Thursday, 15 May 2025
NEWS

ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย มิจฉาชีพใช้ภาพหญิงสาวหน้าตาดีประกาศโฆษณา ผ่านเพจเฟซบุ๊กหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงิน พบผู้เสียหายแล้วหลายราย

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่า ได้รับรายงานว่าจากการตรวจสอบการกระทำความผิดในสื่อสังคมออนไลน์พบเพจเฟซบุ๊กจำนวนหลายเพจ มีการนำเสนอภาพและคลิปวิดีโอของหญิงสาวหน้าดี หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งถูกมิจฉาชีพนำมาตัดต่อประกอบกับโพสต์ข้อความในลักษณะเชิญชวนบุคคลทั่วไปให้มาใช้บริการทางเพศออนไลน์ เช่นใช้คำโฆษณาว่า “ แหล่งรวมสาวสวย เราจัดให้แล้วมีทั้ง PR นักศึกษา ชุดคอสเพลย์ หรือแหล่งรวมสาว ม.ปลาย - มหาลัย ความสุขที่ไม่ต้องเดินทาง จัดส่งให้ถึงที่ไม่ว่าใกล้หรือไกล ” เป็นต้น โดยเมื่อเข้าไปตรวจสอบภายในเพจดังกล่าวแม้จะมีผู้ติดตามอยู่จำนวนมาก แต่จะมีผู้จัดการดูแลเพจอยู่ต่างประเทศ ทั้งนี้เมื่อมีผู้หลงเชื่อติดต่อส่งข้อความ หรืออินบ็อก (Inbox) ไปยังเพจในลักษณะดังกล่าว ก็จะถูกมิจฉาชีพออกอุบายหลอกลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีที่เตรียมไว้ เมื่อโอนเงินเรียบร้อยจะถูกบล็อคบัญชีทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ แล้วไปหลอกลวงผู้เสียหายรายอื่นๆ ต่อไป

การกระทำดังกล่าวอาจจะเข้าข่ายความผิดฐาน “ ฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตา 343, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบาง ส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติมหรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใดฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1), 16 และโฆษณาหรือรับโฆษณา ชักชวน หรือแนะนำด้วยเอกสารสิ่งพิมพ์ หรือกระทำให้แพร่หลายด้วยวิธีใดไปยังสาธารณะที่เห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องหรือการติดต่อเพื่อการค้าประเวณีของตนเองหรือผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี มาตรา 7 ” หรือฐานความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงประชาชนให้โอนเงินด้วยวิธีการหรือกลโกงต่างๆ

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ประชาชนอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเพจหรือเว็บไซต์ในลักษณะดังกล่าวอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากท่านจะเสี่ยงถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้โอนเงินสูญเสียทรัพย์สินแล้ว ท่านยังมีอาจจะมีความผิดในส่วนของผู้ที่มีส่วนส่งเสริม หรือเกี่ยวข้องกับการค้าบริการทางเพศ โดยผู้ใช้บริการทางเพศโดยหลักแล้วไม่มีความผิดแต่อย่างใด เว้นแต่จะใช้บริการทางเพศจากอายุเกิน 15 แต่ไม่ถึง 18 ปี ในสถานการค้าประเวณี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี – 3 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 60,000 บาท ถ้าใช้บริการทางเพศจากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ต้องรับโทษหนักขึ้นอีก คือ จำคุกตั้งแต่ 2 – 6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 – 200,000 บาท กรณีนี้ แม้ผู้ให้บริการทางเพศจะยินยอมก็มีความผิดตามกฎหมาย

‘ปอท.’ เตือน!! โพสต์-แชร์ข้อมูล เชิงคุกคามในโลกโซเชียล เรียกทัวร์ลงผู้อื่น ข่มขู่ให้หวาดกลัว ระวังโดนคดีทั้งแพ่ง-อาญา

(22 ก.ค. 66) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รอง ผบก.ปอท.) ในฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่าในปัจจุบัน การใช้สื่อสังคมออนไลน์แทบจะถือได้ว่าเป็นวิถีชีวิตประจำวันอย่างหนึ่งของคนไทย ซึ่งมักจะใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร รูปภาพ ตลอดจนคลิปวิดีโอต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งอาจมีการด่าทอ หยอกล้อ หรือล้อเลียนผู้อื่น ด้วยความสนุก คึกคะนอง จนอาจเกินเลยสร้างบาดแผลทางจิตใจ หรือสร้างความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับบุคคลอื่น ซึ่งในกรณีดังกล่าวมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิของผู้อื่นมิให้ถูกละเมิด 

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) จึงขอเตือนพี่น้องประชาชน เกี่ยวกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับการด่าทอ ล้อเลียน กลั่นแกล้ง กลั่นแกล้ง หรือ ข่มขู่ผู้อื่นทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่ผู้กระทำผิดอาจถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่ได้กระทำ ดังนี้

1.) การโพสต์ใส่ความบุคคลอื่นต่อบุคคลที่สามในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.) การโพสต์หมิ่นประมาทบุคคลอื่นโดยการโฆษณา (การโพสต์เป็นสาธารณะหรือบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้) อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.) การโพสต์ภาพของผู้อื่นที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 16 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4.) การข่มขู่ ขู่เข็ญ ผู้อื่นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว ตกใจ อาจเข้าข่ายความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

5.) การส่งต่อ แชร์ รีทวีต หรือรีโพสต์ ที่เข้าข่ายเป็นความผิด อาจเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเช่นเดียวกับผู้โพสต์ ในฐานะตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 หรือ 86 แล้วแต่กรณี

ซึ่งนอกเหนือจากความผิดที่มีโทษทางอาญาแล้ว หากผู้เสียหายสามารถพิสูจน์ได้ว่าการกระทำของผู้กระทำผิด ทำให้ผู้นั้นได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นต่อชีวิตร่างกาย ทรัพย์สิน ชื่อเสียง หรือทางทำมาหาได้ ผู้ที่กระทำความผิดอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 หรือมาตรา 423 แล้วแต่กรณีอีกด้วย

ดังนั้น พี่น้องประชาชนจะต้องระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะการโพสต์หรือเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ที่อาจสร้างความเสียหายแก่บุคคลอื่น เพราะหากบุคคลที่ถูกกล่าวถึงไม่พอใจกับการกระทำดังกล่าว และได้รับความเสียหายจากการกระทำนั้น ท่านอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาได้

