Thursday, 19 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

ตราด – ข้าวกล่องออนไลน์สุดฮอต !! ช่วงโควิด ข้าวคลุกน้ำพริกกะปิปลาทู ทำยอดขายพุ่ง

ร้านขายอาหารออนไลน์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกช่วงโควิด ไม่ว่าจะเป็นโควิดละลอก 1 -2 หรือ ละลอก 3 อาหารออนไลน์ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของคน พิษโควิดทำร้านค้า ร้านอาหารหลายร้านต้องปิดตัวลง แต่ร้าน น้องแม็ก อิ่มอร่อย ที่เป็นธุรกิจครอบครัว ทำกันมาตั้งแต่ช่วงโควิดรอบแรก ยอดขายยังคงไม่ตก กลับพุ่งสูงขึ้นเท่าตัว โดยเฉพาะรอบนี้ ทำให้คนไม่กล้าออกจากบ้านนั่งกินอาหารที่ร้าน หันมาสั่งข้าวออนไลน์กันเป็นจำนวนมาก

นางสาวนุชนาฎ รังสิวัฒนศักดิ์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองและครอบครัวทำอาหารขายออนไลน์อยู่กับบ้าน ในพื้นที่ ต.หนองเสม็ด อ.เมืองตราด โดยมีอาหารกล่องหลากหลาย มีลูกค้าประจำที่สั่งทานกันเรื่อยมา ตั้งแต่โควิดรอบแรก จนมาถึงโควิดรอบนี้ ลูกค้าประจำก็ยังสั่งข้าวกล่องทานกันอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าที่เข้ามาใหม่ๆก็เยอะ ข้าวกล่องที่ร้านขายหลากหลายตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่ง แต่ที่ขายดีและเป็นที่ถูกอกถูกใจลูกก็จะเป็นข้าวคลุกกะปิ ที่ใส่เครื่องแบบแน่นๆ ขายกล่องละ 30-40 บาท และอีกอย่างหนึ่งที่ลูกค้าสั่งทานมากที่สุดก็คือข้าวคลุกน้ำพริกกะปิปลาทู ขายกล่องละ 40-50 บาท นางสาวนุชนาฎยังบอกอีกว่า ทางร้านได้เข้าร่วมโครงการของรัฐ เราชนะ และร่วมกับฟู๊ตแพนด้า โดยลูกค้าสามารถสั่งผ่านฟู๊ตฯได้เช่นเดียวกัน สำหรับโควิด 19 รอบนี้ ทำให้ยอดขายพุ่งเท่าตัว ซึ่งดูได้จากไข่ไก่ เมื่อก่อนจะใช้วันละไม่เกิน 5 แผง หลังจากโควิด ระบาดหนัก ๆ ลูกค้าสั่งกลับไปทานที่บ้าน ยอดขายเพิ่มขึ้น ตอนนี้ใช้ไข่ไก่วันละ 10 แผง นางสาวนุชนาฎยังฝากขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ยังอุดหนุนร้านน้องแม็ก อิ่มอร่อย กันมาตลอด และทางร้านจะทำให้ดีที่สุดเช่นเดียวกัน


ภาพ/ข่าว  ณัฐวุฒิ สวัสดิ์วารี 

ตาก - ผู้ประกอบการนำเข้าข้าวโพดเดือดร้อน วอนด่านตรวจพืชแม่สอดหาทางออก หลังมาตรการพบมอดเพียงตัวเดียว ต้องนำข้าวโพดกลับไปฝั่งเมียนมาใหม่ เสียค่าใช้จ่ายบานปลายมากถึง 20,000 บาทต่อ 1 พ่วง

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม  2564 ตัวแทนผู้ประกอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเมียนมาด้านจังหวัดเมียวดี ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ได้ไปยื่นหนังสือต่อหัวหน้าด่านตรวจพืช อ.แม่สอด จ.ตาก ทั้งนี้เพื่อขอผ่อนปรนการตรวจ หรือ วิธีการอื่น ๆ จากกรณีที่ ทางกรมวิชาการเกษตร มีหนังสือลงวันที่ 29 มีนาคม 2564 ให้การนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศ (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา) เข้ามาในราชอาณาจักรไทยมีข้อกำหนดของกรมวิชาการเกษตรว่า ห้ามมีตัวมอด และศัตรูพืชเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ถ้ามีต้องมีวิธีกำจัดคือ ตีกลับประเทศต้นทาง ต้องผ่านการอบตัวมอดจากบริษัทที่ผ่านการได้รับอนุญาตของกรมวิชาการเกษตร ซึ่งมี 6 บริษัท และทำลายทิ้ง แต่เนื่องจากบริษัทที่กำหนดไว้ไม่มีสาขา และพนักงานในพื้นที่ อ.แม่สอด

ขณะที่ยาที่กำจัดมอด และศัตรูพืชที่ชื่อว่า เมบรอม 100 (Mebromm 100 ) ที่กรมวิชาการเกษตรอนุมัติให้ใช้นั้นไม่มี   โดยไม่มีจำหน่ายในพื้นที่อำเภอแม่สอด ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถปฏิบัติตามปรพกาศของกรมวิชาการเกษตรได้ และทางเจ้าหน้าที่ด่านตรวจตรวจพืช ไม่มีทางออกอื่นให้ ส้งผลให้ผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อน ต้องเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนมากถึง 20,000 บาทต่อ 1 พ่วง และยังต้องเผชิญปัญหากับเหตุการณ์ไม่สงบ และปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกด้วย และเมื่อปีที่ผ่านมาไม่มีข้อกำหนดดังกล่าว การยื่นหนังสือนี้จึงขอผ่อนปรนจากกรมวิชาการเกษตรเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการนำเข้าข้าวโพด

ด้านเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืช แจ้งกับกลุ่มผู้ประกอบการที่ไปยื่นหนังสือว่า จะนำเรื่องนี้ รายงานไปยังกรมวิชาการเกษตร เพราะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไม่มีอำนาจใด ๆ นอกจากการปฏิบัติหน้าตามข้อกำหนดของกรมวิชาการเกษตร แต่ได้แนะนำให้รวมตัวกัน พร้อมกับชิปปิ้ง เพื่อหาทางออกร่วมกัน

ทางผู้ประกอบการแจ้งว่า ได้รับความเดือดร้อนมาก เนื่องจากการเข้มงวดตรวจรถบรรทุกข้าวโพดที่บริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา 2 ของเจ้าหน้าที่ หากพบมอดเพียงตัวเดียวก็ไม่ผ่าน นอกจากนี้ทางผู้ประกอบได้รวมตัวกัน เพื่อหาทางออก โดยจะขอให้บริษัทที่ทางกรมวิชาการเกษตรกำหนดไว้ให้ผู้ประกอบการต้องนำข้าวโพดผ่านการอบตัวมอด จาก 6 บริษัท ก็ไม่ยอมไปบริการถึงพื้นที่ หลังจากมีการร้องขอจากผู้ประกอบการ เนื่องจากปัญหาการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ยิ่งทำให้ผู้ประกอบการไม่มีทางออกใด นอกจากการขอผ่อนปรนเท่านั้น

 

ยะลา - เคอร์ฟิววันแรก เมืองเบตงเงียบสงัดทั้งเมือง มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง กู้ภัย ที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบ

