Friday, 6 June 2025
LITE TEAM

9 พฤษภาคม 2529 ในหลวง ร.9 ทรงเปิด โรงกลั่นแอลกอฮอล์ สำหรับค้นคว้า 'น้ำมันแก๊สโซฮอล์'

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเปิดอาคารโรงกลั่นแอลกอฮอล์ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เพื่อค้นคว้าน้ำมันเชื้อเพลิงและเริ่มผลิตเอทานอลจากอ้อย ตามแนวพระราชดำริเกี่ยวกับพลังงานทดแทนด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอล์

สำหรับการศึกษาวิจัยภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาเริ่มตั้งแต่การทดลอง ปลูกอ้อยหลายพันธุ์ เพื่อคัดเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุดนำมาทำแอลกอฮอล์ นอกจากอ้อยที่ผลิตได้ภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาแล้วยังออกไปรับซื้อ อ้อยจากเกษตรกรเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบอีกด้วย

โรงงานแอลกอฮอล์ซึ่งมีทั้งเครื่องหีบอ้อย ถังหมัก หอกลั่นขนาดเล็ก เริ่มเดินเครื่องการผลิตครั้งแรกในปี พ.ศ.2529 สามารถผลิตแอลกอฮอล์ 91 เปอร์เซ็นต์ได้ในอัตรา 2.8 ลิตรต่อชั่วโมง

ต่อมาเนื่องจากวัตถุดิบมีไม่เพียงพอ จึงเปลี่ยนมาใช้กากน้ำตาล และมีการสร้างอาคารศึกษาวิจังหลังใหม่ภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา

สำหรับแอลกอฮอล์ที่ผลิตได้ในช่วงแรกยังไม่สามารถนำไปผสมกับเบนซินได้ จึงนำผลผลิตที่ได้ไปทำเป็นน้ำส้มสายชูต่อมาก็ทำเป็นแอลกอฮอล์แข็งใช้อุ่น อาหารให้กับทางห้องเครื่องของสวนจิตรลดา เนื่องจากเดิมใช้แอลกอฮอล์เหลว ครั้งหนึ่งเมื่อมีการขนส่งแอลกอฮอล์เหลวไปยังพระตำหนักในภาคเหนือ รถเกิดอุบัติเหตุทำให้ไฟไหม้รถทั้งคัน เพราะแอลกอฮอล์เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี จึงได้มีการคิดนำแอลกอฮอล์มาทำเป็นเชื้อเพลิงแข็งเพื่อความปลอดภัยแทน

โรงงานแอลกอฮอล์มีการปรับปรุงการกลั่นเรื่อยมาต่อมาก็สามารถผลิต แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95 เปอร์เซ็นต์ หรือที่เรียกว่าเอทานอลได้เป็นผลสำเร็จ

8 พฤษภาคม พ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง ‘สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน’

วันนี้ เมื่อ 151 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งคณะรัฐมนตรีชุดแรกของไทยขึ้นบริหารประเทศ เรียกการบริหารงานของรัฐมนตรีชุดนี้ว่า สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงแต่งตั้งสภาขึ้น 2 สภา คือ 1. สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) (รัฐมนตรีสภา) มีสมาชิกจำนวน 12 คน เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2417 ทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ-ออกกฎหมาย 

2. สภาที่ปฤกษาในพระองค์ (ที่ปรึกษาในพระองค์) หรือ ปรีวีเคาน์ซิล (Privy Council) มีสมาชิกจำนวน 49 คน เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2417 สมาชิกส่วนใหญ่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและดูแลบ้านเมือง-ราษฎรต่างพระเนตรพระกรรณ

ถือเป็นต้นกำเนิดของคณะบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยและเป็นที่ปรึกษาพระเจ้าแผ่นดิน 

สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ประกอบไปด้วย สมาชิกผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาจำนวน 12 คน มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาและความคิดเห็นต่าง ๆ ในด้านนิติบัญญัติ และเมื่อข้อราชการใดที่ประชุมสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินมีมติเห็นชอบ ก็ให้ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป

ทั้งนี้ผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง ต้องทำพิธีสัตยานุสัตย์ สาบานต่อหน้าพระพักตร์และถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เพื่อให้มีความตั้งใจปฏิบัติหน้าที่จนเต็มกำลังความสามารถโดยไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง และรักษาความลับ เพื่อให้การปฏิรูปการเมืองการปกครองบรรลุตามวัตถุประสงค์

การประชุมของสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน จะต้องมีสมาชิกมาประชุมร่วมกันตั้งแต่ 7 นายขึ้นไป จึงจะนับว่าครบองค์ประชุม ผลการประชุมทุกครั้งต้องกราบทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ เมื่อทรงเห็นชอบด้วย ผลของการประชุมหรือมติของสภาจึงจะมีผลบังคับใช้ต่อไป