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการล้อเลียน กลั่นแกล้ง หรือหมิ่นประมาท ทางสื่อสังคมออนไลน์ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ หรือสถานีตำรวจในท้องที่ที่ท่านทราบการกระทำความผิด ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ตำรวจดีเดย์ บุกค้น 1,600 จุด ทั่วประเทศ จับกุมอาวุธปืนกว่า 900 กระบอก กระสุนเกือบ 50,000 นัด ตั้งเป้าลดความรุนแรงอาชญากรรม และการกระทำผิดกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมกวาดล้างอาวุธปืนทั่วประเทศ นำหมายค้นเข้าตรวจค้นผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการจำหน่าย ดัดแปลง ซื้อขาย และเกี่ยวข้องกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม กว่า 1,600 จุด วิสามัญคนร้ายมีหมายจับข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน เสียชีวิต 1 ราย จับกุมผู้กระทำผิดเกือบ 1,000 คน และตรวจยึดอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนผิดกฎหมายจำนวนมาก ตั้งเป้าลดความรุนแรงของอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมาย  

วันนี้ 22 กรกฎาคม 2566 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกและความผิดอื่นที่เกี่ยวกับรถหรือการใช้ทาง ระหว่างวันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.66 นั้น

ในส่วนของมาตรการป้องกันปราบปราม พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูแลงานป้องกันปราบปราม ได้กำหนดให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมายห้วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดยมีเป้าหมาย เช่น ความผิดเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืน และการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย และมอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ควบคุมการปฏิบัติในภาพรวม 
 
ซึ่ง พล.ต.ท.สำราญฯ ได้สั่งการให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเครือข่ายผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนผิดกฎหมายระหว่างหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1-9 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน ทำให้ได้ข้อมูลผู้กระทำผิดจำนวนมาก นอกจากนี้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังได้ส่งเป้าหมายการสืบสวนขยายผลผู้ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ ส่งขายให้กับลูกค้าทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกหน่วยเข้าตรวจค้นเพิ่มเติมอีกกว่า 300 จุด และกำหนดเข้าปฏิบัติการตรวจค้นเป้าหมาย พร้อมกันทั่วประเทศ จำนวน 1,658 จุด เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา

ผลการระดมกวาดล้าง
1. จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 966 ราย 
2. ตรวจยึดของกลาง ประกอบด้วย
2.1 อาวุธปืนเถื่อน ไม่มีหมายเลขทะเบียน จำนวน 811 กระบอก 
2.2 อาวุธปืน มีหมายเลขทะเบียนซึ่งเป็นของบุคคลอื่น (ปืนผิดมือ) จำนวน 99 กระบอก
2.3 เครื่องกระสุนปืน จำนวน 44,540 นัด
2.4 วัตถุระเบิด จำนวน 2 ลูก 
2.5 ยาบ้า จำนวน 6,239 เม็ด
    
สำหรับในการตรวจค้นครั้งนี้ มีการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญเช่น

• ตำรวจภูธรภาค 8 โดย ฝ่ายสืบสวน สภ.เขาพนม , กก.สส.ภ.จว.กระบี่ และ บก.สส.ภ.8 ได้เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้าน นายอนุชัย หรือบูม สงวนนามสกุล อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาในคดียาเสพติดและพยายามฆ่า เจ้าพนักงาน โดยมีหมายจับติดตัวจำนวน 3 หมาย หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ใน ต.หน้าเขา อ.เขาพนม จ.กระบี่ ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นนั้น ผู้ต้องหารู้ตัวและได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีออกไปทางด้านหลังบ้านซึ่งเป็นป่าละเมาะ เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไป ทันใดนั้นผู้ต้องหาวิ่งสวนออกมาจากที่ซ่อน และใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยิงตอบโต้ถูกผู้ต้องหาเสียชีวิต ตรวจสอบที่ศพพบ อาวุธปืนพกสั้นยี่ห้อ Mauser ขนาด 9 มม. ตกอยู่ข้างตัว และ พบลูกระเบิดชนิดขว้าง M 67 จำนวน 1 ลูก และ ระเบิดควันจำนวน 2 ลูก อยู่ในกระเป๋าสะพายที่ผู้ต้องหาสะพายติดตัวอยู่ พนักงานสอบสวนจึงได้ร่วมกับ พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครอง และแพทย์ ร่วมกันชันสูตรพลิกศพ และให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้อีกส่วนหนึ่งแล้ว 
• ตำรวจภูธรภาค 4 โดย ภ.จว.อุดรธานี และ สภ.กุมภวาปี ได้เข้าทำการจับกุมผู้ต้องหา นายสมยศ หรือ เอ็ม ขอสงวนนามสกุล อายุ 42 ปี ที่บ้านพักใน ต.ห้วยเกิ้ง อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ในความผิดฐาน “ทำประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่งนำเข้า มีหรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน สำหรับการค้า ,  มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน , มีและเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนดัดแปลงแบบออโตเมติกและลูกโม่ ลำกล้องขนาด 9 มม. , .38  ละ .380 จำนวน 8 กระบอก แม็กกาซีน 17 อัน กระสุนปืนขนาดต่างๆ รวมกว่า 140 นัด ยาบ้าจำนวน 8 เม็ด และอุปกรณ์พร้อมเครื่องมือที่ใช้ผลิตหรือดัดแปลงอาวุธปืนจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง
    
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญในแก้ไขปัญหาอาชญากรรมอย่างจริงจังมาโดยตลอด โดยในห้วงที่ผ่านมามีการกระทำความผิดและใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุอยู่บ่อยครั้ง ก่อให้เกิดความสูญเสียและความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันของหน่วยต่างๆ เพื่อบูรณาการกวาดล้างผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนพร้อมกันทั่วประเทศ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก เชื่อมั่นว่าจะทำให้ความรุนแรงของอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมายลดลง
    
“การระดมกวาดล้างอาวุธปืนทั่วประเทศ จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดอาวุธปืนจำนวนมากในครั้งนี้ นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ทุกนายแล้ว ขอขอบคุณไปยังฝ่ายปกครอง และเครือข่ายภาคประชาชน ที่แจ้งข้อมูลผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนผิดกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ดัดแปลง จำหน่าย และซื้ออาวุธปืน เพื่อสืบสวนจับกุมทั้งหมด ขอฝากประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งหากมีเบาะแส/เรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรม หรือเรื่องอื่นๆ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ กล่าว 

‘ไก่เดือยทอง’ นำทีมโดย ‘แฮร์รี่ เคน’ และ ‘ซน ฮึง มิน’ มาถึงไทย เตรียมสู้ศึกนัดประวัติศาสตร์กับ ‘เลสเตอร์’