เมื่อวันที่ 1 พ.ค.64 เวลา 21.00 น. ที่บริเวณหอนาฬิกาเทศบาลเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอเบตง ได้เป็นประธานปล่อยแถว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เบตง, นปพ.ยะลา32, ตชด.445, ฉก.ตชด.445, ทหาร ชุดป้องกันชายแดนที่4, ฝ่ายปกครอง และกู้ภัยในพื้นที่อำเภอเบตง จำนวน 200 นาย เพื่อดูแลรักษาความสงบในห้วงเวลาเคอร์ฟิว และเป็นการทำตามนโยบายผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ที่ประกาศ ห้ามประชาชนออกนอกเคหสถาน ตั้งแต่เวลา 22.00 น.-04.00 น. เพื่อเป็นมาตรการยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 COVID-19  โดยเริ่มจากวันนี้เป็นวันแรกจนถึงวันที่ 18 พ.ค.64 ผู้ที่ฝ่าฝืนนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยมีพ.ต.อ.เอกชัย พราหมณกุล ผกก.สภ.เบตง หัวหน้าหน่วยกำลังในพื้นที่เข้าร่วม

ทั้งนี้เมื่อถึงเวลา 22.00 น. นายอำเภอเบตงพร้อมเจ้าหน้าที่ได้เวียนไปตรวจดูตามถนนหนทาง สถานที่ร้านค้าต่างๆ ภายในเขตเทศบาลเมือง พบว่า ตามถนนหนทางภายในเขตเทศบาลเงียบสงัด ไม่มีประชาชน ออกมาพลุกพล่านเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา มีเพียงเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามจุดต่าง ๆ เท่านั้น ส่วนตามร้านสะดวกซื้อก็ปิดบริการหมดแล้วตั้งแต่เวลา 21.00 น. เพราะทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานต่าง ๆ ได้ทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน และร้านค้าต่าง ๆ ทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว


ภาพ/ข่าว ธานินทร์ โพธิทัพพะ / ปื้ดเบตง  

ชลบุรี - เมืองพัทยา เริ่มแล้ว นำทีมติดตั้งโครงเหล็กเตรียมเปิดด่านตรวจวัดคัดกรองโควิด-19 หน้าวัดช่องลม

รองนายกเมืองพัทยานำทีมเตรียมความพร้อมสถานที่ตั้งด่านตรวจวัดคัดกรองป้องกันโควิด-19 หน้าวัดช่องลม (นาเกลือ) ตลอด 24 ชั่วโมง เข้มคนเดินทางเข้าเขตเมืองพัทยา

เมื่อวันที่ 1 พ.ค.64 มีรายงานว่า นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา พร้อมคณะทำงานนายกเมืองพัทยา เจ้าหน้าที่อำเภอบางละมุง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางละมุง และเจ้าหน้าที่ส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่นำอุปกรณ์โครงเหล็กเพื่อติดตั้งเต๊นท์ขนาดใหญ่ บริเวณหน้าวัดช่องลม (นาเกลือ) จ.ชลบุรี เพื่อเป็นด่านตรวจวัดคัดกรองป้องกันโควิด-19 ที่จะเริ่มปฏิบัติการการอย่างเข้มข้นในวันอาทิตย์ที่ 2 พ.ค.64 นี้

นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา ให้ข้อมูลด้วยว่า กรรมการควบคุมโรคจังหวัดชลบุรีที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีเป็นประธาน ได้จัดประชุมกรรมการโรคติดต่อจังหวัดชลุบรี เพื่อยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ตามประกาศของ ศบค. หลังจากจังหวัดชลบุรีเป็นหนึ่งใน 6 จังหวัด พื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 

ในส่วนของอำเภอบางละมุง พบว่ามีรายงานพบผู้เชื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเมืองพัทยา ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐฏิจที่สำคัญของจังหวัดชลบุรี คณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัดชลบุรีจึงมีคำสั่งให้เพิ่มระดับความเข้มข้มของมาตรการการควบคุมโรค โดยให้มีการจัดตั้งด่านตรวจวัดคัดกรองผู้ที่จะเดินทางเข้าเขตพื้นที่

โดยบูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าท่ีปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนงานราชการที่เกี่ยวข้อง และจิตอาสา ปฏิบัติหน้าท่ีตรวจวัดคัดกรองประจำด่านตรวจวัดคัดกรองก่อนเข้าเขตพื้นที่เมืองพัทยา โดยใช้ริมถนนสุขุมวิท บริเวณหน้าวัดช่องลม (นาเกลือ) โดยเบื้องต้นมีแนวคิดจะตั้งด่านตรวจวัดคัดกรองดังกล่าวตลอด 24 ชม.

ทั้งนี้ บริเวณขาเข้าเมืองพัทยา จะมีการตรวจวัดอุณหภูมิผู้สัญจรด้วยพาหนะทุกคัน ในส่วนขอขาออกนั้น ผู้ประสงค์ที่จะเดินทางออกนอกพื้นที่จะต้องมีหนังสืออนุญาตเดินทางจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ มาแสดงต่อทางเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจวัดคัดกรองอำเภอบางละมุงด้วย ส่วยรายละเอียดการปฏิบัติหน้าที่จะมีความชัดเจนในวันพรุ่งนี้จากทางนายอำเภอบางละมุง


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

‘วิชามาร’ สร้างข้อมูลเท็จ ลดความน่าเชื่อถือ ‘แบรนด์’ ธุรกิจ

ต้องยอมรับว่า Social Media เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยกระจายข่าวสารไปยังกลุ่มคนได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่เลือกเสพข้อมูลข่าวสารจากช่องทาง Social Media มากกว่าช่องทางอื่น ๆ ส่งผลให้ Social Media นั้นมีความทรงอิทธิพลอย่างมาก อีกทั้งยังกระจายข้อมูลข่าวสารไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง

จากอิทธิพลของ Social Media ดังกล่าว ทำให้เกิดข้อมูลทั้งที่เป็นเรื่องจริงและไม่จริง ผุดขึ้นอย่างมากมายด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะข่าวปลอม หรือ Fake News ที่ระบาดอย่างหนัก พอ ๆ กับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ว่าได้ เพราะจากข้อมูลของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่สรุปข้อมูลจากการแจ้งเบาะแส และการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงการระบาดรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 19 ธ.ค. 63-28 ก.พ. 64 พบข้อความที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จำนวน 35.47 ล้านข้อความ หลังจากคัดกรองแล้วพบข่าวที่เข้าหลักเกณฑ์เป็นข่าวปลอม 2,784 ข้อความ โดยมีข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 1,346 เรื่อง  

อย่างไรก็ตาม ‘ข่าวปลอม’ ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่มีมาช้านาน แต่ในอดีตการจะปล่อยข่าวปลอม จะต้องมีเครื่องมือที่สามารถกระจายข่าวได้ หากไม่เครื่องมือของตัวเอง ก็จะใช้วิธี อย่างเช่น การส่งจดหมายลูกโซ่ ถัดมาเมื่อมีอินเทอร์เน็ต ข่าวปลอมยิ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นส่งผ่าน FWD Mail การส่งในเว็บบอร์ดต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงการแชร์ผ่าน Social Media

การสร้างข่าวปลอมมีทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ การเมือง และสังคม แม้บางครั้งคนที่สร้างข่าวปลอม อาจต้องการเพียงแค่ความสนุก แต่กลับส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะในฝั่งของภาคธุรกิจ ที่อาจจะถูกลดความน่าเชื่อถือในตัวบริษัท หรือ แบรนด์สินค้า ก็ได้

ยกตัวอย่างเคส คลาสสิค ข่าวปลอมในธุรกิจประกันภัย ที่เริ่มมีคนส่งต่อผ่าน FWD Mail ครั้งแรกราวปี 2549 แต่กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีแชร์ข่าวนี้ผ่าน Social Media อยู่เรื่อย ๆ

โดยข่าวที่แชร์กันในโลกออนไลน์ เป็นข้อความเกี่ยวกับ “รายชื่อ Black List บริษัทประกัน(รถยนต์)” ที่ระบุ ข้อความว่า...

