Saturday, 21 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

สมุทรปราการ – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แก่ผู้ต้องขังเรือนจำกลางสมุทรปราการ

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 3 มิ.ย.2564 ฯพณฯสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานปิดเปิดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรค โควิด 19แก่ผู้ต้องขังเรือนจำกลางสมุทรปราการ โดยมี นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวรายงาน และนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายยงยุทธ สุวรรณบุตร สส.สมุทรปราการ ร่วมงาน ณ เรือนจำกลางสมุทรปราการ

เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ภายในประเทศ พบมีประชาชนผู้ติดเชื้อจำนวนมาก อย่างรุนแรงและ เป็นวงกว้างและมีผู้ติดเชื้อบางรายถูกจับกุมและถูกส่งตัวเข้าฝากขังภายในเรือนจำตามกระบวนการยุติธรรมโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่ง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อกลุ่มผู้ต้องขังซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง และถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำอย่างแออัด จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อการบริหารกิจการภายในเรือนจำ และกรมราชทัณฑ์ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ลด ผลกระทบต่อการเจ็บป่วยรุนแรง หรือการเสียชีวิตของผู้ต้องขัง ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นต่อญาติผู้ต้องขังและสังคมภายนอก ว่ากรมราชทัณฑ์สามารถจะควบคุมสถานการณ์ได้ และสามารถให้การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างมีศักดิ์ศรี และคุณค่าความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับสังคมภายนอก เรือนจำกลางสมุทรปราการจึงได้จัดทำโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส โควิด-19 แก่ผู้ต้องขังหญิงจำนวน 845 คนและผู้ต้องขังชายจำนวน 5,658คน เจ้าหน้าที่จำนวน 22 ราย รวมจำนวนทั้งสิ้น 6,525 คน โดยได้รับการสนับสนุนวัคซีนและบุคลากรจากกรมราชทัณฑ์กระทรวงยุติธรรม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ และโรงพยาบาลบางบ่อ ในฐานะโรงพยาบาลแม่ข่าย ร่วมกับจังหวัดสมุทรปราการ ในการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขัง ระหว่างวันที่ 3-6 มิถุนายน 2564 รวมระยะเวลา 4 วัน หรือวันละประมาณ 1,800 คน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวว่า ต้องขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ของเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ ทุกคนที่ได้ร่วมกันวางมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำเป็นอย่างดี ทำให้ในขณะนี้ในเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ ยังไม่พบว่ามีผู้ต้องขับติดเชื้อโควิดแต่อย่างใด มีเพียงผู้ต้องขังแรกรับเท่านั้นที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อจำนวน 4 ราย และมีการส่งไปรักษาตัวตามกระบวนการ ทำให้ในปัจจุบันเชื้อโควิด-19 ไม่สามารถเข้าไประบาดภายในเรือนจำได้ ทำให้เรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการเป็นเรือนจำสีขาวปลอดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ในวันนี้ก็เป็นการสร้างความเชื้อมันให้กับเจ้าหน้าที่และตัวผู้ต้องขังรวมทั้งญาติของผู้ต้องขัง และสังคมภายในนอก ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายหลักของกระทรวงยุติธรรม

 


ภาพ/ข่าว ก๊วก สมุทรปราการ

เพชรบุรี - “ท็อป-วราวุธ” มอบสิ่งของช่วยเหลือชาวเพชรบุรี

วันที่ 4 มิถุนายน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมด้วย นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการ รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. และคณะผู้บริหาร ทส.ลงพื้นที่มอบสิ่งของสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์-ผู้ป่วย อาทิ ชุด PPE ,หน้ากากอนามัย (N95), Face Shield, พัดลม ,น้ำดื่มจำนวน 8,000 ขวด เป็นต้น เพื่อใช้ในการช่วยเหลือประชาชนที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาลสนามทุกแห่งในจังหวัดเพชรบุรี พร้อมมอบถุงขยะสีแดงเพื่อใช้ในกิจกรรมคัดแยกขยะติดเชื้อในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยมี นางวันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายแพทย์เกรียงศักดิ์ คำอิ่ม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้า หัวหน้าส่วนราชการ บุคลาการทางการแพทย์เป็นตัวแทนรับมอบ ณ โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี

