Tuesday, 10 June 2025
POLITICS NEWS

‘พีระพันธุ์’ ปัดตอบ!! คุม ก.ยุติธรรม ใช้ภาพลักษณ์การันตี ‘คดีทักษิณ’

(13 ก.พ. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กรณีการได้รับแบ่งงานมาคุม กระทรวงยุติธรรม และรักษาการแทน รมว.ยุติธรรม โดยถูกจับตามองว่า เป็นการเอาภาพลักษณ์มาการันตีคดีของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ ซึ่งนายพีระพันธุ์ ตอบว่า "ต้องไปถาม กระทรวงยุติธรรม ไม่เกี่ยวอะไรกับผม" ก่อนเดินขึ้นตึกบัญชาการ 2 เดินผ่านทางเชื่อมไปประชุม ครม. ที่ตึกบัญชาการ 1

'โทนี่' เท่!! เย้ยฟ้าท้าดิน จ่อรับพักโทษก่อนรุ่งสาง 18 ก.พ. ปิดฉาก 'นุ่งกางเกงขาสั้น-เดินออกจากประตูเรือนจำ'

ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์...ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย จากจำนวนทั้งสิ้น 930 คน ที่ได้รับการพักโทษ ซึ่งปรากฏว่ามีชื่อนักโทษชายเด็ดขาด 'ทักษิณ ชินวัตร' รวมอยู่ด้วย

เป็นการได้รับการพักโทษโดยอัตโนมัติ (คำพูดพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม) ก่อนเข้าประชุม ครม.วันที่ 13 ก.พ.67

'อัตโนมัติ' ของ พ.ต.อ.ทวี หมายถึงทักษิณเข้ากฎกติกา...โทษ 1 ปี ได้รับการพักโทษ 180 วัน (6 เดือน) เนื่องจากอายุเกิน 70 ปี และเป็นผู้ป่วย...ซึ่งคุณสมบัติแบบนี้ นับจากปี 2546 จนถึงปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 2,240 คน ปีนี้มี 8 คน และทักษิณเป็น 1 ใน 8

ส่วนจะได้รับพักโทษวันที่ 17 ก.พ. หรือวันไหน ท่านทวี สอดไส้ (ฉายานักข่าวทำเนียบตั้ง) บอกว่าต้องไปไล่วันเอาดู...

แต่ในแวดวงสภากาแฟ...แวดวงสส./สว.เขาพูดกันมาสองสัปดาห์แล้วว่า...ทักษิณจะพักโทษหลังเที่ยงคืนวันที่ 17 ก.พ. แปลว่าพ้นโทษวันที่ 18 ก.พ.นั่นเอง บางคนบอกว่าตีห้า วันที่ 18 ก.พ.

งานนี้ 'โทนี่ วู้ดซั่ม' ไม่ต้องติดกำไลอีเอ็มให้เมื่อยข้อ...แต่ปัญหามีอยู่ว่า พักโทษปุ๊บจะออกจากชั้น 14 รพ.ตำรวจ ไปบ้านจันทร์ส่องหล้า ฝั่งธนฯ หรือย้ายไป รพ.พระราม 9 หรือขอไปนอนตีพุงที่โรงแรมคุณลูกเขย แถวสุขุมวิทหรือคอนโดหรู แถวไอคอนสยาม...หรือสุดท้ายขอนอนเอาเชิงที่ชั้น 14 ถ่ายรูปให้เห็นเป็นเชิงประจักษ์ว่านอนอยู่ชั้น 14 จริงๆ นะ...

...และไม่แค่การปล่อยตัวพักโทษทักษิณ แต่ 'เล็ก เลียบด่วน' เชื่อว่าจะไม่มีการอายัดตัวกรณีถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 เพราะมีการสอบปากคำและทักษิณได้ปฏิเสธ พร้อมยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมไปแล้วตั้งแต่ 17 ม.ค.67 (ตามคำแถลงทีมโฆษกอัยการ)

สรุปว่า...ท้ายสุดสุดท้าย...คงยากที่ใครอยากเห็นทักษิณนุ่งกางเกงขาสั้น เดินออกจากประตูเรือนจำ...แล้วตำรวจรวบตัวไปดำเนินคดีมาตรา 112  ให้เลิกฝัน...งานนี้ไม่มีการติดคุก (ในเรือนจำ) แม้แต่วันเดียวจริงๆ...หลายคนคงรู้สึกกระอักเลือดกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น  

ไม่เพียงแค่นั้น...ในอนาคต ใครกลุ่มไหนจะไล่ล่าเอาความผิดกับทักษิณก็คงยาก...อย่างมากอาจจะมีข้าราชการที่ถูกร้องเรียนเอาผิดโทษฐานช่วยเหลือทักษิณ...ประเด็นที่ คปท.ล่ารายชื่อเพื่อให้ศาลไต่สวนเอาผิด ป.ป.ช.ที่ทำงานล่าช้าไม่ดำเนินการก็ยังไม่แน่ว่าจะเข้าเป้าหรือไม่...