รายชื่อ Black List บริษัทประกัน (รถยนต์) สำหรับผู้ที่จะถอยป้ายแดงทั้งหลาย รวมทั้งที่ถอยแล้วมาป้ายไม่แดงแล้ว

รายชื่อ Black List บริษัทประกัน (รถยนต์) ข้อมูลจากบริษัท ทิสโก้ รู้ไว้ก็ดีนะ

จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

บริษัทประกันดังกล่าว คือ

อันดับที่ 1. ลิเบอร์ตี้ประกันภัย มี ดร.พาชื่น รอดโพธิ์ทอง และพ.ต.ท.พงษ์ชัย วราชิต ถือหุ้นใหญ่

อันดับที่ 2. มิตรแท้ประกันภัย (ไทยประสิทธิ์เดิม)

อันดับที่ 3. บ.สัมพันธ์ประกันภัย นายศรีศักดิ์ ณ นคร ถือหุ้นใหญ่

บ.ทั้ง 3 ข้างต้น อู่ต่าง ๆ ส่ายหน้าหนี ไม่รับรถเข้าซ่อมเพราะเบี้ยวค่าซ่อมหลายร้อยล้านบาท โดยลิเบอร์ตี้เป็นสุดยอดแห่งการเบี้ยว

ยังมี บริษัทประกันภัยที่อยู่ในข่ายจะโดนอู่ต่าง ๆ ขึ้นบัญชีดำอีกคือ

อันดับที่ 4 บ.อาคเนย์ประกันภัย เพราะถึงแม้จะไม่ชักดาบแต่จะใช้วิธี 'HairCut ' คือจะต่อรองกับอู่ว่าจะจ่ายให้น้อยกว่าค่าซ่อมที่ค้างไว้ ซึ่งอู่ต่าง ๆ หลายแห่งก็ต้องยอม เพราะไม่อยากยุ่งยากเรื่องฟ้องร้อง

ยังมีอีกประเภท คือ จ่ายค่าซ่อมช้ามาก บางที่เป็นปีถึงจะชำระให้' ได้แก่

อันดับที่ 5 พัชรประกันภัย

และอันดับที่ 6 เอราวัณประกันภัย

อันดับที่ 7 พาณิชยการประกันภัย บริษัทนี้คนที่เรารู้จักเพิ่งโดนสด ๆ ร้อน รถชนมา 4 เดือนแล้วยังไม่ได้เริ่มแตะเลย เนื่องจากว่าไม่มีเงินจ่าย ให้อู่ซ่อม พูดง่าย ๆ ว่าจะเจ๊งแล้ว

ข้อมูลข้างบนนี้คงมีประโยชน์กับท่านที่กำลังมองหา บ.ประกัน จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง เพราะจ่ายเบี้ยประกันแล้ว ใคร ๆ ก็อยากได้รับบริการที่ดี ไม่มีตุกติก

และก็เพิ่งมีรายล่าสุดก็คือ อันดับ 8 บ.สินทรัพย์ประกันภัย อยู่ในอาการง่อนแง่น

บริษัทประกันภัยทั้งหมดนี้ คุณควรจะช่วยกันแชร์ให้คนที่น่าสงสารรู้ก่อนที่จะเค้าจะเสียรู้ บริษัทพวกนี้

 

นี่คือข้อความทั้งหมดจากเคสกรณีตัวอย่าง!!

อย่างไรก็ตาม หากเป็นคนที่ไม่อยู่ในแวดวงธุรกิจ หรือไม่ได้ติดตามข่าวสารธุรกิจประกันภัย ก็จะหลงเชื่อข้อความเหล่านี้โดยง่าย เพราะในอดีตที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของธุรกิจประกันภัยในสายตาคนทั่วไปมักไม่ค่อยดีอยู่แล้วนั่นเอง

แต่หากคนที่ติดตามข่าวสารจะพบข้อเท็จจริงว่า บริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกกล่าวอ้าง ได้แก่ บริษัท พาณิชยการประกันภัย จำกัด บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด บริษัท ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด และบริษัท พัชรประกันภัย จำกัด ได้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยไปแล้วในระหว่างปี 2547 ถึงปี 2557

ส่วนอีก 4 บริษัท ยังประกอบธุรกิจอยู่ โดยมีฐานะการเงินอยู่ในเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัท อาคเนย์ ประกันภัย ยังเป็นหนึ่งในเครือกลุ่มธุรกิจการเงินของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี อีกด้วย

หากย้อนไปดูต้นของข้อความเท็จดังกล่าว มีทั้งหมด 3 เวอร์ชั่น ยุคปี 2549-2552 ข้อความอันเป็นเท็จมีบริษัททั้งหมด 7 แห่ง ถูกกล่าวหาว่ามีฐานะทางการเงินไม่ดี มีการส่งผ่านกระดาษในลักษณะจดหมายลูกโซ่ ต่อมาปี 2553-2556 ข้อความดังกล่าวยังคงเหมือนเดิม จำนวนบริษัทยังคงมี 7 บริษัท เพียงแต่ลบสัญลักษณ์ขึ้นย่อหน้าใหม่ และมีการจั่วหัวเป็นตัวดำ ส่งผ่าน e-mail จากนั้น ในปี 2557 เป็นต้นมา มีการเพิ่มบริษัทประกันภัยอีก 1 แห่ง รวมเป็น 8 บริษัท แต่ข้อความส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม ส่งผ่านกันทางสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มไลน์ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ทำให้บริษัทที่ยังดำเนินธุรกิจอยู่ ได้รับความความเสียหายและขาดความน่าเชื่อถือจากประชาชนที่ได้รับข้อมูลเท็จดังกล่าวอย่างมาก

กระทั่ง หนึ่งในบริษัทที่ได้รับความเสียหาย อย่างมิตรแท้ประกันภัย ได้ปฏิบัติการ ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ ด้วยการฟ้องร้องผู้ที่แชร์ข้อมูลดังกล่าวรายหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ในคดีอาญาในข้อหา ความผิดนำเข้าข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามพรบ.กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และฟ้องคดีแพ่ง ข้อหา ละเมิด เรียกร้องค่าเสียหายอีก 1 ล้านบาท ซึ่งศาลได้ตัดสินให้คู่กรณีทำการไกล่เกลี่ย โดยให้ผู้ถูกฟ้องทำการส่งข้อความขอโทษผ่านทาง Social Media ทั้งเพจเฟซบุ๊ก และไลน์กลุ่ม ที่ผู้ถูกฟ้องเป็นสมาชิกอยู่ เนื่องจากไม่มีเงินชดใช้ 

ในกรณีนี้ จึงถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของธุรกิจที่ได้รับจากข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือข่าวปลอม แม้จะมีการฟ้องร้องเอาผิดกับผู้แชร์ข้อมูลไปแล้วหลายราย แต่ข้อมูลดังกล่าว ก็ยังส่งต่อกันผ่าน Social Media จนถึงทุกวันนี้ 

ฉะนั้น ก่อนจะแชร์ข่าวสารข้อมูล หรือ โพสต์ข้อความอะไรบน Social Media ควรเช็คข้อมูล หรือ ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนทุกครั้ง เพราะถ้าแชร์ข้อมูลเท็จ หรือ ข่าวปลอมออกไป แล้วเกิดความเสียหายกับคนอื่น ถูกฟ้องร้องขึ้นมา จะต้องเสียเวลาขึ้นโรงขึ้นศาล และอาจถึงขั้นติดคุก และเสียเงินเสียทอง โดยไม่รู้ตัว เพราะอย่าลืมว่า โทษจากการทำผิด พรบ.คอมพิวเตอร์นั้น หนักหนามิใช่น้อย
 

เผลอใจให้คนหลอกลวง!! ตำหรับยา ‘หมอ (ไม่ได้) บอก’ หลอกให้หลง!! ส่ง ‘โควิด’ ไปสู่ที่ชอบ

วิกฤติโควิด-19 ดูจะยังหนักหนาหาที่จบยาก ทำให้ทุกคนต้องพยายามดิ้นรนหาทางเลี่ยงติดเชื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ยกเว้นใครก็ไม่รู้) 

แน่นอนว่ามาตราการต่าง ๆ ในการป้องกันดูแลตัวเองไม่ว่าจะเป็นใส่หน้ากากอนามัย หมั่นใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เว้นระยะห่าง หรืออีกมากมาย

แต่ทำไมมันช่างดูวุ่นวายนัก ทำไมมันยากจัง อยากมีสูตรสำเร็จเลยอะ (พลีซซซซ)

เดี๋ยว ๆ อย่าทำเป็นเล่นไป!! ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่ามีสูตรสำเร็จ โดยมียาที่บอกสรรพคุณว่ากินแล้วป้องกันโควิดได้ด้วยนะ!!

