรในพื้นที่จำกัด...เพราะอยากให้มิตรรักแฟนข่าวได้...ทะลุคนทะลุข่าวกันในหลาย ๆ กรณี

วันนี้เลยขอเด็ดยอดข่าวมานำเสนอสัก 4 ประเด็น...

>> กรณีบิ๊กโจ๊ก - ขณะเขียน (สาย 27 ก.พ.) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ตั้งวงประชุมพิจารณากรณีพนักงานสอบสวน กล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล 'บิ๊กโจ๊ก' รองผบ.ตร.กับพวกรวม 5 คน พัวพันเว็บพนันมินนี่...ราคาต่อรองก่อนประชุมแนวโน้มสูงที่ ป.ป.ช.จะขอดำเนินการเอง ไม่ส่งคืนให้พนักงานสอบสวน...ถ้าหวยออกอย่างนี้ 'บิ๊กโจ๊ก' โล่ง...กว่าคดีจะจบอีกนานแสนนาน...แต่ถ้าหวยพลิกส่งให้พนักงานสอบสวนที่ พล.ต.อ.ธนา ชูวงษ์, พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว 'บิ๊กเต่า' เป็นเจ้าภาพ...รับรองโจ๊กเละในเวลาไม่นานนัก...

>> ข่าวร้อน ๆ กรณี 'บิ๊กแดง' พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่บางรายการทางช่อง 9 อสมท. ระบุว่า...จะกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการพระราชวัง และรองผอ.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพราะมีปัญหาสุขภาพ เกรงจะถวายงานได้ไม่สมบูรณ์ นั้น...'เล็ก' วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารที่ใกล้ชิด 'บิ๊กแดง' ยืนยันผ่านรายการวิทยุ อสมท. และยูทูบว่า...บิ๊กแดงป่วยจริง ป่วยหลายโรคแต่ที่หนักคือ เส้นเลือดตีบ 2 เส้น จัดว่าอันตราย...

ทั้งหลายทั้งปวงข่าวนี้ต้องรอ ถ้ามีการทำหนังสือกราบบังคมทูลลาออกแล้วจริง ก็อยู่ที่พระบรมราชวินิจฉัย...

>> ที่ยังร้อนเป็นผัดฉ่าปลาหมึก...ก็เรื่อง 'ดีลลับ' ชุดข้อมูลความเชื่อของ 'ตู่' จตุพร พรหมพันธุ์ นาทีนี้เจ้าตัวยังยืนยันนั่งยันว่า...ถ้าไม่เบี้ยวดีลลับทักษิณกลับบ้าน...ภายใน เม.ย.นี้ นายกฯ ต้องเปลี่ยนตัวเป็นคนใดคนหนึ่งใน 3 แคนดิเดต... อนุทิน ชาญวีรกูล, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค...  

ดีลลับดีลลึก อาจจะมีอยู่พอประมาณ...แต่ข่าวของ 'เล็ก เลียบด่วน' ยังเชื่อว่าจะไม่ไปถึงขนาดนั้น...เม.ย.นี้ นายกฯ สูงยาวเข่าดี 'เศรษฐา ทวีสิน' จะลากยาวประเทศไทยต่อไป เพราะภารกิจตรวจแฟลตตรวจที่พักทหาร-ตำรวจ ข้าราชการพลเรือนอีกหลายกระทรวงยังไม่แล้วเสร็จ...มีอีกหลายประเทศที่ยังจะต้องเดินทางไปขายของ อีกทั้งปัญหาหลักคือคุณหนู 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยยังไม่พร้อมที่จะรับช่วง...เธอยังอยู่ในโหมดครอบครัวอบอุ่น...วันก่อนยังโพสต์ดัง ๆ ว่าอยากจะมีน้องอีกสักคน...

>> ม็อบของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และกองทัพธรรม...ที่ปักหลัก SAVE กระบวนการยุติธรรม กรณีนักโทษเทวดามาตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. แม้จิตใจยังเปี่ยมสู้ แต่ก็มีล้า...ถึงที่สุดบวกลบคูณหาร ก็คงต้องพักรบ เดินหน้าต่อโดยไม่ต้องตั้งเวที สายข่าวแจ้งว่าไม่น่าเกินกลางเดือน มี.ค. ถ้าไม่มีอะไรร้อนแรง เลวร้ายไปมากกว่านี้ก็คงปิดเวที...

สถานการณ์ตั้งแต่กลางเดือน มี.ค.ก็จะย้ายไปร้อนฉ่าที่เวทีรัฐสภาเป็นหลัก...25 มี.ค.สมาชิกวุฒิสภาจะอภิปรายทั่วไปรัฐบาล ขณะที่ฝ่ายค้านนำโดยก้าวไกล ก็คงจะจอดป้ายที่อภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ (ตามรธน.มาตรา 152) เหมือนกัน...แบบว่าหาแสงหาเสียงตุนคะแนนกันไป...