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การออกมาชุมนุมสองรอบของคปท.ที่เข้าตาเข้าเป้ามากที่สุดก็คือ การให้ข้อเท็จจริง การออกมาจี้ติดและประจานขบวนการสมคบคิด...โกงการติดคุก...ติดคุกยังโกง....อันเป็นที่มาของข้อเรียกร้องใหญ่ตามป้ายที่แลเห็นจนชินตาว่า 'save กระบวนการยุติธรรม'

ปล.ก่อนที่ ทักษิณ หรือ โทนี่ วู้ดซั่ม จะออกมาพักโทษวันที่ 16 ก.พ.นี้ ท่านผู้อ่านโปรดเงี่ยหูฟังการประชุมรัฐสภาสักเล็กน้อย เพราะพรรคเพื่อไทยนำโดยท่านชูศักดิ์ ศิรินิล กับคณะ เสนอแก้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและ พ.ร.ป.ว่าด้วยการพิจารณาคดีศาลฎีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง...หลักการใหญ่คือเปลี่ยนนิยามคำว่า 'ผู้เสียหาย' และเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายฟ้องได้เอง แม้จะเป็นการฟ้องย้อนหลัง...

สว.วันชัย สอนศิริ ออกมาดักคอเบาๆ ว่า อาจจะมีวาระซ่อนเร้นหรือเป็นเงื่อนไขให้เกิดความวุ่นวาย  แต่ก็ถูกตอบโต้มาแล้ว ส่วน 'เล็ก เลียบด่วน' ไปอ่านร่างแก้ไข 2 พ.ร.ป. คร่าวๆ แล้วสรุปได้สั้นเพียงว่า...งานนี้เพื่อไทยอาจคิดผิดก็ได้ เพราะดีไม่ดีอาจเข้าเนื้อตัวเอง มากกว่าที่จะเอาผิดคนอื่น..!!

อนาคต ‘บิ๊กโจ๊ก’ บนถนนสายขรุขระ สู่ตำแหน่ง ‘ผบ.ตร.’ เมื่อระบบคุณธรรมถูกทำลาย หลักอาวุโสถูกมองข้าม

เหลืออีก 7 เดือน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จะเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) นั่นก็แปลความได้ว่า เดือนสิงหาคม กันยายน จะเป็นเดือนเดือดสำหรับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงการสรรหาบุคคลมานั่งเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ 

ถ้ายึดตามหลักอาวุโส ความรู้ความสามารถ แน่นอนว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ผู้มีอาวุโสสูงสุดในบรรดา พล.ต.อ.ทั้งหมด จะต้องได้ก้าวขึ้นไปเป็น ผบ.ตร.

แต่ด้วยตำแหน่ง ผบ.ตร.ยึดโยงกับฝ่ายการเมืองอยู่ด้วย จึงไม่มีอะไรการันตีว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ จะได้ขึ้นไปนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. 100% คงจำกันได้ว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ก็ใช่ว่าจะอาวุโสสูงสุด แต่ฝ่ายการเมืองเลือกเขาให้มานั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. 

“มันขึ้นอยู่กับความพอใจของฝ่ายการเมือง ไม่ต้องคิดถึงระบบคุณธรรมอะไรหรอก” ผู้คร่ำหวอดในวงการตำรวจกล่าว

ในวัย 52 ปี ถ้าไม่มีความรู้ความสามารถจริง จะได้มีโอกาสก้าวขึ้นครองยศ พล.ต.อ.เหรอ? แม้จะใกล้ชิดสนิทสนมกับฝ่ายอำนาจก็ตาม แต่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ขึ้นครองยศ พล.ต.อ. ตั้งแต่อายุ 50 ต้น ๆ จึงยังเหลืออายุราชการอีกมากถึง 7 ปี

บนถนนที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีแต่ถนนขรุขระ และเต็มไปด้วยดงหนาม มีปัญหาแม้กระทั่งกับอดีต ผบ.ตร. จนต้องโดนเด้งเข้ากรุมาแล้ว แต่ด้วยสายแข็งยังได้กลับมาใส่ชุดสีกากีอีกครั้ง ดงหนามหนึ่ง คือ การก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่จนมีผลงานพุ่งแรงเจิดจรัส แต่เมื่อเกษียณในปี 2574 หากได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.ตั้งแต่กันยายนนี้ ย่อมมีเวลาในตำแหน่งอีกนานโขถึง 7 ปี

‘บิ๊กโจ๊ก’ จึงเต็มไปด้วยกับดักขวากหนามยิ่งหนาแน่น สกัดไม่ให้เป็น ผบ.ตร. หรือมีเป้าประสงค์ขัดขวางเพื่อลดทอนเวลาอยู่ในตำแหน่งให้เหลือน้อย หากร้ายแรงอาจเล่นหนักถึงขั้นไม่ให้เป็น ผบ.ตร.กันเลย

ภารกิจสกัด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เริ่มถูกออกแบบขย่มมาตั้งแต่ต้นปี 2567 แล้วรุมขยี้หนักมือขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยข้อหาย้อนศรจากหน้าที่การงานเก่าที่เคยรับบทเป็นมือปราบคอลเซ็นเตอร์-พนันออนไลน์ กระทั่งข้อหาพนันออนไลน์เป็นชนักพุ่งปักตำรวจคนสนิททีละคน ทั้ง ๆ ที่ใครทำผิดก็ลงโทษคนนั้น ใครถูกกล่าวหาก็ไปแก้ตัวเอาเองในศาล

การเล่นงานตำรวจคนสนิท ไม่ได้หมายความว่า ต้องการดึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้ามาพัวพันกับข้อหาพนันออนไลน์ แต่เป้าหมายของจอมบงการออกแบบวางแผนสกัดกั้นหวังเพียงทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกสังคมมองด้วยสายตาเคลือบแคลงกังขา

เพียงเท่านี้คือ สิ่งที่การเมืองสีกากีต้องการทำให้มัวหมองและขอเอาคืน พร้อมกับลากโยงไปขัดขาไม่ให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เป็น ผบ.ตร.ในรอบพิจารณาคัดเลือกช่วงสิงหาคมถึงกันยายนนี้