นายวราวุธ กล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้นอกจากสิ่งของที่จำเป็นแล้ว คือ กำลังใจ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบสิ่งของเพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และสิ่งของที่จำเป็นให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนในการผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน ขอให้ทุกคนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ รวมถึงดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง และปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด

จากนั้น นายวราวุธ และคณะได้ร่วมส่งมอบ “โครงการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น จังหวัดเพชรบุรี” บริเวณท่าเทียบเรือบางแก้ว และรับฟังผลการดำเนินงานโครงการปรับปรุงฟื้นฟูคลองเจ๊กสี และติดตามการดำเนินงานของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ร่วมปลูกต้นไม้ ณ อ.บ้านแหลม และ อ.ท่ายาง พร้อมกล่าวว่าโครงการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นเพื่อรักษาชายฝั่งทะเล นับเป็นการทำความเข้าใจธรรมชาติที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ ให้เราอยู่คู่ธรรมชาติ เพราะไม่มีอะไรใหญ่กว่าธรรมชาติ การรักษาธรรมชาติ ธรรมชาติจะเคียงข้างให้เราทำมาหากินได้อย่างยั่งยืน ภายใต้การรักษาระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อม การช่วยบรรเทาปัญหาการกัดเซาะในอนาคตและช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้มากขึ้น การปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นจากกำลังแรงคนยังช่วยแก้ปัญหาการว่างงานได้อีกด้วย รวมถึงปัญหาขยะจากทะเลที่ทุกฝ่ายร่วมรณรงค์มาอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลให้ประเทศไทยลดลำดับจากอันดับที่ 6 ที่เป็นประเทศที่ทิ้งขยะมากที่สุดในระดับโลก วันนี้เราอยู่ลำดับที่ 10 ซึ่งเพชรบุรีเป็น 1 ใน 23 จังหวัดชายฝั่งที่ช่วยกันลดปริมาณขยะ และต้องสร้างจิตสำนึกการรณรงค์อย่างต่อเนื่องที่จะไม่ทิ้งปัญหาไว้ให้กับรุ่นลูกรุ่นหลาน

“นอกจากนั้นยังได้ห่วงถึงเรื่องน้ำอุปโภค บริโภค จากความร่วมมือของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ที่สามารถเจาะ เจอน้ำในปริมาณมาก ประชาชนสามารถได้รับประโยชน์ มีน้ำใช้ เพื่อการอุปโภคบริโภคตลอดทั้งปี มีจุดให้บริการน้ำดื่ม มีชุดงวงช้างเอาไว้เติมน้ำบริการให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลออกไป ช่วยประหยัดเงินแบ่งเบาภาระให้กับพี่น้องประชาชน และให้ตระหนักถึงการใช้น้ำว่า น้ำบาดาลแต่ละหยดนั้น ยิ่งเจาะลึกลงไปเท่าไหร่ เปรียบเสมือน การทุบกระปุกเก่า ยิ่งเจาะลึก น้ำก็จะยิ่งเก่า ก็แปลว่าเป็นสมบัติเก่า ที่คนรุ่นปู่ย่าตาทวดนั้นได้เก็บเอาไว้ให้กับพวกเรา ดังนั้นน้ำแต่ละหยดที่นำขึ้นมาใช้ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้ใช้กันอย่างคุ้มค่า” นายวราวุธ กล่าว


ภาพ/ข่าว  นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์ / 4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ โต้ ‘ลุงตู่’ ปมใช้หนี้จำนำข้าว อ้า งเพราะถูกทำรัฐประหาร และรัฐบาลปล่อยปละให้เกิดทุจริตจัดเกรดข้าวดีเป็นข้าวเน่า ขายข้าวต่ำกว่าราคาจริง

‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ โต้ ‘ลุงตู่’ ปมใช้หนี้จำนำข้าว อ้า งเพราะถูกทำรัฐประหาร และรัฐบาลปล่อยปละให้เกิดทุจริตจัดเกรดข้าวดีเป็นข้าวเน่า ขายข้าวต่ำกว่าราคาจริง 
.
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก Yingluck hinawatra โต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีหนี้จำนำข้าวว่า วานนี้ (1 มิ.ย.) ได้ฟังคุณประยุทธ์ชี้แจงในสภาฯ ว่า หนี้สาธารณะเพิ่มเพราะมีหนี้จำนำข้าวในลักษณะที่เป็นการพาดพิงถึงดิฉัน โดยอ้างว่า ท่านใช้หนี้ไปแล้ว 7 แสนห้าพันล้านบาท และเหลือภาระหนี้อีก 2.8 แสนล้านบาท ต้องใช้หนี้อีก 12 ปีถึงจะหมด นั้น ขอยืนยันว่า "คุณประยุทธ์กล่าวเท็จในสภาฯ" และก็อยากบอกว่า 
.
1.) เมื่อคุณประยุทธ์ทำรัฐประหารยึดอำนาจนั้น ยอดหนี้สาธารณะของโครงการฯ เป็นภาระค้ำประกัน และมียอดไม่ถึง 5 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน และโครงการฯ ยังมีสต็อกข้าวสารหลายแสนล้านบาท ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปสอบถาม รมว.คลังของท่านดู เสียดายที่รัฐบาลท่านปล่อยปละให้มีการทุจริต นำข้าวดีๆ เหล่านั้นไปจัดเกรด ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำมาก่อนมีผลให้นำไปขายในราคาต่ำกว่าราคาจริง เป็นอาหารสัตว์บ้าง เป็นพลังงานบ้าง ซึ่งถ้าขายข้าวกันอย่างสุจริต ภาระคงค้างที่เกิดจากภารกิจช่วยเหลือชาวนาอย่างจริงจังในครั้งนั้นก็ย่อมจะไม่มาก และโครงการฯ ก็มีความคุ้มค่าต่อภารกิจ และเศรษฐกิจโดยรวม ตามรายงานของสภาพัฒน์ฯ อีกด้วย 
.
2.) ส่วนคำกล่าวหาในลักษณะที่ว่ารัฐบาลดิฉันสร้างหนี้มาก มาดูข้อมูลจริงกันค่ะ ในช่วง 3 ปีงบประมาณ (2555-2557) ที่ดิฉันบริหารงาน การกู้เงินเพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุลลดลง ต่อเนื่องทั้ง 3 ปี จาก 400,000 ล้านบาท เป็น 300,000 ล้านบาท และ 250,000 ล้านบาท (และวางเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นงบประมาณสมดุล ในปี 2560) รวมยอดหนี้ฯ 3 ปีงบประมาณ เท่ากับ 950,000 ล้านบาท

3.) มาดูฝีมือสร้างหนี้ของคุณประยุทธ์ กันสิคะว่าเป็นอย่างไร การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ที่กำลังลดลงและควรจะลดลงอีก กลับทะยานเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 ที่มียอดเงินกู้ 250,000 ล้านบาท ปรากฏว่ามีการกู้เงินที่มียอดสูงขึ้นในช่วงเวลาอีก 4 ปี ต่อเนื่องก่อนการเลือกตั้ง (2559-2562) เป็น 390,000 ล้านบาท; 552,921.7 ล้านบาท; 550,358 ล้านบาท และ 450,000 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นช่วงก่อนจะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 เสียอีก

พอปี 2563 และ 2564 ก็ยิ่งกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณสูงเป็นประวัติการณ์ คือ 683,000 ล้านบาท และ 623,000 ล้านบาท และในสองปีนี้ยังออก พรก.กู้เงินเพื่อภารกิจโรคระบาด อีกสองฉบับ ปี 2563 กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และในปี 2564 เมื่อไม่กี่วันก่อนก็กู้อีก 5 แสนล้านบาท และนี่ยังไม่รวมที่ คุณประยุทธ์กำลังเสนอ พรบ.งบประมาณ 2565 ที่ต้องกู้ชดเชยขาดดุลอีก 7 แสนล้านบาท รวมเป็นยอดเงินกู้ถึง 5.699 ล้านล้านบาท หนี้ขนาดนี้ใช้นานเท่าไหร่จะหมดคะ