ส่วนทำเนียบบ้านจันทร์ส่องหล้า ก็คงสำแดงความเป็นศูนย์กลางจักรวาลการเมืองไทยให้เห็นโดยชัดเจน และชัดเจนขึ้น...ก็ได้แต่หวังว่าภายใต้ความชัดเจนดังว่า...จะได้มีปฏิบัติการไถ่บาป ไม่เผลอไปทำบาปใหม่...สาธุ!!

‘วราวุธ’ สั่ง!! ‘ศรส.’ ตรวจ ‘สถานรับเลี้ยงเด็กออทิสติกเถื่อน’ ย่านนนทบุรี หลังได้รับเรื่องผู้ดูแลมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ฝากปชช.ช่วยเป็นหูเป็นตา

(27 ก.พ. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมเจ้าหน้าที่พม.จังหวัดนนทบุรี และตำรวจสภ.ไทรน้อย เข้าตรวจสอบหลังได้รับร้องเรียนว่ามีการเปิดบ้านเป็นสถานรับดูแลเด็กออทิสติกไม่ถูกสุขลักษณะ และผู้ดูแลมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ว่า เรื่องนี้ตนได้ขอให้ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) ลงไปดำเนินการกับศูนย์ที่ไม่ได้รับอนุญาต ต้องขอบคุณภาคเอกชนที่ช่วยเป็นหูเป็นตา เพราะตนย้ำอยู่เสมอว่าปัญหาสังคมถ้าเทียบกับหน่วยงานของกระทรวงพม. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จำนวนน้อย การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนจึงทำให้เราสามารถทำงานดูแลเด็กได้มากขึ้น

นายวราวุธ กล่าวต่อว่า สำหรับการตรวจสอบปัญหาสถานรับเลี้ยงเด็กค่อนข้างจะเป็นไปได้ไม่รวดเร็วเท่าที่ควร เพราะศูนย์เหล่านี้อยู่ตามชุมชน นึกจะตั้งก็ตั้งขึ้นมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ของเรามีจำนวนจำกัด แม้จะมีการออกตรวจเป็นประจำอยู่แล้ว แต่หากพี่น้องประชาชนเห็นว่ามีศูนย์ดูแลเด็กหรือสถานดูแลผู้สูงอายุที่จัดตั้งใหม่ และมีข้อสงสัยว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก็ขอให้แจ้งมาที่ศรส.ได้ หรือที่สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชม.
 

‘ฟ้าคราม’ ชวนคนไทย #ยืนข้างสถาบัน #องคมนตรีลุงตู่ ทำเพื่อ ‘ชาติ-ปชช.’ ลั่น!! พรรคไหนด้อยค่าสถาบัน คนไทยควรยืนอยู่ตรงข้ามแบบชัดเจน

(26 ก.พ.67) ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อช่อง fhakram.chavit หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘คุณฟ้าคราม’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนคนไทย ออกมายืนหยัดเคียงข้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้ที่สร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์แก่แผ่นดินไทย โดยระบุว่า…

“อ้าว ยืนข้างนักการเมืองเหรอครับ ผมขอไม่ยืนข้างนักการเมืองนะครับ ผมขอยืนเคียงข้างสถาบันฯ ตลอดไปครับ ผมฟ้าครามนะครับ

อ๋อ องคมนตรีลุงตู่อีกคนครับ เพราะว่าท่านไม่ได้เป็นนักการเมืองแล้ว และหลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องด่างพร้อยแล้ว มีแต่ผลงานที่ฝากเอาไว้มากมาย งั้นผมก็ขอยืนเคียงข้างองคมนตรีลุงตู่อีกคนนะครับ”

คุณฟ้าคราม ยังกล่าวอีกว่า นักการเมืองมาแล้วก็ไป ได้รับผลประโยชน์เยอะแยะมากมาย ทุกพรรคต่างฝ่ายต่างโจมตีกันไปโจมตีกันมา แต่สถาบันฯ อันเป็นที่รักนั้น จะอยู่เป็นเสาหลัก ปักหลักให้กับประเทศชาติ และความมั่นคงของชาติต่อไป

“หากมีพรรคการเมืองไหน สามารถที่จะลากกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง ให้ออกมาด้อยค่าสถาบันฯ มาหมิ่นสถาบันฯ ได้นั้น ผมขอเลือกอยู่ตรงข้ามพรรคการเมืองนั้นตลอดไปครับ ชีวิตต้องชัดเจน ชีวิตต้องเลือกให้ถูก ไม่ได้หรอก นักการเมืองเขาผลประโยชน์เยอะ โจมตีกันไปโจมตีกันมา เป็นเกมทางการเมือง แต่ถ้ายึดและยืนข้างสถาบันฯ อันเป็นที่รักของเรานั้น มีแต่ความมั่นคงและแน่นอนที่สุดครับ” คุณฟ้าคราม กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top