(22 ก.ค. 66) ความเคลื่อนไหวของแมตช์ประวัติศาสตร์ของสองสโมสรฟุตบอลชั้นนำจากอังกฤษที่จะทำศึกอุ่นเครื่องรายการพิเศษ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ พบ เลสเตอร์ ซิตี้ ในวันอาทิตย์ที่ 23 ก.ค. นี้ เวลา 17.00 น. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน 

เมื่อคืนวันที่ 21 ก.ค. เวลาราว 22.45 น. สเปอร์ ได้เดินทางจากออสเตรเลียมาถึงท่าอากาศยาน ประเทศไทยตามหลัง เลสเตอร์ ซึ่งมาถึงแล้วก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน นำโดย อันเก ปอสเตโคกลู กุนซือคนใหม่ รวมถึงบรรดาผู้เล่นซูเปอร์สตาร์ในทีมชุดใหญ่อย่าง แฮร์รี เคน, ซน ฮึง-มิน, เจมส์ แมดดิสัน และริชาร์ลิซอน เป็นต้น โดยมีแฟน ๆ ‘ไก่เดือยทอง’ ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติมารอให้การต้อนรับจำนวนมาก

โดยในวันที่ 22 ก.ค. สเปอร์ จะมีกิจกรรมที่น่าสนใจทั้งไปถ่ายรูปที่เสาชิงช้าในเวลา 12.00 น. รวมถึงลงฝึกซ้อมที่สนามราชมังคลากีฬาสถานในเวลา 18.00 น. เป็นต้น ก่อนจะลงลับแข้งกับ เลสเตอร์ วันที่ 23 ก.ค.

ทั้งนี้การแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษระหว่าง สเปอร์ กับ เลสเตอร์ วันที่ 23 ก.ค. ผู้ที่สนใจเข้าร่วมชมการแข่งขันสามารถจองที่นั่งผ่านตัวแทนจำหน่ายบัตรอย่างเป็นทางการได้ทาง www.ticketmelon.com ราคาบัตรเริ่มต้นที่ 1,500 บาท, 2,500 บาท, 3,500 บาท, 4,500 บาท และ 5,500 บาท

‘พระราม 2’ แผ่นปูนใต้สะพานหน้ามหาชัยเมืองใหม่ ‘แตก’ เป็นวงกว้าง 'ส.ส.ก้าวไกล' จี้หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบ หวั่นเกิดอันตราย!!

(22 ก.ค.66) นายณัฐพงษ์ สุมโนธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล จังหวัดสมุทรสาคร ให้สัมภาษณ์กรณีแผ่นคอนกรีตบริเวณใต้สะพานต่างระดับหน้ามหาชัยเมืองใหม่แตกเป็นวงกว้างว่า มีชาวบ้านผู้ใช้รถใช้ถนนได้แจ้งมาว่าพบแผ่นปูนใต้สะพานต่างระดับมหาชัยเมืองใหม่ ถนนพระราม 2 จังหวัดสมุทรสาครแตกออกมาเป็นวงกว้างขนาดใหญ่ อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้รถใช้ถนนได้ ตนพร้อมด้วยทีมงานจึงได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบบริเวณดังกล่าว 

"จากการพบว่าบริเวณใต้สะพานต่างระดับหน้ามหาชัยเมืองใหม่ แผ่นปูนแตกเป็นวงกว้างมากดูแล้วหวั่นเกรงว่ารอยแตกอาจจะลุกลามแตกเพิ่มอีกได้ น่าหวาดเสียวมากสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนที่สัญจรผ่านเส้นทางนี้ ตลอดจนยังไม่เห็นมีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลหรือเตือนประชาชนเลย จึงขอฝากไปยังแขวงทางหลวงสมุทรสาคร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเข้ามาตรวจสอบดูแลและแก้ไขโดยเร็วก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมาได้กับผู้ใช้รถใช้ถนน" นายณัฐพงษ์ กล่าว

ผบ.ตร.พร้อมนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ลงตรวจเยี่ยมแม่บ้านตำรวจจังหวัดลำพูน จัดฝึกอบรมการปักผ้าให้ครอบครัวตำรวจ ชื่นชมความสำเร็จ สามารถนำไปต่อยอด สร้างอาชีพ สร้างรายได้เกิดความยั่งยืน

วันนี้ (22 ก.ค.66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วยคุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการฝึกอบรมการปักผ้าชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5  โดยมี พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 , พล.ต.ต.บุณยวัต เกิดกล่ำ ผบก.ภ.จว.ลำพูน , คุณพิยดา ต๊ะวิชัย ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5 , คุณรุ้งดารา เกิดกล่ำ ประธานแม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน และแขกผู้เกียรติเข้าร่วม  ณ ห้องประชุมตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน 

โครงการฝึกอบรมการปักผ้าชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5 เป็นการดำเนินการภายใต้แนวคิดของ คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ขับเคลื่อนผ่านโครงการ “ปันรักษ์ ขวัญดาว” เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการตำรวจมีความรู้ สามารถนำไปต่อยอดฝึกอาชีพ เพิ่มพูนรายได้ให้ครอบครัว สามารถผลิตเป็นของใช้ภายในครัวเรือน สินค้าใช้เอง ทำเป็นของชำร่วย ของฝาก จำหน่ายได้ เพิ่มรายได้ให้ครอบครัวตำรวจ

การฝึกอบรมที่จัดขึ้นที่จังหวัดลำพูนครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 4 ของโครงการแล้ว โดยมีคุณกัลยา ศรีกุดหว้า ข้าราชการครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา จังหวัดสกลนคร และคุณรุจิอร ขันเงิน แม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดสกล เป็นวิทยากร สอนเทคนิคให้ความรู้ต่างๆ 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ และ คุณสุมนา กิตติประภัสร์ ได้ให้โอวาท พร้อมพูดคุย ทักทาย แม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน ซึ่งบรรยายกาศการอบรมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทุกรายที่เข้าอบรมต่างมีความตั้งใจอบรม จดจำเทคนิคการปักผ้าต่างๆ และขอบคุณ ผบ.ตร.นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ผู้บังคับบัญชา ที่นำโอกาสดีๆ มามอบให้ เพื่อต่อยอดทางอาชีพ เป็นรายได้เสริมให้ครอบครัว 
    
ผบ.ตร.กล่าวว่า “ดีใจที่ได้มาตรวจเยี่ยมการดำเนินของแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5 และแม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน ได้เห็นถึงความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น ขอชื่นชมในความสำเร็จของชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5 ซึ่งจะเป็นการพัฒนาฝีมือและหารายได้ให้กับครอบครัว โดยการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้แก่สังคม และขอชื่นชมผู้บังคับการ และประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน ซึ่งมีส่วนสนับสนุน และขอให้การดำเนินการของแม่บ้านตำรวจฯ ลำพูนประสบความสำเร็จ”

นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า “ ภ.5 เป็นตัวแทนของความสำเร็จของโครงการ ปันรัก ขวัญดาว การฝึกอบรมการปักผ้าฯ ในวันนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าเราตั้งใจจริง สามารถทำได้  โอกาสเล็กๆ ที่มี มันมีโอกาสใหญ่ๆ รออยู่ ถ้าเราหมั่นฝึกฝนและพัฒนาตนเอง วันหนึ่งเราจะประสบความสำเร็จ ได้กำชับให้รักษาสิ่งดีๆ และส่งต่อให้รุ่นต่อๆ ไป ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อครอบครัวของตำรวจ และสังคม ทั้งหมดที่เห็นในวันนี้ แสดงถึงความเข้มแข็ง ความยั่งยืน ตอบสนองนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ต้องการส่งเสริมอาชีพสร้างรายได้ให้ครอบครัวตำรวจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่การมอบสิ่งของ แต่เราได้มอบวิชาความรู้ เรามอบอาชีพ ให้ไปด้วย ขอบคุณที่เดินมาด้วยกันจนถึงวันนี้”

สื่อมวลชนภาคใต้สุดทนปัญหาสินค้าเถื่อน บุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้าเกลื่อน

เมือง สงขลา สตูล ยะลา นราธิวาสเป็นประตูทางเข้า แหล่งพักและขายปลีก แฉชาวบ้านรู้ขายตรงไหนแต่เจ้าหน้าที่แค่จับเอาหน้า แถมอมเงินรางวัลนำจับ เปิดช่องพ่อค้านำกลับมาขายใหม่ เสนอทางแก้ จับได้ให้ทำลายของกลางทันที ยกระดับเป็นปัญหาความมั่นคงแห่งรัฐ จังหวัดไหนแก้ปัญหาไม่ได้ให้ย้ายผู้ว่าฯออกนอกพื้นที่ ทำอย่างนี้จึงจะปกป้องเด็กและเยาวชนได้ 

มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.)  ร่วมกับสื่อมวลชนในจังหวัดสงขลา จัดประชุมโฟกัส กรุ๊ป ในหัวข้อ “ปัญหาบุหรี่เถื่อน-สินค้าผิดกฎหมาย ชายแดนใต้ ... แก้ไม่ได้จริงหรือ ?” เมื่อวันเสาร์ที่  22 กรกฎาคม 2566 ที่ โรงแรมดับเบิ้ลยู ทรี อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีนายวิเชษฐ์  พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโสเป็นผู้ดำเนินรายการ นายแพทย์กู้ศักดิ์ บำรุงเสนา นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน สำนักงาน สาธารณสุข จังหวัดสงขลา เปิดเผยถึงสถานการณ์การควบคุมการบริโภคยาสูบของประเทศไทยพบว่า ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สูบบุหรี่ร้อยละ 17.4 คิดเป็นประมาณ 9.9 ล้านคน เริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกเมื่อ อายุเฉลี่ย 18.5 ปี อายุต่ำสุด 6 ปี ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายคิดเป็น 26.7 เท่าของผู้หญิง ส่วนจังหวัดสงขลาอัตราการบริโภคยาสูบในปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 27.7 เป็นอันดับ 6 ของประเทศ สูงกว่าอัตราการบริโภคยาสูบของ ประเทศและเขตสุขภาพ ซึ่งจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 12 มีอัตราการบริโภคยาสูบสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศคือจังหวัดสงขลา สตูล พัทลุงและจังหวัดตรังและยังพบว่าอายุน้อยที่สุดที่เริ่มสูบบุรี่ของจังหวัดสงขลาคือ 12 ปี ส่วนข้อมูลล่าสุดในปี 2565  อำเภอที่สูบบุหรี่มากที่สุดคือ อ.สะบ้าย้อย ร้อยละ 30.63 รองลงมาคือ อ.คลองหอยโข่ง ร้อยละ 17.4 และอำเภอนาทวี ร้อยละ 16.93 จากรายงานภาวะโรคจากปัจจัยเสี่ยงของประชากรไทย พ.ศ. 2562 พบการบริโภคบุหรี่เป็นอันดับ 2 ของปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เสียชีวิต โดยเป็นปัจจัยที่ทำให้เสียชีวิตประมาณ 85,000 กว่าคน ซึ่ง 5 โรคร้ายที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ได้แก่ มะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคปอดบวม โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเบาหวาน

ส่วนสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2564 มีการสำรวจคนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปพบว่ามีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าเกือบ 80,000 คน มากกว่าครึ่งเป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี  ปัจจุบันมีการนิยมสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะในวัยรุ่น เนื่องจากพกพาและสูบง่ายกว่าบุหรี่มวน มีการแต่งกลิ่น และที่สำคัญคือความเข้าใจผิดคิดว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่เป็นอันตราย สูบแล้วไม่ติด ซึงในความเป็นจริงแล้ว ในควันของบุหรี่ไฟฟ้ามีทั้งสารนิโคตินและโลหะหนักหลายชนิด ที่ส่งผลให้เกิดการเสพติดและเป็นพิษต่อร่างกาย และยังพบอีกว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้เลิกบุหรี่มวน แถมยังมีโอกาสที่จะเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าแทน ส่วนการเลิกสูบบุหรี่พบว่า ร้อยละ 80 สามารถเลิกได้ด้วยตนเอง สามารถทำได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ เช่น สร้างแรงจูงใจให้กับตัวเองอาจเกิดจากบุคคลที่เรารัก ขอคำปรึกษาจากคนใกล้ตัวที่เลิกบุหรี่ได้สำเร็จ

นายสถาพร เกียรติอนันต์ชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ในคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ จังหวัดสงขลา กล่าวถึงสถานการณ์บุหรี่เถื่อนทั้งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าในจังหวัดสงขลาและจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่ายังมีความรุนแรงอยู่ไม่ได้ลดลงเพราะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจเพิกเฉยไม่บังคับใช้กฎหมาย เห็นกันอยู่ชัดๆว่าบุหรี่เถื่อนมีขายที่ไหนบ้างเช่น อ.หาดใหญ่ แถว 4 แยกน้ำพุจะไปซื้อเมื่อไรก็ได้ มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องบุหรี่เถื่อนหรือสินค้าหนีภาษีมีเงินรางวัลนำจับด้วย แต่ในสภาพความเป็นจริงคนนำจับไม่ได้เงินตามที่กฎหมายกำหนดเช่นถ้ายอดเงิน 100,000 บาท คนนำจับได้แค่ 20,000 บาทส่วนที่เหลืออีก 80,000 บาทไปตกอยู่ในมือของคนไม่เกี่ยวข้องทำให้ประชาชนไม่อยากจะแจ้งเบาะแส นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าของกลางที่จับได้มักจะถูกวิ่งเต้นจากพ่อค้าหรือมาประมูลกลับไปแล้วนำกลับมาขายใหม่ จึงเป็นปัญหาทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่

