Thursday, 19 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

ลพบุรี – ทหารกองพันจู่โจม บริจาคโลหิตเพื่อชาติในวันฉัตรมงคล

กองพันจู่โจมรักษาพระองค์ ค่ายเอราวัณ นำกำลังพลจิตอาสา กว่า 100 นาย บริจาคโลหิต ตามโครงการ “ กองทัพบก บริจาคโลหิต จิตอาสาเพื่อชาติ ” เพื่อเป็นโลหิตสำรอง ซึ่งอยู่ใน ภาวะขาดแคลนโลหิต เนื่องในวัน “ ฉัตรมงคล ” ประจำปี 2564

พันโท มงคล ปุริสา ผู้บังคับกองพันจู่โจมรักษาพระองค์  กรมรบพิเศษที่ 3 รักษาพระองค์ นำกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน “ เราทำความดี ด้วยหัวใจ ” และกำลังพลของหน่วย ซึ่งได้ผ่านคัดกรองจากหน่วยแล้วว่าเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างการแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่เป็นผู้เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ โควิด-19 จำนวน 103 นาย เข้าร่วมบริจาคโลหิต ตามโครงการ  “ กองทัพบก บริจาคโลหิต จิตอาสาเพื่อชาติ ” ณ อาคารเอนกประสงค์ประภูชะเนย์ กองพันจู่โจมรักษาพระองค์ ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี  เพื่อส่งต่อโลหิตที่ปลอดภัย ตามมาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาดโควิด-19 ให้กับสภากาชาดไทย สำหรับใช้เป็นโลหิตสำรองให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งอยู่ใน ภาวะขาดแคลนโลหิต ตลอดจน เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งความรู้รักสามัคคี และความเสียสละ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี และราชอาณาจักรไทย เนื่องในวันฉัตรมงคล ประจำปี 2564

โดยมี ทีมแพทย์ พยาบาล จากสำนักงานภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 2 จังหวัดลพบุรี มาคอยอำนวยความสะดวกในการตรวจคักกรอง และให้บริการรับบริจาคโลหิตจากกำลังพล โดยมีการตรวจคัดกรองซักประวัติผู้เข้าร่วมบริจาคโลหิต มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย พร้อมกำหนดการเว้นระยะห่างระหว่างกำลังพลที่มารอบริจาคโลหิต “Social Distancing” เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริจาคโลหิตทุกคน และเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยที่ต้องรับโลหิตจากการรักษาพยาบาล       

ทั้งนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่ง ในการร่วมแก้ปัญหาภาวะโลหิตขาดแคลน จากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID -19 ระลอกใหม่ ตามนโยบายของกองทัพบก โดยมีโลหิตที่ได้ จำนวน 91 ยูนิต รวม 36,400 ซีซี โดยโลหิตที่ได้จะถูกนำไปใช้เป็นโลหิตสำรองให้กับธนาคารเลือด สำหรับใช้ดูแลรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน ให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี และจังหวัดใกล้เคียงในโอกาสต่อไป


ภาพ/ข่าว  กฤษณ์  สนใจ

ยะลา – เบตง เพิ่มความเข้มหวั่นคนไทยลักลอบเข้าเมืองก่อนเทศกาล ‘ฮารีราย’ นำไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ แอฟริกาใต้ เข้าตามแนวชายแดน

นายอำเภอเบตงสั่งวางกำลัง บูรณาการหลายฝ่าย สกัดกั้น โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ แอฟริกาใต้ หลังมาเลเซียพบยอดติดสูง  บูรณาการร่วมหน่วยกำลังตรวจเข้มช่องทางธรรมชาติ ด้านชายแดนอำเภอเบตง จังหวัดยะลา หวั่นลักลอบเข้าเมืองก่อนเทศกาลฮารีรายอในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้

