Friday, 6 June 2025
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#15 ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุด ในสงครามเวียตนาม

การรุกตรุษญวน (Tet Offensive) เป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในสงครามเวียตนาม เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 30 มกราคม 1968 โดยกองกำลังเวียตกง (VC) และกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) กับกองกำลังเวียตนามใต้ สหรัฐอเมริกา และพันธมิตร เป็นการรบแบบการจู่โจมต่อที่ตั้งของกองบัญชาการทหารและพลเรือน ตลอดจนศูนย์ควบคุมและสั่งการทั่วประเทศเวียตนามใต้ การรุกนี้ได้ชื่อจากวันหยุดตรุษญวน (Tết) ด้วยกำลังผสมของกองกำลังเวียตกงและกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือประมาณ 5 แสนนาย เปิดฉากการบุกโจมตีพร้อมกันหลาย ๆ จุดในหลาย ๆ เมืองของเวียตนามใต้ จนเป็นการสู้รบที่ดุเดือดต่อเนื่องยาวนานหลายเดือนไปจนถึงวันที่ 23 กันยายน 1968

ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้มีการตระเตรียมกำลังพลถึง 1 ใน 3 (กว่าสี่แสนนาย) ของกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) และระดมกำลังพลของเวียตกงอีกประมาณ 70,000 คน โดยผู้บัญชาการทหารของฝ่ายเวียตนามเหนือ พลเอกโวเหงียนเกี๊ยบได้เลือกเอาวันที่ 31 มกราคม ซึ่งเป็นวันปีใหม่ในปฏิทินจันทรคติของชาวเวียตนามเป็นการเปิดฉากจู่โจมในครั้งดังกล่าว โดยพลเอกเกี๊ยบได้วาดหวังผลทางยุทธศาสตร์เอาไว้ว่า การบุกจู่โจมดังกล่าวจะสามารถพิชิตกองทัพของฝ่ายเวียตนามใต้ (ARVN : Army of the Republic of Vietnam) ลงได้ ทั้งยังจะสามารถสร้างความวุ่นวายและปลุกปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลเวียตนามใต้ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เขายังต้องการที่จะกระตุ้นตอกย้ำรอยร้าวของความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงระหว่างรัฐบาลเวียตนามใต้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯ หาทางเจรจาและต้องถอนกำลังทหารออกไปจากเวียตนามใต้

ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ทำการโจมตีเป็นระลอกในกลางดึกของวันที่ 30 มกราคมในเขตยุทธวิธีที่ 1 และที่ 2 ของกองทัพเวียตนามใต้ การโจมตีช่วงแรกนี้ไม่นำไปสู่มาตรการป้องกันอย่างกว้างขวาง เมื่อปฏิบัติการหลักของคอมมิวนิสต์เริ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น การรุกก็ลามไปทั่วประเทศและมีการประสานงานอย่างดี จนสุดท้ายมีกำลังคอมมิวนิสต์กว่า 80,000 นายเปิดฉากโจมตีเมืองต่าง ๆ กว่า 100 แห่ง ซึ่งรวมเมืองหลักของ 36 จาก 44 จังหวัด เขตปกครองตนเอง 5 จาก 6 แห่ง เมืองรอง 72 จาก 245 แห่ง และกรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียตนามใต้ ในเวลานั้น การโจมตีครั้งนี้เป็นปฏิบัติการทางทหารใหญ่ที่สุดของทั้งสองฝ่าย การโจมตีในระยะแรกทำให้กองทัพสหรัฐฯ และเวียตนามใต้สับสนจนเสียการควบคุมในหลายเมือไปชั่วคราว แต่ที่สุดก็สามารถจัดกำลังใหม่จนสามารถต่อต้านการโจมตีและตีโต้จนฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องล่าถอยกลับไป 

แผนการบุกจู่โจมของฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มขึ้นตรงตามที่ได้มีการวางวางแผนไว้ ในกรุงไซง่อนซึ่งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเวียตนาม ที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลเวียตนามใต้ เช่น สถานทูตสหรัฐฯ ถูกก่อวินาศกรรมโดยหน่วยกล้าตายเวียตกงประมาณ 19 นาย หน่วยจู่โจมดังกล่าวปะทะกับทหารเวียตนามใต้และสหรัฐฯ และสามารถยึดที่มั่นสำคัญของฝ่ายเวียตนามใต้แห่งนี้ได้นานถึง 6 ชั่วโมง ก่อนที่จะถูกกราดยิงจากเฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายเวียตนามใต้และสหรัฐฯ จนเสียชีวิตหมด หน่วยกล้าตายเวียตกงอีกหน่วยสามารถบุกไปยังทำเนียบประธานาธิบดี สถานีวิทยุ ศูนย์กลางกองทัพเรือ กองพลทหารพลร่ม ศูนย์กลางตำรวจ รวมถึงคลังน้ำมันที่ 4, 5. 6, 7, 8 ในกรุงไซง่อน ความสำเร็จในการบุกจู่โจมกรุงไซง่อนของเวียตกงได้แสดงให้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของสงครามว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำอย่างที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เคยบอกตลอดมา นอกจากนี้ความจริงดังกล่าวยังเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของทหารอเมริกัน ในวันเดียวกันของการเริ่มปฏิบัติการที่เมืองเว้ ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถบุกยึดเมืองดังกล่าวได้สำเร็จ และปล่อยนักโทษที่ถูกฝ่ายตรงข้ามคุมขังให้เป็นอิสระได้ถึง 2,000 คน