4.) มาดูดอกเบี้ยจ่ายกันบ้างก็พอจะบอกได้ว่าหนี้ที่ท่านก่อไว้สร้างภาระแค่ไหน งบประมาณปี 2565 ที่กำลังอภิปรายกันอยู่ มียอดรวม 3.1 ล้านล้านบาทนี้ ต้องจัดเตรียมไว้จ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 182,988 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้น ถึง 67 % เมื่อเทียบกับ สมัยรัฐบาลดิฉัน ในปีงบประมาณ 2557 ก่อนรัฐประหาร งบฯ จ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่เพียง 109,511 ล้านบาท ดอกเบี้ยสูงขึ้นมาก เพราะคุณประยุทธ์กู้เงินมากมาย

5.) รัฐบาลดิฉันวางระบบชำระคืนหนี้สาธารณะก้อนโตที่ทิ้งค้างไว้ตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ทำให้รัฐบาลคุณประยุทธ์นอกจากจะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแล้ว ยังลดยอดหนี้สาธารณะลงไปหลายแสนล้านบาทโดยท่านไม่ต้องทำอะไรเลย แทนที่จะชื่นชมรัฐบาลก่อน กลับเอาแต่โทษโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเพื่อเบี่ยงเบนความเสียหายที่ท่านก่อขึ้น

วันนี้ดิฉันไม่ได้บริหารประเทศมา 7 ปีแล้ว คุณประยุทธ์หัดโทษตัวบ้างเถอะค่ะ อย่าโทษแต่ดิฉันเลย ดิฉันฟังมา 7 ปีแล้ว สุภาพบุรุษ ชายชาติทหารเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอกค่ะ

 

ที่มา : https://www.facebook.com/Y.Shinawatra/posts/4413336982044056


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ชุมพร - ปลัดจังหวัดชุมพร นำทีมลงพื้นที่ตรวจกำกับติดตามงานในหน้าที่เชิงรุก 8 อำเภอ เพื่อขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาพัฒนาชุมพรให้สามารถหยุดยั้งโควิด-19 โดยฉีดวัคซีนครบไม่น้อยกว่า 70%

วันที่ 1 มิถุนายน 2564 นายพิทักษ์ พิศสิริวัฒนสุทธิ์ ปลัดจังหวัดชุมพรได้นำทีมที่ทำการปกครองจังหวัดชุมพร, ศอ.ปส.จ.ชพ., ศอ.จอส.พระราชทานจังหวัดชุมพร,หัวหน้าชุด ฉก.โชคชัย,ผบ.ร้อย อส.จ.ชพ.ที่1 รวมทั้งงานนิติการและสอบสวนได้ลงพื้นที่ตรวจกำกับและติดตามงานในหน้าที่ปลัดจังหวัด เพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปตามนโยบาย ระเบียบ กฎหมาย ข้อสั่งการ ของรัฐบาล กระทรวงมหาดไทย กรมการปกครองและ 5 วาระเร่งด่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ในพื้นที่ทั้ง 8 อําเภอ ดังนี้  วันที่ 31 พ.ค. - 4 มิ.ย. 2564 วันที 31 พ.ค.64 พื้นที่ อ.เมืองชุมพร , อ.สวี ,อ.ท่าเเซะ และ อ.ปะทิว วันที่  1 มิ.ย.64 พื้นที่ อ.ทุ่งตะโก และ อ.พะโต๊ะ  วันที่  4 มิ.ย.64 พื้นที่ อ.ละเเม และ อ.หลังสวน

โดยมีนายอำเภอ ปลัดอำเภอ เจ้าหน้าที่ปกครอง สมาชิก อส. พนักงานราชการ ลูกจ้าง และลูกจ้าง(TST) ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุปผลการปฏิบัติราชการของแต่ละอำเภอ ซึ่งได้เน้นย้ำให้อำเภอปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกับนโยบายของ รัฐบาล ระเบียบ กฎหมาย หนังสือสั่งการของ กระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง และจังหวัดชุมพร อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะ 10 โครงการสำคัญสู่การเป็นกรมการปกครองวีถีใหม่ “10 Flagships to DOPA New Normal 2021" และในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19 ) ขอให้ร่วมมือ บูรณาการ สานพลังร่วมกันของหน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ (ชุมพรทีม) เฝ้าระวัง ป้องกันตามประกาศ คำสั่งและมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