ส่วนแนวทางแก้ไขควรทำอย่างไรนั้น  มีทั้งการปราบปรามบังคับใช้กฎหมาอย่างจริงจังรวมทั้งการแก้ไขกฎหมายอาญา กฎหมายศุลกากร เช่นกฎหมายศุลกากรเมื่อจับแล้วมาสารภาพแล้วยกของกลางให้รัฐพวกพ่อค้าก็จะไปซื้อกลับมา ดังนั้นสินค้าที่ยึดมาแล้วให้ทำลายเลยไม่ควรจะนำกลับมาขายทอดตลาด ตามกฎหมายสินค้าที่ยึดมาได้มีแนวปฏิบัติ 3 แนวทางคือ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ,ศาลสั่งให้ทำลายและศาลสั่งทำให้ใช้ไม่ได้ ดังนั้นควรจะใช้แนวทางศาลสั่งให้ทำลายสินค้าเหล่านี้ให้หมดจะดีที่สุด เช่นเดียวกันกับปัญหายาเสพติดที่จับได้ตามแนวชายแดนก็ควรจะเผาทำลายกันในพื้นที่ที่จับได้เพราะถ้าปล่อยให้นำเข้ามาที่ส่วนกลางมีโอกาสที่จะสูญหายหรือยักยอกไประหว่างทางได้ สำหรับคณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบจังหวัดสงขลาควรจะมุ่งมั่นจริงจังทำงานให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ต้องมีข้อมูลให้เห็นผลการดำเนินงานด้วยเพราะถ้าจริงจังจะเห็นผลเป็นรูปธรรมแน่นอน จะส่งผลให้เด็กและเยาวชน ประชาชนเข้าถึงบุหรี่เถื่อน  บุหรี่ไฟฟ้าได้น้อยลงเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นทางควบคู่ไปกับการให้ความรู้และรณรงค์

นายภูวสิษฎ์  สุกใส บรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ ภาคใต้โฟกัส ในฐานะสื่อมวลชนที่เข้าไปมีบทบาทเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบจังหวัดสงขลากล่าวว่าสถานการณ์ยังคงรุนแรงอยู่ทั้งจังหวัดสงขลา จังหวัดสตูลและจังหวัดชายแดนภาคใต้เพราะเป็นทั้งประตูทางเข้า เป็นทั้งแหล่งกระจายสินค้าและการขายสินค้าเถื่อน สินค้าหนีภาษีโดยเฉพาะบุหรี่ เมื่อไม่นานมานี้ได้พบปะกับผู้บริหารท้องถิ่นแห่งหนึ่งบอกว่าปัจจุบันรายได้จากภาษีท้องถิ่นลดลงเพราะสินค้าเถื่อนและสินค้าหนีภาษี ไปถามชาวบ้านใน อ.หาดใหญ่ก็รู้ว่าจะซื้อบุหรี่เถื่อนจากไหน ทั้งตลาดใหม่ ถ.นิพัทธ์สงเคราะห์ ถ.นวลแก้วอุทิศก็หาซื้อได้ ปัญหาอยู่ที่เจ้าหน้าที่ไม่บังคับใช้กฎหมาย ตามน้ำบ้างหลับตาข้างหนึ่งบ้าง เป็นความหย่อนยานของเจ้าหน้าที่ และเป็นเรื่องของผลประโยชน์ต่างตอบแทน ลองไปถามดูได้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ใครๆก็อยากจะมาอยู่สงขลา อ.หาดใหญ่  สะเดา ปาดังเบซาร์ อยู่จ.สตูลที่ด่าน วังประจัน อยู่ยะลา อ.เบตง  หรืออยู่นราธิวาส อ.สุไหงโกลก เพราะนี่คือประตูทางเข้าของสินค้าผิดกฎหมาย

ส่วนบทบาทของสื่อมวลชนในจังหวัดสงขลาและจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมาก็เคยเสนอทั้งข่าว รายงานและบทวิเคราะห์ในเรื่องเหล่านี้ทำให้เจ้าหน้าที่ตื่นตัวเป็นครั้งคราวทำกันแบบไฟไหม้ฟางสุดท้ายก็เป็นเหมือนเดิม ดังนั้นแนวทางที่ควรจะทำคือการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องและจริงจังตั้งแต่ระดับบนจนถึงระดับล่าง ไม่รับผลประโยชน์ไม่ปากว่าตาขยิบปัญหาก็จบ และต้องยกระดับเป็นเรื่องความมั่นคงแห่งรัฐเป็นวาระชัดเจนตั้งแต่ระดับชาติลงมาจนถึงจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบจังหวัดก็ต้องเอาจริงถ้าพบว่ายังมีการค้าบุหรี่เถื่อนในพื้นที่หรือไปปกป้องพ่อค้าก็ต้องถูกย้ายอยู่ในจังหวัดไม่ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องให้อำนาจผู้ว่าฯเสนอย้ายตำรวจ ย้ายสรรพสามิต หรือเจ้าหน้าที่ขอ

‘เจ้าหน้าที่’ ฝ่ากระแสน้ำเจ้าพระยา ดำลึก 8 เมตร ค้นหา ‘ไอโฟน’ หลังได้รับเหตุขอความช่วยเหลือ งมหาจนเจอ!! ยังใช้งานได้ปกติ

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 66) เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำของมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้รับแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือจาก น.ส.น้ำ อายุ 38 ปี หลังทำโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน รุ่น 12 โปรแม็กซ์ ตกลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณโป๊ะท่าน้ำของอุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี

ในที่เกิดเหตุพบ น.ส.น้ำ ชี้จุดที่ทำโทรศัพท์ตกลงไปบริเวณข้างโป๊ะพอดี ชุดประดาน้ำลงน้ำค้นหาโดยใช้เวลาเพียง 20 นาที ก็พบกับโทรศัพท์จมอยู่ในแม่น้ำ โดยที่เครื่องยังมีแสงไฟและสามารถใช้งานได้ตามปกติ ก่อนจะส่งมอบคืนให้กับ น.ส.น้ำ

