Monday, 28 April 2025
NEWS FEED

‘ศาลอาญา’ สั่งจำคุก 3 ปี 6 เดือน ‘เก็ท โมกหลวงริมน้ำ’ ฐานปราศรัยดูหมิ่น-แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันฯ

(24 ส.ค. 66) ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบัน หมายเลขดำ อ.1447/2565 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง หรือเก็ท แกนนำกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ เป็นจำเลยในความผิดฐาน ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ

โดยอัยการโจทก์ฟ้องสรุปความผิดว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565 จำเลยได้ปราศรัยระหว่างทำกิจกรรม ทัวร์มูล่าผัว ดูหมิ่นในหลวงรัชการที่ 10 และพระราชินี โดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการดูหมิ่นสถาบัน แสดงความอาฆาตมาดร้ายให้เกิดความเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

เหตุเกิดที่แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้ว เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4,9 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และพระราชินี จำคุก 3 ปี ฐานใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา

ส่วนคำขอให้นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 11 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 1423/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ 953/2566 ของศาลอาญา นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลพิพากษารอการลงโทษจึงไม่มีโทษจำคุกให้นับโทษต่อยกคำขอส่วนนี้

‘ชัยวุฒิ’ แจ้ง Google ปิดกั้นแอป Digital Wallet  สกัดมิจฉาชีพ ตุ๋นรับเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท

(24 ส.ค. 66) นายชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพได้มีการโฆษณาชวนเชื่อและหลอกลวงให้ประชาชนดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Digital wallet เพื่อรับเงินดิจิทัล จำนวน 10,000 บาท กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ทำการตรวจสอบแอปพลิเคชันดังกล่าวแล้ว พบว่า เป็นแอปพลิเคชันปลอมที่มิจฉาชีพหลอกให้ประชาชนเข้าไปโหลดแอปพลิเคชัน จากนั้นจะใช้แอปพลิเคชันที่สามารถเข้าถึงมือถือจากภายนอกเข้ามาขโมยถอนเงินจากบัญชีของท่าน ซึ่งขณะนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แจ้ง google ให้ปิดกั้นแอปดังกล่าว โดยจะติดตามตรวจสอบต่อไป

ขอให้ทุกท่านงดเว้น ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Digital wallet ทุกกรณี หากมีข้อมูลที่ต้องการสอบถามหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือได้รับการแจ้งข้อมูลที่ผิดปกติผ่านเอสเอ็มเอส หรือทางโทรศัพท์ สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และโทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ตลอด 24 ชั่วโมง

‘ศรีสุวรรณ’ ยื่น ป.ป.ช. สอบ ‘กรมราชทัณฑ์’ หลังส่อเอื้อ ‘นช.ทักษิณ’ ได้สิทธิเกินขอบเขต