วันที่ 4 พ.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา ได้ออกคำสั่งให้ทุกฝ่าย ทหารชุดเฝ้าตรวจชายแดนที่ 4  ตำรวจ สภ.เบตง  ฝ่ายปกครอง ตรวจคนเข้าเมือง  ตชด.445 ชุดเฝ้าตรวจ 4405 และ 4406  กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน วางมาตรการ จัดกำลังวางแผน บูรณาการร่วมออกลาดตระเวน เฝ้าระวังหมู่บ้านติดชายแดนมาเลเซียเพื่อป้องกัน กลุ่มคนไทยที่ทำงานในประเทศมาเลเซียที่ยังหลบซ่อนตัวอยู่ตามแนวชายแดนลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมาย ตามช่องทางธรรมชาติ รอยต่อประเทศมาเลเซีย ในช่วงก่อนเทศกาล‘ฮารีราย’ ในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ ทังนี้เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สายพันธุ์ใหม่คือสายพันธุ์ แอฟริกาใต้ โดยเจ้าหน้าที่ได้เพิ่มความเข้มงวด ความถี่ ขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ในเขตเทศบาลเมืองเบตงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เบตงได้ออกประกาศขอความร่วมมือประชาชนงดออกภายนอกเคหะสถานช่วงเวลา 22.00 – 04.00 น. เพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยได้เริ่มบังคับใช้มาตั้งแต่ 1-18 พ.ค.2564

ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ต่างให้ความร่วมมือในการคัดกรองตามจุดต่าง ๆ ในเขตเทศบาลและที่ตลาดสดเทศบาลเมืองเบตงได้มีการตั้งจุดคัดกรองลงทะเบียนไทยชนะ เพื่อการติดตามหากมีการพบผู้มีอาการและกำหนดให้มีทางเข้า – ออก ตลาดเพียง 2 ช่องทางเพื่อป้องกันการแออัด และเป็นการเว้นระยะห่าง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

ขณะที่บรรยากาศย่านการค้า ซึ่งถือว่าเป็นย่านการค้าที่เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าที่จำหน่ายนักท่องเที่ยว ต่างปิดตัวลงชั่วคราว  โดยตั้งแต่มีการระบาดของโควิดระลอก 3 ซึ่งที่ผ่านมาอำเภอเบตงที่ไม่เคยมีการติดเชื้อในระลอก 1 และ 2 ปรากฏว่าในระลอกที่ 3 มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตด้วย ทำให้บรรยากาศเงียบเหงาไร้นักท่องเที่ยว ทำให้หลายร้านโดยเฉพาะผู้ค้ารายย่อยที่เป็นร้านค้าขนาดเล็กหาเช้ากินค่ำ ต้องปิดกิจการชั่วคราวทิ้งไว้แต่ร้านร้างว่างเปล่าลงจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา ผู้ป่วยยืนยัน 13 ราย กำลังรักษา 6 ราย เสียชีวิต 1 ราย รักษาหายกลับบ้าน 5 ราย ส่งต่อ 1 ราย และการคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเสี่ยง โดยกลุ่มเสี่ยงสูง 180 ราย กลุ่มเสี่ยงต่ำ 135 ราย รอผลเสี่ยงต่ำ 2 ราย


ภาพ/ข่าว  ธานินทร์  โพธิทัพพะ / ปื้ดเบตง

‘กรณ์’ แนะคลัง พื้นฟูการบินไทย โจทย์ใหญ่ต้องไม่ให้มีฝ่ายการเมือง หรือราชการครอบงำ ค้านใช้เงินภาษี 50,000 ล้าน อุ้มการบินไทย ให้เป็นองค์กรแบบเดิม ๆ ลั่นใช้เงินไปอุ้ม SME ยังดีกว่า 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อแสดงความคิดเห็นกรณีการบินไทย โดยระบุว่า อาจมีการประชุมครม.เร็วๆ นี้ว่าด้วยเรื่อง "การบินไทย" จึงขอเปิดพื้นที่แสดงความคิด และขอความเห็นที่สร้างสรรค์ เพราะเป็นเรื่องของ ภาษี 5 หมื่นล้านกับการตัดสินใจกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ 

ตอนที่รัฐบาลตัดสินใจนำการบินไทยเข้าสู่กระบวนการการฟื้นฟูตามพรบ. ล้มละลาย หลายคนที่ติดตามเรื่องนี้ล้วนเห็นด้วย ด้วยความหวังว่าเมื่อผ่านกระบวนการฟื้นฟูแล้ว การบินไทยจะบริหารแบบมืออาชีพ มีกำไร มีการเงินที่มั่นคง และที่สำคัญคือ มีสภาพเป็นบริษัทเอกชนเต็มตัว ปลดแอกจากการแทรกแซงโดยรัฐ โดยนักการเมือง และโดยกองทัพเหมือนที่ผ่านมา ต้องบอกว่าผิดหวัง 