น.ส.น้ำ กล่าวว่า ขณะที่ตนกำลังนั่งให้อาหารปลาอยู่ โดยถือโทรศัพท์มือถือไว้ด้วย ก่อนทำโทรศัพท์หลุดมือตกลงไปในแม่น้ำ รู้สึกตกใจมากจนคิดว่าอาจจะไม่ได้โทรศัพท์เครื่องนี้กลับคืน เนื่องจากกระแสน้ำค่อนข้างแรง แต่เจ้าหน้าที่มาช่วยดำน้ำค้นหาจนเจอ ตนดีใจมากเพราะซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้มาในราคาเกือบ 50,000 บาท ตั้งแต่เริ่มเปิดวางจำหน่าย

ด้านนายฉัตรชัย แหวนทองคำ ทีมเจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำของมูลนิธิร่วมกตัญญู รหัสบางรัก 28 กล่าวว่า การค้นหาโทรศัพท์มือถือที่ตกลงไปในแม่น้ำตรงจุดนี้มีอุปสรรคนิดหน่อย คือจุดที่ตกซึ่งเป็นหน้าโป๊ะมีความลึกประมาณ 8-9 เมตร และมีกระแสน้ำที่ค่อนข้างแรง เกรงว่ากระแสน้ำจะพัดโทรศัพท์ออกไปไกลจากจุดที่ตก แต่สุดท้ายก็สามารถดำน้ำงมจนเจอห่างจากจุดที่ตกออกไปประมาณ 3 เมตร

นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า ขอแจ้งไปยังประชาชนที่เดือดร้อนและต้องการขอความช่วยเหลือกับมูลนิธิร่วมกตัญญูในการช่วยค้นหาสิ่งของมีค่าต่างๆ ทางมูลนิธิยินดีช่วยเหลือให้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น สามารถติดต่อได้ที่ทางมูลนิธิร่วมกตัญญู โทร.02-751-0951-3 หรือทางเพจเฟซบุ๊ก นทีคลับ ชุดกู้ภัยทางน้ำ มูลนิธิร่วมกตัญญู

‘หนึ่ง iMoD’ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในวัย 30 ปี ลูกเพจร่วมอาลัยกับการจากไปอย่างกะทันหัน

(22 ก.ค. 66) หนึ่ง iMoD อินฟลูเอนเซอร์ดังด้านไอที ถูกรถชนเสียชีวิตในวัย 30 ปี แฟนเพจร่วมอาลัยกับการจากไปอย่างกะทันหัน

เฟซบุ๊ก iMoD เพจด้านไอทีชื่อดัง โพสต์แจ้งข่าวเศร้าว่า หนึ่ง iMoD หรือ นายเกียรติศักดิ์ มูลรินทร์ อินฟลูเอนเซอร์วัย 30 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุถูกรถชนเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ 20 ก.ค. โดยระบุว่า

เป็นเรื่องที่เศร้าใจเป็นอย่างมากที่ต้องเรียนให้ทุกท่านได้ทราบถึงข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของ Keattisak Moonrin หรือ หนึ่ง iMoD จากอุบัติเหตุทางถนนเมื่อเช้าวันนี้ 20 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา

หนึ่งเป็นคนน่ารัก นิสัยดี ดูแลน้อง ๆ และเป็นห่วงน้อง ๆ อยู่เสมอ ใครที่ได้ดูคลิปของหนึ่งอาจจะเห็นว่าเป็นคนพูดเก่ง แต่จริง ๆ แล้วหนึ่งเป็นคนเรียบร้อยมากมีความเคารพนอบน้อมและพูดจาไพเราะเสมอ วันนี้หนึ่งจากไปแล้ว ขอให้หนึ่งไปอยู่ในที่ที่สวยงาม มีท้องฟ้าสวย ๆ มีน้องแมวน่ารักรายล้อม หนึ่งจะอยู่ในใจน้อง ๆ และพวกเราชาว iMoD ตลอดไป

ขอเรียนเชิญเพื่อน พี่น้องหรือแฟนเพจที่อยากร่วมส่งหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย มาร่วมพิธีการสวดพระอภิธรรมซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 22 - 24 ก.ค. และพิธีฌาปนากิจ 25 ก.ค. 2566 นี้ ณ วัดป่าแพ่ง ถนน เมืองสมุทร ตำบล ช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่

สำหรับ หนึ่ง iMod เป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์และพิธีกรของช่อง iMod มีชื่อเสียงจากการทำรีวิวเทคโนโลยีและไอที ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า, มือถือ รวมถึง Gadget ต่าง ๆ จนมีผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งหลังทราบข่าวก็ทำให้ผู้ที่ติดตามผลงานรวมถึงเพื่อน ๆ ต่างร่วมเข้ามาแสดงความอาลัย หลายคนใจหายกับการจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้

ทรภ.1 จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ

ทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) จัดกำลังพลจิตอาสา ทัพเรือภาคที่ 1, กปก.ทรภ.1 (ร.ล.นเรศวร) , พัน.ซบร.กรม สน.พล.นย., พัน.รฝ.12 กรม รฝ.1 สอ.รฝ. จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ (วันที่ 13 กรกฎาคม 2566) ณ โรงเรียนบ้านเขาชีจรรย์ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย ตัดหญ้า เก็บขยะ ปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังเป็นการสร้างจิตสำนึกให้กำลังพลในสังกัดทัพเรือภาคที่ 1 ให้ร่วมกันทำความดีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อีกด้วย

ทัพเรือภาคที่ 1 ส่งเสริมสนับสนุน การเรียน การสอนและการกีฬา ให้กับเยาวชนในพื้นที่รับผิดชอบ อย่างต่อเนื่อง

สำหรับในครั้งนี้ จัดกิจกรรมที่ โรงเรียนวัดสลักเพชร อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด ทำกิจกรรม มอบอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ยาและเวชภัณฑ์ กิจกรรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อ ส่งเสริม สนับสนุน การเรียน การสอน และการกีฬา ให้กับเยาวชนในพื้นที่รับผิดชอบ อีกทั้งยังเป็นการ ปฏิบัติการจิตวิทยา  และประชาสัมพันธ์หน่วย สร้างภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อให้เยาวชน รวมถึง ประชาชน ในพื้นที่รับผิดชอบ มีทัศนคติที่ดี ต่อกองทัพเรือในภาพรวม

