Wednesday, 18 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

'พลังประชารัฐ' เปิดศูนย์ช่วยเหลือ ปชช.เข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข สายด่วน 02-939-1111 ระดมทีมงานรับเรื่อง 10 ศูนย์ทั่วประเทศ เร่งส่งต่อผู้ป่วย ถึงมือแพทย์ จำกัดวงแพร่เชื้อโควิด -19

วันนี้ 29 เมษายน 2564  พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวเปิด "ศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 หรือ Call center ศปฉ.พปชร." ณ ที่ทำการพรรค ร่วมกับหัวหน้าศูนย์ภาค ทั้ง 10 ภาคพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการ เพื่อบูรณาการให้บริการประชาชนเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขรวดเร็วในภาวะ การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยมี ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 หรือ ศปฉ.พปชร. เป็นประธานเปิดศูนย์ พร้อมนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้อำนวยการพรรค นางสาวพัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส. กทม. เขต 2 ในฐานะโฆษกพรรค  นายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กทม.เขต 30 ในฐานะหัวหน้าภาคกทม. และ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.เขต 9

ร้อยเอกธรรมนัส  กล่าวว่าวันนี้ได้ทำการเปิดศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 หรือ ศปฉ.พปชร. จำนวน 10 ภาค อย่างเป็นทางการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อโควิด-19 ให้เข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็ว และเป็นแนวทางในการจำกัดการแพร่ระบาดไม่ให้ขยายในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่เน้นย้ำให้การดูแลประชาชนให้ได้ทั่วถึงมากที่สุด

ทั้งนี้การเปิดศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 ของพรรค เรามีสมาชิกกระจายอยู่ทั่วประเทศ ที่พร้อมในการดูแลประชาชนในทุกพื้นที่จึงมอบหมายให้ศูนย์ภาคที่มีอยู่ทั้ง 10 แห่ง เป็นศูนย์กลางรับเรื่อง และประสานงานกับสาธารณสุขในพื้นที่ โดยแต่ละภาคจะมีหัวหน้าศูนย์ ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการ ทั้งการจัดเจ้าหน้าที่รับเรื่องจากประชาชน การบริหารข้อมูล เพื่อจัดส่งไปยังสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“สถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ครั้งนี้ จะต้องอาศัยความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อให้การบริหารจัดการวิกฤต มีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมสถานการณ์ให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเป็นเป้าหมายของรัฐบาล ที่ต้องการให้ประชาชนคนไทยทุกคน สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้โดยเร็ว รวมถึงรัฐบาลยังได้เร่งจัดหาวัคซีน เพื่อให้เพียงพอกับประชาชน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันตามมาตรฐานสาธารณสุขสากล” ร้อยเอกธรรมนัส กล่าว

นางสาวพัชรินทร์ ระบุว่าในส่วนการจัดตั้ง ศปฉ.พปชร. นับตั้งแต่ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตามที่ได้รับมอบหมายจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ให้เปิดดำเนินการร่วมกับศูนย์ภาคทั้ง 10 ภาค ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานกับ ส.ส.ในพื้นที่ ในการเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ พบว่าในพื้นที่ภาค1-9 ยังไม่พบปัญหาผู้ติดเชื้อมากนัก และไม่มีปัญหาการให้บริการผู้ป่วยติดเชื้อเข้ารับการรักษา โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ จะอยู่ในพื้นที่ กทม. เนื่องจากมีจำนวนผู้ป่วยจำนวนมาก

ด้านนายจักรพันธ์ กล่าวว่า กทม.ถือเป็นพื้นที่หัวใจของการแพร่ระบาด จะเห็นจากสถิติจาก ศบค. ที่รายงานการติดเชื้อในแต่ละวัน ขณะนี้เป็นผู้ป่วยจากกทม.ไม่ต่ำกว่า 50% ดังนั้นหากคุมการแพร่ระบาดในกทม.ได้ ตนเชื่อว่าจะสามารถช่วยให้การควบคุมการระบาดระลอกนี้ได้เกือบทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาส.ส.กทม.ทั้ง 12 คน ของพรรคพลังประชารัฐ ได้ประสานหน่วยงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนในเขตหรือนอกเขตตนเองอยู่แล้ว โดยข้อมูลที่รวบรวมได้ตั้งแต่การเริ่มระบาดรอบนี้มีกรณีประสานโรงพยาบาลมารับ การส่งตรวจหาเชื้อ และการช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้เนื่องจากสมาชิกหลักในครอบครัว ต้องเข้ารับการรักษาโควิด รวมมากกว่า 50 กรณี อย่างไรก็ตามแม้เจ้าหน้าที่ระดมสรรพกำลังแล้ว ในข้อเท็จจริง ก็ปรากฏว่ายังมีกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงการบริการภาครัฐได้ ดังนั้น ศปฉ.พปชร. นี้ ก็จะสามารถเข้ามามีบทบาทเป็นตัวกลางประสานความช่วยเหลือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ให้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยขั้นตอนการทำงานของศูนย์นั้น ท่านสามารถติดต่อมาที่หมายเลข 02 -939-1111  ซึ่งจัดรองรับไว้ 30 คู่สาย ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-21.00น. รวมถึงประชาชนสามารถขอความช่วยเหลือผ่านการ Inbox มาในเพจ Facebook ของพรรคได้ที่ https://www.facebook.com/PPRPThailand/ พร้อมแจ้งรายละเอียด เราจะมีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ และเร่งนำข้อมูลส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ หรือศูนย์ภาคทั้ง 10 แห่งทั่วประเทศ เพื่อดำเนินงาน ประสานงานจัดส่งผู้ป่วยเข้าสู่การบริการสาธารณสุขโดยเร็ว

