Tuesday, 10 June 2025
NEWS FEED

ดรามาบังเกิด!! ‘สาวตะวันตก’ ดูถูก ‘สาวเอเชีย’ ออกสื่อ บอก ‘พูดอังกฤษไม่ได้-ไร้การศึกษา-เกิดมาเพื่อเป็นเมีย’

เมื่อไม่นานมานี้ มีวิดีโอหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นอย่างมาก โดยวิดีโอนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการ Daily Rap Up Crew ซึ่งเป็นรายการพอดแคสที่มีเนื้อเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ความรัก โดยเฉพาะในกลุ่มคนผิวสี มีผู้ร่วมรายการทั้งชายและหญิง นั่งพูดคุย ถกประเด็นต่าง ๆ 

โดยความดรามาที่แพร่กระจายนั้นเกิดจากสาวผิวสีคนหนึ่งในผู้ร่วมรายการได้พูดคุยถึงประเด็น มาตรฐาน ของสาวในอเมริกาที่จะเลือกผู้ชายในการเดทด้วยมันค่อนข้างสูง เลยทำให้ผู้ชายเลือกที่จะไปเดทกับผู้หญิงต่างชาติมากกว่า โดยสาวคนนี้เลือกใช้ถ้อยคำที่ค่อยข้างดูถูกเหยียดหยามผู้หญิงชาติอื่น ๆ เช่น ผู้หญิงไทย ฟิลิปปินส์ โคลอมเบีย โดยเธอกล่าวว่า…

“ผู้หญิงที่มาจากประเทศเหล่านี้ (ไทย ฟิลิปปินส์ โคลอมเบีย) พูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก ไม่มีการศึกษา และถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นภรรยาอย่างเดียวเท่านั้น”

หลังจากนั้นก็มีการโต้เถียงกลับบ้างจากมุมมองของผู้ชายที่ร่วมในรายการ โดยผู้ชายระบุว่า…

“ฟังนะ ผู้หญิงถูกยกให้เป็นภรรยา พวกเธอ (ผู้หญิงไทย ฟิลิปปินส์ โคลอมเบีย) เกิดมาก็รู้แล้วว่าการเป็นภรรยาที่ดีมันเป็นอย่างไร พ่อแม่ของพวกเธอสั่งสอนมาว่าการเป็นภรรยาที่ดีนั้นควรสนับสนุนสามีของเธออย่างไรบ้าง ผู้หญิงต้องเยียวยาจิตใจเรา ต้องนับถือ และให้เกียรติเราบ้างดิ แต่ทุกคนเขารู้ดีว่าคุณไม่ใช่แบบนั้น”

หลังจากคลิปนี้เผยแพร่ออกไป ผู้ใช้งานติ๊กต๊อก @crispyfroid หรือคุณคริส ก็ได้ออกมาพูดตอบโต้เป็นภาษาอังกฤษ โดยระบุว่า…

“มา!! ฉันจะเล่าอะไรให้ฟังนะ ฉันคนไทย 100% เลย ตั้งแต่เล็กๆ พวกเราถูกสอนให้ช่วยเหลือ ให้เกียรติคนอื่น และใจดีเมตตาคนอื่น เราถูกสอนมาให้ปฏิบัติกับคนอื่นให้เหมือนกับที่เราอยากได้รับการปฏิบัติด้วย อีกอย่างพวกเรามีการศึกษานะ พวกเราเข้มแข็งพอที่จะดูแลตัวเองและคนอื่น ไม่ใช่แค่ผู้ชายหรือสามีของเรา”

ปตท. หนุนทัพนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย เข้าร่วมการแข่งขัน เอเชีย มิกซ์ ทีม แชมป์เปี้ยนชิพ 2023

(11 ก.พ.66) นางกนกพร รอดรุ่งเรือง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารชื่อเสียงองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ให้การต้อนรับและมอบกำลังใจแก่คณะนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย จากสโมสรแบดมินตันที ไทยแลนด์ ก่อนเข้าร่วมการแข่งขันรายการ เอเชีย มิกซ์ ทีม แชมป์เปี้ยนชิพ หรือ ทีมผสม ชิงแชมป์เอเชีย 2023 ในระหว่างวันที่ 14 - 19 กุมภาพันธ์ 2566 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

'อัษฎางค์' ถาม 'อุ๊งอิ๊ง-นักข่าว' ใช้ภาษาอังกฤษคุยกันเพื่อ? สื่อสารกับ 'ชาวต่างชาติ' หรือ สื่อสารกับ 'คนไทย'

(11 ก.พ.66) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก กรณีบทสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กับพิธีกรในรายการหนึ่ง ที่พูดไทยคำอังกฤษคำ จนไม่แน่ใจว่าอยากสื่อสารให้คนไทยหรือคนต่างชาติฟัง ว่า...