ในช่วงวิกฤติที่ใคร ๆ เริ่มมองหาทางป้องกันและรักษาหลาย ๆ แบบ ก็เป็นจังหวะโอกาสของยาหลากตำหรับหลายสูตรโผล่ขึ้นมาให้เห็นกันที่หน้าจอโทรศัพท์ได้ไม่เว้นแต่ละวัน 

แต่มันก็ไม่มีปัญหาหรอกถ้าตำหรับยาเหล่านี้มันช่วยได้อย่างที่อวดอ้างสรรพคุณ เพราะในความเป็นจริงกลายเป็นว่ายาต่าง ๆ ที่ถูกแชร์กันโครม ๆ ไม่ว่าจะผ่านทางไลน์ เฟซบุ๊ก หรือแม้แต่ทวิตเตอร์ มันดันเป็นยาที่หมอ (ไม่ได้) บอก เนี่ยสิ...

อย่างเมื่อไม่นานมานี้หลาย ๆ คนคงได้เห็นการอวดอ้างสรรพคุณของสมุนไพร ‘ฟ้าทะลายโจร’ ที่แชร์กันให้พรึ่บว่า ช่วยป้องกันโควิด-19 ได้ (แหม่ขนาดนั้นเลยนะยาเทวดาปะเนี่ย) 

ความจริงมันก็ถูกครึ่ง ไม่ถูกครึ่ง!! เพราะว่ากันว่าฟ้าทะลายโจรมีประโยชน์ในการนำมาใช้กับผู้ป่วยโควิด และถ้ากินในปริมาณน้อย ก็ช่วยป้องกันหวัดได้ (แต่ต้องกินในปริมาณที่ถูกที่ควรนะจ๊ะ) ถึงกระนั้นก็ไม่เห็นมีหมอท่านไหนออกมาคอนเฟิร์มว่า ฟ้าทะลายโจรช่วยป้องกันโควิด-19 ได้จริง

แต่สิ่งที่น่ากลัว คือ ดันมีการแชร์ข้อมูลว่าฟ้าทะลายโจรช่วยป้องกันโควิด-19 จนมีคนมากมายหลงเชื่อและซื้อบริโภคกันยกใหญ่ ทำเอาขนาดขาดตลาดกันเลยทีเดียว 

แน่นอนว่าการแห่กันมาซื้อมาใช้โดยไม่ได้ศึกษา ย่อมส่งผลลบมากกว่าผลลัพธ์ที่ดี เพราะแม้ว่าฟ้าทะลายโจรจะเป็นสมุนไพรแต่ก็ใช่ว่าใคร ๆ ก็ใช้ได้ โดยมีข้อห้ามสำหรับผู้ที่แพ้ยาฟ้าทะลายโจรตั้งแต่ หญิงตั้งครรภ์ให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคตับ โรคไต และไม่ควรใช้ร่วมกับยาวาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล ยาลดความดันโลหิต เพราะยาเหล่านี้ถ้าใช้ร่วมกันขึ้นมาละก็ ถึงขั้นอัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นเลือดหัวใจตีบ เพราะจะทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด และอาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ 

อย่างว่าล่ะนะ ขึ้นชื่อว่ายาแล้ว มันก็ไม่ใช่ขนมที่จะบริโภคเท่าไรก็ได้ หากคิดจะใช้ยาก็ต้องใช้ตามปริมาณที่เหมาะสม ใช้เยอะเกินแทนที่จะให้คุณ จะกลายเป็นให้โทษแทน ซึ่งเรื่องนี้ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อข้อมูลผิด ๆ โดยไม่ศึกษาให้ครบถ้วน คิดแค่ว่าเป็นสมุนไพร กินเข้าไป กินเข้าไป สุดท้ายไปลงเอยที่โรงพยาบาลกันถล่มทลาย 

นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องของ ‘ข่าวปลอม’ ในโลกออนไลน์ ที่หยิบยกมาเล่าให้ฟัง ซึ่งเกิดจากการปล่อยข้อมูลผิด ๆ จนคนหลงเชื่อและกลายเป็นสร้างผลกระทบในทางลบต่อคนอื่น ๆ และอยากหยิบยกมาให้คิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะเชื่อ

อย่าตกเป็น ‘เหยื่อ’ ของข่าวลวงในโลกออนไลน์ ยอมเสียเวลาสักนิด ใช้เวลาค้นหาข้อมูล ใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูล เพิ่มสิ่งเหล่านี้เข้าไปสักนิดในชีวิตคุณ 

เราไม่อยากให้ใครเป็น ‘เหยื่อ’ ของข้อมูลลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤติแบบนี้ ‘คนหลอกลวง’ เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ตัวเอง โดยไม่ใส่ใจชีวิตคนอื่นอยู่แล้ว 

...จริงๆ นะ!! 


อ้างอิง:
https://www.facebook.com/DramaAdd/posts/10158599361813291
https://www.hfocus.org/content/2021/04/21423
https://www.facebook.com/mix.watcharapakorn/posts/2915209905420389
https://news.thaipbs.or.th/content/303508
 

ชัวร์ ก่อน แชร์ !! ‘ตระหนก & ตระหนัก’ ยุควิกฤติโรคระบาด ก่อนแชร์ให้ใคร!! เข้าใจ ‘ความจริง’ ดีหรือยัง?

เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ที่วันนี้โลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีหลากหลายแพลตฟอร์ม ได้ปล่อยข่าวสาร ข้อมูล หรือบทความต่าง ๆ ออกมาสู่สาธารณะชนมากมาย จนช่วยเปิดโลกให้ประชนอย่างเราได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าจรวด

แต่จะมีใครรู้ไหมว่า เรื่องบางเรื่อง ข่าวสารบางอย่าง มันก็ไม่ได้เปิดโลกที่ดีให้กับเราทั้งหมด เพราะบางเรื่องราวก็พร้อมจะเป็นข่าวปลอม หรือ ‘Fake News’ ที่เล่นกับความสนใจของผู้คนในสังคมช่วงนั้น ๆ เพียงเพื่อโน้มน้าว ชักจูง เรียกยอดไลค์ ยอดแชร์ หรืออะไรก็ตามแต่ แพร่ลามไปมาก จนเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าระหว่าง ‘การแพร่กระจายข่าวปลอม’ กับ ‘การแพร่กระจายไวรัสโควิด-19’ อะไรที่จะกระจายเป็นวงกว้างไปมากกว่ากัน

ยิ่งในโลกโซเชียลด้วยแล้ว ยิ่งลุกลามหนักจนเกิดความเข้าใจผิดในหลากเรื่อง หลายประเด็น และที่แย่คือเจ้า ‘ไอ’ แห่งความเสียหายจากการที่เราแชร์ๆ กันออกไป มันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว จนไปทำร้ายใครหรือไม่ ก็มิทราบได้... 

