Thursday, 12 June 2025
Hard News Team

อธิบดีกรมสรรพสามิต ชี้! ยังไม่ถึงเวลาเหมาะสม จัดเก็บภาษีใหม่ หวั่นซ้ำเติมประชาชน

วันที่19 เมษายน พ.ศ.2564 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ยืนยันว่าจะยังไม่มีการจัดเก็บภาษีใหม่ ๆ ในช่วงนี้ เนื่องจากยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะเศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นการออกภาษีใหม่ ๆ จึงยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะ โดยขณะนี้กระทรวงการคลังและรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการใช้มาตรการภาษีในการเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมากกว่า

สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ที่กระทรวงการคลังได้รับนโยบายจากรัฐบาลมานั้น แต่ละกรมจัดเก็บรายได้ คือ กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างดำเนินการ ในส่วนของกรมสรรพสามิตนั้นได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ไม่ใช่แค่การจัดเก็บรายได้เท่านั้น แต่ได้พิจารณาในทุกเรื่อง ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องปฏิรูปโครงสร้างภาษีออกมาให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และตอบโจทย์ภารกิจของกรมสรรพสามิต

“กรมฯ กำลังดำเนินการอยู่ ต้องดูในทุกมิติ ไม่ใช่แค่การออกพิกัดอัตราภาษีใหม่เท่านั้น แต่ต้องดูให้ครอบคลุมรวมไปถึงภาษีที่จัดเก็บอยู่แล้วก็ต้องทำให้ดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้องดูในภาพที่ใหญ่ขึ้นว่าจะต้องดำเนินการในส่วนไหนบ้าง เช่น ภาษีบาปที่ยังมีช่อง ก็ไปศึกษาดูว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนภาษีใหม่ ๆ ที่มีการเสนอ เช่น ภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้า และภาษีจากความเค็ม ทีมกำลังทำการบ้านอยู่ มีความคืบหน้า ข้อมูลทั้งหมดมีอยู่แล้ว แต่อยากขอเวลาทำงานให้รอบคอบมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่ายังมีเวลาเพราะช่วงโควิด และช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวแบบนี้คงไม่เหมาะหากจะออกภาษีใหม่ ๆ มาใช้ ทุกอย่างยังมีเวลา อยากศึกษาให้ดีและรอบคอบก่อน” นายลวรณ กล่าว

นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตเตรียมพิจารณาขยายเวลาเลื่อนการปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานตามขั้นบันไดไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ส่วนจะขยับไปนานเท่าไหร่นั้น คงเป็นเรื่องที่ฝ่ายนโยบายจะพิจารณาอีกที

นายลวรณ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในช่วง 6 เดือนของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค.63 - มี.ค.64) ถือว่าทำได้ในระดับที่น่าพอใจ จากอานิสงส์ของการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์และภาษีเบียร์ที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ในปีงบประมาณ 2564 จะทำได้สูงกว่าเป้าหมายของกระทรวงการคลัง และสูงกว่าการจัดเก็บในปีงบประมาณก่อนหน้าแน่นอน

ทั้งนี้ ยังต้องติดตามภาพรวมการจัดเก็บรายได้ในช่วง 6 เดือนหลังของปีงบประมาณ 2564 ด้วย หากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อการเดิน การบริโภคและใช้จ่ายมากขึ้น ก็จะส่งผลดีกับรายได้จากภาษีน้ำมันที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีมาก ๆ และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการจัดเก็บรายได้ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2564 ซึ่งการจัดเก็บรายได้จากภาษีน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 แสนบาทต่อปี

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการพิจารณาโครงสร้างภาษีกัญชานั้น กรมสรรพสามิตมองว่ายังมีเวลาในการศึกษาแนวทางดำเนินการให้รอบคอบ โดยยังต้องรอความชัดเจนจากฝ่ายนโยบายด้วยว่าจะกำหนดให้กัญชาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ในระดับใด โดยปัจจุบันยังเป็นเพียงการนำมาใช้ในการทำอาหารปรุงสด หรือการเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งไม่เสียภาษีสรรพสามิต แต่การที่กรมฯ จะเข้าไปจัดเก็บภาษีได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีการนำกัญชามาบรรจุลงขวดหรือกระป๋อง จึงยังมีเวลาในการพิจารณาเรื่องนี้อยู่พอสมควร