สำหรับหัวหน้าศูนย์ภาคของพรรค จำนวน 10 แห่ง ประกอบด้วย ภาค 1 นายยงยุทธ สุวรรณบุตร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 2 หัวหน้าภาค ภาค 2 นายฐานิสร์ เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว เขต 1 หัวหน้าภาค ภาค 3 นางทัศนียา รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา เขต 7 หัวหน้าภาค ภาค 4 นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าภาค ภาค 5 นายจีรเดช ศรีวิราช ส.ส.พะเยา เขต 3 หัวหน้าภาค ภาค 6 นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ ส.ส.เพชรบูรณ์ เขต 3 หัวหน้าภาค ภาค 7 นายสุชาติ อุตสาหะ ส.ส.เพชรบุรี เขต 3 หัวหน้าภาค ภาค 8 นายรงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 1 หัวหน้าภาค ภาค 9 นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.ยะลา เขต 1 หัวหน้าภาค ภาค กทม. นายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กทม. เขต 30 หัวหน้าภาค


https://www.facebook.com/493026767870664/posts/1136918370148164/

นครสวรรค์ – แมลงกระเบื้องปีกแข็ งบุกบ้านเรือนชาวบ้าน ตำบลหนองพิกุล อ.ตากฟ้า

วันที่ 29 เมษายน 2564 อบต.หนองพิกุล ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน หมู่ 1 ต.หนองพิกุล ว่ามีแมลงกระเบื้องปีกแข็ง มาก่อกวนสร้างความรำคาญ และมีจำนวนมากขึ้นตามผนังบ้านและภายในบ้าน จึงแจ้งมายัง อบต.หนองพิกุล ให้เจ้าหน้าที่ช่วยไปกำจัดแมลงกระเบื้องปีกแข็งให้ด้วย ดังนั้น นางสุวรรณา แจ้งมณี นายก อบต.หนองพิกุล มอบหมายให้ นายบุญมั่น มั่นนวล เลขานายกฯ รองปลัดฯ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.หนองพิกุล และผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 เข้าช่วยเหลือชาวบ้านและทำการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงกระเบื้องภายในที่พักอาศัยของชาวบ้าน หมู่ 1 บ้านหนองพิกุล อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์  2 หลัง คือ บ้าน นางเล็กอิ่มแย้ม บ้านเลขที่ 103 หมู่ 1 บ้านหนองพิกุล และบ้าน นางสาวลัดดา พันทะท้าว บ้านเลขที่ 2 หมู่ 1 บ้านหนองพิกุล

เนื่องจากแมลงกระเบื้องจะออกมาในช่วงฤดูฝน จึงได้นำเครื่องพ่นฝอยละออง ฉีดพ่นบริเวณโดยรอบที่อยู่อาศัย ฉีดให้โดนตัวแมลงจะตกมาตาย และสารเคมีที่ฉีดพ่นจะตกค้างอยู่ที่พื้นบริเวณบ้านประมาณ 6 เดือน ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง  หากบ้านเรือนประชาชนท่านใดมีแมลงกระเบื้องปีกแข็ง เข้ามาที่อยู่อาศัยจำนวนมากไม่สามารถกำจัดด้วยตนเองได้ โปรดแจ้งหรือมายื่นคำร้องขอความช่วยเหลือได้ที่ อบต.หนองพิกุล ได้ในเวลาราชการ ถ้าไม่ติดภารกิจก็จะออกปฏิบัติในทันที ทันต่อเหตุการณ์ในการกำจัดแมงกระเบื้องปีกแข็ง ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับชาวบ้านทันที 


ภาพ/ข่าว สมเกียรติ วงษ์อยู่น้อย ตาคลีรายงาน

ส.อ.ท. เปิดผลสำรวจ '200 CEO ต่อแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ'​

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 5 ในเดือนเมษายน 2564 ภายใต้หัวข้อ “ความเห็นต่อแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ (ZEV หรือ Zero Emission Vehicle) และต้องการให้ภาครัฐเริ่มดำเนินการให้เร็วยิ่งขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าก่อนปี 2568