แม้จะถูกเล่นงานเอาคืน ลูกน้องโดนบุกตรวจค้น จับกุมฟ้องร้องต่อศาลในคดีสมรู้ร่วมคิดหาประโยชน์จากการพนันออนไลน์และฟอกเงิน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังคงยืนหลังตรงพิงกฎหมายบ้านเมืองชนิดไม่ออกอาการของเหยื่อที่กำลังถูกรุมยำ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคยยืนยันและยังย้ำอยู่ว่า ไม่เคยเกี่ยวข้องกับคดีพนันออนไลน์ ส่วนลูกน้องต้องไปต่อสู้คดีในศาล และพิสูจน์ให้ได้ว่าเส้นทางเงินมาที่ตัวเองได้มาจากไหน โดยใครทำต้องรับผิดชอบ ในส่วนของเว็บพนันและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตนเกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องการปราบปรามอย่างเดียว

"ผมมั่นใจว่าไม่มีเงินเข้ามาที่บัญชีของลูกน้อง มันเป็นเรื่องที่จะต้องไปอธิบายในชั้นศาลให้ได้ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ผมมองว่าลูกน้องไม่มีการกระทำความผิดในลักษณะแบบนี้ เราเป็นชุดทำงานกันมานาน ถ้าผิดคงผิดมานานแล้ว" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ปัดอุปสรรคที่กำลังทยอยมาเล่นงาน และรู้ดีว่า งานเข้าแบบนี้มีเป้าหมายเช่นใด เพราะเมื่อเล่นงานลูกพี่ไม่ได้ จึงต้องเลาะโอบทำลายลูกน้องเพื่อให้สะเทือนถึงลูกพี่

ล่าสุดข้อหาคดีแบบลูกน้องเป็นพิษ ถูกขุดให้หนักขึ้น พยายามฉายภาพการข่มขู่แอบถ่ายรูปอัยการที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนฟ้องร้องคดีพนันออนไลน์ ราวกับต้องการสื่อให้เห็นว่า ตำรวจลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นขบวนการผู้มีอิทธิพล เพราะมีลูกพี่เป็นคนคัดท้ายอยู่

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องพิสูจน์ตามกฎหมาย ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยึดหลักด้านนี้ไว้มั่นคง ชนิดบอกว่า รู้จักลูกน้องแต่เวลาทำงานตามหน้าที่ ส่วนเลิกทำงานแล้ว เป็นเรื่องส่วนตัว ใครทำอะไรไม่ดีไว้ต้องจัดการด้วยกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน

เมื่อเกมการเมืองสีกากีเริ่มเห็นร่องรอยทำลายความน่าเชื่อถือของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะรอง ผบ.ตร.อาวุโสที่มีโอกาสคั่วเก้าอี้ ผบ.ตร. มาครองในช่วงโยกย้ายเดือนกันยายนนี้ ดังนั้น อัตราเร่งของเกมย่อมล็อกให้เกิดขึ้นถี่ยิบ

โดยชนิดความถี่นั้น ถึงขั้นสร้างความรำคาญ เบื่อหน่ายให้อำนาจเหนือกว่าเข้ามาจัดการ และอำนาจที่ขบวนขัดขาตีฆ้องร้องป่าวเสมอ

โดยความจริงคือ การกดดันให้ใช้อำนาจโยกย้าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้พ้นจากรอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุดที่มีสิทธิ์ชอบธรรมตามกฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ถูกพิจารณาเลือกให้เป็น ผบ.ตร.คนต่อไป

เมื่อเรียงระบบอาวุโสสูงสุดไปสู่น้อยสุดในตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ที่มีอยู่และจะตั้งเพิ่มขึ้นใหม่ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เกษียณปี 2574, พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เกษียณปี 2569, พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช เกษียณปี 2567, และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ เกษียณปี 2569 ขณะที่ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ซึ่งถูกคาดจะได้เลื่อนจาก ผู้ช่วย ผบ.ตร.มาเป็น รอง ผบ.ตร. จะเกษียณปี 2568 และมีอาวุโสน้อยสุด

ดังนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงเป็นสเปกที่เข้ากับเกณฑ์ต้องถูกพิจารณาเลือกให้เป็น ผบ.ตร.มากที่สุด แต่ด้วยเงื่อนไขมีอายุราชการตำรวจนานกว่าทุกคนจึงกลายเป็นจุดอ่อนต้องถูกขัดขาให้ล้มหัวคะมำจนพลาดได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.ในช่วงพิจารณาเดือนกันยายนนี้ เพื่อเปิดทางให้ รอง ผบ.ตร.ที่จะเกษียณในปี 2569 ได้เป็นคู่ชิงชัยขัดตาทัพกันไปก่อน

นี่เป็นเป้าหมายของจอมบงการออกแบบวางแผนไว้ และเป็นแผนลดทอนระบบอาวุโส พร้อมกำหนดทางเลือกยื้อเวลาการขึ้นเป็น ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกไปให้นานอีก 2-3 ปี หลังจากนั้นยังมีเวลาเหลือให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พกพาวาสนาขึ้นเป็น ผบ.ตร.และอยู่ในตำแหน่งนานถึง 3-4 ปี ซึ่งอาจเป็นเวลาเฉลี่ยในตำแหน่งมากกว่า ผบ.ตร.ที่ผ่านมา

ดังนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กำลังถูกกดดันให้มีทางเดินไปสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.ใน 2 ทางชีวิตข้าราชการตำรวจที่เหลืออยู่ คือ จะเป็นก่อนตามหลักอาวุโสในเดือนกันยายนนี้ หรือเลือกรอเป็นหลังกันยายน 2569