นาทีนี้ถ้าไม่พูดถึง 'เดวิด สเตร็คฟัสส์' ชาวต่างชาตินักจัดกิจกรรมที่ถูกคาดว่าได้รับเงินผ่านจากสหรัฐอเมริกา มาดำเนินกิจกรรมสั่นคลอนประเทศไทย ก็ถือว่าไม่ทันกระแสความดัง

หลังจากฝรั่งนายนี้ได้ถูกเด้งออกจากอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของภาคอีสาน เริ่มมีคนตั้งข้อสงสัยกันว่าเขาคือใคร และเกิดอะไรขึ้นกับเขาคนนี้...

จากเฟซบุ๊กเพจ 'Neo Fighter' ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ เดวิด สเตร็คฟัสส์ ผ่านมุมมองของ 'ไบรอัน เบอร์เลติก' ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉว่าเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งของอเมริกาในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ จนถูกปิดเพจไปว่า...

ก่อนหน้านี้ลุงสนธิ ได้ออกมาพูดถึงสเตร็คฟัสส์ในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิมาแล้ว ด้วยการเล่าเรื่องและข้อมูลของลุงสนธิทำให้คนไทยส่วนใหญ่ได้ตื่นตัวขึ้นมาว่าบุคคลคนนี้คือใคร ทำไมถึงมาทำงานตรงนี้ได้ ประวัติเป็นมาอย่างไร และในที่สุดก็ถึงบางอ้อกับฝรั่งที่ชื่อ เดวิด สเตร็คฟัสส์!

ด้านเจ้าตัวได้ออกมาแถลงว่า เขาไม่รู้จักประวัติองค์กรที่เข้ามาให้เงินการสนับสนุนทางกลุ่มอีสานเรคคอร์ดของเขา แค่รู้จักชื่อเสียงและเป็นเพียงผู้สนับสนุนเฉยๆ... (ลิเกโรงใหญ่มาก) ซึ่งหลังจากที่เขาให้สัมภาษณ์แบบนั้น ทำให้ไบรอัน เบอเลติก ได้งัดเอาข้อมูลชิ้นดีอันเป็นหลักฐานที่มัดตัวสเตร็คฟัสส์พ่อพระเอกลิเกหลังโรงไว้แน่นเลยทีเดียว

ซึ่งข้อมูลที่ไบรอันเอาออกมาแสดงนั้นล้วนมีความเกี่ยวพันทางอาชกรรมทางลับ ๆ ของสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น ซึ่งฝั่งตรงข้ามที่พยายามทำลายประเทศไทยนั้นไม่เคยเอ่ยหรือพูดถึงข้อเท็จจริงของ NED หรือเหล่าองค์กรปรสิต NGOs ที่ทำกับนานานับประเทศในโลกใบนี้เลยแม้แต่นิด

เพราะฉะนั้นคนไทยต้องออกมาปกป้องชาติของตนเองให้มากที่สุด ตื่นรู้ตื่นสู้ให้มากที่สุด ไบรอันเป็นเพียงผู้เปิดฉากเปิดหน้าเอาความจริงมาเปิดเผยให้คนไทยได้รับรู้เพียงเท่านั้น เราจงช่วยไบรอันเปิดโปงเหล่าองค์กรปรสิตฝุ่นใต้ตีนสหรัฐออกมาให้มากที่สุด...


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3975460309201489&id=140063372741221

https://youtu.be/lMdcR7r3-Nk

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” อวดเก่งทำประเทศวิกฤติซ้ำ ชี้รัฐบาลบริหารวัคซีนผิดพลาดทำคิดติดโควิดพุ่ง - ตายรายวัน

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกวัน แสดงว่ามาตรการที่รัฐบาลออกมาล้มเหลว ไม่ได้ผล เพราะจากวันที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศมาตรการต่าง ๆ ผลที่ตามมาคือ ปิดโอกาส ประชาชนในการทางทำมาหากิน