(24 ส.ค. 66) ที่สำนักงานใหญ่ ป.ป.ช.นนทบุรี นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยว่า ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ทั้งระบบ มีส่วนช่วยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องโทษจำคุก 8 ปีตามคำพิพากษาของศาลอาญาทุจริตฯให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่วันเดียว แต่กลับอนุมัติให้ไปนอน รพ.ตำรวจแทน แค่เป็นโรคความดันขี้ประติว ชี้อาจเป็นทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกัน เข้าข่ายร่วมกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หลังจากที่ นช.ทักษิณถูกนำเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทำการตรวจสุขภาพตามระเบียบแล้วเพียงไม่กี่นาที กรมราชทัณฑ์ก็ออกมาตั้งโต๊ะแถลงว่านายทักษิณจัดให้อยู่ในกลุ่มเปราะบาง เพราะอายุเกิน 70 ปี และดูแค่ประวัติทางการรักษาที่ผ่านมาป่วยถึง 4 โรค คือ โรคกล้ามเนื้อขาดเลือด, โรคปอดอักเสบเนื่องมาจากติดเชื้อโควิด-19, โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ดังนั้น ต้องเฝ้าระวังรักษาอย่างต่อเนื่องหลายโรค ที่ต้องดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การอ้างสุขภาพยาวเหยียดดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อพฤติกรรมของนายทักษิณก่อนหน้านี้ ที่ขณะอยู่ต่างประเทศออกมาโชว์ฟิตปั๋งไม่มีปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด บินเดินทางไปประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นว่าเล่น ไม่เห็นแสดงอาการของคนป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด แต่พอเข้าไปในรั้วของเรือนจำกลับเป็นชายแก่อมโรค ที่กรมราชทัณฑ์ต้องทะนุถนอม แยกขังเดี่ยว และยังไม่ทันข้ามคืนก็อนุมัติให้ไปนอนรักษาตัวบนเตียงนอนนุ่มๆ ของ รพ.ตำรวจ ด้วยเหตุผลมีอาการความดันขึ้นสูง รพ.ราชทัณฑ์ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีพอรักษาได้ ซึ่งเป็นที่ครหาของสังคมและญาติผู้ต้องขังอื่น ที่ส่วนใหญ่ก็มักเป็นโรคความดันโลหิตสูงกันส่วนใหญ่ว่า ได้รับการทะนุถนอมเหมือน นช.ทักษิณหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในส่วนของทรงผม นช.ทักษิณนั้นอ้างว่าไม่ต้องตัด ไม่ต้องกล้อนผมอย่างนักโทษทั่วไป เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้สูงอายุนั้น ถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ขัดต่อระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตัดผมผู้ต้องขัง พ.ศ.2565 ที่บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.65 เป็นต้นมาแล้ว โดยในระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ชัดเจนในข้อ 9 ว่า “นักโทษเด็ดขาดชายให้ไว้ผมสั้น ด้านหน้าและด้านกลางศีรษะยาวไม่เกิน 5 ซม. ชายผมรอบศีรษะเกรียนชิดผิวหนัง” และระเบียบดังกล่าวไม่ได้มีข้อกำหนดเป็นข้อยกเว้นไว้ให้เทวดาคนใด จะเลี่ยงไม่ตัดไม่ได้

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า พฤติการณ์และการกระทำของผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ มีข้อพิรุธอีกมากมายที่สังคมไทยไม่ควรปล่อยให้ระบบราชการของรัฐใช้อำนาจหรือดุลยพินิจที่อาจขัดต่อระเบียบ กฎหมาย และรัฐธรรมนูญ 2560 ม.27 ประกอบ ปอ.ม.157 อันเกี่ยวกับการห้ามการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวกับสภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมได้ องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมายื่นร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง

'สรยุทธ' หยิบภาพประสานใจ 'พิธา-หมอชลน่าน' โปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' เพราะใช้ภาพจริงไม่ได้

(24 ส.ค. 66) รายการ 'กรรมกรข่าว คุยนอกจอ' ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต้องโปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' แต่ไม่สามารถใช้ภาพจากละครได้ เนื่องจากอาจโดนเรื่องลิขสิทธิ์ จึงใช้ภาพ ‘พิธา-หมอชลน่าน’ แทนในการโปรโมตละคร พร้อมกับโดยระบุว่า…

“ภาพประกอบก็ไม่มี แต่ก็อยากโปรโมตให้เหลือเกิน จำเป็นต้องโปรโมต เกมรักทรยศ เป็นเรื่องราวของชีวิตคู่ที่สงบสุข และสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ของหมอเจน (รับบทโดยแอน ทองประสม) จิตแพทย์ชื่อดัง กับสามีรูปหล่อชื่ออธิน (รับบทโดยอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) เจ้าของโรงแรมที่กำลังขาดทุน โดยหมอเจนเกิดความสงสัยว่าสามีจะมีชู้ เพราะเห็นเส้นผมปริศนาจากผ้าพันคอ และความจริงก็คือคนรอบตัวรู้เห็นเป็นใจให้สามีนอกใจหมอเจน”

นายสรยุทธกล่าวต่อว่า “ขอเดาว่า จะต้องมีการเอาคืน จะประมาณว่า ‘อย่าเพิ่งรีบตาย’ อย่าเพิ่งรีบเป็นอะไรไปนะ จริง ๆ เราจำเป็นต้องโปรโมตละครเรื่องนี้นะ”

ทั้งนี้ภาพที่นำขึ้นมาประกอบละคร ‘เกมรักทรยศ’ เป็นภาพ 8 พรรคร่วมรัฐบาลนำโดยพรรคก้าวไกล จัดแถลงข่าวที่พรรคประชาชาติ โดยในครั้งนั้นนายพิธาและหมอชลน่านได้ทำท่าประสานมือเป็นรูปหัวใจถ่ายรูปต่อหน้าสื่อมวลชน