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 200 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ต้องการให้ภาครัฐเริ่มดำเนินการแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้เร็วขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายก่อนกำหนดในปี 2568 คิดเป็น ร้อยละ 47.0 รองลงมาเห็นด้วยตามกรอบระยะเวลาตามแผนฯ ที่จะเริ่มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในปี 2568 คิดเป็น ร้อยละ 31.5 และมีเสนอให้เลื่อนการดำเนินงานตามแผนฯ ออกไป 5 ปี และ 10 ปี คิดเป็นร้อยละ 11 และร้อยละ 10.5 ตามลำดับ 

สำหรับปัจจัยที่จะเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับเรื่องราคารถยนต์ไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา คิดเป็นร้อยละ 78.5 รองลงมาเป็นเรื่องการเพิ่มสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) ให้เพียงพอและครอบคลุมทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 75.0 และถัดไปเป็นเรื่องระยะทางในการใช้งานที่เหมาะสมของรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งความสะดวกในการชาร์จ คิดเป็นร้อยละ 56.0

.

.

ทั้งนี้ หากมองถึงมาตรการของภาครัฐที่จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ตามปริมาณ CO2 คิดเป็นร้อยละ 76.5 รองลงมาเป็นการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ Charging Station ให้จูงใจผู้ใช้งาน คิดเป็นร้อยละ 59.5 และการปรับปรุงภาษีรถยนต์ประจำปีเพื่อสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า คิดเป็นร้อยละ 55.5 ในส่วนการเตรียมความพร้อมของภาครัฐเพื่อรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต 3 อันดับแรก พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการลงทุนตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) ให้มีสถานีเพียงพอและครอบคลุมในแต่ละพื้นที่ คิดเป็นร้อยละ 85.0 รองลงมาเป็นการบริหารจัดการซากรถยนต์และแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ คิดเป็นร้อยละ 65.5 และการเตรียมการจัดหาไฟฟ้าและพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานในระยะยาว คิดเป็นร้อยละ 54.5            

นอกจากนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงกรณีที่ภาครัฐจะเร่งรัดการใช้และการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในเรื่องใดบ้าง พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้มีการผลิตแบตเตอรี่ที่คุณภาพดีและมีราคาเหมาะสมภายในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 65.5 รองลงมาเป็นการเตรียมการปรับปรุงโครงสร้างภาษีและพิกัดศุลกากรเพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ คิดเป็นร้อยละ 62.5 และการช่วยเหลือผู้ประกอบการใน Supply Chain ของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (ICE) ในการปรับตัวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า คิดเป็นร้อยละ 61.5

ทั้งนี้​ จากผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมที่ควรจะต้องเร่งปรับตัวและได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อเตรียมความพร้อมตามแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ พบว่า 3 อันดับแรก คือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ คิดเป็นร้อยละ 88.5 รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและเกษตรกรที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ 49.0 และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 46.5

แม่ฮ่องสอน - ชายแดนสาละวินเสียงปืนยังดัง ราษฎรเมียนมาอพยพข้ามาฝั่งไทยแล้ว 179 ราย ทหารตรึงกำลังคุม ขณะที่ราษฏรไทยบ้านท่าตาฝั่งและแม่สามแลบ หวั่นโดยกระสุนลูกหลงอพยพออกจากหมู่บ้านไปอยู่พื้นที่ปลอดภัย

ศูนย์สั่งการชายแดน ไทย - เมียนมา ด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดย นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย -เมียนมา จ.แม่ฮ่องสอน ประจำวันที่ 29 เม.ย. 64 น. ว่า จากสถานการณ์ของเมื่อวานที่ผ่านมา ยังมีเสียงปืน ชนิด ค.60 จำนวน 2 ลูก ทางทิศใต้ของ ฐานฯ แม่สะล็อก รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 1 กม. คาดว่า ทหารเมียนมา พบความเคลื่อนไหวของ กองกำลังKNU จึงทำการยิงอาวุธปืน ค.60 เพื่อป้องกันการลอบโจมตี ฐานฯ ต่อมาช่วงเย็นได้ยินเสียงปืน ค.60 จำนวน 2 ลูก ทางด้านทิศใต้ ฐานฯ ด๊ากวิน ของทหารเมียนมา ด้านตรงข้าม ฐานฯ บ.ท่าตาฝั่ง ฯ ห่างจากชายแดนไทย ประมาณ 1 กม. คาดว่า ทหารเมียนมา เห็นความเคลื่อนไหว กองกำลัง KNU จึงทำการยิงอาวุธเพื่อป้องกันการลอบโจมตีฐาน ผลการยิงทั้งสองช่วงไม่ทราบความเสียหาย ต่อมาในเย็นวันเดียวกัน  เวลา 17 .00 - 17.12 น ทหารเมียนมา ได้นำเครื่องบินปีกหมุน (ไม่ทราบแบบ) จำนวน 2 ลำ ปฏิบัติการทางทหาร จำนวน 6 ครั้ง เข้าโจมตีด้วยปืนกลทางอากาศ จำนวน 6 ชุด และสลับกับยิงลูกจรวดอากาศสู่พื้น บริเวณทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของฐานฯด๊ากวิน ต้านตรงข้าม บ.ท่าตาฝั่ง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 1.5 กม เพื่อสกัดและป้องกันรอบฐานที่มั่น ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางฝ่ายความมั่นคงตามแนวชายแดนยังสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้        