พลเอกประยุทธ์มีทุกอย่างทั้งงบประมาณและเครื่องมือในการทำงาน แต่ทำงานไม่เป็นสุดท้ายงบประมาณจำนวน 1.9 ล้านล้านบาทที่ไปกู้มาจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน ผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงเงินกู้ก็ประสบความลำบาก หลายคนสู้ไม่ไหวฆ่าตัวตายหนีปัญหาเป็นจำนวนมาก กรณีการเยียวยาที่ผ่านมาผลที่ออกมาคือประชาชนเข้าไม่ถึง หรือมีปัญหาในการจ่ายเงินไม่มีทุนทำต่อ จนหลายคนฆ่าตัวตาย รัฐบาลไม่ปรับวิธีการเยียวยา ก็จะมีคนฆ่าตัวตายตามมาเป็นจำนวมมาก

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ใครท้วงติงอะไร ก็มองว่าเป็นการเมืองหาทางโจมตีรัฐบาล แม้คำแนะนำจากฝ่ายค้านจะมีประโยชน์ที่จะพาประเทศฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นไปได้ รัฐบาลกลับไม่ฟังไปฟังแต่คำคนใกล้ชิดที่คอยเชลียร์เพื่อหวังผลทางการเมืองและการอยู่ในอำนาจของคนใกล้ชิดผู้นำประเทศ

“ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดมาจากความไม่รู้และไม่ฟังคำแนะนำจากคนอื่น หากพลเอกประยุทธ์เร่งในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ปัจจุบันคนไทย 77 ล้านคนได้รับวัคซีนเพียง 5 แสนคนซึ่งน้อยมาก และประชาชนยังคงต้องรอไปจนถึงเดือนมิถุนายนถึงจะได้รับวัคซีน รัฐบาลไม่เคยยอมรับผิดว่าบริหารวัคซีนล้มเหลวทำคนไทยเสี่ยงตายรายวัน ตัวเลขคนติดโควิดพุ่งเกือบ 2,000 คนต่อวัน และมีประชาชนตายเพราะโควิดทุกวัน พลเอกประยุทธ์ต้องไม่ควรโทษคนอื่น ไม่ปัดสวะให้พ้นตัวต้องยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามรถและรับฟังคนอื่นบ้างอย่าอวดเก่งอยู่คนเดียว” นายสงครามกล่าว

เป็นความเชื่อในคนเมียนมามาเนิ่นนานตาปีแล้วสำหรับวันแรกของปี หรือในภาษาพม่าออกเสียงว่า Hnit San Ta Yat Nay สะกดว่า 'หนิด แซน ตะ ยัด เนะ'​ (နှစ်ဆန်းတစ်ရက်နေ့) หมายถึงวันแรกของปี ซึ่งตรงกับทุกวันที่ 17 เมษายนของทุกปี

ในวันนี้ร้านค้าต่าง ๆ​ ในเมียนมาจะหยุดหมด​ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าในตลาดหรือแผงลอย โดยในวันนี้คนเมียนมาจะทำแต่สิ่งดี อาทิเช่น ที่บ้านจะมีการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ ส่วนผู้สูงอายุในบ้าน​ ก็จะมีบรรดาคนในบ้านมาคอยสระผมให้ผู้เฒ่าผู้แก่​ โดยใช้ 'ตะยอว์กินปุน'​ (Tha Yaw Kin Punn) ซึ่งเป็นแชมพูพื้นบ้านที่ทำมาจากเปลือกต้น Ta Yaw หรือ​ 'ต้นมาลัย'​ และ ผล Kin Punn หรือ 'ผลส้มป่อย'​ นั่นเอง ซึ่งเปลือกต้นมาลัยจะมีคุณสมบัติเป็นสารป้องกันการระคายเคือง​ ส่วนผลส้มป่อยจะมีสารกลุ่มซาโปนินหลายชนิด

นอกจากนี้​ คนในบ้านก็จะใช้ ตะยอว์กินปุน สระให้ตัวเองด้วย​ เพราะเชื่อว่าจะช่วยชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีและโชคร้าย​ รวมถึงสิ่งสกปรกต่าง ๆ​ ที่ติดมาจากปีเก่าให้หมดไป