โดยมี นาวาเอก อโศก ศรีสวัสดิ์ รองเสนาธิการ ทัพเรือภาคที่ 1 เป็น ประธานในพิธี และ ผอ.นันทิยา บัวตรี ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสลักเพชร อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด และ คณะครู ได้นำนักเรียน ในการต้อนรับ เข้าร่วมกิจกรรม และรับมอบ อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ยาและเวชภัณฑ์ ดังกล่าว

พม. จัดงานบุญ พิธีกราบลาอุปสมบทและปลงผมนาคราษฎรบนพื้นที่สูง 2566 เฉลิมพระเกียรติในหลวง ร.10

เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 66 เวลา 17.00 น. "พระธรรมวชิราธิบดี" เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม  เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ "นายอนุกูล ปีดแก้ว" ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานฆราวาสในพิธีกราบลาอุปสมบทราษฎรบนพื้นที่สูง และพิธีปลงผมนาคราษฎรบนพื้นที่สูง ประจำปี 2566 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พร้อมให้โอวาทแก่นาคที่เข้าพิธี โดยมี "นางจตุพร โรจนพานิช" อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารหัวหน้าหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. และผู้ปกครอง ร่วมปลงผมนาคฯ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ร่วมกับมูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดาร ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทราษฎรบนพื้นที่สูง ประจำปี 2566 เป็นปีที่ 58 เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ราษฎรบนพื้นที่สูงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งจะนำมาสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแนววิถีพุทธ ปัจจุบันมีผู้เข้ารับการบรรพชาอุปสมบทแล้วจำนวนทั้งสิ้น 12,504 รูป สำหรับปี 2566 มีผู้ขอบรรพชาอุปสมบทจำนวนทั้งสิ้น 205 รูป แบ่งเป็น บรรพชา (สามเณร) 75 รูป และ อุปสมบท (พระนวกะ) 130 รูป ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย 10 ชาติพันธุ์ ของศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง 10 จังหวัด 

นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ มีการจัดพิธีสำคัญตามหลักพระพุทธศาสนา ได้แก่ วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป มีพิธีมอบผ้าไตรและพิธีปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ณ วิหารคดและพระอุโบสถ และวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป มีพิธีกล่าวถวายพระพรต่อพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพิธีบรรพชาอุปสมบทราษฎรบนพื้นที่สูง โดย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. เป็นประธานในพิธี หลังจากนั้น วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2566 พระนวกะและสามเณร จะเดินทางไปประกอบพิธีอุปสมบทราษฎรบนพื้นที่สูงต่อ ณ วัดศรีโสดา พระอารามหลวง จังหวัดเชียงใหม่

นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาและศาสนิกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีมอบผ้าไตรและเครื่องอัฐบริขาร ระหว่างวันที่ 22 - 23 กรกฎาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป และขอเชิญชวนร่วมพิธีบรรพชาอุปสมบทราษฎรบนพื้นที่สูง ประจำปี 2566 ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร หรือร่วมทำกุศลบุญได้ที่บัญชีธนาคาร “มูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดาร” ดังนี้ ธนาคารกรุงไทย บัญชีเลขที่ 021-1-22540-1 ธนาคารกรุงเทพ บัญชีเลขที่ 201-0-59714-0 ธนาคารทหารไทยธนชาต บัญชีเลขที่ 810-2-01347-4 ร้านสะดวกซื้อที่ให้บริการเคาน์เตอร์เซอร์วิส และธนาณัติสั่งจ่ายในนาม “มูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดารฯ” (ที่ทำการไปรษณีย์ พลับพลาไชย) ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดและแจ้งหลักฐานการโอนเงินบริจาคได้ที่ Line : @thammahighland หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-659-6242

ชื่นชมครอบครัว นร.ชาย ม.5 ถูกคู่อริยิงเสียชีวิต บริจาคลิ้นหัวใจ-ไต-กระจกตา ช่วยคนหลายชีวิต

โลกโซเชียลแห่แสดงความเสียใจ พร้อมชื่นชมอนุโมทนาบุญกับครอบครัวนักเรียนชาย ม.5 ที่บริจาคอวัยวะหนึ่งชีวิตต่อลมหายใจอีกหลายชีวิต หลังถูกกลุ่มวัยรุ่นคู่อริดักซุ่มยิง ขณะที่ตำรวจ สภ.กุฉินารายณ์ร่วมทีมสหวิชาชีพสอบปาก 4 โจ๋ร่วมกันก่อเหตุ พร้อมแจ้ง 3 ข้อหาหนัก

จากกรณีนักเรียนชายชั้นม.5 วัย 16 ปี โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ถูกกลุ่มวัยรุ่นต่างหมู่บ้านดักซุ่มยิงจนเสียชีวิต ที่บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านคุย ต.สามขา อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ เหตุเกิดเมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยกล้องวงจรปิดจับภาพขณะถูกยิงตกจากรถจักรยานยนต์ กระทั่งตำรวจสภ.กุฉินารายณ์ตามจับตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุได้รวม 4 คน อายุ 16-18 ปี พร้อมของกลางอาวุธปืน 4 กระบอก

ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ก.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกโซเชียล โดยเฉพาะในเฟซบุ๊กข่าวประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ มีผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายคน รวมทั้งประชาชนชาวกาฬสินธุ์ ต่างพากันแสดงความเสียใจ และแสดงความชื่นชมอนุโมทนาบุญกับครอบครัวนายปาริวรรธน์ พลเยี่ยม นักเรียนชั้น ม.5 อายุ 16 ปี ชาว ต.สามขา อ. กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นคู่อริยิงเสียชีวิต ซึ่งจากข้อมูลของโรงพยาบาลระบุว่า นายปาริวรรธน์ ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ ด้วยสาเหตุมีภาวะเลือดออกในสมอง โดยแพทย์รักษาอาการเบื้องต้น และส่งต่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ทีมแพทย์ได้ทำการรักษาอย่างสุดความสามารถ ก่อนอาการผู้ป่วยทรุดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยมีภาวะสมองตาย ซึ่งครอบครัวจึงได้แจ้งเจตนารมณ์สร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ให้ผู้เสียชีวิต

โดยการบริจาคอวัยวะทุกส่วนที่ใช้ประโยชน์ได้ คือ ลิ้นหัวใจ ไต 2 ข้าง ตับ และกระจกตา 2 ข้าง ให้กับสภากาชาดไทย ผ่านศูนย์รับบริจาคอวัยวะโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เพื่อนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งถือเป็นผู้บริจาคอวัยวะรายที่ 7 และบริจาคดวงตา รายที่ 8 ประจำปีของโรงพยาบาลกาฬสินธุ์