ต่อมาเป็นภาพวันที่ก้าวไกลแถลงส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และภาพเหตุการณ์วันที่พรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ มาเยือนพรรคเพื่อไทย และดื่มเครื่องดื่ม ‘ช็อกมิ้นต์’ ด้วยกัน โดยตลอดช่วงที่โปรโมตละครใช้เพลง ‘คืนความสุขให้ประชาชน’ ก่อนที่จะมีคอมเมนต์ขอให้ปิดเพลง

ทอ. ส่งเฮลิคอปเตอร์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน มีภาวะสมองขาดเลือด ส่งรักษาตัวที่ รพ.ตรัง

เมื่อวานนี้ (22 ส.ค. 66) ที่กองบิน 7 จังหวัดสุราษฎร์ธานี กองทัพอากาศ โดยกองบิน 7 ได้รับการประสานจากโรงพยาบาลระนอง ขอรับการสนับสนุนการลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศ จากสนามบินระนองของกองทัพอากาศ ภูเขาหญ้า ตำบลหงาว อำเภอเมือง จังหวัดระนอง

สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหญิง อายุ 91 ปี มีอาการปากด้านซ้ายเบี้ยว แขนซ้ายไม่มีแรง พูดไม่รู้เรื่อง 
ตามองไปด้านขวา ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบหรือหลอดเลือดอุดตัน จึงต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรักษายังโรงพยาบาลตรัง

ทางพล.อ.อ.อลงกรณ์ วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ได้สั่งการให้ศูนย์ยุทธการทางอากาศ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 11 (EC-725) เพื่อปฏิบัติภารกิจดังกล่าว และมอบหมายให้ นาวาอากาศเอก ณัฏฐวุธ ดวงสูงเนิน ผู้บังคับการกองบิน 7 เป็นผู้อำนวยการปฏิบัติ

โดยเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 11 (EC-725) สังกัดหน่วยบิน 2037 พร้อมชุดลำเลียงทางอากาศสายแพทย์โรงพยาบาลกองบิน กองบิน 7 ได้ปฏิบัติงานร่วมกับโรงพยาบาลระนอง ในการลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศ สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เส้นทางบิน กองบิน 7 - สนามบินระนองของกองทัพอากาศ ภูเขาหญ้า - ท่าอากาศยานตรัง เพื่อส่งตัวเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลตรัง

เปิดประวัติ ‘หมออ้อม’ แพทย์ชำนาญการเวชศาสตร์ชะลอวัย คู่ชีวิตที่เคียงข้าง ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 30

(22 ส.ค.66) หลังจากสมาชิกรัฐสภาลงคะแนนเลือกให้ ‘นิด’ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จาก พรรคเพื่อไทย ขึ้นมาบริหารประเทศ ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อีกหนึ่งคนที่สปอร์ตไลท์จะฉายไปจับจ้องก็คือ สตรีหมายเลข 1 ‘หมออ้อม’ พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน ภรรยาคู่ใจของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นั่นเอง

วันนี้ คมชัดลึก เลยขออาสาพาไปทำความรู้จักกับ ‘หมออ้อม’ พญ.พักตร์พิไล สาวสังคมสุดเปรี้ยวที่การันตีเลยว่าผู้คนในแวดวงไฮโซไม่มีใครไม่รู้จักเธออย่างแน่นอน

‘หมออ้อม’ พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน เป็นแพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ชะลอวัย และความงามด้านผิวพรรณ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ เธอจบปริญญาตรีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นได้รับทุนเล่าเรียนหลวง ศึกษาและฝึกปฏิบัติการด้านผิวหนังจากศูนย์การแพทย์ไลออนส์ สุพรรณหงส์ กรุงเทพฯ (ปี 2529-2530) ศึกษาและฝึกปฏิบัติด้านแสงเลเซอร์กับศาสตราจารย์ ลีออน โกลด์แมน ผู้ได้ฉายาว่า บิดาแห่งเลเซอร์ ที่เมืองซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา

นอกจากบทบาทในการทำงานด้านความงาม ‘หมออ้อม’ พญ.พักตร์พิไล ยังใส่ใจงานด้านสังคมโดยช่วยหมอกฤษณ์ จาฏามระ จัดทำโครงการบ้านพิงพักให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายที่ขาดแคลนทุนทรัพย์มีที่พักพิง