ในวันนี้สำหรับพุทธศาสนิกชนจะนำพระพุทธรูปมาทำความสะอาด และทำกับข้าวไปแจกเพื่อนบ้านรวมถึงไปยังวัดต่าง ๆ​ เพื่อถวายเพลแก่พระภิกษุสงฆ์ ส่วนในตอนค่ำจะมีการนิมนต์พระมาเทศนาธรรมและสวดมนต์ขับไล่สิ่งไม่ดีในปีเก่าให้หมดไป

ยิ่งไปกว่านั้น​ ในวันนี้ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อแปลก ๆ​ คือ คนเมียนมาจะไม่ใช้เงินในวันนี้หรือใช้เงินให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพราะเชื่อกันว่าหากวันนี้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย​ จะ​ส่งผลให้ทั้งปีถึงจะมีเงินเข้ามาหาเงินได้ง่าย แต่เงินก็จะไม่อยู่กับเรา​ มีเท่าไร​ ก็จะมีเหตุให้ต้องเสียเงินออกไปง่ายๆตลอดทั้งปีนี้

สำหรับตัวเอย่าเอง​ ในวันนี้​ก็อยากจะขอให้เป็นวันเริ่มต้นที่ดี​ของเมียนมา​ ขอให้ความสงบเรียบร้อยเป็นปกติสุขกลับมา เพื่อให้ปีนี้ทั้งปีจะได้ไม่มีความวุ่นวายอีกต่อไป ขอให้ความสงบสุขกลับสู่เมียนมาโดยเร็ววัน


ที่มา: AYA IRRAWADEE

เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพเมียนมา หรือ Committee Representing Pyidaungsu Hluttaw หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในนามของ CRPH ประกาศจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น

เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพเมียนมา หรือ Committee Representing Pyidaungsu Hluttaw หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในนามของ CRPH ประกาศจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น โดยมีการประกาศรายชื่อประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ออกมา ซึ่งปรากฎชื่อของ U Win Myint และ Aung San Suu Kyi ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีและที่ปรึกษาแห่งรัฐ 

ในประกาศครั้งนี้มีการประกาศกระทรวงใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ดังนี้กระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศ (Ministry of International Cooperation) กระทรวงกิจการสหภาพของรัฐบาลกลาง (Ministry of Federal Union Affairs) กระทรวงกิจการด้านมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติ (Ministry of Humanitarian Affairs and Disaster Management) และกระทรวงกิจการสตรีเยาวชนและเด็ก (Ministry of Women, Youth and Child Affairs) ซึ่ง 1 ในเจ้าของเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นของ Dr. Sa Sa อดีตทูตเมียนมาประจำสหประชาชาติซึ่งลี้ภัยอยู่ตอนนี้

จากนี้คงต้องดูนานาชาติแล้วว่า ประเทศใดจะเป็นชาติแรกที่ให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นของเมียนมา ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องที่ยังหาบทสรุปกันไม่ได้ง่าย ๆ ภายในวันสองวันนี้แน่นอน


ที่มา: AYA IRRAWADEE

‘บิ๊กตู่’ ลั่นไม่มีเคอร์ฟิว - ล็อกดาวน์ หวั่นกระทบประชาชนในวงกว้าง พร้อมยอมรับรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง เมื่อตัดสินใจใช้มาตรการต่าง ๆ ออกไป ปลุกคนไทยสู้โควิด ย้ำอีกครั้ง ‘พวกเราต้องชนะไปด้วยกัน’

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 16 เมษายน 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ครั้งที่ 5/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ว่า ตนรู้สึกเจ็บปวด และต้องรับผิดชอบจากการแพร่ระบาดของโควิด ตนไม่ต้องการให้ใครตายสักคน ไม่อยากให้ครอบครัวต้องเสียใจ เพราะตนเป็นคนรักครอบครัว

ทั้งนี้จากการระบาดมาจนถึงระยะที่ 3 ทางรัฐบาลได้นำแนวทางทั้งหมดมาประมวล วิเคราะห์ โดยรับฟังความเห็นจากบุคลากรทางการแพทย์ จากทางสาธารณสุข กรมควบคุมโรค จนนำมาถึงการประชุม ศบค.ใหญ่ ในวันนี้