เมื่อเห็น 2 ทางเลือกที่กระทรวงการคลัง เสนอให้รัฐบาล คือ 1. ให้รัฐใส่ทุนด้วยเงินภาษี (อีกแล้ว) 25,000 ล้านบาท และค้ำประกันหนี้ใหม่ อีก 25,000 ล้านบาท รวม 50,000 ล้านบาท และ 2. หากรัฐไม่ใส่ทุนก็ต้องค้ำประกันหนี้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งรัฐค้ำด้วยเงินของรัฐ ก็หมายความว่าการบินไทยต้องกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ หากบริษัทไปได้ดี มีกำไรในอนาคต  รัฐแทบไม่มีโอกาสได้ส่วนแบ่ง เพราะต้องคืนเจ้าหนี้เก่า ในขณะที่เจ้าหนี้ใหม่ สามารถเปลี่ยนหนี้มาเป็นทุนได้สูงถึง 90% ของทุนทั้งหมด สิ่งที่ควรได้เห็นแต่ผู้เสนอแผนไม่ได้ทำ คือ การยืนยันกับเจ้าหนี้เพื่อลดหนี้เดิม ซึ่งหนี้ที่ไม่ได้ลดลงคือสาเหตุหลักที่ทำให้การบินไทยไม่สามารถระดมทุนจากนักลงทุนใหม่ได้เลย ต้องกลับมาขอเงินรัฐ ก็คือเงินภาษีของประชาชน

จริงๆ แล้วครั้งนี้ การบินไทยมีโอกาสที่จะรอดมากที่สุด เพราะมีการปรับลดค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการจ้างพนักงาน (พนักงานมีทั้งเสียสละลาออก ทั้งยอมลดเงินเดือนตัวเอง) ค่าเช่าเครื่องบิน ค่าน้ำมันหรือค่าการตลาดลงโดยรวมถึงเกือบ 50,000 ล้านบาทต่อปี แต่ด้วยโครงสร้างหนี้จึงทำให้ไม่มีใครพร้อมใส่ทุน ดังนั้นรัฐบาลต้องมีคำตอบว่าการอุ้มการบินไทยรอบใหม่นี้ คนเสียภาษีได้อะไร ถ้าไม่อุ้มล่ะ ถ้าเจ้าหนี้ยอมที่จะปล่อยให้บริษัทต้องล้มละลาย (ซึ่งในกรณีนี้เจ้าหนี้อาจจะได้เงินคืนเพียง 10% ของวงเงินสินเชื่อเดิม) จะส่งผลยังไงต่อประชาชนคนไทย

เราสามารถสร้างบริษัทการบินไทยขึ้นมาใหม่ ด้วยโครงสร้างองค์กร โครงสร้างทุนและการบริหารที่ดีกว่านี้ได้หรือไม่ มีคำถามอีกมากมายที่ตนคิดว่าคนไทยที่เสียภาษีไปอุ้มการบินไทยรอบแล้วรอบเล่าควรได้รับคำตอบที่ตรงไปตรงมาโดยสรุปผมมองว่า "รัฐบาลต้องยืนยันว่าจะไม่ให้ฝ่ายการเมืองหรือราชการเข้าไปครอบงำการบินไทยอีก" นี่คือโจทย์สำคัญ รัฐต้องยืนกรานว่าเจ้าหนี้เดิมต้องรับสภาพตามสถานะที่แท้จริงของบริษัท หากรัฐต้องใส่เงินเพิ่ม ต้องมีเงินจากนักลงทุนเอกชนในสัดส่วนที่มากกว่า  ส่วนผลกระทบที่อาจจะเกิดกับเจ้าหนี้บางประเภทเช่นสหกรณ์ออมทรัพย์ควรมีมาตรการต่างหากที่จะเยียวยาตามความจำเป็น ครั้งนี้เรามีโอกาสที่จะฟื้นฟูการบินไทยและปลดแอกจากทุกภาระที่หนักอึ้ง อย่าใช้เงินภาษีประชาชนเพียงเพื่อรักษาองค์กรไว้ในรูปแบบเดิม