น้องอุ๋งอิ๋งและนักข่าวใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนาด้วยจุดประสงค์ใด?

1. เพื่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ หรือ
2. เพื่อสื่อสารกับคนไทย

แต่การพูดอังกฤษหลายคำแล้วแทรกไทยหนึ่งคำ ทำให้ชาวต่างชาติฟังไม่เข้าใจแน่นอน ในขณะที่คนไทยที่รู้ภาษาอังกฤษเข้าใจทั้งหมด

ในเมื่อเป็นคนไทยคุยกันเอง ให้คนไทยฟังแล้ว...จะสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ เพื่อ...?

ผมอยู่เมืองนอกมานานพอสมควร แต่เวลาได้ยินคนพูดไทยคำอังกฤษสองคำ สมองผมจะงง สมองมันสวิตช์ไปมาไม่ทัน ผมคงไม่เก่งเรื่องภาษาเหมือนคนที่เขาพูดสลับไปมาได้

น้องอิงลูกชายของผม โตที่ออสเตรเลีย เรียนหนังสือที่นี่ตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัย เวลากลับเมืองไทยทุกครั้งตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ มักมีญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน อยากให้น้องอิงพูดอังกฤษให้ฟัง 

แต่น้องอิงไม่พูดอังกฤษกับคนไทยเลย แม้แต่เจอคนไทยในออสเตรเลียก็ไม่พูดอังกฤษกับคนไทย ยกเว้นจะพูดอังกฤษกับเพื่อนเด็กไทยที่โตในออสเตรเลียมาเหมือนกัน เพราะเขาเคยชินกับการคุยภาษาอังกฤษกันในโรงเรียน

คำไทยคำไหนที่น้องอิงไม่รู้จัก พูดไม่ได้ มักจะคอยกระซิบถามว่า คำภาษาอังกฤษคำนั้นคำนี้ ภาษาไทยพูดว่ายัง เสมอ

จนถูกแซวว่า ตกลงพูดภาษาอังกฤษได้มั้ย

ด้วยความห่วงใย ผบ.กองเรือยุทธการ นำคณะเยี่ยมและมอบสิ่งของกำลังพลและครอบครัวป่วยติดเตียง

เมื่อวันที่ 9 ก.พ.66 พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และคุณกีรตา พันธุ์เอี่ยม ประธานชมรมภริยากองเรือยุทธการ พร้อมผู้แทนจากโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ และคณะเดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นยาและเวชภัณท์ ให้กับกำลังพลที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง และผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ที่พักอาศัยอยู่ในบ้านพักข้าราชการกองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อมทั้งรับฟังปัญหาความต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมพบว่า รายแรกที่บ้านพักของ จ่าเอกบุญชู ทัดสันเทียะ กำลังพลสังกัด เรือหลวงภูมิพล ที่ประสบอุบัติเหตุทางสมองและเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ 

โดยได้มอบเงินจำนวน 5,000 บาท เพื่อสนับสนุนเป็นเงินทุนเพื่อการศึกษาให้กับบุตรสาวของ จ่าเอกบุญชูฯ มอบเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น สายดูดเสมหะ ทิชชู่ม้วน และทิชชู่เปียก พร้อมทั้งสอบถามถึงความเป็นอยู่และอาการเจ็บป่วยด้วยความห่วงใย จากนั้นได้เดินทางเข้าเยี่ยมและมอบสิ่งของให้กับที่ผู้ป่วยติดเตียงที่มักขาดแคลนสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น อาทิ ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ (แพมเพิส) แผ่นรองปัสสาวะ กระดาษทิชชู่ อุปกรณ์ในการช่วยพยุงตามผนังจากปัญหาการเคลื่อนไหวไม่สะดวก รวมถึงข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำมันพืชและของใช้ในครัวเรือน รวม 3 ครอบครัว ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ขณะที่ผู้ป่วยติดเตียงและครอบครัวต่างรู้สึกซาบซึ้งที่กองเรือยุทธการ ดูแลอยู่ตลอดเวลาไม่เคยทอดทิ้ง ที่ผ่านมาได้มีการประสานงานให้แพทย์และพยาบาล จากโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ มาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอุ่นใจและมีความสุข เมื่อได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับผู้คนภายนอก ทำให้มีพลังแรงใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไป

ซึ่งเป็นนโยบายของ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ที่ต้องการให้กำลังพลตลอดจนญาติในครอบครัวได้รับการดูแลที่ดี เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานไม่มีห่วงอยู่ข้างหลัง สามารถทุ่มเทให้กับการทำงาน เพื่อกองทัพเรือและกองเรือยุทธการ ได้อย่างเต็มที่

และในโอกาสเดียวกันนี้ ยังได้เดินทางไปมอบต้นกล้าสมุนไพร อาทิ ต้นกระดูกไก่ดำ ต้นกระเจี๊ยบแดง หัวขมิ้น และหัวไพร สำหรับปลูกในโครงการ "ปลูกสุขภาพดีด้วยสมุนไพร" เพื่อนำไปปลูกตามบ้านในโซนต่างๆ ภายในกองเรือยุทธการอีกด้วย ที่ผ่านมาได้มอบให้นำไปปลูกแล้วจนสามารถเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในครอบครัว อีกทางหนึ่งด้วย

สำหรับโครงการ "ปลูกสุขภาพดีด้วยสมุนไพร" เป็นหนึ่งในกิจกรรม "ครบรอบสิ้นพระชนม์ 100 ปี" พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาทหารเรือไทย (เสด็จเตี่ย) และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Good Home And Good Health” ที่ทางกองเรือยุทธการ ร่วมกับโรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ดำเนินโครงการและให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะสุขภาพที่ดีของกำลังพลทุกคน เป็นสิ่งที่สำคัญ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งรวบแก๊งเว็บพนันอุ้มวิศวกรรีดทรัพย์ ขยายผลเจ้าหน้าที่ค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ส่งคนร้ายใช้ข่มขู่

จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ก.พ.66 เพจสายไหมต้องรอดพร้อมด้วย นายเชิดเกียรติ ศักดิ์ศรี ผู้เสียหาย เข้าร้องขอความช่วยเหลือจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จากเหตุถูกแก๊งเว็บพนันซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง อุ้มไปทำร้ายร่างกายอ้างว่าถูกผู้เสียหายโกงเงินหลักแสนบาท รวมทั้งปล้นเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปหลายรายการ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ม.ค.66 ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลได้นำเสนอไปแล้ว นั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เร่งดำเนินการสืบสวนหาตัวกลุ่มผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว เนื่องจากเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนอย่างมาก เพราะมีการให้ข้อมูลว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ดังกล่าว และยังมีการก่อเหตุอย่างอุกอาจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนร่วมกับ สน.โชคชัย ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบในคดีดังกล่าว เร่งสืบสวนติดตามผู้ก่อเหตุในคดีดังกล่าว จึงสั่งการให้นำตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว

จากการสืบสวนทราบว่า ผู้เสียหายทำงานเป็นแอดมินเว็บไซต์พนันออนไลน์มาแล้วประมาณ 5-6 ปี ทำหน้าที่คอยดูแลลูกค้าและให้คำแนะนำเรื่องฝากถอนเงิน โดยมีกลุ่มของผู้ก่อเหตุเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ก่อเหตุตั้งข้อสงสัยว่า ผู้เสียหายโกงเงินไป เนื่องจากยอดเงินไม่ตรง จึงได้มีการนัดหมายเพื่อพูดคุยกัน โดยมีคนมารับผู้เสียหายไปเจอกลุ่มผู้ต้องหาที่ร้านกาแฟในเขต ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี มีกลุ่มผู้ต้องหารออยู่ประมาณ 4-5 คน ได้มีการซักถามผู้เสียหายเกี่ยวกับเงินที่หายไป แต่ผู้เสียหายปฏิเสธ จึงถูกกลุ่มผู้ต้องหาเตะต่อยหลายครั้ง และได้หยิบเอาโทรศัพท์มือถือและแท็ปเล็ตของผู้เสียหายไป และได้กดโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปจำนวน 25,000 บาท ระหว่างนั้นได้มีการแสดงข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายเพื่อข่มขู่ จากนั้นได้พาผู้เสียหายนั่งรถไปที่ห้องพักของผู้เสียหายในย่านลาดพร้าววังหิน แขวง/เขตลาดพร้าว กทม. โดยคนที่พาไปได้มีการเปิดให้เห็นว่ามีการพกอาวุธปืนมาด้วย ทำให้ผู้เสียหายตกใจกลัวและยินยอมไปด้วยดี เมื่อถึงห้องพักพบว่าแฟนสาวของผู้เสียหายอยู่ด้วย กลุ่มผู้ต้องหาได้หยิบเอาทรัพย์สินเป็นรองเท้า และนาฬิกาเพิ่มไปอีก จากนั้นได้ขับรถกระบะหลบหนีไป ผู้เสียหายจึงตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือในเวลาต่อมา