"การตัดสินใจอะไรต่าง ๆ ผมเจ็บปวด ห่วงใยผู้มีรายได้น้อย อะไรหลายอย่างไม่สามารถตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่งได้ ตนเป็นคนรับผิดชอบ ต้องทำให้ดีที่สุด พร้อมปลุกคนไทยว่า พวกเราต้องชนะให้ได้ ยืนยันว่าไม่มีการเคอร์ฟิว ไม่มีการล็อกดาวน์ แต่อาจจะปรับเวลาเปิด-ปิดร้านบางส่วน เมื่อเราหย่อนวินัย สนุกสนาน วันนี้เราเห็นแล้วการ์ดตกเป็นอย่างไร มีการชุมนุมต่อต้าน นั่นคืออันตรายทั้งสิ้น ไม่ได้ว่าผิดกฎหมาย แต่อันตรายไปถึงครอบครัวท่าน” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า จากที่เสนอมาเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก มีคำ 3-4 ประโยค ที่อยากจะฝากไว้ นั่นก็คือ "ประเทศไทยต้องชนะ เมื่อถึงยามคับขันประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ เมื่อถึงคราวปรึกษางาน ต้องการผู้ที่ไม่พูดพล่าม ยามมีข้าวน้ำ ต้องการผู้เป็นที่รัก ยามเกิดปัญหา ต้องการบัณฑิต”

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการจัดหาวัคซีนนั้น ขณะนี้กำลังติดต่อซื้อวัคซีนเพิ่มเติมหลายยี่ห้อ เช่น สปุตนิก วี ของรัสเซีย และไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทคของสหรัฐฯ เป็นต้น

ก่อนที่จะย้ำชัดเจน ก่อนจบการแถลงข่าวว่า "ไม่เคอร์ฟิว - ไม่ล็อกดาวน์"

ทั้งนี้ ในส่วนของผลการประชุม ศบค.นั้น ได้ยกระดับมาตรการการควบคุมโรค โดยมีสาระสำคัญ ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันเกิน 50 คน รวมถึงการปิดสถานบริการหรือสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคทั่วราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบกิจการอาบน้ า สถานประกอบกิจการ อาบอบนวด หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยให้สั่งปิดสถานที่ดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวอย่างน้อยสิบสี่วัน

พร้อมทั้งกำหนดจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือ พื้นที่สีแดง 18 จังหวัด ส่วนอีก 59 จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุม หรือสีส้ม

โดยพื้นที่สีแดงนั้น ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชลบุรี จังหวัด เชียงใหม่ จังหวัดตาก จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระยอง จังหวัดสงขลา จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดอุดรธานี

ซึ่ง 18 จังหวัด ถือเป็นพื้นที่สีแดง อยู่ในความควบคุมสูงสุด จะมีมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย

- การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มในร้าน ได้ไม่เกิน เวลา 21.00 น. แต่ขายได้จนถึง 23.00 น.ในลักษณะของ การนำไปบริโภคที่อื่น

- การจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สำหรับร้านอาหารหรือสถานที่จำหน่ายสุรา ห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน

- ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะ คล้ายกัน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้นๆ จนถึงเวลา 21.00 น.โดยให้จำกัดจำนวน ผู้ใช้บริการและงดเว้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ยกเว้นส่วนที่เป็นตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกมและสวนสนุก ที่งดการให้บริการ

- ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลาดนัดกลางคืน ตลาดโต้รุ่ง ถนนคนเดิน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้นๆ แต่ไม่เกินเวลา 23.00 น. สำหรับร้าน หรือสถานที่ ซึ่งตามปกติเปิดให้บริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ให้เริ่มเปิดดำเนินการได้ในเวลา 04.00 น.

- สนามกีฬาหรือสถานที่เพื่อการออกกำลังกาย ยิม ฟิตเนส สามารถเปิดให้บริการได้ไม่เกิน เวลา 21.00 น. และสามารถจัดการจัดการแข่งขันกีฬาได้โดยจำกัดจำนวนผู้ชม ในสนาม

สำหรับ พื้นที่ควบคุม หรือพื้นที่สีส้ม 59 จังหวัด กำหนดให้

- การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้การบริการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มและ การบริโภคในร้านได้ ไม่เกินเวลา 23.00 น.

- การจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สำหรับร้านอาหารหรือสถานที่จำหน่ายสุรา ห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน

- ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะ คล้ายกัน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้น ๆ จนถึงเวลา 21.00 น. โดยให้จำกัดจำนวน ผู้ใช้บริการและงดเว้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ยกเว้นส่วนที่เป็นตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกมและสวนสนุก ที่งดการให้บริการ

นอกจากนี้ รัฐบาลขอความร่วมมือให้ประชาชนงดหรือ ชะลอการเดินทางในช่วงเวลานี้โดยไม่มีเหตุจำเป็น โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในเขต พื้นที่ควบคุมสูงสุดซึ่งมีการแพร่ระบาดของโรคที่อาจท าให้เสี่ยงหรือมีโอกาสติดโรค ส่วนการจัดกิจกรรมงานเลี้ยงสังสรรค์ ขอความร่วมมือให้ประชาชนเลื่อนหรือ งดการจัดกิจกรรมสังสรรค์ งานเลี้ยงหรืองานรื่นเริงในช่วงเวลานี้ก่อน

กรมการค้าภายในส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจเข้มต่อเนื่อง ย้ำห้ามผู้ประกอบการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าช่วงโควิดระบาด ชี้โทษหนักคุก 7 ปี ไม่ติดป้ายราคาปรับไม่เกิน 1 หมื่น

นายอาวุธ วงศ์สวัสดิ์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด หลังจากเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่เดือนเมษายน โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ และสินค้าที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด ทั้ง หน้ากากอนามัย หน้ากากทางเลือก เจลแอลกอฮอล์ และสินค้าเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาส

ขณะเดียวกันยังได้แจ้งให้ร้านค้าต่าง ๆ ต้องติดป้ายแสดงราคาสินค้าให้ชัดเจน ห้ามฉวยโอกาสปรับขึ้นราคา หากตรวจพบว่าใครฝ่าฝืน จะถูกดำเนินการตามกฎหมาย คือ กรณีไม่ติดป้ายแสดงราคาจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และกรณีที่มีการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร กักตุนสินค้าหรือปฏิเสธการจำหน่ายต้องโทษจำคุก 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ยังประสานไปยังร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ต้องปฏิบัติตามกฎเหล็กอย่างเคร่งครัด ห้ามขายบุหรี่ สุรา เบียร์ให้แก่ผู้ถือบัตร ห้ามยึดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ห้ามรับ แลกเป็นเงินสด ห้ามเอาเปรียบฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาและขายเกินราคาที่กำหนด และห้ามบังคับการซื้อ/ขายสินค้า ถ้าหากมีการตรวจพบการกระทำผิด จะถูกเพิกถอนสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและแจ้งกรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการเพื่อเรียกคืนเครื่องอีดีซี หรือยกเลิกการใช้แอพพลิเคชั่น และถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ยอดผู้ติดเชื้อในไทยแตะหลักพันวันที่ 3 แล้ว ยอดกว่า 1,582 ราย ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

ไทยสั่งระงับวีซ่า 'เดวิด สเตร็คฟัสส์' นักวิชาการสหรัฐฯ อดีต ผอ.โครงการ CIEE ขอนแก่น, ผู้ดูแล 'The Isaan Record' ที่ฝังตัวทำงานในไทยกว่า 35 ปี เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการต่างชาติที่เคลื่อนไหวต่อต้าน ม.112 และวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ ของไทยมาโดยตลอด

จากเฟซบุ๊ก ของประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส ของ หนังสือพิมพ์ ข่าวสดอิงลิช (ที่ปิดตัวไปแล้ว) ได้โพสต์แจ้งข่าวดังนี้