      

ทั้งนี้หลังเกิดเหตุการณ์สู้รบในฝั่งประเทศเมียนมา มีราษฎรชาวเมียนมา ข้ามมายังฝั่งไทยจากเหตุความไม่สงบในเมียนมา อาศัยอยู่ใน พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว 3 แห่งรวมทั้งสิ้น 179 คน กระจายในพื้นที่ 3 จุด คือ บริเวณตรงข้ามฐานฯดาข่วย ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จำนวน 68 คน  บริเวณห้วยอีนวล ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จำนวน 39 คน  และ บริเวณห้วยโกเฮ ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จำนวน 72 คน

ในส่วน กรณีราษฎรไทย ได้รับผลกระทบจากการสู้รบในประเทศมียนมา ใน 2 พื้นที่ รวมทั้งสิ้น 278 คน ได้จัดให้พำนักในพื้นที่รวบรวมพลเรือน 2 แห่ง คือ ราษฎรไทยพื้นที่ บ.แม่สามแลบ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย ได้อพยพไปยังพื้นที่รวบรวม พลเรือนโรงเรียนบ้านห้วยกองก้าด ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ประมาณ 450 คน เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 64 ที่ผ่านมา ณ ปัจจุบันบางส่วนได้ไปพักอาศัย ในบ้านญาติ ขณะนี้คงเหลือในพื้นที่พักรอ จำนวน 208 คน และ ราษฎรไทยในพื้นที่ บ.ท่าตาฝั่ง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จำนวน 70 คน ได้อพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย ที่พักริมห้วยกองคา ต.ท่าตาฝั่ง อ.แม่สะเรียง ซึ่งชาวบ้านที่อพยพออกมาส่วนใหญ่หวั่นกระสุนลูกหลงของการสู้รบในฝั่งประเทศเมียนมา

ขณะที่พื้นที่บ้านแม่สามแลบยังถูกห้ามไม่ให้สื่อมวลชนและบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องข้าเด็ดขาดเนื่องจากต้องป้องกันความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของสถานการณ์การณ์โควิด และ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ ยังคง ตรึงกำลังมิให้มีการละเมิดหรือรุกล้ำอธิปไตย และ คอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกแก่ ผู้หลบหนีภัย และให้การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บตามหลักมนุษยธรรม


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / ถาวร  อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

ขอนแก่น – ฝนตกหนักน้ำท่วมถนนมิตรภาพ ยาวหลายกิโลเมตร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหาย

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 29 เม.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้เกิดฝนตกหนัก และมีลมกรรโชกแรงในหลายพื้นที่ของจังหวัดขอนแก่น ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉบับพลัน ทั้งถนนสายหลักสายรองรวมทั้งในซอยตามหมู่บ้าน โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันบนถนนมิตรภาพ ตั้งแต่ช่วง 4 แยกห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่าขอนแก่น ยาวไปถึงช่วง 4 แยกก่อนถึงโรงพยาบาลศรีนครินทร์ เป็นระยะทางหลายกิโลเมตร โดยปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาได้ไหลท่วมผิวจราจรบนถนนมิตรภาพ 4 ช่องทางจราจร เหลือเพียง 2 ช่องทางจราจรทั้ง 2 ฝั่งที่สามารถวิ่งได้ตามปกติ โดยระดับน้ำสูงประมาณ 30-50 ซม. ซึ่งรถเล็กควรหลีกเลี่ยงอาจทำให้น้ำเข้าท่อและเครื่องยนต์ได้ โดยทางเจ้าหน้าที่เทศบาลนครขอนแก่นได้ออกมาตรวจสอบและเปิดปากท่อเคลียร์เศษขยะออกให้น้ำสามารถระบายได้รวดเร็วขึ้น

พร้อมกันนี้ผู้สื่อข่าวยังได้สำรวจตามตรอกซอกซอยพบว่า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักยังส่งผลให้น้ำท่วมถนนสายหรองและถนนในชุมชนหลายแห่ง รถเล็กไม่สามารถขับผ่านได้เนื่องจากปริมาณน้ำสูงประมาณ 50 ซม. โดยเฉพาะที่ถนนบ้านกอกหน้ามหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และในซอยสวัสดี ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น โดย 2 จุดนี้เป็นจุดที่น้ำท่วมซ้ำซาก เนื่องจากปริมาณน้ำจะไหลมารวมกันในจุดนี้ทำให้เกิดน้ำท่วมขังฉับพลัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถระบายน้ำทั้งหมดได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมงหากฝนหยุดตก ขณะที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างสำรวจความเสียหายในภาพรวมเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนต่อไป