หากรัฐไม่เจรจาเงื่อนไขที่ดีกว่านี้ เราเอาเงิน 50,000 ล้านไปทำประโยชน์เรื่องอื่นดีกว่า ไม่ว่าจะช่วย SME ให้รอดจากพิษเศรษฐกิจโควิด หรือแม้แต่เอาไปเร่งเยียวยาประชาชนในรูปแบบต่างๆ ยามวิกฤตเช่นนี้

ทีมา : https://web.facebook.com/KornGoThailand/photos/a.10151851815469740/10159600233394740/

พาณิชย์ตีทะเบียน 11 สินค้าจีไอเพิ่ม 4 ประเทศกันเจอแอบอ้าง

นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า  กรมฯ ได้เร่งยื่นคำขอขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ของไทยในต่างแดนเพิ่ม 4 ประเทศ จำนวน 11 สินค้า โดยสาเหตุที่ต้องขอขึ้นทะเบียนในต่างประเทศ เพราะสินค้าจีไอ เป็นสินค้าที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้สินค้าเป็นที่สนใจของผู้บริโภคชาวไทยและต่างประเทศ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องยื่นขอขึ้นทะเบียน เพื่อคุ้มครองชื่อสินค้าให้เป็นสิทธิของชุมชนอยู่เช่นเดิม ไม่ให้ใครแอบอ้างเอาชื่อสินค้าจีไอของไทยไปใช้ประชาสัมพันธ์สินค้าอื่น ที่ไม่ใช่สินค้าจีไอ อีกทั้งยังช่วยทำให้สินค้าจีไอเป็นที่รู้จัก และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าด้วย  

สำหรับสินค้า 11 รายการที่ยื่นขอขึ้นทะเบียนนั้น แบ่งเป็น ประเทศจีน คือ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ มะขามหวานเพชรบูรณ์ และส้มโอทับทิมสยามปากพนัง ประเทศญี่ปุ่น คือ กาแฟดอยตุง กาแฟดอยช้าง และสับปะรดห้วยมุ่น ประเทศเวียดนาม คือ มะขามหวานเพชรบูรณ์ และลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน และ ประเทศมาเลเซีย คือ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ และส้มโอทับทิมสยามปากพนัง โดยทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา คาดว่าจะได้รับอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าจรีไอเร็ว ๆ นี้ 

ทั้งนี้ในปัจจุบัน มีสินค้าจีไอของไทย ได้ขึ้นทะเบียนในต่างประเทศแล้ว 5 ประเทศ จำนวน 8 สินค้า ได้แก่ สหภาพยุโรป ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ กาแฟดอยตุง กาแฟดอยช้าง และข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง, เวียดนาม เส้นไหมไทยพื้นบ้านอีสาน, กัมพูชา กาแฟดอยตุง, อินโดนีเซีย ผ้าไหมยกดอกลำพูน และอินเดีย ผ้าไหมยกดอกลำพูน ส่วนความคืบหน้าการรับขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอในไทย ล่าสุดกรมฯ ได้รับขึ้นทะเบียนเพิ่มอีก 2 รายการ คือ ข้าวหอมเจ๊กเชยชัยนาท และถั่วลายเสือแม่ฮ่องสอน ทำให้มีสินค้าจีไอไทยขึ้นทะเบียนแล้ว 136 รายการ จาก 76 จังหวัด 

เศรษฐกิจต้องไม่หยุดชะงัก! ‘บิ๊กตู่’ สั่งชงมาตรการฟื้นเศรษฐกิจ 5 พ.ค.นี้ ทั้งมาตรการเยียวยาประชาชน และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เชิญคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจเข้าพบเพื่อหารือเรื่องมาตรการดูแล เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19ในรอบล่าสุดนี้ โดยนายกรัฐมนตรี ย้ำในที่ประชุมว่า ตอนนี้มีความจำเป็นที่ต้องพิจารณามาตรการรอบใหม่ด้วยความรวดเร็วและรอบคอบ โดยมาตรการใดที่สามารถดำเนินการได้ทันที นายกฯ ได้ขอให้หน่วยงานต้นสังกัดนำเสนอเข้าที่ประชุมครม.วันที่ 5 พ.ค. 64 นี้โดยด่วน