สิ่งสำคัญ การกดดัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เช่นนั้น จอมบงการวางแผนจำต้องออกแรงกดดันไปถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะทั้งสองคนมีอำนาจตามกฎหมายที่จะเลือก รอง ผบ.ตร. คนใดคนหนึ่งในจำนวน 5 คนขึ้นมาพิจารณาให้เป็น ผบ.ตร.คนต่อไป

แต่อำนาจการพิจารณาของ ผบ.ตร.คนปัจจุบันกับนายกรัฐมนตรี ย่อมใคร่ครวญกับการทำลายระบบอาวุโส ที่เป็นประหนึ่งบรรทัดฐานในหลักระบบคุณธรรมการโยกย้ายข้าราชการตำรวจตามกฎหมายตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในกฎหมายตำรวจแห่งชาติปี 2565 กำหนดการจัดระเบียบราชการข้าราชการตำรวจไว้ที่มาตรา 60 โดยให้คำนึงถึงระบบคุณธรรม ว่า (3) การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง และการให้ประโยชน์อื่นแก่ข้าราชการตำรวจต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรม โดยพิจารณาจากอาวุโส ผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติประกอบกัน และจะนำความคิดเห็นทางการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้

ดังนั้น องค์ประกอบสำคัญกำหนดการจัดระเบียบราชการข้าราชการตำรวจที่เป็นระบบคุณธรรมนั้น คือ ระบบอาวุโส ซึ่งแปรเปลี่ยนการตีความอธิบายเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว

โดยเฉพาะมาตรา 78 ได้กำหนดให้พิจารณาตำรวจที่เหมาะสมเพื่อแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ว่า (1)...โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปรามเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

ด้วยการกำหนดตามกฎหมายตำรวจแห่งชาติปี 2565 นั้น จอมบงการวางแผนสกัดกั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องให้เลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ด้วยการทำลายระบบคุณธรรมเพื่อยอมโอนอ่อนให้การเมืองสีกาควบคุมสั่งการ

ไม่เพียงเท่านั้น หมากเกมนี้เล่นด้วยอารมณ์เคียดแค้นมุ่งทำลายองค์กรตำรวจที่มีข้าราชการกว่า 2 แสนคน ต้องอยู่เป็นเบี้ยล่างอำนาจการเมืองร่ำไป สิ่งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และนายกรัฐมนตรีต้องใคร่ครวญให้หนัก เพื่อไม่ให้จมดิ่งไปในหลุมพรางอำนาจอำมหิต

ย้อนดูจุดยืน ‘รวมไทยสร้างชาติ.’ และ ‘ไทยสร้างไทย’ ต่อประเด็น ‘คนรุ่นใหม่กับสถาบันพระมหากษัตริย์’

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้เอง!!

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 66 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า “พรรค รทสช. ไม่ได้เป็นพรรคที่จัดตั้งใหม่ แต่เป็นพรรคที่เติบโตเร็วที่สุด พรรคการเมืองมีเกิด มีอยู่ มีดับ แต่รวมไทยสร้างชาติจะอยู่ตลอดไปภายใต้แนวทางและนโยบายของลุงตู่ และหัวใจของพรรคคือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน มีคนฝากส่งมาเรื่องหนึ่งบอกว่าอย่าลืมเรื่องประเทศไทย คนไทย 70 กว่าล้านคน แต่ทำไมวันนี้เห็นคนไม่กี่คน หยิบมือหนึ่ง สร้างความวุ่นวายปั่นป่วน ทำไมคนไทยไม่รักชาติ ทำไมชังชาติ ทำไมไม่รักสถาบัน ทำไมจะล้มสถาบัน”

นายพีระพันธฺุ์กล่าวต่อว่า “เขาถามผมว่า ถ้ามาดูแลบ้านเมืองจะทำอย่างไร ผมตอบไปว่า คำตอบง่ายมาก แผ่นดินไทยประเทศไทยมีไว้เพื่อคนรักชาติ แผ่นดินประเทศไทยเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัยของประเทศ ถ้าคุณไม่ชอบคุณไม่มีสิทธิเปลี่ยน เพราะคนไทยทั้งชาติเขาเอา ถ้าคุณไม่ชอบเชิญไปอยู่ที่อื่น ไม่ห้าม ไปได้เลย ท่านชอบประเทศไหนไปเลย แต่ประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป ภายใต้รวมไทยสร้างชาติเราจะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ารวมไทยสร้างชาติเป็นแกนนำรัฐบาลเราจะจัดการกับพวกชังชาติ พวกล้มสถาบันโดยเด็ดขาด”

ต่อมาวันที่ 27 เม.ย. 66 น.ต.ศิธา ทิวารี กล่าวขณะลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตอนหนึ่งว่า “สิ่งที่ผู้ใหญ่รู้เมื่อก่อน ทุกวันนี้เสิร์ชหาในกูเกิลแปปเดียวก็เจอ แต่สิ่งที่เด็กรู้วันนี้ ผู้ใหญ่เสิร์ชหาที่ไหนก็ไม่เจอ ดังนั้น ผู้ใหญ่ต้องฟังเด็ก เพราะผู้ใหญ่อีก 20-30 ปีก็ลงโลงกันหมด แล้วประเทศนี้ก็จะกลายเป็นของเด็ก เราต้องรับฟัง แลกเปลี่ยนความเห็น และหาทางออกร่วมกัน และนี่คือสาเหตุว่าทำไมผมกับคุณหญิงสุดารัตน์ และผู้ร่วมอุดมการณ์ จึงออกมาก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนรุ่นเก่ามากประสบการณ์และคนรุ่นใหม่ไฟแรงเก่ง ๆ เพื่อสร้างประเทศไทยที่ดีที่สุด” 