โดยใช้กฎกติกาของหมู่บ้าน/ชุมชน การบังคับใช้กฎหมาย, การเร่งรัดลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ได้อย่างน้อย 70% ของจำนวนประชากร ,การตรวจคัดกรองหมู่บ้าน /ชุมชน( Re X -Ray) ในเชิงรุก,การขับเคลื่อน ศปก.อ./ทม. ,การเฝ้าระวังพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค เช่น ตลาด สถานประกอบการ ล้งผลไม้ แคมป์คนงาน ชุมชนแรงงานต่างด้าว และการหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบเล่นการพนัน ปัญหายาเสพติด การแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ เม.ย.64 เป็นต้น และการขับเคลื่อน วาระเร่งด่วน 5 วาระของจังหวัดชุมพร  ทั้งนี้ได้กำชับให้มีความสามัคคี “ปกครองทีม” ช่วยกันขับเคลื่อนพัฒนาและแก้ไขปัญหา การขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด งบเงินกู้ 405.6 ล้านบาท โดยใช้กลไก กบอ. กบต. ชปต.และ อปท.เพื่อให้ชุมพร เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น  เป็นประตูสู่ภาคใต้ ทุกครัวเรือนได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบรวมทั้งประชากรแฝง สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก/ท้องถิ่นและสังคมได้ภายใน ก.ย.64 นี้

ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรได้ฝากเน้นย้ำการขับเคลื่อน 5 วาระเร่งด่วนซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงมหาดไทย ให้นายอำเภอเป็นผู้ขับเคลื่อนโดยใช้กลไกของปกครอง กลไกหมู่บ้านเพื่อให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและให้วิเคราะห์สถานการณ์เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่โดยการร่วมมือบูรณาการสานพลังให้ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่แก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้ประชาชน “ทุกข์น้อยลง สุขมากขึ้น”


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธีรายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

ตำรวจอุบลฯ รวบแก๊งรับจ้างส่งยาบ้าข้ามชาติได้ 1 อีก 1 รอดหวุดหวิด พร้อมยาบ้ากว่า 42,000 เม็ด

วันที่ 1 มิ.ย.64 ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ถนนสรรพสิทธิ์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี พล.ต.ต.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมพจน์ ขอมปรางค์ ผบก.ภ.จ.อุบลราชธานี พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์  ด่านสุวรรณ รอง ผบก.ภ.จ.อุบลราชธานี พ.ต.อ.ชาญชัย อินนรา ผกก.สส.ภ.จ.อุบลราชธานี และพ.ต.ท.นพดล เปลี่ยนรูป รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุบลราชธานี ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ และของกลางยาบ้า จำนวน 42,000 เม็ด พร้อมด้วยผู้ต้องหา จำนวน 1 คน      

   

สืบเนื่องมาจาก พ.ต.อ.ชาญชัย อินนราผกก.สส.ภ.จ.อุบลราชธานี และพ.ต.ท.นพดล เปลี่ยนรูป  รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุบลราชธานี ได้รับแจ้งจากสายลับ ว่าสามารถสั่งยาเสพติด (ยาบ้า) จากพ่อค้ายาเสพติดชื่อท้าวอ๊อด (ชาวสปป.ลาว) ได้  21 มัด ๆละ 25,000 บาท  จำนวน 42,000 เม็ด เมื่อได้รับแจ้ง พ.ต.อ.ชาญชัย อินนรา และพ.ต.ท.นพดล เปลี่ยนรูป จึงได้วางแผนจับกุม โดยนัดส่งยาเสพติดกันที่ ชายป่าบ้านคำสง่า หมู่ที่ 11 ต.หนองนกทา อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี 

หลังจากนั้นจึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดักซุ่มจับกุมที่จุดดังกล่าว ในวันที่ 30 พ.ค. 64 ที่ผ่านมา จนกระทั่งเวลาประมาณ  09.00 น. ได้มีชายสองคน ขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าคลิกสีดำไม่ติดแผ่นป้าย เข้ามายังจุดนัดหมายคือชายป่าบ้านคำสง่า โดยชายคนซ้อนท้ายถือลังกระดาษ เมื่อมาถึงชายสองคนได้เจอกับสายลับตามที่นัดกันไว้ และในขณะเดียวกันนั้น สายลับได้ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดักซุ่มอยู่ในบริเวณดังกล่าว

จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ออกจากจุดซ่อนตัวแล้วแสดงตัวเพื่อจับกุม เมื่อชายทั้งสองคนรู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ตกใจได้วิ่งหลบหนี  แต่เจ้าหน้าที่ได้ติดตามจับกุม จนสามารถจับกุมตัวได้ 1 คน ทราบชื่อต่อมาคือ นายศักดิ์ชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.เขมราฐ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี  พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 21 มัด จำนวน 42,000 เม็ด ส่วนผู้ต้องหาอีกคน วิ่งหลบหนีไปได้  

เบื้องต้น นายศักดิ์ชัย (สงวนนามสกุล) รับสารภาพว่า ผู้ชายอีกคนที่หลบหนีไปได้ ชื่อ นายคณินธร (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับตน โดยก่อนถูกจับกุมในครั้งนี้ ตนและนายคณินธร ได้รับจ้างขนยาบ้าจากนายอ๊อต (ชาวสปป.ลาว) โดยนายอ๊อต ให้นำยาเสพติดมาส่งให้ลูกค้า ที่บริเวณชายป่าบ้านคำสง่า โดยพวกตนทั้ง 2 คน จะได้รับค่าจ้างเป็นยาบ้าจำนวน 2000 เม็ด 

ซึ่งที่ผ่านมาพวกตนทั้งสองคน เคยรับจ้างขนยาบ้ามาแล้ว 2 ครั้ง แต่ครั้งนี้ ดวงไม่ดี จึงถูกจับกุมดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่นายศักดิ์ชัย ว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย แล้วนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เขมราฐ จ.อุบลฯ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจะได้ทำการขยายผลเพื่อจะได้ติดตามจับกุมเครือข่าย ส่วนผู้ต้องหาที่หลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่จะได้ติดตามจับกุมตัว มาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ศูนย์ข่าวอุบลฯ 

สมุทรปราการ - มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ส่งต่อน้ำใจไทย มอบเครื่องช่วยหายใจ พร้อมอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์แก่โรงพยาบาลสมุทรปราการ สู้ภัยโควิด-19

วันนี้ (วันที่ 1 มิถุนายน 64 เวลา 13.00 น.) นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมด้วยนายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก มอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ในโครงการ “ส่งต่อน้ำใจไทย สู้ภัยโควิด-19”  แก่โรงพยาบาลสมุทรปราการ ประกอบด้วย เครื่องช่วยหายใจ จำนวน 1 เครื่อง ชุด Personal Protective Equipment ( PPE ) จำนวน 200 ชุด หน้ากาก N95 จำนวน 200 ชิ้น หน้ากากอนามัย จำนวน 200 กล่อง เจลแอลกอฮอล์ ขนาด 5 ลิตร จำนวน 20 แกลลอน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 281,900 บาท(สองแสนแปดหมื่นหนึ่งพันเก้าร้อยบาทถ้วน) เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) โดยมี นายแพทย์ปฏิวัติ วงศ์งาม รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลสมุทรปราการ เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องประชุมโกศล อาคารผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสมุทรปราการ

การมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ริเริ่มดำเนินการมามอบมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา พร้อมทั้งจัดตั้งกองทุน “ธารน้ำใจ สู้ภัยโควิด-19” เพื่อมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนต่อเนื่อง ควบคู่กับโครงการ “ส่งต่อน้ำใจไทย สู้ภัยโควิด-19” โดยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ระลอกใหม่นี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ปรับแผนการดำเนินงานการช่วยเหลือประชาชนทั้งด้านบรรเทาสาธารณภัย สังคมสงเคราะห์ และหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน พร้อมประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือเชิงรุกทั้งในส่วนของประชาชน ชุมชน และบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดตั้งโรงครัวประกอบอาหารปรุงสุกเพื่อช่วยเหลือประชาชนในขณะนี้ รวมงบประมาณดำเนินการออกช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบันเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 33 ล้านบาท