ชลบุรี - ฮือฮา ‘วาฬบรูด้า’ 2 คู่ น้ำหนักตัวละกว่า 4 ตัน โผล่เล่นน้ำหน้าเกาะสีชัง

วาฬบรูด้า ซึ่งมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 4 ตันต่อตัว ได้พากันแหวกว่ายหากินทะเลหน้าน่านน้ำหน้าเกาะสีชัง อย่างสนุกสนาน ทำให้นักท่องเที่ยวและไต๋เรือที่พบต้องรีบคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพเท่าที่ได้เก็บไว้ทันที เนื่องจากไม่ค่อยได้พบมากนัก

บรรยากาศบริเวณน่านน้ำทะเลศรีราชา เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี   เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 64  เมื่อมีนักท่องเที่ยวที่ไปพักผ่อนที่เกาะสีชัง และไต๋เรือ ที่นำเรือออกไปได้พบ ปลาวาฬบรูด้า สัตว์สงวนลำดับที่ 16 ของประเทศไทย  2 คู่  ซึ่งมีน้ำหนักแต่ละตัวไม่ต่ำกว่า 4 ตัน  และแยกเป็นคู่แหวกว่ายหากินไม่ห่างกัน ได้พากันแหวกว่ายหากินฝูงปลาเล็ก เช่น ปลากะตัก ที่ว่ายกันเป็นฝูง บริเวณร่องน้ำลึกที่เรือสินค้าผ่าน บริเวณน่านน้ำหน้าเกาะสีชังและหลังเกาะสีชัง อย่างสนุกสนานไปมา สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่นักท่องเที่ยวที่พาครอบไปพักผ่อนที่เกาะสีชัง และไต๋เรือที่ไปเจอเป็นอย่างมาก จนต้องรีบคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพเก็บไว้เท่าที่ถ่ายได้ทัน เพราะพบเห็นได้ไม่ง่ายนัก

โดยปลาวาฬบรูด้า ได้ขึ้นมาอวดโฉมให้เห็นพอแวบ ๆ ตอนพุ่งหัวขึ้นเหนือน้ำเพื่อล่าเหยื่อ หรือโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำอีกทีก็ตอนหายใจ โดยจะโผล่ส่วนหัวที่มีช่องหายใจขึ้นเหนือผิวน้ำ แล้วหายใจออกอย่างแรง จนทำให้เกิดฝอยละอองน้ำพุ่งขึ้นสูง 3-4 เมตร ก่อนจะหายใจเข้า ทิ้งตัวดำลงไปใต้ผิวน้ำ เมื่อมองจากที่ไกลๆ จึงเห็นแต่ฝอยละอองน้ำที่พุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำ กับเงาตะคุ่ม ๆ ของลำตัวหรือวงน้ำขนาดใหญ่ เท่านั้น  ซึ่งทำให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณน่านน้ำทะเลหน้าเกาะสีชัง – ศรีราชา ว่ายังมีความอุดมสมบูรณ์ทางทะเลเป็นอย่างมาก

ปลาวาฬบรูด้า ถือเป็นสัตว์ประจำถิ่นในอ่าวไทย ซึ่งได้มีการประกาศให้เป็นสัตว์ป่าสงวน ลำดับที่ 16 ในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 อีกด้วย


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

กาฬสินธุ์ - เข้ม 9 อำเภอ กันไข่แตก !! ปรบมือส่งกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโควิด

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์นำหัวหน้าส่วนราชการและกรมการจังหวัดลุกขึ้นยืนปรบมือ เพื่อเป็นการขอบคุณ  และสร้างขวัญกำลังใจให้กับทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 พร้อมกำชับทุกพื้นที่เข้มงวดตามมาตรการ โดยเฉพาะพื้นที่อีก 9 อำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วย

เมื่อวันที่ 29 เมษายน  2564 นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์เป็นประธานการประชุมคณะกรมการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการ ครั้งที่ 4/2564 ซึ่งเป็นการประชุมแบบ New Normal โดยเชิญเฉพาะผู้แทนกระทรวงเข้าร่วมประชุม  โดยมีนายเลิศบุศย์ กองทอง นายสนั่น พงษ์อักษร รองผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ พล.ต.ต.สมนึก มิควาฬ ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.อ.เรืองพงษ์ วงศรีสุข รองผอ.รมน.กาฬสินธุ์ นายพิชัย ส่งสุขเลิศสันติ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วมประชุม

โดยนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ได้กล่าวเชิญชวนให้คณะกรมการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการ ลุกขึ้นยืน พร้อมปรบมือ เพื่อเป็นการขอบคุณ สร้างขวัญและกำลังใจให้กับทีมแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ อสม.รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วย ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 พร้อมทั้งกำชับให้ทุกคนร่วมมือกันในการป้องกันตนเอง ด้วยการงดหรือชะลอการเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่อีก 9 อำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 ให้เข้มงวดและเร่งสร้างความความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ส่วนพื้นที่ 9 อำเภอที่พบผู้ป่วยแล้วก็ได้เข้มงวดปฏิบัติตามมาตรการของสาธารสุขเช่นกัน เพื่อที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดในรอบนี้ให้ได้ 