"ด่วน! นักวิชาการ ม.ขอนแก่น เดวิด สเตร็คฟาส David Streckfuss บอกผมว่าถูกระงับใบอนุญาตทำงาน (work permit) กับมหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังอยู่เมืองไทยมา 35 ปี (แต่งงานกับคนไทยและมีลูกสอง) หลังจัดงานรวมพลศิลปินและนักเขียนอีสาน เดวิด เคยเขียนหนังสือวิชาการเกี่ยวกับ ม.112 พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Routledge ชื่อ "การนำความจริงขึ้นพิจารณาคดีในประเทศไทย: การหมิ่นประมาท ล้มล้างการปกครอง และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" และเกี่ยวข้องกับสื่ออีสานเรคคอร์ด แกบอกตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 4 คนไปพบผู้บริหารมหาลัย บอกคำสั่งมาจากหน่วยเหนือ"

"อ.David Streckfuss เป็นหนึ่งในชาวต่างชาติไม่กี่คน ที่กล้าพูดความจริงที่หลายคนไทยไม่กล้าพูด หรือไม่กล้ายอมรับ ถ้าแกไม่มีที่ยืนในสังคมไทย ก็แปลว่าสังคมไทยคงไม่มีที่ยืนให้กับคนเห็นต่างในบางเรื่อง"

"อ.เดวิดอยู่ไทยมา 35 ปี แต่งงานกับคนไทยมีลูกสอง เป็นศิษย์ อ.สุลักษณ์ Sulak Sivaraksa เป็นพลังสำคัญให้กับสื่อภูมิภาค อีสานเรคคอร์ด ที่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการต่อสู้และอัตลักษณ์ชาวอีสาน และเขาเขียนตำราวิชาการที่สำคัญเกี่ยวกับ ม.112 - คนที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมไทยเช่นนี้ควรได้รับรางวัลจากสังคมไทย แต่เขากำลังจะไม่มีที่ยืนเพราะรัฐไทยผ่านตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบีบให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นยกเลิกใบอนุญาตจ้างงาน #ป #เดวิด"

สำหรับ "เดวิด สเตร็คฟัสส์" (David Streckfuss) ทำงานกับ สำนักข่าว The Isaan Record ตั้งแต่ปี 2556 และเป็นนักการศึกษาระหว่างประเทศมาเกือบสามทศวรรษ ขณะเดียวกันก็เป็นนักวิชาการอิสระ เขียนบทความให้กับ The New York Times, Wall Street Journal, Asian Nikkei Review และ Al Jazeera เป็นครั้งคราว

โดยล่าสุด เดวิด สเตร็คฟัสส์ ได้ไปร่วมงานเสวนาของ สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย FCCT เกี่ยวกับประเด็นการแก้ไข มาตรา 112 ร่วมกับ เยาวลักษณ์ อนุพันธ์ ทนายสิทธิมนุษยชน และ ส.ส.รังสิมันต์ โรม โดยมีคู่ดีเบต เป็น นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ และ ศาสตรา โตอ่อน

การสั่งระงับวีซ่าทำงานในครั้งนี้ ส่งผลให้ นาย เดวิด สเตร็คฟัสส์ ต้องออกนอกประเทศไทย


ที่มา: https://www.facebook.com/336295587309275/posts/801053557500140/

https://www.facebook.com/pravit.rojanaphruk.5/posts/3065470637014100

เจ้าหน้าที่นครชิคาโกของสหรัฐฯ เปิดเผยคลิปซึ่งถ่ายจากกล้องบอดี้แคมขณะที่ตำรวจนายหนึ่งชักปืนยิงเด็กชายวัย 13 ปีเสียชีวิต ทั้งๆ ที่เหยื่อชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางดึกเมื่อราวๆ 2 สัปดาห์ก่อน

คลิปความยาว 9 นาทีจากกล้องติดตัวของ อีริค สติลล์แมน ตำรวจวัย 34 ปี เผยให้เห็นเหตุการณ์ขณะที่เขาลงจากรถและวิ่งไล่ตาม อดัม โทเลโด เด็กชายวัย 13 ปีในซอยแห่งหนึ่ง เมื่อเวลาประมาณ 2.30 น. ของวันที่ 29 มี.ค. โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ย่านลิตเติลวิลเลจทางตะวันตกของชิคาโก ซึ่งเป็นชุมชนที่มีชาวเม็กซิกันอาศัยอยู่มาก