จากข้อมูลดังกล่าว ประกอบกับการรวบรวมพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาจำนวน 7 ราย ประกอบด้วย

1. น.ส.พัชญ์วัญญ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เป็นคนซักถามและเอาโทรศัพท์ผู้เสียหายไปโอนเงิน

2. นายมนตรี (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เป็นคนซักถาม

3. นายชัยชนะ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี เป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย (มอบตัว)

4. น.ส.รมิตา (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี เป็นคนช่วยเช็คข้อมูลบัญชีของผู้เสียหาย (มอบตัว)

5. นายธเนศ (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี เป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย (มอบตัว)

6. นายกฤษฎา (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี เป็นคนขับรถพาไปห้องผู้เสียหาย (มอบตัว)

7. นายสุทัศน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี เป็นคนขับรถพาไปห้องผู้เสียหาย (มอบตัว)

โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ปล้นทรัพย์, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น โดยมีอาวุธ, หน่วงเหนี่ยว กักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือตกใจ โดยการขู่เข็ญ, กระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม ให้ได้รับความเดือดร้อน, มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วน” ล่าสุดผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวแล้วจำนวน 5 ราย เหลือติดตามจับกุม 2 ราย

นอกจากนี้ ในส่วนของการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายซึ่งกลุ่มผู้ต้องหานำมาข่มขู่นั้น จากการตรวจสอบพบว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความช่วยเหลือในการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว อยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผล หากพบว่าร่วมมือกับกลุ่มผู้กระทำความผิดจริง จะมีการดำเนินคดีถึงที่สุดต่อไป

‘อลงกรณ์’ นำทีมเกษตรลุยอีสานผนึกเครือข่ายประชาชน 8 จังหวัดแก้ปัญหาผลกระทบภาคเกษตรและประมงจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของแม่น้ำโขง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อภาคการเกษตรและประมงจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของแม่น้ำโขง ครั้งที่ 1/2566 (เฉพาะกิจ) และติดตามผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาด้านการเกษตรและด้านประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ.2566 – 2570 ณ โรงแรมบลู โฮเทล  นครพนม จ.นครพนม ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เพื่อร่วมกำหนดทิศทางการดำเนินงานโครงการที่เกี่ยวข้องและขับเคลื่อนแผนพัฒนาด้านการประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2566 – 2570 ประกอบด้วย 2 แนวทาง ได้แก่ แนวทางที่ 1 การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง และแนวทางที่ 2 การบริหารจัดการด้านการประมงและทรัพยากรสัตว์น้ำให้มีความยั่งยืนและคงความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ลุ่มน้ำ โดยบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (AIC) ประจำจังหวัด ภาคประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่กลุ่มลุ่มน้ำโขง  

สำหรับการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งนี้นับเป็นการประชุมเฉพาะกิจนอกพื้นที่ครั้งแรกร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินโครงการ/กิจกรรม ด้านการประมงและด้านการเกษตร แบ่งเป็น ด้านการประมง รวมจำนวน 31 โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น 13,012,140 บาท พื้นที่ดำเนินการ 8 จังหวัด ได้แก่ 

จังหวัดเชียงราย เลย หนองคายบึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี อาทิ โครงการการจัดการระบบนิเวศปลาหน้าวัด, โครงการธนาคารผลผลิตเกษตรด้านการประมงสนับสนุนธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วม, กิจกรรมส่งเสริมเยาวชนนักเพาะเลี้ยง, โครงการเพาะพันธุ์ปลายี่สกไทย (ปลาเอิน) ในแม่น้ำโขง เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่แม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา,  โครงการพัฒนาอาชีพการเลี้ยงปลาตะเพียนขาวในบ่อดิน เป็นต้น สำหรับด้านการเกษตรสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สป.กษ.) ได้สรุปแผนงาน/โครงการภายใต้แผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนระดับจังหวัด ปี 2566 – 2570 (ฉบับทบวน) รวมจำนวน794 โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น 7,770,595,287 บาท แบ่งเป็น งบจังหวัด/กลุ่มจังหวัด 304 โครงการ งบประมาณ1,124,048,495 บาท งบปกติ 375 โครงการ งบประมาณ 6,600,923,240 บาท และงบอื่น ๆ 70 โครงการ งบประมาณ 45,623,552 บาทโดยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาบรรจุแผนงาน/โครงการไว้ในคำของบประมาณประจำปีของหน่วยงานต่อไป