สำหรับสถานการณ์ล่าสุดวันที่ 29 เมษายน 2564 ไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มเติม โดยขณะนี้มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 61 ราย และรักษาหายสามารถกลับบ้านได้แล้ว 12 ราย  อยู่ระหว่างการรักษา 49 ราย โดยรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ 25 ราย โรงพยาบาลฆ้องชัย 14 ราย และพักฟื้นเพื่อรอกลับบ้าน ที่โรงพยาบาลสนามกาฬสินธุ์แห่งที่ 1 จำนวน 10 ราย ทั้งนี้พื้นที่ที่พบผู้ป่วยโควิด-19 มีจำนวน 9 อำเภอ ประกอบด้วย อ.ยางตลาด 24 ราย, อ.เมือง 10 ราย, อ.กมลาไสย 8 ราย, อ.สมเด็จ 5 ราย, อ.สหัสขันธ์ 5 ราย, อ.สามชัย 4 ราย,อ.กุฉินารายณ์ 3 ราย, อ.ดอนจาน 1 ราย และ อ.นาคู 1 ราย ส่วนพื้นที่อีก 9 อำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วยประกอบด้วย อ.ฆ้องชัย อ.ร่องคำ อ.ห้วยเม็ก อ.หนองกุงศรี อ.ท่าคันโท อ.เขาวง อ.ห้วยผึ้ง  อ.คำม่วง และ อ.นามน

นอกจากนี้ทางจังหวัดยังได้ออกประกาศขอความร่วมมือให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออกจากเคหสถาน 100 % หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมขอให้ประชาชนทุกคนเคร่งครัดในการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร ไม่เข้าไปในสถานที่แออัดอากาศไม่ถ่ายเท ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย สแกนไทยชนะหรือหมอชนะ หากท่านใดที่สัมผัสใกล้ชิดกับสมาชิกในครอบครัวที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงในช่วงที่ผ่านมา ควรสังเกตอาการตนเองที่บ้าน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หากมีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ถ่ายเหลว ตาแดง ผื่นขึ้น หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก โปรดแจ้งประวัติการสัมผัสกับผู้เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงให้บุคลากรการแพทย์ทราบเพื่อคัดกรองความเสี่ยงด้วย

อย่างไรก็ตามในการประชุมยังได้มีพิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นประจําปี 2563  จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 4 ราย พิธีมอบเกียรติบัตรยกย่องชุมชนองค์กรอำเภอและจังหวัดคุณธรรมประจำปีงบประมาณ 2562 พิธีมอบเกียรติบัตรปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ระดับจังหวัด ประจำปี 2564  พิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติและประกาศเกียรติคุณให้กับบุคคลผู้ได้รับการพิจารณาเป็น "คนดี ศรีกาฬสินธุ์" ตามค่านิยม "มีมารยาทแบบไทย"  พิธีมอบทุนการศึกษาของสมาคมแม่บ้านมหาดไทยประจำปี 2564 และการมอบระบบบริหาร ครัวเรือนยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ KHM - V.2 โดยมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นข้อมูลในการติดตามครัวเรือนตามโครงการ  Kalasin Happiness Model อีกด้วย

นครพนม - ‘ผู้ว่าฯนครพนม - นพ.สสจ.’ พร้อมบุคลากรด่านหน้า รับวัคซีนโควิดฯ เข็ม 2

วันที่ 21 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุมศรีโคตรบูรณ์ ชั้น 5 อาคารอำนวยการโรงพยาบาลนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมนายแพทย์มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายแพทย์สมโภชน์ กังวานธีรวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม และนางพัชรินทร์ ฉลาดธัญญกิจ ประธานชมรมแม่บ้านสาธารณสุขจังหวัดนครพนม รวมถึงคณะบุคลากรสาธารณสุขปฏิบัติงานด่านหน้า ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) Sinovac เข็มที่ 2 รวม 180 คน


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

ระยอง - มารู้จัก “เต่าทะเล” สัตว์โลกล้านปีใกล้วันสูญพันธุ์

"ระยอง" อีกหนึ่งจังหวัดยอดนิยมทางภาคตะวันออกของไทยที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่จัดว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ทุกคนควรมาเยือน ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำ, อุทยานแห่งชาติ“เขาแหลมหญ้า” หรือ ทะเลแหวก เกาะมันใน ที่อะเมซิ่งสุด ๆ เพราะใคร ๆ ก็คาดไม่ถึงว่าจะมีทะเลแหวกสวย ๆ แบบนี้ในทะเลฝั่งตะวันออกด้วย นอกจากที่เกาะมันในแห่งนี้จะมีทะเลแหวกให้ชมแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล และเป็นสถานที่อนุบาลลูกเต่าทะเลก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล ซึ่งมีทั้งส่วนของอาคารพิพิธภัณฑ์เต่าทะเลไว้ให้ความรู้เรื่องเต่า และบ่อเลี้ยงเต่าช่วงวัยต่าง ๆ ก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล อย่าลืมแวะมาหาความรู้และชมความน่ารักของเต่าทะเลไทย ที่เกาะมันใน จ.ระยอง