นายอนุชา กล่าวว่า ในการหารือครั้งนี้ที่ประชุมได้พิจารณาถึงความคืบหน้าของมาตรการต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในส่วนของมาตรการด้านการเงินผ่านการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการออก พ.ร.ก. ด้านการเงินต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่ รวมถึงมาตรการด้านภาษี ทั้งการลดภาษีและการขยายกำหนดเวลาต่างๆ อีกทั้งมาตรการด้านการคลังผ่านโครงการเยียวยา และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อต่างๆ ซึ่งมีทั้งโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว เช่น โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1-2 โครงการเพิ่มกำลังซื้อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการที่ยังดำเนินการอยู่ เช่น โครงการเราชนะ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การระบาดของโรคโควิด-19 ในรอบล่าสุดนี้ ได้กระจายไปทั่วประเทศ และมีผลกระทบในวงกว้างกว่ารอบที่ผ่านมา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณามาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม เพื่อดูแลและเยียวยาประชาชนอย่างเร่งด่วน และฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยจะพิจารณามาตรการที่สามารถดำเนินการได้ทันที อาทิ มาตรการด้านการเงิน มาตรการด้านสินเชื่อ มาตรการพักชำระหนี้ รวมถึงมาตรการลดค่าใช้จ่ายของประชาชน มาตรการการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ และมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย

ชลบุรี - ผบ.ทร.ประชุม นขต.ทร.ผ่านระบบ VTC รับมือ CIVID -19 ด้านโฆษกกองทัพเรือ เปิดตัวรายการ "กองทัพเรือ ร่วมใจต้านภัย COVID -19" สร้างการรับรู้แก่กำลังพล

วันนี้ (3 พฤษภาคม 2564 )  พลเรือเอก ชาติชาย  ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้จัดให้มีการประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรง กองทัพเรือ (นขต.ทร.)ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Tele Conference : VTC) ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

โดยมีหัวข้อการประชุมที่สำคัญคือ การเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาด ของ COVID -19 ในส่วนของกองทัพเรือ ตลอดจนการ จัดเตรียมสถานที่เพื่อจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม ในการสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข  นอกจากนั้นแล้วผู้บัญชาการทหารเรือ ยังได้เน้นย้ำให้หน่วยต่างๆของกองทัพเรือ สร้างการรับรู้ให้แก่กำลังพล เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID - 19 ซึ่งก่อนการประชุมผู้บัญชาการทหารเรือได้ เยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ ของโรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ที่อยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทน เสียสละ อย่างเต็มกำลังความสามารถ ในช่วงเวลาวิกฤตของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส CIVID - 19

ในขณะที่ พลเรือเอก เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ  เปิดเผยว่า  วันนี้ เป็นวันแรกที่จะมีการนำเสนอรายการ “กองทัพเรือร่วมใจต้านภัย COVID-19” เป็นตอนแรก ในเวลา 15.00 น.ผ่าน Facebook Fanpage : กองทัพเรือร่วมใจต้านภัย COVID-19  และ Social Media ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการสร้างการรับรู้ในการรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ให้กับกำลังพลของกองทัพเรือ ภายใต้ศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน covid-19 กองทัพเรือ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ ด้วยความร่วมมือจากสำนักงานโฆษกกองทัพเรือ และคณะกรรมการจัดทำสารคดีและสื่อโทรทัศน์ กองทัพเรือ ซึ่งจะนำเสนอเป็นประจำทุกสัปดาห์

 ในตอนแรก แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ โฆษกพิเศษกองทัพเรือ และ หมอพลอย แพทย์จีน ปรียาดา บัวสมบุญ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ ทำหน้าที่เป็นพิธีกร

สำหรับรายการ “กองทัพเรือร่วมใจต้านภัย COVID-19” มีรูปแบบรายการเล่าข่าว ความยาวประมาณ 10 -15 นาที โดยมีเนื้อหาที่สำคัญ ประกอบด้วย