ที่ประชุมยังได้หารือและรับทราบในเรื่องอื่น ๆ ได้แก่ 

1. แนวทางการดำเนินการรักษาพันธุ์ปลาบึกในแม่น้ำโขง โดยกรมประมง ซึ่งมี 2 แนวทาง ดังนี้ 1.1) การอนุรักษ์นอกถิ่นแม่น้ำโขง โดยการปล่อยลงในแหล่งน้ำภายในประเทศ ซึ่งกรมประมงจะใช้แม่พันธุ์ปลาบึกรุ่น F1 เพื่อผลิตปลาบึกรุ่น F2 ที่ยังคงความหลากหลายทางพันธุกรรมและยังคงสามารถรักษาไว้ได้จากเดิมให้มากที่สุด โดยปลาบึกรุ่นลูกF2 นี้ สามารถนำไปเลี้ยงไว้ในอ่างเก็บน้ำเพื่อเป็นการนกษาพันธุ์ปลาลึกไว้นอกแหล่งที่อยู่อาศัย และใช้ประโยชน์เพื่อการเพาะเลี้ยงต่อไปได้ในอนาคต และ 1.2) สนับสนุนการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ให้แก่เกตรกร เนื่องจากปลาบึกมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง 

2. ความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาการเกษตรในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนทบทวนแผนพัฒนาการเกษตร ในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน โดย สำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สป.กษ. ได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 8 จังหวัด รับทราบและดำเนินการตามแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ.2566 – 2570 และแผนพัฒนาด้านการประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2566 – 2570 แล้ว 

3. ความก้าวหน้าการศึกษาพลับพลึงแม่น้ำโขงและแผนการนำพลับพลึงแม่น้ำโขงกลับไปปลูกคืนถิ่นเดิม โอกาสนี้นายอลงกรณ์ ได้มอบต้นพันธุ์พลับพลึงแม่น้ำโขง (Crinum viviparum) (ที่เพาะพันธุ์จากเมล็ด) ซึ่งถือเป็นพืชเฉพาะถิ่นหายาก และเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ จำนวน 30 ต้น ให้แก่ นางอ้อมบุญ ทิพย์สุนา ผู้แทนสมาคมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสานและ1จังหวัดภาคเหนือคือเชียงรายเพื่อนำไปจัดกิจกรรมให้ชุมชนในการปลูกในพื้นที่อาศัยเดิม ตำบลหาดคัมภีร์ อำเภอปากชม จังหวัดเลย ตามแผนการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์พันธุ์พลับพลึงแม่น้ำโขงของกรมประมงที่ทำการเก็บรวบรวมตัวอย่างต้นพันธุ์จากธรรมชาติ ตั้งแต่ปี 2564 และนำไปศึกษาเพาะเลี้ยงในระบบโรงเรือน และห้องปฏิบัติการจนได้ต้นพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ในปัจจุบัน 

“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะผลักดันและสนับสนุนการพัฒนาด้านการประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติสร้างความมั่นคงด้านอาชีพ พัฒนาขีดความสามารถในทุกด้าน เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนและเกษตรกร และคงความหลากหลายของทรัพยากรประมงในแม่น้ำโขงได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายอลงกรณ์ กล่าว

ทีมกู้ภัย กลุ่ม ปตท. เดินทางช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ใน ‘ตุรกี-ซีเรีย’

(10 ก.พ. 66) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศตุรกีและซีเรีย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบรุนแรงเป็นวงกว้าง ประชาชนหลายล้านคนเดือดร้อนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น 

สมาชิกชมรม PTT Group SEALs กลุ่ม ปตท. ได้แก่ บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนทอล เซอร์วิส จำกัด หรือ NPC S&E ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการช่วยเหลือเหตุภัยพิบัติ ได้ส่งทีมปฏิบัติการ พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ครบชุด เพื่อช่วยเหลือเรื่องการตรวจสอบสารเคมีในจุดเกิดเหตุ ก่อนดำเนินการค้นหาช่วยเหลือกู้ภัย โดยทีมปฏิบัติการเข้าร่วมภารกิจเดินทางไปพร้อมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ในนามรัฐบาลไทย ภายใต้บันทึกข้อตกลงโครงการ Urban Search and Rescue (USAR) เพื่อให้ความช่วยเหลือกรณีเกิดภัยพิบัติทั้งภายในและต่างประเทศ มีกำหนดปฏิบัติภารกิจเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 9 - 19 กุมภาพันธ์ 2566