อย่างประเด็นข่าวปลอมเรื่องโควิด-19 นี่เรียกว่าเป็นประเด็นเท็จสุดคลาสสิคที่หนีไม่พ้นเอามาก ๆ

มากซะจนมีเรื่องมาให้รวบรวมไว้เพียบ จนต้องขอหยิบมาสร้างความกระจ่างกันอีกรอบแก่ผู้ที่อาจจะยังไม่กระจ่าง 

ฉะนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจกันแบบง่าย ๆ ก็เลยขออนุญาตพาไปแยกแยะว่าเรื่องไหนจริง หรือเรื่องไหนลวงในโลกโซเชียลกันดู แต่จะรับรู้กันธรรมดา ก็คงจะน่าเบื่อ!!

ลองมาปล่อยนิ้วเลือก ‘กด’ กับ 2 ปุ่มสัญลักษณ์ของความ ‘จริง-เท็จ’ อย่าง ‘ปุ่มตระหนก’ (แตกตื่น) และ ‘ปุ่มตระหนัก’ (แตกฉาน) กันสักนิด น่าจะสร้างแรงจดจำให้ผู้อ่านได้มากยิ่งขึ้น หากพร้อม ‘กดปุ่ม’ แล้วตามมาเลย...


ข่าวเท็จ: กินฟ้าทะลายโจรสามารถป้องกันโควิด-19 ได้

ปุ่มตระหนก : บนสังคมออนไลน์มีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันโควิด-19 ด้วยฟ้าทลายโจรเป็นจำนวนมาก เนื่องจากคนไทยมีความหวาดกลัวติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้นและต่อเนื่อง จึงได้พยายามติดตามข้อมูลจากสังคมออนไลน์ พบว่า สมุนไพร ฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคโควิด-19 ทำให้ประชาชนเริ่มเดินทางหาซื้อสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังจะป้องกันความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 ได้ 

ปุ่มตระหนัก : ข้อมูลไม่เป็นความจริง ภญ.ดร.ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โดย ภญ.ดร.ผกากรอง กล่าวยืนยันกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลระบุว่าฟ้าทะลายโจรสามารถใช้เป็นทางเลือกแทนวัคซีนเพื่อป้องกันโควิด-19 ได้นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะยังไม่มีการศึกษาวิจัยว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ ที่ผ่านมาเป็นการศึกษาว่าฟ้าทะลายโจรมีผลต่อภูมิคุ้มกัน แต่ยังไม่มีการศึกษาว่ามีผลต่อภูมิคุ้มกันของเชื้อโควิด-19 ไม่เหมือนกับวัคซีนที่มีการศึกษาแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจรแทนวัคซีน

ข่าวเท็จ : ยาเขียว ใช้รักษาโควิด-19 ได้ ด้วยวิธีขับไวรัสออกทางเหงื่อ และปัสสาวะ

ปุ่มตระหนก : บนสังคมออนไลน์มีการแชร์คลิปเสียง พร้อมบอกว่า เป็นเสียงของคณบดีศิริราช ที่แนะนำว่าให้กิน “ยาเขียว” เพื่อขับพิษโควิด-19 ได้ ด้วยวิธีขับไวรัสออกทางเหงื่อ และปัสสาวะ โดยให้รับประทานยาเขียวเพื่อทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย เมื่อร่างกายเกิดความร้อนก็จะมีการขับเหงื่อและปัสสาวะออกมาซึ่งเชื้อไวรัส จะออกมาด้วยกับเหงื่อและน้ำปัสสาวะ 

ปุ่มตระหนัก : ข้อมูลไม่เป็นความจริง เสียงดังกล่าวไม่ใช่เสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช และปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิผล และความปลอดภัยในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ดังนั้น จึงยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าการกินยาเขียว สามารถใช้รักษาโรค โควิด-19 ได้ โดยทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ชี้แจงว่า เสียงดังกล่าวไม่ใช่เสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และข่าวนี้เป็นข่าวเก่าที่เคยมีการส่งต่อแล้ว โดยยาเขียวเป็นตำรับยาไทย ตามองค์ความรู้ของแพทย์แผนไทย หรือหมอพื้นบ้าน ที่มีการใช้กันมานานหลายทศวรรษ และเป็นตำรับที่ยังมีการผลิตขายทั่วไปตราบจนปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปในสมัยก่อนจะรู้จักวิธีการใช้ยาเขียวเป็นอย่างดี กล่าวคือ มักใช้ยาเขียวในเด็กที่เป็นไข้ออกผื่น เช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และหายได้เร็ว ซึ่งยาเขียวจัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวส่วนใหญ่มีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งพิษในที่นี้หมายถึงของเสีย หรือความร้อนที่อยู่ภายในร่างกายเท่านั้น 

นี่เป็นเพียงการยกตัวอย่างของข่าวที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก และมีการแชร์ข้อมูลกันอย่างมากมาบางข่าวเท่านั้น โดยจะเห็นได้ว่าข่าวที่ปล่อยออกมา มีการแชร์กันแพร่หลาย ซึ่งถือว่าไม่ได้มีการกลั่นกรองกันเสียเลย ช่องทางของข้อมูลทางออนไลน์ในยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก และเข้าใจว่า ‘ทุกคน’ สามารถเป็นผู้ส่งสาร หรือเป็นคนกระจายข่าวได้ เพราะฉะนั้น ก่อนจะทำการส่งต่อข่าว เราต้อง เข้าใจข้อมูล ‘ความจริง ’เองเสียก่อน 

ทีนี้มาดูข่าวที่เป็นข่าวจริง เกี่ยวกับโควิด-19 ที่อยากให้ได้ทราบกันบ้าง!! 

ข่าวจริง : ปรับคนขับรถไม่ใส่หน้ากาก-ออกนอกเคหสถาน จริงหรือ?

ปุ่มตระหนก : ในโซเชียลมีเดีย มีการแชร์ภาพใบเสร็จรับเงินค่าปรับ พร้อมคำเตือนว่า “ถึงจะอยู่ในรถส่วนตัว ก็ต้องใส่ Mask ด้วยนะ เจอด่านตรวจ จับปรับทันที”

ปุ่มตระหนัก : เป็นข้อมูลจริง เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 ณ เวลา 14.30 น. ศูนย์โควิดกระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) ได้อัพเดทรายชื่อ 50 จังหวัดที่มีบทลงโทษ กรณีประชาชนไม่ใส่หน้ากาก ทั้งหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า เมื่ออยู่นอกเคหสถาน หรือ สถานที่สาธารณะ หรือในชุมชน ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 (สองหมื่นบาท) ถ้าขับรถหรืออยู่ในรถคนเดียวไม่ใส่หน้ากากอนามัยได้ แต่ถ้ามีคนอื่นนั่งมาด้วยต้องใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งคนที่ไม่ใส่หน้ากากที่อยู่ในรถนั้นจะเป็นผู้ที่ถูกปรับ การจับและปรับผู้ไม่ใส่หน้ากากอนามัยนั้น เจตนาในการประกาศคือการป้องกันการติดต่อของโรคจากบุคคลไปสู่บุคคล ดังนั้นเมื่อมีบุคคลอื่นอยู่ในรถด้วยจึงต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ไม่ยกเว้นแม้เป็นครอบครัวเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และกรณีนั่งคนเดียวจึงอนุโลมได้ว่าไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัย 

เมื่อข่าวสารได้แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างแล้ว หากเป็นข่าวปลอมหรือ Fake News ก็เท่ากับมีคนรับข่าวสาร ข้อมูลที่ผิดเพิ่มเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้นทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยข่าว Fake News และรับข้อมูลผิด ๆ เราต้องหาแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือก่อน ใช้เวลาสักนิดก่อนกดแชร์ จะช่วยลดอัตราการส่งต่อข่าวสารข้อมูลผิด ๆ