ด้านชีวิตส่วนตัว ‘หมออ้อม’ พญ. พักตร์พิไล ทวีสิน สมรสกับ เศรษฐา ทวีสิน มีบุตร 3 คน คือ

ลูกชายคนโต ‘น้อบ’ ณภัทร ทวีสิน จบจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และฮาร์วาร์ด บิซิเนส สกูล ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้เข้าทำงานที่ Raine group นิวยอร์ก

ส่วนลูกชายคนกลาง ‘แน้บ’ วรัตม์ ทวีสิน เรียนจบปริญญาตรีและปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เข้าทำงานที่ Bain Consulting ลอนดอน

ขณะที่ลูกสาวคนเล็ก ‘นุ้บ’ ชนัญดา ทวีสิน หลังจากจบปริญญาตรีและปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ทำงานเป็น Educational Counselor ที่ Edusmith ซึ่งตอนนี้เธอกำลังสนุกกับการทำธุรกิจด้านอาหารในเมืองไทย 

'วราวุธ' ยกผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชู!! 'วิธีคิด-ปรับตัว' สร้างแรงขับเคลื่อนแก่ภาคการเกษตร

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 66 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ได้ให้เกียรติบรรยายให้กับผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) รุ่นที่ 4 ซึ่งจัดโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ มูลนิธิเกษตราธิการ และ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปทุมธานี ในประเด็น ‘ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับด้านภาคเกษตรไทย’ เน้นย้ำ การปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ ให้เกิดแรงขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะนำพาประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ได้อย่างยั่งยืน

นายวราวุธ ได้กล่าวถึง ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ว่าประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับ 19 ของโลก ซึ่งมาจากภาคการเกษตรกว่า 56.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทำให้ต้องปรับปรุงยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย หรือ LT-LEDS และจัดทำเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 (The 2nd updated NDC) โดยทบทวนแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกรายสาขาที่สอดคล้องกับเป้าหมาย NDC ซึ่งมีการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญ ทั้งด้านการพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศ จัดทำแนวทางและกลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต ส่งเสริมภาคเกษตรในการลดก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการ Thai Rice NAMA ทำนาวิถีใหม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และพัฒนาโครงการ Thai Rice GCF เสนอต่อกองทุนภูมิอากาศสีเขียว 

ในด้านการเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก มีการส่งเสริมการปลูกป่าและแบ่งปันคาร์บอนเครดิต ด้านการค้า/การลงทุน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยต้องขึ้นทะเบียนในระบบ CBAM registry และต้องยื่นขอสถานะ CBAM declarant ก่อนนำสินค้าเข้าไปยัง EU รวมถึงในด้านกฎหมาย ที่จะเร่งผลักดัน (ร่าง) พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ที่มีผลบังคับใช้ในวันนี้ (18 ส.ค.66) เป็นต้นไป เพื่อรองรับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ได้ฝากถึง ผู้บริหารระดับสูงในภาคการเกษตร ทุกท่าน ที่เข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรนี้ รวมถึงเครือข่าย ความร่วมมือต่าง ๆ ที่ทุกคนมี ให้ช่วยกระตุ้นภาคการเกษตร ให้ร่วมปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ สร้างแรงขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

เปิดโทษ ‘เมาแล้วขับ’ ในญี่ปุ่น หนักจนหลาบจำ เทียบบทลงโทษไทย ไม่สะเทือนสำนึกผู้กระทำผิด

(22 ส.ค.66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Naruphun Chotechuang’ โดย ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อธิบายถึงความเข้าใจด้านกฎหมายเกี่ยวกับเบียร์และเหล้าของคนไทยที่ยังมีไม่เพียงพอ โดยระบุว่า… 

จากโพสต์ที่แล้วพูดถึงมาตรฐานผู้ผลิตเบียร์และเหล้า ก็มีบางคอมเมนต์แย้งขึ้นมาดังภาพที่ 1 ก็ทำให้รู้ว่า คนไทยบางส่วนอาจยังเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับเบียร์และเหล้าไม่เพียงพอ เลยขออธิบายดังต่อไปนี้