 - ข้อมูลจากกรมแพทย์ทหารเรือ และศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน COVID-19 กองทัพเรือ/ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ ในการสร้างความเข้าใจในมาตรการ ข้อกำหนดในการปฏิบัติของกำลังพลกองทัพเรือ เพื่อเป็นแนวทางเดียวกัน

 - ข่าวกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในกองทัพเรือ หรือที่เกี่ยวข้อง

 - การสร้างการตระหนักรู้ และบทสัมภาษณ์พิเศษต่าง ๆ

 - สุดท้ายคือการร่วมสร้างกำลังใจให้แก่กำลังพลบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพเรือ

รายการ "กองทัพเรือ ร่วมใจต้านภัย COVID - 18" อำนวยการผลิตโดย พลเรือเอก เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ และพลเรือโท ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ โดยได้มือผลิตสารคดีคุณภาพของกองทัพเรือ นาวาเอก สุวิทย์ จันทร์เพ็ญศรี รองผู้อำนวยการสำนักจิตวิทยา กรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ (Producer) หรือผู้ควบคุมการผลิต เพื่อให้รายการที่ผลิตในครั้งนี้มีคุณภาพ โดยใช้ศักยภาพของบุคลากรของกองทัพเรืออย่างเต็มที่และเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการสร้างเสริมความรู้ความสามารถให้กับทีมงานด้านนี้ ของกองทัพเรืออีกด้วย

และนี่คืออีกหนึ่งความตั้งใจของกองทัพเรือ ที่ต้องการให้กำลังพลทุกระดับมีความรู้ความเข้าใจ มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายใต้แนวทาง “พลังสามัคคี พลังราชนาวี” ที่ พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือได้มอบไว้ เพื่อพร้อมที่จะรับมือกับภัยคุกคามของชาติในครั้งนี้


ภาพ/ข่าว กองประชาสัมพันธ์ / สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ

นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี

นนทบุรี – กรมพลาธิการทหารบก ส่งมอบโรงพยาบาลสนามให้แก่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ 2 อาคาร 200 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียว

วันนี้ ( 5 พ.ค.64)เวลา 10.00 น. ที่ กองยกกระบัตร กรมพลาธิการทหารบก อำเภอเมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี พลโท กิตติชัย วงศ์หาญ  เจ้ากรมพลาธิการทหารบก พร้อมคณะนายทหาร ส่งมอบมอบโรงพยาบาลสนามให้แก่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะจำนวน 2 อาคาร 200 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียว โดยมี พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ พร้อมคณะแพทย์และพยาบาลร่วมรับมอบโรงพยาบาลสนามดังกล่าว 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมา กองทัพบกได้ตระหนักถึงความสำคัญและเล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้ดำเนินการเตรียมพื้นที่ในการช่วยเหลือประชาชนสนับสนุนหน่วยงานราชการต่าง ๆ และกระทรวงสาธารณสุข จึงมอบหมายให้กรมพลาธิการทหารบก จัดเตรียมสถานที่เพื่อรองรับผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโคนา 2019 (COVID -19) กรณีเกินขีดความสามารถในการรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลหลัก และได้ดำเนินการปรับปรุงอาคารกองคลังยกกระบัตร กรมพลาธิการทหารบกเป็น โรงพยาบาลสนาม ประกอบด้วยอาคาร 2 อาคาร การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขนาด 200 เตียง ณ กองยกกระบัตร กรมพลาธิการทหารบก ในครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนและ รองรับผู้ป่วยกรณีโรงพยาบาลหลักเกินขีดความสามารถที่จะดูแลผู้ป่วยได้ทั้งหมด โดยรับผู้ป่วยที่ผ่านการรักษาและสังเกตอาการจากโรงพยาบาล กรณีอาการไม่รุนแรง(กลุ่มสีเขียว) ให้มาพักรักษาและติดตามอาการต่อเนื่อง จนกว่าผลตรวจจะเป็นลบหรือไม่พบเชื้อแล้ว แต่หากพบว่ามีอาการหนักขึ้น ก็จะถูกส่งตัวกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลหลักทันที

นอกจากนี้ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้สนับสนุนนำเทคโนโลยี 5G และนวัตกรรมต่าง ๆ เข้าไปสนับสนุนการทำงาน การเว้นระยะห่างของการทำงานของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ฯ ( Social distancing ) เพื่อช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกระดับให้การทำงานของทีมแพทย์ และบุคลากรต่าง ๆ ไร้อุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ด้วย