ก่อนจบเนื้อหานี้ไป ขอแชร์ 6 วิธีทิ้งทาย ที่อยากให้ลองไปปรับใช้กันดู เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของ Fake News อีกต่อไป ดังนี้ 
1.) ข่าวต้องมีความน่าเชื่อถือ มีแหล่งอ้างอิงที่มาที่ชัดเจน สามารถตรวจสอบได้
2.) สังเกตการเรียบเรียงเนื้อข่าว และการสะกดคำต่างๆ เพราะข่าวปลอมมักจะสะกดผิดและมีการเรียบเรียงที่ไม่ดี
3.) สังเกต URL ให้ดี โดยข่าวปลอมอาจมี URL คล้ายเว็บของสำนักงานข่าวจริง
4.) ดูรายงานข่าวจากที่อื่น ๆ ว่ามีข่าวแบบเดียวกันหรือไม่ มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ
5.) ตรวจสอบข่าวจากการเสิร์ชหาข้อมูล อาจพบว่าเป็นข่าวเก่า หรือพบการแจ้งเตือนจากเว็บไซต์อื่นว่าเป็นข่าวปลอม
6.) ข่าวปลอมอาจมีการนำรูปภาพจากข่าวเก่ามาใช้ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ


ข้อมูลอ้างอิง 
https://tna.mcot.net/category/sureandshare
 

ถอดสมการ ‘เฟกนิวส์’ ‘ทฤษฎีสมคบคิด + ข่าวปลอม’ ยกกำลังสองด้วย ‘โซเชียลมีเดีย’ = โกหกอย่างมีหลักการ

การที่เทคโนโลยีได้นำพาสิ่งที่เรียกว่า ‘โซเชียลมีเดีย’ ออกมาแนบชิดประชาคมโลก มันก็เป็นอะไรที่ช่วยเปิดหูเปิดตาคนได้เยอะ

ข่าวสารมากมาย ความรู้หลากหลาย หาพบได้แค่ ‘นิ้วคลิก’ และ ‘ลากรูด’ ผ่านหน้าจอกะทัดรัดที่เรียกว่าสมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถเชื่อมโลกทั้งใบให้เรา ‘รู้กว้าง’ ได้มากกว่าเคย

แต่อย่างว่าเหรียญย่อมมี 2 ด้าน (ถ้าไม่ทะลึ่งไปทำหัว 2 ฝั่ง ก้อย 2 ฝั่ง) เรื่องดี ๆ มีเพียบ แต่เรื่องอัปรีย์ก็มีเสียบแทรกเข้ามาให้เห็นได้พร้อม ๆ กัน

ข่าวปล่อย ข่าวปลอม ข่าวเท็จ หรือเรียกรวม ๆ กันว่า ‘เฟกนิวส์’ (Fake News) มันก็คือหนึ่งในสิ่งที่วนเวียนอยู่ในโลกโซเชียลมีเดียที่มาพร้อมกันกับโลกจริงแบบคู่ขนาน และดูท่าช่วงนี้จะหลุดออกมามาก ถึงขนาดที่ว่ากันว่าไฟลามทุ่ง ยังไม่รุ่งเท่าแสงแห่ง ‘เฟกนิวส์’ ที่ปล่อยกันในโลกโซเชียลยังไงยังงั้น!! 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพูดเอาฮา เพราะเคยมีทีมวิจัยของมหาวิทยาลัย MITตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับข่าวปลอมในปี 2018 โดยระบุว่า พบ ข่าวปลอม ที่ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเพียงการลือถึง 126,000 โพสต์ แพร่กระจายไปในวงกว้างถึงผู้คนราว 3 ล้านคน และรีทวีตไปรวมมากกว่า 4.5 ล้านครั้ง ระหว่างปี 2006–2017 

ยิ่งไปกว่านั้นงานวิจัยชิ้นเดียวกันยังระบุด้วยว่า แค่ 1% ของเฟกนิวส์ สามารถแพร่กระจายเป็นวงกว้างไปสู่คนได้ตั้งแต่ 1,000 ถึง 100,000 คนต่อหนึ่งข่าว (แล้วแต่ข่าว) กันเลยทีเดียว

คำถาม คือ ทำไมผู้คนจึงเชื่อเฟกนิวส์?

ตรงนี้มี 2 ปัจจัยใหญ่ ๆ ให้ลองเช็ค...

ปัจจัยแรก หากพูดตามหลักการแล้ว ‘เฟกนิวส์’ เป็นสิ่งที่เล่นกลกับจิตใจคน เหตุเพราะทุกคนล้วนมีสิ่งที่เรียกว่า ‘การรับรู้อย่างมีอคติ’ (Cognitive Bias) ซ่อนอยู่ในตัว และการรับรู้ในลักษณะนี้นี่แหละ ที่มักจะนิยมชมชอบเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์อย่างรุนแรง หรือแม้แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจ ตื่นกลัว เกลียดชัง ขยะแขยง ดูถูกดูหมิ่น ฯลฯ (รวม ๆ แล้วฝักใฝ่เรื่องแย่ ๆ ซะมาก)

...มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ชวนเชื่อได้ง่ายกับสิ่งเหล่านี้!!

และถ้ายิ่งเนื้อหานั้น ๆ ออกมาจากคนในครอบครัว เพื่อน ๆ หรือคนที่เราชื่นชม ผสมผสานไปกับความคิดเห็นหรือความเชื่อที่เรามีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมด้วยล่ะก็...โอ้โห!! ความถูกผิดที่เคยสั่งสมมาในสมองนี่ถูกย่อยสลายเกลี้ยงได้เลย 

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลย หากเราเชื่อว่าผู้นำบางคนในต่างประเทศ (ประเทศไทยก็ได้) ชอบพูดอะไรที่ดูไม่เข้าท่าหรือไม่ฉลาด และบังเอิญดันมีคนไปแชร์คำพูดประหลาด ๆ จากคนเหล่านั้นมาผ่านตาเรา เราก็จะเชื่อง่ายเป็นพิเศษและรีบแชร์ต่ออย่างรวดเร็ว โดยจะตัดความคิดว่านี่คือข่าวปลอมไปจากหัว (ถามใจดูซิว่าเคยทำไหม)

ปัจจัยที่สอง เป็นเพราะคนยุคนี้ไม่ชอบเรื่องราว ‘ซับซ้อน’ และ ‘ขี้เกียจ’ ที่จะตามหาหรือสืบค้นต้นตอให้ยุ่งยาก 

เฮ้ย!! ขนาดนั้นเลยหรอ? 

ขนาดนั้นเลยแหละ!! ขนาดพอ ๆ กับที่เขาบอกกันว่าคนยุคนี้อ่านหนังสือไม่เกิน 8 บรรทัดยังไงยังงั้นนั่นแหละ 

เรื่องนี้ถ้ายกตัวอย่าง อยากจะพูดในเชิงเปรียบเทียบให้เห็นภาพสักนิด โดยย้อนไปถึงยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่ มักจะรู้ว่าสื่อต้นตอข่าวที่ตัวเองรับข่าวสารมา ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร รายการวิทยุ และรายการโทรทัศน์ใดบ้างมีระดับความน่าเชื่อถือในระดับที่ไปบอกเล่าต่อได้

แต่บังเอิญทุกวันนี้ หลากหลายสื่อเล่นกันง่าย ๆ แค่ไปเอาเรื่องราวจากในโซเชียลมีเดีย เอาโพสต์จาก Facebook หรือ Twitter มาอ่านออกอากาศกันอย่างหน้าตาเฉย ราวกับอยากจะช่วยรับประกันว่า ข่าวพวกนั้นเชื่อถือได้ พอมันเป็นแบบนี้ เรื่องจริง เรื่องปลอม จึงปะปนกันมั่วซั่วไปหมด แล้วมันจะไปประสาอะไรกับคนที่อยู่ในโลกโซเชียลที่พบเจอเรื่องอะไรก็เชื่อไปโดยไม่หาต้นตอ ถ้าบังเอิญเรื่องนั้นมันจริง ก็ OK ไป แต่ถ้าไม่ใช่นี่สิ ฮ่วย!! หน้าแหก 