- กฎหมายที่ภาพที่ 1 พูดถึง ผมว่าท่านคงเข้าใจผิด เพราะดูจากปีที่ตรากฎหมาย น่าจะเป็น พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 (*1) ครับ ไม่มีส่วนไหนพูดถึงการผลิตโดยตรง 

- กฎหมายการผลิตเบียร์และเหล้า ต้องไปศึกษากฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 (*2) อย่างที่เห็นปีครับ เพิ่งแก้ไขปรับปรุงปีที่แล้วเอง

กลับมาเข้าเรื่องที่อยากพูดครับ คือพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ทำให้ท่านรองประธานสภาอาจมีความผิดได้นั้น ในความเห็นส่วนตัว ผมว่าควรยกเลิกกฎหมายนี้ครับ เพราะถ้ากฎหมายที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายจราจรแบบละโทษของการเมาแล้วขับ มีโทษที่รุนแรงจนทำให้ประชาชนเกรงกลัว ไม่กล้าทำผิดกฎหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องมีการควบคุมเลย ผมจะยกกรณีศึกษาในการให้ความตระหนักของอันตรายที่เกิดจากการเมาแล้วขับของญี่ปุ่นมาเปรียบเทียบกับประเทศไทยครับ

กฎหมายที่ลงโทษผู้เมาแล้วขับ (飲酒運転) ของประเทศญี่ปุ่น บัญญัติไว้ในกฎหมายจราจร (道路交通法) โดยจะแบ่งโทษออกเป็นสองกรณี และแต่ละกรณีจะมีโทษด้านจราจร และโทษอาญาดังต่อไปนี้
กรณีที่ 1 ดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับ โดยมีค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 0.15 มิลลิกรัมต่อลมหายใจ 1 ลิตร 

1. โทษด้านจราจร
จะขึ้นอยู่กับค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ ดังต่อไปนี้
- ค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 0.15 มิลลิกรัมแต่ไม่ถึง 0.25 มิลลิกรัม จะโดนตัดแต้มจราจร 13 แต้ม และพักใบอนุญาตขับขี่เป็นเวลา 90 วัน
- ค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 0.25 มิลลิกรัม จะโดนตัดแต้มจราจร 25 แต้ม และยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ โดยไม่สามารถทำใหม่ได้เป็นเวลา 2 ปี

2. โทษอาญา 
- ผู้ขับมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 500,000 เยน 
- ผู้ที่รู้ว่าผู้ขับดื่มแอลกอฮอล์ แต่ยังให้ผู้ขับใช้รถ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 500,000 เยน 
- ผู้ที่รู้ว่าผู้ขับจะดื่มแอลกอฮอล์ แต่ก็ยังขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงผู้ที่โดยสารในรถคันเดียวกับผู้ขับที่รู้ว่าผู้ขับที่ดื่มแอลกอฮอล์ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับ 300,000 เยน

กรณีที่ 2 เมาแล้วขับ ไม่ต้องพูดถึงค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ใดๆ สามารถสังเกตอาการเมาได้จากท่าทางทันที เช่น สามารถเดินบนเส้นจราจรสีขาวได้ตรงหรือไม่ สามารถตอบคำถามกับตำรวจได้ปกติหรือไม่เป็นต้น 
1. โทษด้านจราจร
จะโดนตัดแต้มจราจร 35 แต้ม และยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ โดยไม่สามารถทำใหม่ได้เป็นเวลา 3 ปี 

2. โทษอาญา
- ผู้ขับมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ 1,000,000 เยน 
- ผู้ที่รู้ว่าผู้ขับดื่มแอลกอฮอล์ แต่ยังให้ผู้ขับใช้รถ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ 1,000,000 เยน 
- ผู้ที่รู้ว่าผู้ขับจะดื่มแอลกอฮอล์ แต่ก็ยังขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงผู้ที่โดยสารในรถคันเดียวกับผู้ขับที่รู้ว่าผู้ขับที่ดื่มแอลกอฮอล์ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 500,000 เยน

ถ้ามีประวัติการกระทำผิดซ้ำซากในเรื่องนี้ โทษก็จะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ และสิ่งที่น่าสนใจของกฎหมายญี่ปุ่นคือ ผู้ที่รู้ว่าผู้ขับดื่มแอลกอฮอล์ แต่ยังให้ผู้ขับใช้รถ และผู้ที่รู้ว่าผู้ขับจะดื่มแอลกอฮอล์ แต่ก็ยังขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงผู้ที่โดยสารในรถคันเดียวกับผู้ขับที่รู้ว่าผู้ขับที่ดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีโทษด้วย แม้จะไม่ได้เมาแล้วขับก็ตาม โทษอาญาก็เทียบเท่ากันด้วย