เต่าทะเล จัดเป็นสัตว์ประเภทเลื้อยคลานที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ ในปัจจุบันมีแนวโน้มว่าจะสูญพันธุ์ในไม่ช้า เต่าทะเลทั่วโลกมีทั้งหมด 8 ชนิด แต่พบในไทยเพียง 5 ชนิด ได้แก่ เต่าตนุ เต่ากระ เต่าหญ้า เต่าหัวฆ้อน  และเต่ามะเฟือง ซึ่งทั้งหมดถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าในปี พ.ศ.2535 

บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (BLCP) เล็งเห็นความสำคัญของความ สัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทางทะเล รวมทั้งการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากโดยเฉพาะเต่าทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์  ดังนั้นในปี 2564 ทาง BLCP จึงได้ริเริ่มการอนุบาลเต่าทะเล โดยเบื้องต้นได้ร่วมกับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก กรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง จ.ระยอง สนับสนุนกิจกรรมเต่าทะเล เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 60,000 บาท เพื่อเป็นค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลเต่า ณ เกาะมันใน จ.ระยอง

นอกจากนี้ โรงพยาบาลสัตว์ทะเลหายาก ภายใต้การดูแลของ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก  จัดเป็นสถานดูแลอภิบาลสัตว์ทะเลหายากที่เกยตื้น ไม่ว่าจะเป็นโลมา ปลาวาฬ รวมไปถึงเต่าทะเล โดยสาเหตุจากการเกยตื้นได้แก่ ป่วย, หลงทิศ, กินขยะทะเล และโดนจับด้วยเครื่องมือประมง ทำให้สัตว์ทะเลเหล่านี้บาดเจ็บและป่วย โดยที่สัตว์ทะเลที่เกยตื้นมากที่สุดคือเต่าทะเลนั่นเอง

ในปัจจุบันทางโรงพยาบาลสัตว์ทะเลหายาก จ.ระยอง ยังขาดแคลนทุนทรัพย์ในการจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์ที่สำคัญในการรักษาสัตว์ทะเลหายากเกยตื้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนการปรับปรุงห้องทำงานคุณหมอและห้องปฎิบัติการ การสนับสนุนเครื่อง  Vet state เครื่องชั่งน้ำหนักกันน้ำ ขนาด 300 กิโลกรัม, บ่อพักรักษาสัตว์ขนาดใหญ่ (ขนาด 5,000-6,000 ลิตร) เครื่องตรวจ Blood gas analysis เพื่อวัดปริมาณสารเคมีในเลือดเครื่องตรวจค่าเคมีในเลือด และเครื่องตรวจนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือด ดังนั้นหากท่านใดประสงค์จะช่วยเหลือเต่าทะเลและสัตว์ทะเลหายาก สามารถติดต่อได้โดยตรงที่  ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ที่อยู่ 309 ม.1 ต.ปากน้ำกระแส อ.แกลง จ.ระยอง โทร. 038-661-693-4

กาฬสินธุ์ – นก อพยพปักหลักขยายพันธุ์ กินหอยเชอรี่ศัตรูข้าว ชาวนาเผยเป็นผลดี พื้นที่ท้องนาสวยงาม และมีความชุ่มชื้น ช่วยลดอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าวเย็นลง

ฝูงนกธรรมชาตินานาชนิดหลายพันตัว บินอพยพจากต่างถิ่น เข้ามาปักหลักหากินในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ และเกิดการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ชาวนาเผยเป็นผลดีช่วยกินหอยเชอรี่ศัตรูข้าว และมองดูเหมือนสวนสัตว์นกดูเพลิดเพลินสวยงามเต็มท้องทุ่ง ขณะที่ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ ทสจ.กาฬสินธุ์ขอความร่วมมือประชาชนร่วมอนุรักษ์ ไม่ควรจับมาทำอาหารเพราะอาจจะติดเชื้อพยาธิได้

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามสภาพอากาศในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ 18 อำเภอ ซึ่งอยู่ในช่วงของฤดูแล้งและบางวันมีฝนหลงฤดูตกลงมา ทำให้เกิดความชุ่มชื้น บางแห่งมีน้ำขัง ช่วยลดอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าวเย็นลงบ้าง ขณะที่พื้นที่ใช้น้ำจากคลองชลประทานลำปาวหรือเขื่อนลำปาว กำลังอยู่ในระหว่างเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปรัง จึงพบว่าในช่วงนี้ จะมีฝูงนกธรรมชาตินานาชนิด โดยเฉพาะนกกระยางและนกปากห่าง โบยบินอยู่รอบ ๆ รถเกี่ยวข้าว และโผบินขึ้นบนท้องฟ้า แล้วโฉบลงมาจิกกินหอย กบ เขียด ปู ปลา ตามท้องนา ทำให้เกิดสีสัน สวยงาม