...และนี่แหละที่บ่งชี้ชัดว่า ‘จิตใจคน’ เอย ‘ความไม่ชอบซับซ้อน’ เอย และความ ‘ขี้เกียจ’ เอย เป็นตัวเร่งชั้นดีให้ข่าวปลอมเกิดได้อย่างรวดเร็ว 

ทฤษฎีสมคบคิด ส่วนผสมที่ลงตัวแห่ง ‘เฟกนิวส์’ ที่ทรงเสน่ห์

อย่างไรก็ตาม เฟกนิวส์ หรือ ข่าวปลอมที่ดี (เดี๋ยว ๆ มีด้วยเหรอ) มักจะมาจาก ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ ที่บ้างก็เรียกว่า ‘ลัทธิการกบฏ’ (Conspiracy Theory) ซึ่งเป็นเรื่องเล่า บทความที่สร้างขึ้นมาจากความคิดของคน หรือกลุ่มคน โดยนำเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน มีข้อเท็จจริงประกอบอยู่เพียงเล็กน้อย กับทุกประเด็นทั้งการเมือง ศาสนา วัฒนธรรม กีฬา และอื่น ๆ 

แต่บอกไว้ก่อนว่าเรื่องเหล่านี้ นักวิชาการจะไม่นำมาใช้อ้างอิงหรอกนะฮะท่านผู้ชม!!

แต่ ๆ ๆ ถึงแม้จะไม่มีใครหยิบมาอ้างอิง ก็จะมีบางกลุ่มที่หยิบ ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ มาอ้างอิงให้เป็นข่าว (ปลอม) โดยพยายามปั้นทฤษฎีให้กลายเป็นข่าว แล้วดันข่าว (ปลอม) เหล่าให้คนในสังคมยอมรับว่าเป็น ‘เรื่องจริง’

ตรงนี้น่ากลัวกว่าข่าวปลอม จากแหล่งที่โกหกและแชร์ต่ออย่างไม่มีนัยยะแอบแฝงอย่างมาก 

เพราะต้องขอบอกว่า เฟกนิวส์ ที่มาจากทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ มีความรุนแรงและพร้อมสร้างความแตกแยกให้กับผู้คนในสังคมได้ง่ายๆ เนื่องจากผู้เผยแพร่ส่วนใหญ่จะหวังผลในระดับสังคม ประเทศ การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม โดย ‘ยกระดับข่าวปลอม’ ด้วยข้อมูลเหตุผลช่วยประคอง ทำให้คนบางพวกที่มี ‘ขบถทางความคิด’ มักจะชอบและเลือกหยิบมาเผยแพร่ต่อได้ง่าย

เอาง่าย ๆ อย่างตอนนี้เรื่องที่ถูกจับมาเป็นข่าวปลอมเชิงทฤษฎีสมคบคิดบ่อยสุด มันก็จะวน ๆ กับเรื่องของโควิด-19 

ตัวอย่างแค่ใกล้ ๆ อย่างในประเทศไทยก็พอ เราคงได้เห็นข่าวปลอม ข่าวมั่วเกี่ยวกับโควิด ที่มีการให้เหตุผลเกี่ยวกับการดูแลร่างกาย การรักษาระยะห่าง วิธีใส่หน้ากาก หรือแม้แต่การฉีดวัคซีนแบบผิด ๆ มาปนเปื้อนใส่หัวคนแบบมีเหตุผลประกอบ แต่มีคนแชร์กันเพียบ ซึ่งหากมองผลลัพธ์ของมันแล้ว นอกจากจะทำให้เกิดการติดเชื้อแพร่หลาย ยังกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาล ที่สะท้อนถึงความห่วยไม่สามารถคุมสถานการณ์อยู่ก็เป็นได้

หรืออย่างทฤษฎีสมคบคิด ที่ถูกใช้ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ใหญ่โตหน่อย ก็กรณีสหรัฐอเมริกากับจีนที่กล่าวหากันเรื่องที่มาของผู้แพร่ไวรัส ที่มองว่าผู้แพร่โรคนี้ต้องการใช้ไวรัสเป็นเครื่องมือบ่อนทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เพราะหลักฐานไม่ชัดเจน ไม่หนักแน่นพอ สุดท้ายแนวคิดเหล่านี้ก็หายไป

อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 ก็ยังมีหลุดออกมาอีกมาก ถึงขนาดมีองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเผยแพร่อย่างเป็นทางการ เช่น QAnon ที่สหรัฐอเมริกา กลุ่มขวาจัดที่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีผู้ติดตามจำนวนไม่น้อย

เรื่องราวของกลุ่มนี้ สามารถจับนั่นโยงนี่ได้จนต้องเบ้ปากมองบน เช่น สร้างข่าวปลอมทฤษฎีสมคบคิดในยุโรปว่าเสา 5G เป็นสื่อกลางกระจายไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษ และ เนเธอร์แลนด์ หรือบ้างก็พยายามเผยแพร่ให้เห็นว่าแผนการล้างโลกด้วยการปล่อยเชื้อโรคให้ระบาดอย่างร้ายแรงและรวดเร็ว 

แม้แต่ บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) เจ้าพ่อ Microsoft ก็ยังโดน!! โดยมีการอ้างว่าโควิด-19 เป็นแผนของนายบิลล์ เกตส์ ที่หวังรวยจากการพัฒนาวัคซีนและยา ที่มูลนิธิของเขาให้การสนับสนุนหลายแห่ง โดยไม่เชื่อมโยงจากคำพูดในงาน TED Talk เมื่อปี 2015ที่เตือนเรื่องการระบาดของไวรัสที่ถูกเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้ 

อันที่จริงแล้ว หลากหลายทฤษฎีสมคบคิด มักเป็นแนวคิดที่เกิดจากการ ‘สะสมอคติ’ แม้หลักฐานจะไม่น่าเชื่อถือในเชิงวิชาการ แต่ในเชิงหลักคิดที่มีอารมณ์นำพา มันตอบโจทย์!!  

ที่น่ากลัว คือ ‘ต่อให้มีใครมาบอกข้อมูลจริง ก็ไม่ได้ต้องการการพิสูจน์แล้ว’ เหมือนกับกรณีที่วันนี้ยังมีบางกลุ่มถกกันเรื่อง ‘โลกกลม VS โลกแบน’ อยู่ไม่เลิก

แน่นอนว่า ส่วนผสมที่ลงตัว ต้องพึ่งพาเครื่องมือที่พร้อมลงทัณฑ์ นั่นก็เลยย้อนกลับมาที่โซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ทฤษฎีสมคบคิดและข่าวปลอมกลายเป็น ‘เนื้อเดียวกัน’ แถมยังกระจายไปไกลและรวดเร็ว เกิดมีแอปพลิเคชัน มีแพลตฟอร์ม มีเว็บไซต์มากมายหลายร้อยที่ใช้เผยแพร่ แม้บรรดาเจ้าของเครื่องมือสื่อใหญ่อย่าง Facebook, Twitter, Line และ YouTube จะออกมาตรการควบคุม แต่ก็ไม่สามารถจัดการลบอะไรพวกนี้ได้หมด

ความบิดเบือนทางการเมือง ศาสนา สังคม วัฒนธรรม และอื่น ๆ ของ ‘เฟกนิวส์’ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ต่อยอดความเชื่อและความศรัทธา ได้มากกว่า ‘เหตุผล’ ไปเป็นที่เรียบร้อยในยุคที่สมการ ‘ทฤษฎีสมคบคิด + ข่าวปลอม ยกกำลังสองด้วย โซเชียลมีเดีย’ 

ใคร? ซึ่งในที่นี้ไม่ได้อยากระบุว่าเป็น คน, รัฐบาล หรือองค์กรใด ๆ ที่คิดว่าตนเองมี ‘ข่าวแท้’ อยู่ในมือ แต่กลับนิ่งเฉย จะไม่มีวันเอาชนะ ‘เฟกนิวส์’ เหล่านี้ได้ 

และถ้าหากแต่ปล่อยให้พลังของเฟกนิวส์ เกิดการทำซ้ำ ย้ำเรื่องปลอมเข้าไปเรื่อย ๆ โอกาสที่เรื่องปลอม ๆ จะกลายร่างเป็นเรื่องจริง จนถึงขั้นมาทดแทน ‘เรื่องที่แท้จริงแบบไม่บิดเบือน’ ก็มีสูง 

โกหกคำโต พูดง่ายๆ ซ้ำ ๆ สุดท้ายผู้คนก็จะเชื่อ!!