จะเห็นว่าโทษเมาแล้วขับของญี่ปุ่นมีความรุนแรงมาก นี่ยังไม่พูดถึงการเมาแล้วขับเป็นต้นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนะครับ และนอกจากโทษด้านจราจรและโทษอาญาแล้ว ยังมีโทษทางสังคมที่ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับจากสังคม สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ในสถาบันศึกษายามชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น ที่นักศึกษามีสถานะเป็นข้าราชการญี่ปุ่น เคยมีกรณีที่รุ่นพี่ท่านหนึ่งโดนจับข้อหาเมาแล้วขับ การลงโทษของสถาบันคือ ไล่ออกสถานเดียวครับ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ

เมื่อมาเทียบกับโทษของประเทศไทยที่มีเพียง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ตามปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด) และถูกศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ แทบจะเทียบกันไม่ได้เลย นอกจากนี้มาตรการลงโทษในสังคมไทยก็ยังเบาหวิว ผู้กระทำผิดแทบไม่ได้ผลกระทบใดๆ จากการทำผิดของเขายกตัวอย่างเช่น

- ว่าที่ สส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 27 ถูกจับเมาแล้วขับ ปัจจุบันยังทำงานอยู่ในกรรมธิการคณะหนึ่งอยู่ ภาพที่ 2 
https://www.thairath.co.th/news/politic/2694401 
- อธิบดีอัยการ เมาแล้วขับชนคน 1 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท รอลงอาญาไว้ 2 ปี ปัจจุบันยังคงทำงานเป็นอัยการอยู่ 
https://mgronline.com/crime/detail/9640000054252 
- นักบอลดาวรุ่งชลบุรี เมาแล้วขับชนคนเสียชีวิต 1 เจ็บ 1 คน ปัจจุบันกลับมาเป็นนักบอลแล้ว หลังจากหายหน้าไปไม่ถึงปี 
https://www.thaipbs.or.th/news/content/320821 
- ดาราเมาแล้วขับ ปัจจุบันก็ยังทำงานได้อย่างปกติ 
https://www.undubzapp.com/ดารา-เมาแล้วขับ-โดนจับ/
- ตะลึง! พบข้าราชการเมาแล้วขับถูกจับคุมประพฤติช่วงสงกรานต์ถึง 520 คน
https://mgronline.com/crime/detail/9620000039440 

จะเห็นได้ว่าประเทศไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาเมาแล้วขับ โทษที่เบาหวิว และคำว่าให้โอกาสสำหรับคนไทย เป็นสิ่งที่ทำให้ปัญหานี้ไม่เคยลดลง เป็นเหตุผลที่ผมคิดว่าควรจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายให้โทษเมาแล้วขับรุนแรงขึ้น บทลงโทษในสังคมก็ควรจะต้องเอาจริงเอาจัง เพราะสำหรับผมแล้วการเมาแล้วขับนั้น ผู้ดื่มรู้ตัวอยู่แล้ว แต่ก็ยังกระทำความผิดนั้น ถือเป็นความจงใจ ไม่ใช่ความประมาทแต่อย่างไร 
--------------------------------------------------------------------------
*1 พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551
https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor/c74d97b01eae257e44aa9d5bade97baf/files/lawalc/001_1alc.PDF 
*2 กฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565
https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2565/A/068/T_0001.PDF 

‘หมอตุลย์’ แนะ!! ราชทัณฑ์เชิญแพทย์ตรวจย้ำอีกครั้ง หลังโซเชียลแชร์ภาพ ‘ทักษิณ’ ยังสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ดี

(22 ส.ค. 66) นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี เรียนถึง ผู้อำนวยการโรงพยาบาล กรมราชทัณฑ์ โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า…

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่ากรมราชทัณฑ์แถลงข่าวว่า นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 10 ปี มีโรคต่าง ๆ รุมเร้า เช่น โรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น ต้องรับการรักษาที่ รพ.ภายนอก 

เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานและจริยธรรมทางการแพทย์ ผมขอเสนอให้ทางกรมราชทัณฑ์เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์มาตรวจร่างกายนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ว่ามีความจำเป็นต้องรับการรักษาโดยโรงพยาบาลภายนอกหรือไม่ และจำเป็นต้อง Admit หรือไม่ 

เพราะจากที่ปรากฏทางสื่อโซเชียลของตัวนักโทษเอง พบว่าสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะมีหลายโรคก็ตาม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาโดยสังคมทั่วไป และป้องกันมิให้มีการฟ้องร้องแพทย์กรมราชทัณฑ์ในข้อหาช่วยผู้ต้องหาให้ได้รับความสะดวกสบายผิดจากข้อเท็จจริงทางการแพทย์

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป
ขอแสดงความนับถือ 
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์

‘รมว.เฮ้ง’ สั่ง ‘กรมจัดหางาน’ เตรียมตำแหน่งงาน 1,682 อัตรา รองรับชาวมูโนะ จ.นราธิวาส หลังได้รับผลกระทบเหตุโกดังพลุระเบิด

(22 ส.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า มีความกังวลใจหลังได้รับแจ้งว่ามีผู้ประสบภัย จากกรณีเหตุการณ์โกดังดอกไม้เพลิงระเบิดพื้นที่ตลาดมูโนะ อำเภอสุไหงโกลกจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา กว่า 500 ชีวิต ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากการตกงานและนำมาสู่การขาดแคลนรายได้ 

จึงได้มอบหมายให้ ‘5 เสือ’ กระทรวงแรงงาน ติดตามให้ความช่วยเหลือตามภารกิจที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานในด้านต่าง ๆ โดยลงพื้นที่ซ่อมแซมบ้านเรือนและระบบไฟฟ้าที่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด ดูแลสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตน รวมทั้งดำเนินการตามข้อกฎหมายเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าของโรงงาน และผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว

จากนั้นกรมการจัดหางานจึงรับไม้ต่อในการให้ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานเพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ ทั้งยังจัดเตรียมตำแหน่งงานที่มีความใกล้เคียงกับตำแหน่งงานเดิม โดยลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ประสบภัย เพื่อหาทางออกและแนวทางช่วยเหลือให้ได้รับค่าชดเชย และเตรียมงานใหม่รองรับ เพื่อบรรเทาทุกข์ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว เป็นการแก้ปัญหาว่างงานและขาดแคลนรายได้ 

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานรับข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เร่งสั่งเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนราธิวาส ลงพื้นที่ดูแลแรงงานที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตั้งแต่หลังเกิดเหตุร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานมาโดยตลอด ซึ่งเจ้าหน้าที่มีการจัดเตรียมข้อมูลและลงพื้นที่ดูแล ทั้งในเรื่องการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานเพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ รวมทั้งรับลงทะเบียนสมัครงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประสบเหตุ 

โดยมีผู้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์หางานทำ ทั้งสิ้น 154 คนในจำนวนนี้ยืนยันความประสงค์จะทำงาน จำนวน 79 คน ซึ่งกรมการจัดหางานได้จัดเตรียมตำแหน่งงานว่างเพื่อรองรับแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบไว้แล้ว จำนวน 1,682 อัตรา ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส 412 อัตรา และจังหวัดใกล้เคียง ปัตตานี 798 อัตรา และยะลา 472 อัตรา อาทิ ตำแหน่งพนักงานทั่วไป ช่างเทคนิคและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง และพนักงานขาย เป็นต้น 

นอกจากนี้ ยังแนะนำช่องทางหางานเพิ่มเติมด้วยตัวเองที่เว็บไซต์ ไทยมีงานทำ doe.go.th ซึ่งมีตำแหน่งงานว่าง 222,505 อัตรา ไว้ให้บริการ โดยคนหางานสามารถเลือกสมัครงานทางออนไลน์ได้โดยไม่ต้องเดินทางซึ่งรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า นอกจากนี้บนแพลตฟอร์ม ‘ไทยมีงานทำ’ ยังให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถค้นหาข้อมูลตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด โดย Matching ตำแหน่งงานตามพื้นที่ และภูมิลำเนา รวมถึงจับคู่ตำแหน่งงานจากความรู้ ความสามารถ และทักษะที่มีอยู่

ทั้งนี้ คนหางานสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top