‘อัครเดช’ เผยวิปรัฐบาลมีมติให้ รทสช. เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้สภาฯ พิจารณาทบทวนมาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จฯ

เมื่อวานนี้ (12 ก.พ. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมวิปรัฐบาลได้มีมติเห็นชอบให้พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาทบทวนมาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จพระราชดำเนินของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ให้มีความปลอดภัย เพื่อป้องปรามพฤติกรรมขัดขวางขบวนเสด็จอันก่อให้เกิดอันตราย หรือเสื่อมเสียพระเกียรติยศจะเสนอโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 โดยจะขอที่ประชุมพิจารณาญัตติดังกล่าวเป็นเรื่องแรกก่อนพิจารณาพรบ.อีก 2 ฉบับ

นายอัครเดช กล่าวว่า จุดประสงค์ที่เสนอญัตติด่วนในครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมเกิดความไม่สบายใจ ที่มีกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนไปกระทำการอันไม่บังควรต่อขบวนเสด็จของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนเกิดความไม่สบายใจและขุ่นข้องหมองใจอย่างกว้างขวาง พวกเราเองในฐานะสส.ฝั่งรัฐบาล จะได้ใช้กลไกของสภาฯ เพื่อพิจารณาทบทวนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง จะได้เพิ่มมาตรการให้มีความเข้มงวดเกี่ยวกับการถวายความปลอดภัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนมีมาตรการที่ชัดเจนดำเนินการกับผู้ที่ขัดขวาง ก่อกวนขบวนเสด็จ

“จะมีการใช้เวทีของสภาฯ อภิปรายเพื่อหาทางออก เพื่อลดความไม่สบายใจและความวิตกกังวลของพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มคนที่แสดงพฤติกรรมขัดขวางหรือก่อกวนขบวนเสด็จพระราชดำเนินซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่บังควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง”นายอัครเดชกล่าว

'สส.รังสิมันต์' ยอมรับ!! สังคมไม่เห็นด้วยปม 'ตะวัน' ป่วนขบวนเสด็จฯ ยัน!! ก้าวไกลไม่ได้อยู่เบื้องหลังใครและไม่มีใครอยู่เบื้องหลังพรรคได้

(12 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่มีการหาว่าพรรคก้าวไกล เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง กลุ่มทะลุวังที่มีการบีบแตรใส่ขบวนเสด็จฯ ว่า ความคิดที่บอกว่ากลุ่มต่าง ๆ มีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่เรื่องใหม่เกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง ซึ่งไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสังคม รวมถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น หลายครั้งที่พรรคก้าวไกลถูกปรักปรำในลักษณะนี้ อะไรคือหลักฐานว่าเราอยู่เบื้องหลัง และในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เราอยู่ท่ามกลางวิกฤตทางการเมือง 

ในอดีตเราหลายคนอาจจะไปประกันตัว อาจจะไปเป็นนายประกันให้ แต่การทำในลักษณะนั้นต้องแยกออกจากการที่เขาขับเคลื่อน ซึ่งเหตุผลที่เราไปเป็นนายประกันให้คือสามารถทำได้ตามกฎหมาย รวมถึงให้สิทธิ์เขาในการต่อสู้คดี ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไปประกันตัวจะเห็นด้วยกับการกระทำ ไม่เช่นนั้นการประกันตัวที่เกิดขึ้นเต็มไปหมดในเรื่องต่างๆ เท่ากับคนที่ไปประกันตัวจะต้องไปเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หากคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นการคิดที่ผิด

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การเชื่อมโยงกลุ่มต่างๆกับพรรคก้าวไกลมีเหตุผลคืออาจจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวัง และต้องการสร้างความชอบธรรมหรือการดิสเครดิตกลุ่มทะลุวัง และต้องการทำลายพรรคก้าวไกลเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ควรจะไปมองแบบนั้น

“ผมยืนยันว่าเราไม่ได้ไปอยู่เบื้องหลังใครและใครก็ไม่มาอยู่เบื้องหลังเรา พรรคก้าวไกลก็คือพรรคก้าวไกล ที่ทำหน้าที่โดยมีจุดยืนในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เราเชื่อในศักยภาพในการแสดงออก ส่วนเมื่อเขาแสดงออกไปแล้ว จะมีคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะแสดงความคิดเห็นได้ แต่จุดยืนของพรรคก้าวไกลคือเราไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง ในการแสดงออกแบบนั้นคือการสร้างสังคมแห่งความหวาดกลัว เรามีบทเรียนมาแล้ว และไม่ได้ทำให้สังคมไทยดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า การกระทำของน.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน กลุ่มทะลุวัง สร้างเสียงวิจารณ์อยู่แล้ว ซึ่งสรุปยากว่าท้ายที่สุดสังคมจะเห็นไปในทิศทางไหน ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่ามีสังคมไม่เห็นด้วยกับการที่น.ส.ทานตะวัน แสดงออกและอาจจะมีคนเห็นด้วย ซึ่งแน่นอนในเรื่องของการอารักขาบุคคลสำคัญ ต้องมีมาตรการทั้งหมดก็นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ แต่จุดยืนสำคัญที่พรรคก้าวไกลแสดงคือไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง ส่วนที่มีการมุ่งเป้าไปที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น