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านร่วมบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) กับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ติดต่อสอบถาม รวมถึงติดตามข่าวสารกิจกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ – ผู้ประสบภัยต่าง ๆ ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ชายแดนไทยเมียนมา ริมน้ำสาละวิน สงบต่อเนื่อง 5 วัน เจ้าหน้าที่ทหารราบที่ 7 และทหารพราน 36 เข้าดูแลรักษาพยาบาลและมอบของอุปโภคบริโภค ให้กับผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมา ทั้ง 4 แห่ง

นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์สั่งการชายแดน ไทย - เมียนมา ด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอน แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา จ.แม่ฮ่องสอน ประจำวันที่ 1มิ.ย. 64 เวลา 12.00 น ว่าสถานการณ์การสู้รบฝั่งเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. 64 เวลา 17.00 น. เป็นต้นมา ไม่มีการสู้รบระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลังชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยง KNU ด้านตรงข้าม อ.แม่สะเรียง และ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน และยังคงไม่มีการปฏิบัติการทางอากาศในฝั่งประเทศเมียนมา เป็นระยะเวลา 32 วัน

สำหรับผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา (ผภ.สม.) ที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในประเทศเมียนมา จำนวน 363 คน ยังคงเหลืออยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว 4 แห่ง จำนวน 255 คน ดังนี้ พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บริเวณห้วยมะระ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จำนวน 7คน พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บริเวณห้วยจอกลอ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จำนวน 80 คน พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บริเวณห้วยโกเกร๊ะ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จำนวน 135 คน พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บริเวณบ้านเสาหิน ต.เสาหิน อ.แม่สะเรียง จำนวน 33 คน โดยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 36 ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือในเรื่องของการรักษาพยาบาลเบื้องต้น และมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคให้กับผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา (ผภ.สม.) ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวทั้ง 4 แห่ง เพื่อให้ความช่วยเหลือขั้นต้นตามหลักมนุษยธรรม

ทางด้าน ราษฎรไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ บ.ท่าตาฝั่ง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ ยังอยู่ในพื้นที่ตำบลรวบรวมพลเรือน 2 แห่ง จำนวน 189 คน อยู่ในพื้นที่ตำบลรวบรวมพลเรือน ห้วยกองกูด ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จำนวน 168 คน พื้นที่ตำบลรวบรมพลเรือน ห้วยกองคา ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียงจำนวน 21 คน   


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / ถาวร อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

ศรชล.จับเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 25,000 ลิตร ปรับกว่า 1.78 ล้านบาทเข้าหลวง

เมื่อวันที่ 31 พ.ค.64 ระหว่างเวลา 15.00-22.00 น. ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) โดย ศรชล.จังหวัดสมุทรปราการ ให้ นาวาเอก สุระชัย ยงกัน รอง ผอ.ศรชล.จังหวัดสมุทรปราการ อำนวยการให้ ศคท.จว.สป. ส.รน.๓ กก.๔ บก.รน.  จท.ภูมิภาคสาขาสมุทรปราการ และ สรรพสามิตสมุทรปราการ ตรวจสอบจับกุมเรือ ธนธานี เป็นเรือประเภทบำบัดของเสีย แอบบรรทุกน้ำมันดีเซล ซึ่งยังไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิต มีลูกเรือจำนวน 2 คน สัญชาติไทยทั้งหมด โดยไม่มีเอกสารหลักฐานการเสียภาษีสรรพสามิต และหลักฐานผ่านพิธีการทางศุลกากรมาแสดง ในระวางบรรทุกน้ำมัน จำนวน 25,000 ลิตร จึงได้ควบคุมลูกเรือ จำนวน 2 คน มาที่สรรพสามิตสมุทรปราการ เพื่อนำตัวผู้ต้องหาส่งผู้มีอำนาจเปรียบเทียบปรับ ตาม พรบ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 

ผลการดำเนินการตามกฎหมาย ได้เปรียบเทียบปรับตาม พรบ.สรรพสามิต เป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 1,787,100 บาท ต่อไปแล้ว