ผ่านมาถึงวันนี้ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ถือเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปการเมืองการปกครองของประเทศไทย เปรียบเสมือน ‘คณะรัฐมนตรี’ ที่ดำเนินการด้านกฎหมาย และให้คำปรึกษาในการบริหารราชการแผ่นดิน อันเป็นพื้นฐานการปกครองสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท

ย้อนไปในห้วงเวลาแห่งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และในวันที่  6 พฤษภาคม 2568 พระองค์ท่าน และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีพร้อมด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท 

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล พร้อมทั้งเสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ให้คณะทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศ เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ สืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ 

5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 วันแห่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในหลวงรัชกาลที่ 9 สู่การสถาปนากษัตริย์ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ

วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 เป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากเป็นวันที่มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาลที่ 9) ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง ตามโบราณราชประเพณีของราชวงศ์จักรี

พระราชพิธีครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่พระองค์เสด็จนิวัติประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2494 หลังสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายและรัฐศาสตร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การบรมราชาภิเษกถือเป็นการประกาศพระราชอำนาจในการครองราชย์อย่างเป็นทางการต่อประชาชนและนานาประเทศ

ในพระราชพิธี พระองค์ได้มีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งกลายเป็นหลักการสำคัญในการทรงงานตลอดรัชสมัยที่ยาวนานกว่า 70 ปี และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพสกนิกรไทย

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในครั้งนั้นยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจนานัปการที่พระองค์ทรงริเริ่ม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย ทั้งในด้านเกษตรกรรม น้ำ การศึกษา และเศรษฐกิจพอเพียง

‘วันฉัตรมงคล’ ตรงกับวันที่ 4 พฤษภาคมของทุกปี เพื่อรำลึกถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ ‘ในหลวง ร.10’ แห่งราชวงศ์จักรีและราชอาณาจักรไทย

วันที่ 4 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันฉัตรมงคล ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติอย่างเป็นทางการ โดยมีพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. 2562 ถือเป็นวันสำคัญแห่งราชประเพณีที่เปี่ยมไปด้วยความหมายและความศักดิ์สิทธิ์

ในวันนี้จะมีพิธีถวายพระพรชัยมงคลทั่วประเทศ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นหลักชัยของแผ่นดิน พิธีการต่าง ๆ เป็นไปด้วยความสง่างามตามขนบธรรมเนียมราชสำนัก

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นไปตามโบราณราชประเพณีอันยิ่งใหญ่ ทั้งทางพุทธศาสนาและพราหมณ์ เพื่อแสดงถึงพระราชอำนาจและพระราชฐานะอย่างสมบูรณ์ในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย

วันฉัตรมงคลจึงถือเป็นโอกาสสำคัญให้ประชาชนได้ร่วมกันรำลึกถึงพระราชพิธีอันทรงเกียรติ และแสดงความสามัคคีของชาติผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทำบุญตักบาตร การประดับธงชาติและธงพระราชสัญลักษณ์ตามอาคารบ้านเรือน

ทั้งนี้ วันฉัตรมงคลยังเป็นการย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนไทย ซึ่งดำรงอยู่อย่างมั่นคงและเปี่ยมด้วยความเคารพตลอดมา

3 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก เพื่อย้ำบทบาทของสื่อในฐานะรากฐานประชาธิปไตย ปกป้องสิทธิการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน

วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันที่องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นเพื่อตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพสื่อมวลชนในฐานะที่เป็นรากฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย วันนี้เป็นโอกาสให้ทั่วโลกได้ร่วมกันรำลึกถึงหลักการพื้นฐานของเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล และบทบาทอันสำคัญยิ่งของสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวสารที่เป็นจริงและรอบด้านแก่ประชาชน

วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) โดยสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศให้วันที่ 3 พฤษภาคมเป็นวันสำคัญดังกล่าว ตามข้อเสนอแนะที่ได้รับการรับรองในการประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ 26 ในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียกร้องของนักข่าวชาวแอฟริกันในการประชุมที่เมืองวินด์ฮุก ประเทศนามิเบีย ในปีเดียวกัน

วัตถุประสงค์หลักของการกำหนดวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกคือการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องสื่อมวลชนจากการถูกคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ การใช้ความรุนแรง การจับกุม หรือการเซ็นเซอร์ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้รัฐบาลและสังคมตระหนักถึงหน้าที่ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานของสื่อมวลชนอย่างอิสระและปลอดภัย เพื่อให้สื่อสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบอำนาจ เปิดโปงการทุจริต และเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ที่ไม่มีเสียงได้อย่างเต็มที่ วันนี้ยังเป็นโอกาสในการประเมินสถานการณ์เสรีภาพสื่อมวลชนทั่วโลก และให้การสนับสนุนสื่อที่ตกเป็นเป้าของการจำกัดเสรีภาพ รวมถึงเป็นการรำลึกถึงนักข่าวที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่