จันทบุรี – คนรักสัตว์ นำสุนัขสวมแมสป้องกันโควิด-19 ขณะสถิติในจันทบุรียั้งไม่พบโควิดในสัตว์เลี้ยง

ที่ อ.ขลุง จ.จันทบุรี พบสุนัขที่เจ้าของพาซ้อนรถจักรยานยนต์ ออกมาซื้อกับข้าวด้วย แต่ว่าเจ้าสุนัขตัวนี้ สวมแมสป้องกันโควิดด้วย ดูแปลกและสะดุดตาผู้ที่พบเห็น

เมื่อได้เข้าไปพูดคุยก็ทราบว่าสุนัขตัวนี้มีชื่อว่าเจ้าโกโก้ เป็นสุนัข เพศเมีย อายุ 9 ขวบ ทางเจ้าของบอกว่าเมื่อจะออกมาเที่ยวก็สวมแมสให้โดยที่เจ้าโกโก้ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เมื่อนำออกไปเที่ยวซ้อนรถจักรยานยนต์ก็จะสวมแมสให้แบบนี้ทุกครั้ง จนทำให้ผู้พบเห็นต่างต้องยิ้มและทักเจ้าโกโก้กันทุกคน ถือเป็นตัวอย่างที่ดีให้ประชาชนได้ดูเป็นแบบอย่างว่าขนาดสุนัขยังต้องสวมแมสเมื่อออกจากบ้านเราเป็นคนก็อย่าทำให้อายสุนัขนะครับ

ขณะเดียวกันข้อมูลการแพทย์ยังไม่พบสัตว์เลี้ยงในจันทบุรีติดเชื้อโควิด เพราะยังไม่มีการคัดกรอบในสัตว์เลี้ยง


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา ผู้สื่อข่าวจ.จันทบุรี

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

ชลบุรี - ในหลวง พระราชินี พระราชทานเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล ให้แก่ รพ.ชลบุรี เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19

ในหลวง พระราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล ให้แก่ รพ.ชลบุรี เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เป็นวงกว้างในขณะนี้ ทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น และพบภาวะปอดอักเสบเป็นจำนวนมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล พร้อมชุดประมวลผลภาพเอกซเรย์ Chest ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับโรงพยาบาลชลบุรี เพื่อนำไปใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ณ ห้องประชุมอาคารเฉลิมราชสมบัติ ชั้น 9 โรงพยาบาลชลบุรี ได้จัดพิธีรับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์พระราชทาน เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล พร้อมชุดประมวลผลภาพเอกซเรย์ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ มีนายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานสาธารณสุขชลบุรี ผู้อํานวยการโรงพยาบาลชลบุรี และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลฯ เข้าร่วมพิธี

โดยทางจังหวัดชลบุรี ได้เผชิญกับการระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19 ในช่วงเดือนมีนาคม จากผู้ที่ไปเที่ยวสถาบันเทิงย่านทองหล่อ กรุงเทพมหานคร และได้แพร่กระจายเป็นวงกว้างจนถึงปัจจุบัน ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดชลบุรี ได้เข้าดำเนินการควบคุมโรคไว้และนำผู้ที่ติดเชื้อมาทำการรักษาในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามในจังหวัดชลบุรี และได้ดำเนินการสืบสวนโรคกับผู้ติดเชื้อ เพื่อเป็นการควบคุมการแพร่ระบาดให้ลดน้อยลง 

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ของการระบาดยังพบผู้ป่วยจำนวนมากที่มีภาวะปอดอักเสบ จำเป็นต้องมีการวินิจฉัยที่แม่นยำ เฝ้าระวังอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การรักษาได้ทันเวลา ลดอัตราความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย การได้รับพระราชทานเครื่องมือแพทย์ดังกล่าว ยังประโยชน์ต่อการบำบัดรักษาผู้ป่วยอย่างเหลือคณานับ จังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานสาธารณสุขชลบุรี ผู้อํานวยการโรงพยาบาลชลบุรี และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลชลบุรี รู้สึกซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี  