ภาพ/ข่าว ปชส.ศรชล.ภาค 1

จเรตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้เสียหายคดียาเสพติด พร้อมมอบนโยบายแก่ข้าราชการตำรวจ

วันนี้ 1 มิถุนายน 2564 พลตำรวจเอก วิสณุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เดินทางมายัง กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 11 โดยมี พลตำรวจตรี จรัล จิตเจือจุน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี พร้อม พลตำรวจตรี สรศักดิ์ ชนะสิทธิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้การต้อนรับ จากนั้นเดินทางพร้อม นาย สุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ไปยังบ้านผู้เสียหายคดียาเสพติด ที่ ต.วังโตนด อ.นายายอาม จ.จันทบุรี เพื่อมอบสิ่งของและเงินช่วยเหลือเป็นขวัญ-กำลังใจ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในทางคดีจะให้ความเป็นธรรม

สำหรับผู้กระทำความผิดถ้ามีมูลกระทำความผิดจริงจะต้องถูกลงโทษทั้งทางวินัยร้ายแรงและทางอาญา ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 ก็ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง  กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการข่าว กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 11 ถูกพาดพิงว่ากระทำการเรียกรับเงินจากการปฏิบัติหน้าที่ ตามข่าวในสื่อออนไลน์ สำนักข่าวไทย OnIine วันที่ 25 เมษายน 2564 เสนอข่าว "แม่ร้องทุกข์สื่อ ไขปมคลิปเสียงสนทนากับลูกสาว หลังถูกคนในเครื่องแบบอุ้มหายตัวไป กักขัง อ้างถูกจับยาเสพติดพร้อมรีดเงิน 30,000 บาท แลกกับการปล่อยตัวลูกสาว"

ดังนั้น เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2563 ข้อ 6(2) จึงให้ข้าราชการตำรวจจำนวน 8 นาย ปฏิบัติราชการที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค1(งานการข่าว)โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิม.ซึ่งทางท่านพลตำรวจเอก วิสณุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวว่าทุกเรื่องต้องรวดเร็วตรวจสอบได้และเป็นธรรมจากนั้นได้เดินทางต่อมายังกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจเยี่ยม-มอบแนวทางปฏิบัติ พร้อมมอบพระพุทธรูปให้กับ ข้าราชการตำรวจทุกสภ.ในสังกัดภูธรจังหวัดจันทบุรี เพื่อเป็นขวัญ-กำลังใจและให้มุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมต่อไป


ภาพ/ข่าว เอกลักษณ์ อานาภรณ์ ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี

อุทัยธานี - หน่วยทหารยื่นมือช่วยชาวบ้าน แก้ปัญหาน้ำท่วม กำจัดผักตบชวาในลำคลอง เขาฆ้องชัย หมู่ 11 บ้านวังหน้าศาล ต.ประดูยืน อ.ลานสัก

ณ ลำคลองเขาฆ้องชัย บ้านวังหน้าศาล หมู่ 11 ต.ประดู่ยืน อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี โดยมี นาวาเอกเอกปิ่นแก้ว สาระปัญญา รองผู้บังคับบัญชาหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 15 พร้อมหน่วยข้าราชการในพื้นที่ ที่ขาดไม่ได้ ก็คือความร่วมมือของชาวบ้าน ที่ร่วมใจกัน ดำเนินการแก้ไขปัญหาผักตบชวาบ้านวังหน้าศาล และขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล และแนวทางการดำเนินการ บูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวาให้เกิดความเรียบร้อย เป็นรูปธรรม เกิดความต่อเนื่องอย่างยั่งยืนให้ประชาชนในพื้นที่ ที่ได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำรักษาความสะอาดและจัดเก็บขยะมูลฝอยในพื้นที่สาธารณะ คูคลอง ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะปัญหาน้ำเน่าเสีย และสิ่งปฏิกูลจากการปล่อยลงแม่น้ำลำคลอง สารเคมี การสะสมของวัชพืชต่าง ๆ ส่งผล ให้คุณภาพน้ำต่ำลง คูคลอง ตื้นเขิน ไม่สามารถระบายน้ำได้ทันเมื่อฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมตามมา


ภาพ/ข่าว ภาวิณี ศรีอนันต์ รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top