ทั้งนี้นายแพทย์ สุรสิทธิ์ จิตรพิทักษ์เลิศ ผู้อำนวยโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยนายแพทย์ถนอมศิลป์ ก้านมะลิ รองผู้อำนวยการฝ่ายตรวจสอบภายใน นายแพทย์ศุภชัย ศรีจันทะ ประธาน Service Plan สาขารับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ คุณจิรารัตน์ ทรัพย์เกิด ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านลูกค้าสัมพันธ์ นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายกอบจ.กาฬสินธุ์ คณะเหล่ากาชาด จ.กาฬสินธุ์ และเจ้าหน้าที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ร่วมมอบพวงหรีด และใบประกาศเกียรติคุณ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 เพื่อแสดงความขอบคุณครอบครัวนายปาริวรรธน์ ที่มีเมตตาและเสียสละบริจาคอวัยวะ เพื่อต่อลมหายใจให้อีกหลายชีวิต พร้อมขออนุโมทนาในกุศลที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลยังประชาสัมพันธ์สำหรับท่านที่สนใจบริจาคอวัยวะ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์รับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะสภากาชาดไทย โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ โทรศัพท์ 043-812714

ผบ.ตร.มอบรางวัล “ทำดี มีรางวัล” ตำรวจเจรจาหญิงเตรียมกระโดดสะพานและนักเรียนพลเมืองดีช่วย CPR ผู้ป่วยหมดสติ

วันนี้ (21 ก.ค.66) เวลา 11.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้แก่ข้าราชการตำรวจ 1 นาย และนักเรียนพลเมืองดี 1 คน จาก 2 เหตุการณ์ ดังนี้ 

เหตุการณ์แรก กรณี “ช่วยเหลือหญิงพยายามกระโดดสะพาน” ผู้ที่ทำความดี คือ ร.ต.ท.ธีรธัช บัวเผื่อน รองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ 3 กองบังคับการอํานวยการ ตํารวจภูธรภาค 1 โดยเหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 เวลาประมาณ 22.00 น. ขณะ ร.ต.ท.ธีรธัชฯ ขับรถยนต์ส่วนตัวกลับที่พัก ได้พบหญิงวัยกลางคนเดินอยู่ตามลำพัง มีลักษณะคล้ายจะกระโดดสะพานภูมิพล 1 จึงรีบลงจากรถเพื่อเข้าเจรจาให้ความช่วยเหลือ จนสามารถช่วยเหลือหญิงสาวดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ช่วงกลางปี 2555 ร.ต.ท.ธีรธัชฯ ได้เคยให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน จนประชาชนผู้พบเหตุได้บันทึกรูปภาพและเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ ได้รับความชื่นชมจากประชาชนเป็นอย่างมาก

และเหตุการณ์ที่ 2 กรณี “นักเรียนพลเมืองดี ช่วย CPR ผู้ป่วยหมดสติ” ผู้ที่ทำความดี คือ น.ส.ประติภา ดีหามแห หรือ “น้องนุ่น” นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ (รัชดา) โดยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 เวลาประมาณ 18.30 น. ขณะที่ น.ส.ประติภาฯ เดินทางกลับบ้าน บริเวณ ซอย เจริญกรุง 24 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ได้พบชายกำลังช่วยเหลือผู้ป่วยนอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง จึงได้รุดเข้าช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น ด้วยการ CPR เพื่อฟื้นคืนชีพให้ผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นกลับมามีชีพจรดั้งเดิม จนทีมแพทย์และทีมกู้ชีพเดินทางมาถึง และนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป 

ผบ.ตร.กล่าวว่า “ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญ ที่ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และทันท่วงทีตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัลคนละ 5,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”

ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาบรรจุทายาททดแทนให้ครอบครัวของกำลังพลที่เสียชีวิตและสูญหายจากการปฏิบัติหน้าที่

วันที่ 21 ก.ค.66 พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือและประธานคณะกรรมการพิจารณาได้รับสิทธิ์ในการบรรจุหรือแต่งตั้งทายาทของข้าราชการและทหารกองประจำการที่เสียชีวิต เนื่องจากการรบหรือการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เป็นประธานการประชุมในการพิจารณาบรรจุทายาทฯ ครั้งที่ 3/2566 ณ ห้องประชุม ชั้น 5 กองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

ในการนี้ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือขอให้คณะกรรมการฯ ติดตามความก้าวหน้า รวมทั้งให้หน่วยต้นสังกัดในฐานะตัวแทนกองทัพเรือติดต่อสอบถามครอบครัวของกำลังพลที่เสียชีวิตและสูญหายอย่างใกล้ชิด ให้สมกับที่กำลังพลเหล่านั้นได้เสียสละปฏิบัติหน้าที่เพื่อกองทัพเรือ ซึ่งการประชุมครั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาบรรจุทายาททดแทน

กรณี ร.อ.สุราษฎร์  แสงไชศรี สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ เสียชีวิตเนื่องจากปฏิบัติราชการในเวลาปกติ ได้พิจารณาเสนอบรรจุทายาทเข้ารับราชการอัตราสัญญาบัตร (เพิ่งจบการศึกษา)

ในส่วนของการติดตามการดำเนินการในส่วนที่ได้พิจารณาเห็นชอบบรรจุทายาททดแทนไปแล้ว ประกอบด้วย

1 กรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง
ทายาทกำลังพลที่เสียชีวิต จำนวน 24 ราย
- บรรจุแล้ว 10 ราย (สัญญาบัตร 5 ราย , ประทวน 5 ราย)
- อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานขออนุมัติบรรจุ 2 ราย
- ได้รับสิทธิ์บรรจุเมื่อสำเร็จการศึกษา 9 ราย
- สละสิทธิ์ 3 ราย

ทายาทกำลังพลที่สูญหาย จำนวน 5 ราย
- บรรจุแล้ว 2 ราย (สัญญาบัตร 1 ราย , ประทวน 1 ราย)
- ได้รับสิทธิ์บรรจุเมื่อสำเร็จการศึกษา 2 ราย
- สละสิทธิ์ 1 ราย

2 กรณี น.อ.สุทธิศักดิ์  ช่วยเมืองปักษ์ ช่วยปฏิบัติราชการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เสียชีวิตเนื่องจากปฏิบัติราชการชายแดน อยู่ในระหว่างการรวบรวมหลักฐานอนุมัติบรรจุทายาทเข้ารับราชการอัตราสัญญาบัตรเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้บัญชาการทหารเรือที่ต้องการดูแลกำลังพลของกองทัพเรือ และครอบครัว ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อกองทัพเรืออย่างดีที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top