นายนาคินทร์ ภูจ่าพล ผู้ใหญ่บ้านดอนยานาง หมู่ 9 ต.ดอนสมบูรณ์ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ฝูงนกกระยางและนกปากห่างดังกล่าว เห็นเข้ามาในพื้นที่ครั้งแรกประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเห็นประปราย ไม่กี่ตัว ก่อนที่ระยะหลังต่อมาจะเห็นเพิ่มจำนวนมาก คาดว่าจะมีจำนวนหลายพันตัว กระจายอยู่หลายพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่ทำนาปรัง ทั้งในเขต ต.ดอนสมบูรณ์ ต.บัวบาน ต.ยางตลาด อ.ยางตลาด, ต.เหนือ ต.หลุบ ต.ลำพาน อ.เมืองกาฬสินธุ์ โดยจะเห็นอยู่กันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละประมาณ 20-100 ตัว

นายนาคินทร์ กล่าวอีกว่า ช่วงที่ฝูงนกดังกล่าวเข้ามาในพื้นที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับข้าวในนาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากนัก จะมีเพียงเหยียบต้นข้าวเท่านั้น เนื่องจากอาหารหลักของนกเหล่านี้คือหอยเชอรี่ รวมทั้งกบ เขียด ปู ปลาที่อยู่ในนาข้าว ซึ่งหอยเชอรี่ถือเป็นศัตรูข้าว โดยจะกัดกินต้นข้าวเป็นอาหารและมีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความเสียหายต่อต้นข้าว ชาวนาต้องไปหาซื้อสารเคมีที่ราคาแพงมากำจัดหอยเชอรี่ ทำให้เกิดสารพิษตกค้าง ส่งผลเสียต่อคุณภาพข้าวและสุขภาพของชาวนา ทั้งนี้ พอมีนกกระยางและนกปากห่างเข้ามาในพื้นที่ จึงเป็นการช่วยกำจัดหอยเชอรี่ศัตรูข้าวได้เป็นอย่างดี และผลดีของนกเหล่านี้ ยังทำให้แลดูเพลินตาเพลินใจ มองดูเหมือนเป็นสวนสัตว์นกธรรมชาติ ที่สร้างความสวยงามอยู่ตามท้องทุ่งนา

ขณะที่นายนิยม กิตติวงศ์ตระกูล ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์กล่าวว่า ฝูงนกธรรมชาติดังกล่าว สันนิษฐานว่าบินอพยพมาจากต่างประเทศ และในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง อาหารขาดแคลน โดยจับกลุ่มบินเข้ามาในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ พบกับสภาพอากาศที่ชุ่มชื้น มีแหล่งน้ำ มีอาหาร ให้หากินตลอดปี โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตใช้น้ำชลประทานลำปาว ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ จึงปักหลักหากินและเกิดการขยายพันธุ์ดังกล่าว

นายนิยมกล่าวอีกว่า อาหารของนกเหล่านี้คือ กุ้ง หอย ปูปลา และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอื่น ๆ ช่วงแรกที่นกธรรมชาติเหล่านี้เข้ามาในพื้นที่ ได้รับการร้องเรียนจากชาวนาบ้าง ว่าลงเหยียบย่ำต้นข้าวเสียหาย และลงหากินตามบ่อกุ้งบ่อปลา  ซึ่งก็ได้ให้คำแนะนำให้หาวิธีการป้องกันความเสียหาย โดยทำนาดำเพื่อจะได้ต้นข้าวที่แข็งแรง ขณะที่ผู้เลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลาเอง ก็ให้ทำอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ใช้ภูมิปัญญาไล่นกด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งบรรเทาความเสียหายลงได้ ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ชาวนาและประชาชนทั่วไป ไม่ทำร้ายและไม่นิยมจับนกเหล่านี้มาทำอาหาร อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นนกธรรมชาติ ที่ช่วยกำจัดหอยเชอรี่ที่เป็นศัตรูข้าว และยังสร้างสีสัน มองดูสวยงาม จึงขอความร่วมมือจากประชาชน ช่วยกันอนุรักษ์เป็นสัตว์ประจำถิ่น เพราะฝูงนกเหล่านี้ให้คุณมากกว่าโทษ และไม่ควรจับมาทำอาหาร เพราะอาจจะติดเชื้อพยาธิได้

(เสียงสัมภาษณ์ นายนาคินทร์ ภูจ่าพล ผู้ใหญ่บ้านดอนยานาง หมู่ 9 ต.ดอนสมบูรณ์และนายนิยม กิตติวงศ์ตระกูล ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top