จากคลิปดังกล่าวพบว่า สติลล์แมน ตะโกนบอกอีกฝ่ายให้ “หยุด” ก่อนจะไล่ตามทันและสั่งให้เด็กชายโชว์มือทั้งสองข้าง แต่ในขณะที่ โทเลโด กำลังยกมือขึ้น ตำรวจนายนี้ก็ลั่นกระสุนใส่ทันที 1 นัดจนเด็กชายทรุดลงไปกองกับพื้น

สติลล์แมน ได้ร้องตะโกนขึ้นว่า “มีการยิง มีการยิง ช่วยตามรถพยาบาลที” จากนั้นก็พูดว่า “อยู่กับผม อยู่กับผม ใครก็ได้ไปเอาชุดปฐมพยาบาลมาเดี๋ยวนี้เลย”

สำนักงานตำรวจชิคาโกได้ออกคำแถลงทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ขึ้นว่า โทเลโด มีปืนอยู่ในมือ

การเผยแพร่คลิปนี้คาดว่าจะยิ่งกระพือความไม่พอใจต่อพฤติกรรมการทำงานของตำรวจ ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างเชื้อชาติในสหรัฐฯ ตามหลังกรณีตำรวจหญิงในรัฐมินนิโซตายิงชายผิวดำเสียชีวิตหลังเรียกให้หยุดรถเนื่องจากทำผิดกฎจราจรเมื่อไม่กี่วันก่อน

สำนักงานตรวจสอบการทำงานของตำรวจ (Civilian Office of Police Accountability) ในนครชิคาโกยังได้เผยแพร่ไฟล์ข้อมูลอีก 33 ไฟล์ ซึ่งรวมถึงคลิปวิดีโอจากกล้องบอดี้แคมของตำรวจคนอื่นๆ, ภาพจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่ และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 มี.ค. โดยเอกสารฉบับหนึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า สติลล์แมน คือตำรวจที่ลั่นกระสุนใส่ โทเลโด

ทางด้านสำนักงานตำรวจชิคาโกก็ได้โพสต์คลิปอันเดียวกันลงบนเว็บไซต์เมื่อวานนี้ (15 เม.ย.) และใส่ลูกศรชี้ไปที่วัตถุซึ่งดูคล้ายปืนพกในมือขวาของ โทเลโด ก่อนที่ สติลล์แมน จะลั่นไก

ในนาทีที่ 5.30 สติลล์แมน ได้ฉายไฟไปยังปืนพกซึ่งตกอยู่บนพื้นห่างออกไปไม่กี่ฟุตจากจุดที่เจ้าหน้าที่กำลังพยายามทำ CPR เพื่อยื้อชีวิตเด็กชาย

อาดีนา ไวส์ ออร์ทิซ ทนายของครอบครัวโทเลโด แถลงต่อสื่อมวลชนหลังมีการเปิดเผยคลิปวิดีโอว่า ผู้ตายได้ปฏิบัติตามคำสั่งของ สติลล์แมน ด้วยการทิ้งปืนและหันหน้ามา ก่อนที่ตำรวจนายนี้จะยิงเขา

“ฉันไม่ทราบว่าตำรวจมีเวลามากพอหรือไม่ แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือตำรวจย่อมได้รับการฝึกมาว่าห้ามยิงคนที่ไม่มีอาวุธ” ทนายกล่าว

ตำรวจชิคาโกระบุว่า เจ้าหน้าที่ชุดนี้ได้ออกปฏิบัติภารกิจตามจับ โทเลโด และชายวัย 21 ปีอีกคนหนึ่ง หลังได้รับแจ้งจากประชาชนว่ามีเสียงปืนดังขึ้น 8 นัด โดยชายอีกคนก็ถูกจับกุมแล้ว

เจ้าหน้าที่ชิคาโกและครอบครัวของโทเลโด ต่างเรียกร้องให้สาธารณชนอยู่ในความสงบ ขณะที่ทางการก็ได้เตรียมพร้อมรับมือเหตุจลาจลที่อาจเกิดขึ้น โดยจะมีการเสริมกำลังตำรวจและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เพื่อปกป้องภาคธุรกิจในกรณีที่เกิดเหตุรุนแรง


ที่มา: รอยเตอร์ https://mgronline.com/around/detail/9640000036041


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top