“สิ่งที่เราพยายามทำคือให้สติทุกคน ในการที่เราไปเป็นนายประกัน หรือการเคยเป็นนายประกันในอดีต เท่ากับเราอยู่เบื้องหลังเลยหรือ คุณเชื่อขนาดนั้นจริงๆหรือ สุดท้ายคนที่แสดงออกทางการเมืองในทุกรูปแบบ เขาก็เป็นตัวของเขา เขาก็มีจุดยืนของเขา เราเห็นด้วยหรือไม่ก็ต้องแยกเป็นกรณีไป ซึ่งถึงที่สุด เขาก็มีสิทธิ์ต่อสู้คดีในศาล สุดท้ายกลไกกฎหมาย ก็ต้องว่ากันไปตามแต่ที่มันควรจะเป็น ซึ่งก็ต้องได้สัดส่วนที่ควรจะเป็นด้วย สังคมของเราอยู่กันแบบนั้น อย่าไปสร้างสังคมแห่งความ หวาดกลัว อย่าให้เราต้องสร้างปีศาจตนใหม่ สร้างผีตนใหม่ขึ้นมา ซึ่งเหตุการณ์เดือนตุลาเคยสร้างบทเรียนให้เราแล้ว อย่าทำซ้ำอีกเลย มันไม่คุ้มกัน” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เราควรใช้เวทีของสภาฯ ใช้พื้นที่ทางการเมืองในการคลี่คลายหาทางออก และเข้าใจว่านายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ พยายามจะพูดเรื่องนี้ ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สภาฯ จะพิจารณาพูดคุยหาทางออก และการที่ปล่อยให้ไปคุยกันตามท้องถนนถ้านำไปสู่การสร้างพื้นที่ที่อันตรายก็ไม่คุ้ม ทางหนึ่งที่ตนคิดว่าเป็นทางออกคือกฎหมายนิรโทษกรรม

เมื่อถามว่ามีหลายฝ่ายมองว่าควรนำเรื่องเกี่ยวกับผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ออกจากร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เราเคยหาเสียงเอาไว้ เมื่อเราได้รับการเลือกตั้งมาก็พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ซึ่งเราไม่ได้มีนโยบายแก้มาตรา 112 เท่านั้น ทางสว. อาจจะมีความคิดว่าเราไม่ควรทำแบบนั้น แต่ในจุดยืนของเราต้องกลับมาตั้งต้นว่าวันนี้ปัญหาของประเทศชาติคืออะไร เราต้องยอมรับว่ามีคนถูกดำเนินคดีในเรื่องมาตรา 112 จะมีหนทางแก้ไขอย่างไร

"ออฟชั่นเรามีอะไรบ้าง เอาเขาเข้าไปขัง ปล่อยพวกเขา นิรโทษกรรมให้พวกเขาหรืออะไร ถ้าเอากันแบบสุดโต่งเลยคือการเอาไปขัง ต้องถามว่าช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้นอย่างไร ถึงที่สุดคนเหล่านี้ก็มีญาติพี่น้องและเขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ความคิดเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กลุ่มนิสิตนักศึกษาหรือคนรุ่นใหม่เท่านั้น มิตรประเทศที่เขามองมายังประเทศไทยรู้สึกไม่สบายใจกับการดำเนินคดีที่มีความรุนแรง และไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สิทธิเสรีภาพ

มีการตั้งคำถามในเชิงภาคธุรกิจ ความมั่นใจว่าหากมีการดำเนินคดีในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นกับคดีอื่นได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นความมั่นใจทั้งหมดที่สามารถส่งผลกระทบต่อประเทศได้ ถ้าเราตั้งโจทย์ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นเราก็ควรเริ่มต้นเปิดประตูให้กว้าง ถ้าเราบอกว่าการนิรโทษกรรมไม่รวมมาตรา 112 ถ้าเริ่มจากตรงนี้ จะแก้ปัญหาการเมืองได้จริงหรือไม่ ไม่มีประโยชน์ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ การนิรโทษกรรมก็ไม่มีประโยชน์"นายรังสิมันต์ กล่าว

'ชทพ.' หนุน 100% ยื่นญัตติด่วนถวายอารักขาขบวนเสด็จฯ  ชี้!! ถ้าอยากเรียกร้องรักษาสิทธิ ก็ต้องไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น 

(12 ก.พ.67) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเตรียมเสนอญัติด่วนเกี่ยวกับเรื่องการถวายอารักขาขบวนเสด็จ ว่า…

ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าว่าแต่ในประเทศไทยเลย เพราะในทุก ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ขบวนของประธานาธิบดีจะมีการอารักขา มีการปิดถนนอย่างแน่นหนามาก หากมีผู้ใดแทรกแซงเข้ามา ซึ่งตนเองเคยเห็นกับตา บวกกับในสารคดีก็จะเห็นว่าบุคคลผู้นั้น หรือยานพาหนะนั้น จะถูกปาดจนตกถนน หรือโดนล็อกตัวออกไป ดังนั้นประเทศไทยก็เช่นกัน การถวายอารักขาให้กับพระบรมวงศานุวงศ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรานั้น ตนถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

“พรรคชาติไทยพัฒนาทำงานไม่ได้หลับหูหลับตา เราเห็น เราสัมผัสด้วยตัวเอง โดยเฉพาะการทำงานถวายพระบรมวงศานุวงศ์ ในสถาบันนั้น ได้ก่อให้เกิดการพัฒนาต่อประเทศไทยมากน้อยแค่ไหนเพียงใด ดังนั้นบางครั้ง การที่เราจะเรียกร้องให้มีการรักษาสิทธิของบุคคลต่าง ๆ นั้น แต่ละคนก็ต้องเข้าใจในการที่จะไม่ละเมิดสิทธิคนอื่นเช่นกัน ดังนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาเราสนับสนุนญัตตินี้ร้อยเปอร์เซ็นต์” นายวราวุธ ระบุ