'EA' ร่วมกับ 'มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์' สนับสนุนเครื่องออกซิเจน มอบให้ 'มูลนิธิกระจกเงา' ต่อลมหายใจผู้ป่วยในชุมชน

(10 ก.พ.66) กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ สนับสนุนเครื่องผลิตออกซิเจนจำนวน 100 เครื่อง ประกอบไปด้วย เครื่องขนาด 5 ลิตร จำนวน 50 เครื่อง และเครื่องขนาด 10 ลิตร จำนวน 50 เครื่อง 

5 หน่วยงานร่วมแถลงข่าวสร้างความชัดเจน 'บุหรี่ไฟฟ้า'

​วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 13.30 น. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ และกรมควบคุมโรค ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวเพื่อสร้างความรับรู้ความเข้าใจกรณีการบังคับใช้กฎหมายกับบุหรี่ไฟฟ้าและพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ณ ห้องประชุม 4 ชั้น ๒ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ​กรณีที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่าง ๆ และการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับ “บุหรี่ไฟฟ้า การสูบ - ครอบครอง ไม่ได้นำเข้า - ผลิต - ขาย ผิดกฎหมาย หรือไม่ ” ขอชี้แจงข้อเท็จจริง
เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้​​

​1.) กรณีผู้ขายหรือผู้ให้บริการบุหรี่ไฟฟ้า คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้มีคำสั่งที่  9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งมีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหลายชนิด รวมทั้งโลหะหนักที่เป็นสารก่อมะเร็ง และมีปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจส่งผลกระทบเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้น ผู้ใดขายหรือให้บริการ มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ เปิดงานวันวิชาการ 'ร้อยหัตถาบูรณาการสานสู่วิชาชีพ ปีการศึกษา 2565'

เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.00 น. วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ จัดงานวันวิชาการ “ร้อยหัตถาบูรณาการสานสู่วิชาชีพ ปีการศึกษา 2565” โดยมีนางวราภรณ์ ฟูสามป๊อก รองศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่ ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วย ผู้บริหาร คณะครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา และ ผู้มีเกียรติร่วมงาน ณ บริเวณหน้าอาคาร 7 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ 

นางวราภรณ์ ฟูสามป๊อก รองศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดงานวันวิชาการ “ร้อยหัตถาบูรณาการสานสู่วิชาชีพ ปีการศึกษา 2565” ในวันนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นการเปิดโอกาส ให้นักเรียน นักศึกษา ได้แสดงผลงาน ถือว่ามีความสำคัญในการส่งเสริมให้มีเจตคติที่ดี ต่ออาชีพ มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในตนเองต่อการเรียนสายวิชาชีพ การจัดทำโครงงาน การสร้างและพัฒนาผลงานโดยบูรณาการความรู้ทักษะจากศาสตร์ต่าง ๆ ในสาขาวิชาชีพ ที่ศึกษา ตามกระบวนการด้วยความรับผิดชอบ มีวินัย มีคุณธรรม มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ขยัน อดทน สามารถทำงานเป็นรายบุคคลหรือทำงานเป็นกลุ่มให้แล้วเสร็จตามระยะเวลา ที่กำหนด อีกทั้งสามารถนำเสนอผลงานด้วยรูปแบบต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานวันวิชาการ “ร้อยหัตถาบูรณาการสานสู่วิชาชีพ ปีการศึกษา 2565” ในวันนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้สำเร็จการศึกษา ที่มีคุณภาพ ต่อไป 

นายพิทยาธรณ์ แจ่มศรี รองผู้อำนวยการ รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) มุ่งเน้นการปฏิบัติจริง และจัดการเรียนการสอนได้หลากหลาย รูปแบบ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการและวิธีการดำเนินงาน มีทักษะการปฏิบัติงาน ตามแบบแผนในขอบเขตสำคัญและบริบทต่างๆ ที่ต้องใช้การตัดสินใจ การวางแผน การแก้ไขปัญหา และการปฏิบัติงานในบริบทใหม่ๆ รวมทั้งรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น มีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ เจตคติและกิจนิสัยที่เหมาะสมในการทำงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top