ความสำคัญของเสรีภาพสื่อมวลชนนั้นมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในแวดวงสื่อเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทุกคน สื่อมวลชนที่เสรีและเป็นอิสระมีบทบาทในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและหลากหลายแก่ประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ทั้งในระดับส่วนตัวและระดับสังคม นอกจากนี้ สื่อยังเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการถกเถียงในประเด็นสาธารณะ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย เสรีภาพสื่อจึงเป็นรากฐานสำคัญของการมีสังคมที่เปิดกว้างและตรวจสอบได้

ในปัจจุบัน สื่อมวลชนทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งจากการแทรกแซงทางการเมืองและเศรษฐกิจ การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (Disinformation) และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน การเฉลิมฉลองวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกจึงเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสนับสนุนและปกป้องเสรีภาพของสื่อ เพื่อให้สื่อสามารถทำหน้าที่ในการนำเสนอความจริงและเป็นปากเสียงให้กับสังคมได้อย่างยั่งยืน ยูเนสโกยังได้มอบรางวัลเสรีภาพสื่อโลกยูเนสโก/กีลเลร์โม กาโน (UNESCO/Guillermo Cano World Press Freedom Prize) เป็นประจำทุกปี เพื่อยกย่องบุคคล องค์กร หรือสถาบันที่มีผลงานโดดเด่นในการปกป้องและส่งเสริมเสรีภาพสื่อมวลชน

2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ครบรอบ 9 ปี แชมป์ประวัติศาสตร์ ‘เลสเตอร์ ซิตี้’ จากทีมรองบ่อนสู่ถ้วยพรีเมียร์ลีก และการตกชั้นล่าสุดที่สะเทือนใจแฟนบอล

ในค่ำคืนประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้รับการประกาศให้เป็น แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16 อย่างเป็นทางการ หลังจากผลการแข่งขันระหว่าง เชลซี กับ ทอตนัม ฮอตสเปอร์ จบลงด้วยผลเสมอ 2-2 ที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์

แม้เลสเตอร์จะไม่ได้ลงสนามในวันนั้น แต่ผลเสมอดังกล่าวทำให้คะแนนของทอตนัม ฮอตสเปอร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งลุ้นแชมป์อันดับสองในขณะนั้น ไม่สามารถไล่ตามเลสเตอร์ทัน ในช่วงสองนัดสุดท้ายของฤดูกาล ส่งผลให้ 'จิ้งจอกสยาม' คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรในปี 1884

ชัยชนะในฤดูกาลนี้ถือเป็นหนึ่งใน เรื่องราวปาฏิหาริย์ของวงการกีฬา เพราะก่อนเปิดฤดูกาล เลสเตอร์ถูกมองว่าอาจต้องหนีตกชั้น และมีอัตราต่อรองแชมป์อยู่ที่ 5,000 ต่อ 1 จากบ่อนรับพนันในอังกฤษ แต่ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี และการเล่นอย่างยอดเยี่ยมของนักเตะอย่าง เจมี วาร์ดี, ริยาด มาห์เรซ และ เอ็นโกโล ก็องเต ทีมสามารถสร้างปรากฏการณ์ 'เทพนิยายเลสเตอร์' ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2024–25 เลสเตอร์ ซิตี้ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อพวกเขาตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง หลังจากพ่ายแพ้ให้กับทีมแชมป์อย่างลิเวอร์พูล 0-1 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 นับเป็นการตกชั้นครั้งที่สองในรอบสามฤดูกาลของสโมสร โดยก่อนหน้านี้ในฤดูกาล 2022–23 เลสเตอร์จบอันดับที่ 18 ของตารางและต้องตกชั้นลงสู่แชมเปียนชิป

การตกชั้นล่าสุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาภายในสโมสร ทั้งในด้านการบริหารและผลงานในสนาม แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมและความพยายามในการปรับปรุงทีม แต่เลสเตอร์ก็ไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีพอที่จะอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้ ซึ่งการตกชั้นนี้ทำให้สโมสรต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับโครงสร้างทีมและวางแผนเพื่อกลับคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในอนาคต

เรื่องราวของเลสเตอร์ ซิตี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในวงการฟุตบอล ที่ความสำเร็จในอดีตไม่ได้รับประกันความสำเร็จในอนาคต และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสำเร็จอย่างยั่งยืน​

1 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนธรรมเนียมในราชสำนัก จากการหมอบกราบบนพื้น เป็นนั่งเก้าอี้ทำงานตามแบบตะวันตก

ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการทำงานภายในราชสำนัก โดยเฉพาะในระบบราชการหรือ 'ออฟฟิศ' จากธรรมเนียมไทยแบบเดิมที่ต้องนั่งพับเพียบหรือหมอบกราบบนพื้น มาเป็นการ 'ยืน' และ 'นั่งเก้าอี้' ตามแบบอย่างของชาวตะวันตก ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของประเทศที่เจริญแล้วในยุคนั้น

ในหนังสือ ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่ม 3 ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์ โดยกรมศิลปากร ได้เล่าว่า “เมื่อราชสำนักเลิกหมอบเฝ้าและใช้เก้าอี้ในระยะแรกๆ คนไทยยังคงนั่งเก้าอี้ไม่เป็น ผู้หญิงขึ้นไปนั่งพับเพียบ ส่วนชายนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ จนรัชกาลที่ 5 ต้องมีพระราชโองการแนะนำวิธีการนั่งเก้าอี้ โดยใช้วิธีหย่อนก้นเท่านั้นลงบนเก้าอี้ ส่วนขาให้ห้อยลงไป”​

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงพยายามปรับปรุงระเบียบแบบแผนของราชการไทยให้ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของประเทศที่เจริญและมีความเสมอภาคระหว่างผู้ปฏิบัติราชการ ซึ่งเป็นรากฐานหนึ่งของการปฏิรูประบบราชการไทยในยุคใหม่

นอกจากนี้ ยังนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการปรับตัวของสังคมไทยเข้าสู่ระบบบริหารจัดการแบบตะวันตก อันมีอิทธิพลต่อโครงสร้างราชการ ระบบกฎหมาย และวัฒนธรรมองค์กรของไทยในเวลาต่อมา

๑ พฤษภาคม วันคล้ายวันบรมราชาภิเษกสมรส ทรงพระเจริญ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ในเย็นวันนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้อง ว.ป.ร. พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรสกับ พลเอก หญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา พระยศในขณะนั้น พร้อมทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา พลเอก หญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา เป็น สมเด็จพระราชินีสุทิดา พระอัครมเหสี ทรงดำรงตำแหน่งพระอิสริยยศ ฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์

ในครั้งนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระยศในขณะนั้น ทรงลงพระนามาภิไธยในฐานะทรงเป็นสักขีพยาน และพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ลงนามในสมุดจดทะเบียนราชาภิเษกสมรส ในฐานะสักขีพยาน ในวาระศุภมงคลนี้ด้วย

ต่อมาในวันที่ ๔ พฤษภาคม ปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ตามพระราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระราชินีสุทิดา ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ตามราชประเพณีสืบมา

ตลอดระยะเวลาแห่งการครองคู่เป็นพระมิ่งขวัญแห่งแผ่นดิน ทั้งสองพระองค์ทรงตั้งมั่นพระราชปณิธานที่จะ 'สืบสาน รักษา ต่อยอด' แนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระคู่ขวัญคู่พระบารมี เสริมพลังรักแห่งแผ่นดินให้มีความร่มเย็น ทรงถักทอร้อยรักแผ่นดินไทยให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังรักที่มีต่อปวงพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ผ่านโครงการในพระราชดำริ และพระราชกรณียกิจต่างๆ นานัปการ ดังเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นความรักที่หาที่สุดมิได้

เนื่องในโอกาสมหามงคลวันคล้ายวันบรมราชาภิเษกสมรส วันที่ ๑ พฤษภาคมได้เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ พระชนมายุยิ่งยืนนาน พระบารมีแผ่ไพศาลเป็นร่มโพธิ์ทองฉัตรแก้ว ปกเกล้าปกกระหม่อมปวงพสกนิกรชาวไทยตราบจิรัฐิติกาล

28 เมษายน พ.ศ. 2493 ‘วันพระราชพิธีสมรส’ ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ แบบอย่างแห่งความรักและความผูกพัน วันประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จักรีไทย

ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ วังสระปทุม ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จักรีและประเทศไทย

พระราชพิธีครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนในประเทศอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นการเฉลิมฉลองการรวมกันของสองพระองค์ที่ถือเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงและความสุขให้แก่ประเทศชาติ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ได้รับการยกย่องเป็นพระราชินีนาถและทรงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทั้งสองพระองค์ทรงถือเป็นแบบอย่างของความรักชาติและความทุ่มเทในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทย การพระราชพิธีสมรสในครั้งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความผูกพันระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี

เหตุการณ์ดังกล่าวมีความสำคัญไม่เพียงแต่ในด้านการเมืองและการปกครองเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของการปกครองและสังคมไทยที่ยาวนานและมั่นคง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top