ธรรมชาติของมนุษย์มันก็จะประมาณนี้แหละ!!


อ้างอิง: 
https://siamrath.co.th/n/174018
https://www.the101.world/fake-news/
https://www.nytimes.com/2020/04/17/technology/bill-gates-virus-conspiracy-theories.html
 

ปทุมธานี – รองผู้ว่าฯ จ.ปทุมธานี เป็นประธานการประชุมคณะกรมการจังหวัด ครั้งที่ 7/2564 ผ่านระบบ Video Conference

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมบัวหลวง ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี อำเภอเมืองจังหวัดปทุมธานี นายสุพจน์  รอดเรือง ณ หนองคาย รอง ผวจ.ปทุมธานี  เป็นประธานการประชุมคณะกรมการจังหวัด ครั้งที่7/2564 ผ่านระบบ Video Conference โดยมี นายจรูญศักดิ์ สิงหเดช , นายพงศธร กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าฯ พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พ.อ.ชิตพล กึนสี รองผอ.รมน.จ.ปทุมธานี และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด จังหวัดปทุมธานี เข้าร่วมประชุม 

โดยมีนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ร่วมประชุมผ่านระบบ Video Conference ในครั้งนี้เช่นกัน ในที่ประชุมได้มีพิธีมอบโล่ให้แก่ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2564 ที่ไม่มีสถิติผู้เสียชีวิตในพื้นที่ ได้แก่ อ.ลาดหลุมแก้ว และ อ.สามโคก หลังจากนั้นได้มีการมอบเข็มเชิดชูเกียรติ (ครุฑทองคำ) และประกาศเกียรติบัตรให้แก่ พล.ต.ต.ชยุตฯ กับพวก รวม 3 ราย ซึ่งเป็นผู้ท่ีได้รับการคัดเลือกจากคณะอนุกรรม การคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น ระดับประเทศ ให้เป็นข้าราชการพลเรือน ดีเด่น จ.ปทุมธานี ประจำปี 2563 และมอบเกียรติบัตรข้าราชการพลเรือน ดีเด่น จ.ปทุมธานี อีกจำนวน 11 ราย


ภาพ/ข่าว ประภาพรรณ ขาวขำ รายงาน

ชลบุรี - รองนายกเมืองพัทยาร่วมตม.ชลบุรี ตรวจประมงพื้นบ้านสแกนต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง หวั่นแพร่เชื้อโควิด-19

รองนายกเมืองพัทยาประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี ตรวจสอบประมงพื้นบ้านหลังรับเรื่องร้องเรียน ต่างด้าวลักลอบทำงานแย่งอาชีพคนไทย และหวั่นเกรงแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมเตือนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพ ช่วยรักษาความสะอาด

เมื่อเวลา 06.00 น.วันที่ 30 เมษายน 2564 นายมาโนช หนองใหญ่ รองนายกเมืองพัทยา พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรีภายใต้อำนวยการของ พ.ต.อ.นเรนทร์ เครื่องสนุก ผกก.ตม.จว.ชลบุรี สั่งการให้ร.ต.อ.สวรรค์ ราชพิทักษ์ รอง สว.ตม.จว.ชลบุรี ร.ต.อ.สิทธิพงศ์ สมพันธ์ รอง สว.ตม.จว.ชลบุรี นำกำลังลงพื้นที่บริเวณสะพานยาว นาเกลือ ม.4 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตรวจสอบกลุ่มคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ประกอบอาชีพโดยผิดกฎหมาย รวมไปถึงเป็นการสแกนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย

จากการลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่ากลุ่มคนงานต่างด้าวที่กำลังสาวอวนขึ้นจากเรือนั้น โดยที่อวนยังมีสัตว์น้ำติดอยู่จำนวนมาก บางรายกำลังคัดแยกสัตว์น้ำออกจากอวนใส่ตะกร้า ก่อนจะส่งออกไปขายยังตลาดสดอาหารทะเล เจ้าหน้าที่จึงขอทำการตรวจเอกสารประจำตัว กลุ่มคนงานต่างด้าวทั้งสัญชาติพม่า และกัมพูชา ส่วนใหญ่มีนายจ้าง มีเอกสารแสดงอย่างถูกต้อง ส่วนภายในทะเลยังพบเรือประมงอีกกว่า 20 ลำจอดลอยลำอยู่โดยไม่มีเจ้าของและคนงานแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มคนงานบางรายไม่มีการสวมหน้ากากอนามัย จึงได้ว่ากล่าวตักเตือนให้ทำตามมาตรการทุกคน หากพบอีกจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีตากฎหมาย

ด้านนายมาโนช หนองใหญ่ รองนายกเมืองพัทยาได้เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้มีประชาชนชาวนาเกลือ ร้องเรียนมายังเมืองพัทยาว่า มีชาวต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย และยังเข้ามาทำประมงพื้นบ้าน สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน จึงได้ประสานกับเจ้าหน้าทีตรวจคนเข้าเมือง เข้าตรวจสอบว่าเข้ามาถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และตรวจสอบเกี่ยวกับนายท้ายเรือที่ออกไปหาปลากัน ส่วนใหญ่แล้วก็มีบัตรมาแสดงถูกต้อง แต่ต่างด้าวไม่สามารถขับเรือได้ ซึ่งยังมีบางส่วนที่ยังไม่ถูกต้อง ในการตรวจสอบครั้งต่อไปนั้นก็จะต้องประสานทางกรมเจ้าท่าร่วมตรวจสอบ ว่านายท้ายเรือที่ร่วมออกเรือไปถูกต้องหรือไม่ ในวันนี้ได้พื้นที่ก็พบว่ามีต่างด้าวเป็นกัมพูชา ทำประมงเป็นลูกจ้างจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังฝากในเรื่องของความสะอาดโดยในการทำประมงบริเวณนี้ ก็ได้รับร้องเรียนส่วนหนึ่งว่าทำให้เกิดความสกปรกมาก มีการนำปลาหรือส่งของเหลือใช้แล้ว มาทิ้งบริเวณชายหาด ไม่เก็บให้เรียบร้อย ในวันนี้ก็ได้ทำความเข้าใจกันแล้วว่า บริเวณชายหาดนั้นเป็นพื้นที่ส่วนรวม ที่ทุกคนสามารถใช้ร่วมกันได้ ก็ให้ทางผู้ทำประมงช่วยกันทำความสะอาด เก็บสิ่งของให้หมดออกไป เพื่อประชาชนเข้ามาใช้ชายหาดร่วมกันได้ พร้อมแสดงความเสียใจกับน้าค่อมอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  สมชาย​ โค​ต​ล่าม​แขก​ ผู้​สื่อข่าว​พัทยา​


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top