‘รัดเกล้า’ ซัด ‘ก้าวไกล’ อย่าหนุนคนทำผิดกฎหมาย-ละเมิดสถาบัน เชื่อคนรุ่นใหม่อีกมากไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ ‘ตะวัน’

(12 ก.พ. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี ในฐานะรองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ขณะนี้คนพรรคก้าวไกลพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า นำประเด็นการเมืองมาคละรวมกับการก่อเหตุก่อกวนขบวนเสด็จฯ โดยใช้วาทกรรมหลักการคนเท่ากัน สิทธิและเสรีภาพ และคนรุ่นใหม่ สร้างข้ออ้างให้คนทำผิด ชักนำให้สังคมมองผิดเป็นถูก และสร้างสภาวะแตกแยกในประเทศ

นางรัดเกล้า กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติตั้งข้อสังเกตในคำให้สัมภาษณ์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าทำไมถึงเจาะจงพูดถึงคนรุ่นใหม่ เป็นหลัก ทั้งๆ ที่การก่อกวนขบวนเสด็จนั้นเป็นการละเมิดกฎหมายและมาตรการในการอารักขาบุคคลสำคัญโดยเจตนา เป็นการใช้อารมณ์ขับเคลื่อนการกระทำจนสร้างความเสี่ยงให้กับผู้อื่นที่ร่วมใช้ท้องถนนของคนรุ่นใหม่เพียงกลุ่มเดียว ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงความต้องการของคนรุ่นใหม่ทั้งประเทศ เพราะยังมีคนรุ่นใหม่อีกมากที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้

นอกจากนั้น ที่นายพิธาระบุว่ากังวลใจถึงสถานการณ์บ้านเมืองและอนาคตของคนรุ่นใหม่ ทั้ง ๆ ที่คนทุกรุ่นนั้นควรที่จะมีความสำคัญเท่ากันหมด ทุกคนมีสิทธิ ความเชื่อ และความศรัทธาที่หลากหลาย หากแต่มีเพียงคนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่เอาความเชื่อของตนเป็นใหญ่ อ้างคำว่าหลักการคนเท่ากันเพื่อนำสิทธิในการแสดงออกของตนมาเบียดเบียนสิทธิผู้อื่น ละเมิดสถาบันอันเป็นที่ศรัทธาของคนส่วนให้

รองโฆษก รทสช. กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวมีประเด็นหลัก ๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ไม่มากไปกว่านั้น และการที่ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาแก้ต่างให้กับคำพูดของนายพิธาว่ามีเจตนาที่จะเชิญชวนให้สังคมมองกรณี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นักกิจกรรมทางการเมือง และเหตุการณ์ขบวนเสด็จฯ โดยไม่แยกขาดจากการเมืองภาพใหญ่ ในประเด็นนี้ต้องขอให้ น.ส.ภคมน และสมาชิกพรรคก้าวไกลทั้งหมดกลับไปทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบในการเป็นนักการเมืองที่เป็นผู้นำทางความคิดให้แก่คนในสังคม เจอคนทำผิดก็ต้องกล้าพูดตรง ๆ ว่าผิด วอนขอให้เลิกฉุดรั้งนำประเด็นการเมืองที่พรรคของตนอยากผลักดันเข้ามาสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำที่ผิด

นางรัดเกล้า กล่าวว่า ตราบใดที่คนในการเมืองยังใช้วาทกรรมเพื่อชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อชักนำกรอบความคิดสังคมให้หลุดออกจากประเด็นหลัก แล้วเอาประเด็นการเมืองมาผูกเป็นข้ออ้างให้พฤติกรรมผิดกฎหมายเยี่ยงนี้ เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และสังคมจะเดินหน้าไปสู่ความแตกแยก อย่าอ้างถึง สังคมไทยที่ยังไม่มีพื้นที่ให้คนเห็นต่างพูดคุยเพื่อหาทางออก เพราะไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ อีกทั้งคนกลุ่มนี้ก็ใช้พื้นที่ในการแสดงออกมาตลอด ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็แสดงความคิดเห็นที่ขัดกับกฎหมายแล้วโดนดำเนินคดีมาโดยตลอดนั้น ถือเป็นการใช้พื้นที่อย่างไม่เหมาะสมมากกว่า ไม่ใช่ประเด็นว่าไม่มีพื้นที่

“และสุดท้ายอย่าใช้คำว่านิติสงครามกดปราบผลักไสอีกฝ่ายเป็นคนไม่รักชาติ ประเด็นแรก คนไทยทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน บางกลุ่มเลือกที่จะมีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและละเมิดสถาบันที่เป็นความมั่นคงของชาติ บางคนทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในระดับที่รุนแรง ในขณะที่ประชาชนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ใต้กฎหมาย ไม่ได้เห็นว่ากฎหมายคืออาวุธที่ใช้ในการทำสงคราม ฉะนั้น คุณจะเรียกสิ่งนี้ว่านิติสงครามไม่ได้ และประเด็นที่สองคนจะตีความว่าประชาชนคนไหนรักหรือไม่รักชาตินั้น อยู่ที่การกระทำของตนเอง ไม่มีใครผลักไสใครทั้งนั้น” รองโฆษก รทสช. ระบุ

'ตะวัน' โพสต์แจง 4 ข้อ ปมขบวนเสด็จฯ  ยัน!! เป็นความจริง เชื่อหรือไม่ก็ตามแต่

(12 ก.พ.67) น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ อายุ 20 ปี สมาชิกกลุ่มทะลุวังและนักกิจกรรมอิสระ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Tawan Tantawan' ระบุว่า...