ขอนแก่น - เปิด รพ.สนาม แห่งที่ 2 รับมือผู้ป่วยโควิด-19 ผู้ว่าฯ ย้ำชัดสถานการณ์ยังเอาอยู่ แต่เพื่อความไม่ประมาทต้องเตรียมการไว้ในทุกรูปแบบ ขณะที่ล่าสุดผู้ป่วยโควิดรักษาหายแล้ว 182 ราย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21 ราย

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 3 พ.ค.2564 ที่โรงพยาบาลสนามขอนแก่นแห่งที่ 2 (พุทธมณฑลอีสาน) ริม ถ.เลี่ยงเมือง สายขอนแก่น-กาฬสินธุ์ บ.เต่านอ  ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น นายสมศักดิ์  จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น พร้อมด้วย นายพงษ์ศักดิ์  ตั้งวานิชกพงษ์ นายก อบจ.ขอนแก่น , นพ.สมชายโชติ  ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุข จ.ขอนแก่น และ นพ.วีระศักดิ์  อนุตรอังกูร ผอ.รพ.สิรินธร ในฐานะ ผอ.รพ.สนามขอนแก่นแห่งที่ 2 ร่วมกันเปิด รพ.สนามขอนแก่น แห่งที่ 2 สำหรับการเตรียมความพร้อมรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ตามแผนการดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ จ.ขอนแก่น ในการป้องกัน เฝ้าระวังและควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่จากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

นายสมศักดิ์  จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า วันนี้ขอนแก่นมียอดจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ เพิ่มขึ้นอีก 21 รายทำให้จำนวนผู้ป่วยสะสมของการระบาดระลอกใหม่ มีจำนวนทั้งสิ้น 412 ราย ในจำนวนนี้รักษาหายขาดจากอาการแล้ว 182 ราย โดยยังคงมีจำนวนผู้ป่วยที่ยังคงเข้ารับการรักษาอยู่ที่ รพ.ต่าง ๆ จำนวน 230 ราย ขณะที่ รพ.สนามขอนแก่น แห่งที่ 1 (หอพัก 26 มหาวิทยาลัยขอนแก่น) ซึ่งมีทั้งสิ้น 258 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วยซึ่งเข้ารับการรักษาเพียง 38 ราย ซึ่งยังคงสามารถรองรับจำนวนผู้ป่วยได้อีกตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

“การเปิด รพ.สนามขอนแก่น แห่งที่ 2 วันนี้เป็นการเริ่มต้นของแผนการดำเนินงานที่เราจะต้องมองภาพรวมในทุกมิติ ซึ่งหากจำนวนผู้ป่วยที่ รพ.สนามแห่งที่ 1 มีจำนวนมากถึงร้อยละ 70 ของปริมาณเตียง การบริหารจัดการผู้ป่วย ในกลุ่มไม่แสดงอาการ หรือมีอาการน้อยจะถูกส่งมาที่ รพ.สนามแห่งที่ 2 แห่งนี้ทันที ซึ่งขณะนี้ทีมแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทาการแพทย์ที่รับผิดชอบ คือ รพ.สิรินธร ได้เข้ามาประจำการในพื้นที่แล้ว รวมไปถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ถูกลำเลียงมาจาก รพ.เครือข่ายและ รพ.ขอนแก่น เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการปฎิบัติงานทันทีหากพบผู้ป่วยรายใหม่ในกลุ่มใหญ่ หรือตามแนวทางการบริหารจัดการผู้ป่วยที่ สสจ.ขอนแก่น กำหนด”

ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า สำหรับ รพ.สนามแห่งที่ 2 (พุทธมณฑลอีสาน) มีจำนวนทั้งสิ้น 240 เตียง ซึ่งการจัดตั้ง รพ.นั้นคณะทำงานได้ลงพื้นที่ประชาคมและทำความเข้าใจกับคนในชุมชนถึงแนวทางการดำเนินงานดังกล่าวของหน่วยงานภาครัฐ รวมไปถึงการบริหารจัดการน้ำเสียและขยะติดเชื้อ รวมทั้งการปฎิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานสนับสนุน ซึ่งทุกขั้นตอนได้ดำเนินงานตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขในภาพรวมทั้งหมดอย่างเข้มงวด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top