ความจริง คือ...

1. วันนั้นเราเพิ่งกลับจากงานศพ และมีธุระจะไปทำแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

2. เราไม่ได้รู้ว่าจะมีขบวนเสด็จ และไม่ได้มีความตั้งใจจะไปป่วน รวมถึงไม่ได้ขวางขบวนตามที่เป็นข่าว เพราะหากใครดูคลิปจริงๆ ก็จะรู้ว่าเราไม่ได้ขวางขบวนหรือปาดหน้าขบวนตามที่สื่อหลายช่องบอก แต่เพียงขับรถเร็วและไม่ระมัดระวังจริงๆ เพียงเพื่อจะรีบไปให้ถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตามที่เราจะไปทำธุระ

3. เราทบทวนเหตุการณ์นั้น และคิดได้ว่าการขับรถเร็วและไม่ระมัดระวังแบบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ จึงได้ขอโทษในส่วนนี้ไป และจะนำไปปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก

4. เรายังคงยืนยันในสิทธิและเสรีภาพในการตั้งคำถามแบบที่เราได้ถามไปตามไลฟ์โดยที่เราเรียกตำรวจว่าพี่และ 'ตัวเรา' ไม่ได้พูดคำหยาบใดๆ กับตำรวจ มีเพียงการตั้งคำถามเท่านั้น

นี่คือความจริงทุกตัวอักษร จะเชื่อหรือไม่เป็นสิทธิของทุกคน 

ที่มีคนบอกว่าเราขวางหรือขับรถตามขบวนเสด็จ ไม่เป็นความจริง

ขอบคุณค่ะ
ทานตะวัน ตัวตุลานนท์
11 ก.พ. 2567

‘ธนกร’ จี้!! ‘พิธา-ชัยธวัช’ เตือนกลุ่มทะลุวัง หยุดก้าวล่วงสถาบันฯ แนะ ‘ก้าวไกล’ กลับไปทบทวนนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งดูใหม่

(11 ก.พ. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกลุ่มทะลุวัง กับกลุ่มศูนย์รวมประชาชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศปปส. บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสยาม ว่า ตนเข้าใจถึงความไม่พอใจของกลุ่มศปปส.ที่ไม่เห็นด้วยกับการขับรถ บีบแตร รบกวน ขบวนเสด็จฯ และประเทศกิจกรรมทำโพลในเรื่องดังกล่าว โดยเชื่อว่าคนไทยทั้ง รวมถึงตนเองนั้น ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่การใช้ความรุนแรไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี จึงขอให้ทุกฝ่ายหยุดสร้างความขัดแย้ง ทำร้ายร่างกายถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และแย้ง และไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา คนไทยด้วยกันต้องรักกันสามัคคีกัน ส่วนกลุ่มทะลุวังออกมาเคลื่อนไหวดังกล่าว ทุกคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำ ตามกระบวนการกฎหมายซึ่งคดีความอยู่ในชั้นศาลหลายคดีอยู่แล้ว

นายธนกร กล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลและนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ดูเหมือนไม่ได้ออกมาตักเตือนกลุ่มทะลุวัง แต่ยังมองว่าควรเปิดพื้นที่ให้เยาวชนแสดงความเห็นและโยงไปถึงการเสนอนิรโทษกรรมคดีด้วยนั้น แม้ว่านายพิธาจะเคยเป็นนายประกันให้ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ‘ตะวัน’ ในคดีทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และปัจจุบันจะถอนจากการเป็นนายประกันก็ตาม ทั้งนายพิธาและนายชัยธวัช ควรตักเตือนกลุ่มดังกล่าวให้หยุดก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจใหม่ ให้มีการแสดงออกทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์และถูกต้องตามกฎหมายจะดีกว่า

หากจะดีกว่านั้น ควรพูดคุยกับเครือข่ายเยาวชน ให้หันมาช่วยกันพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมจะดีกว่า พื้นที่พูดคุยสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศมีอยู่แล้ว แต่คงไม่ใช่เรื่องที่กลุ่มทะลุวังเคลื่อนไหวอยู่

“การที่นายชัยธวัชและนายพิธา ไม่ได้ตักเตือนกลุ่มเยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวในทางที่ผิด และยังมองว่าเป็นความคิดเห็นที่แตกต่าง ควรเปิดพื้นที่ให้แสดงออกนั้น น่าจะมาจากความเข้าใจที่ผิดตั้งแต่ต้น เพราะสถาบันฯ ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ที่สำคัญเป็นการทำผิดคดีอาญาที่ร้ายแรง ไม่ควรเหมารวมว่าเป็นคดีทางการเมือง ที่จะเสนอสภาฯ ให้มีการนิรโทษกรรมได้ ขอให้พรรคก้าวไกล ทบทวนเรื่องนี้โดยด่วน ควรกลับไปพูดคุยกับเครือข่ายให้หยุดก้าวล่วงสถาบันฯ และหันมาช่วยกันพัฒนาประเทศในด้านที่เป็นประโยชน์จะดีกว่า เพราะผมเชื่อว่าองค์ความรู้ที่ทันโลกของคนรุ่นใหม่ จะช่วยพัฒนาประเทศได้ จะมายุ่งกับสถาบันฯ อันเป็นที่รักและศรัทธาของคนไทยทำไม” นายธนกร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top