ในกรุงไซง่อนการขับไล่กองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ของทหารเวียตนามใต้และอเมริกันเป็นไปด้วยความยากลำบาก หน่วยจู่โจมฝ่ายคอมมิวนิสต์แทรกซึมอยู่ทั่วกรุงไซง่อนมาหลายสัปดาห์แล้ว อาศัยเสบียงที่พอจะประทังชีวิตได้ รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ กองทัพอเมริกันได้โต้กลับด้วยวิธีการที่รุนแรงด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดและปืนใหญ่เข้าทำลายพื้นที่ทั้งหมดในทั้งกรุงไซง่อนและพื้นที่อื่น ๆ ที่มีกำลังของฝ่ายคอมมิวนิสต์อยู่ ระหว่างยุทธการที่เมืองเว้มีการสู้รบอย่างดุเดือดกินเวลาถึงหนึ่งเดือน ทำให้กองกำลังสหรัฐต้องทำลายเมืองเว้จนเสียหายอย่างหนัก และระหว่างการยึดครองเมืองเว้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้ประหารชีวิตประชาชนหลายพันคน (เหตุการณ์การสังหารหมู่ที่เมืองเว้) 

ขณะเดียวกัน ยังมีการสู้รบบริเวณรอบ ๆ ฐานทัพสหรัฐฯ ที่เคซานต่อมาอีกสองเดือน แม้ว่าปฏิบัติการจู่โจมดังกล่าวจะไม่ได้ประสบกับความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ทำให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องสูญเสียกำลังพลมหาศาล และถือเป็นความพ่ายแพ้ทางทหารสำหรับฝ่ายคอมมิวนิสต์ แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะทำให้สาธารณชนชาวอเมริกันต้องตกตะลึงจากความเชื่อซึ่งถูกผู้นำทางการเมืองและการทหารบอกว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์กำลังปราชัย และไม่สามารถดำเนินความพยายามขนาดมโหฬารเช่นนี้ได้ การสนับสนุนสงครามของสาธารณชนชาวอเมริกันจึงลดลงเรื่อย ๆ และในที่สุดสหรัฐฯ ต้องแสวงหาการเจรจาเพื่อยุติสงคราม

การรุกในวันตรุษญวนทำให้ทหารของกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) และเวียตกง (VC) เสียชีวิตกว่า 1 แสนนาย ทหารของกองทัพสหรัฐฯ เวียตนามใต้ และพันธมิตรเสียชีวิตกว่า 10,000 นาย เหตุการณ์นี้กองกำลังทหารไทยในเวียตนามใต้ได้มีส่วนร่วมในการสู้รบด้วย แม้ว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่การรุกในวันตรุษญวนส่งผลในทางจิตวิทยาเป็นอย่างมาก โดยเป็นการแสดงศักยภาพด้านการทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นการจุดกระแสต่อต้านสงครามเวียตนามในสหรัฐฯ จนติด และนำไปสู่การถอนทหารสหรัฐฯ จากเวียตนามใต้ และที่สุดนำไปการล่มสลายของเวียตนามใต้ (สาธารณรัฐเวียตนาม) ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1975

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#14 พันธมิตรเวียตนามเหนือ จากหลายชาติคอมมิวนิสต์

“เเชโกสโลวาเกีย” สาธารณรัฐสังคมนิยมเชโกสโลวาเกีย (ปัจจุบันแยกเป็น 2 ประเทศแล้วคือ เช็ก และ สโลวัก) เป็นสมาชิกของสนธิสัญญาวอร์ซอว์ (องค์การพันธมิตรทางทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น (Cold War)) และตลอดสงครามเวียตนามได้จัดส่งความช่วยเหลือไปยังเวียตนามเหนือมากมายทั้งปืนเล็กยาวหลายหมื่นกระบอก รวมถึงปืนค.และปืนใหญ่ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เชโกสโลวาเกียส่งให้เวียตนามเหนือได้แก่ ปืนพกกล VZ 61 ŠKORPION และปืนเล็กยาวจู่โจม VZ 58 ความร่วมมือกับเชโกสโลวาเกียทำให้มีการพัฒนาความสามารถทางอากาศของเวียตนามเหนือตั้งแต่ปี 1956 ครูการบินขาวเชโกสโลวาเกียได้ทำการฝึกให้นักบินชองกองทัพอากาศเวียตนามเหนือ (VPAF) ในประเทศจีน และช่วยในการพัฒนากองทัพอากาศเวียตนามที่ทันสมัยด้วยเครื่องบินรบแบบ Aero Ae-45, Aero L-29 Delfín และ Zlín Z 26ที่สร้างโดยเชโกสโลวาเกียเอง ตลอดสงครามระหว่างปี 1966 ถึง 1972 มีนักบินเวียตนามเหนือทั้งหมด 17 นายสามารถยิงเครื่องบินรบสหรัฐฯ ตกตั้งแต่ 5 ลำขึ้นไป และตัดเป็น “เสืออากาศ (ACE)”

นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างสองประเทศเริ่มขึ้นในปี 1956 ด้วยโครงการระยะสั้น โดยเด็กนักเรียนชาวเวียดนามเหนือประมาณ 100 คนถูกส่งไปยังเมือง Chrastava ในภูมิภาค Liberec เด็กส่วนใหญ่กลับเวียตนามเหนือหลังจากโครงการสี่ปีสิ้นสุดลง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ยังคงศึกษาต่อและก่อตั้งชุมชนเวียตนามที่ยังคงอยู่ในเมือง Chrastava จนถึงทุกวันนี้ ความร่วมมืออย่างเป็นทางการมากขึ้นระหว่างสองประเทศเริ่มขึ้นในอีกสิบปีต่อมา เชโกสโลวาเกียและเวียตนามเหนือลงนามในสนธิสัญญาสองฉบับในปี 1967 อนุญาตให้ชาวเวียตนามเหนือทำงานหรือศึกษาในเชโกสโลวาเกีย ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรและสิ่งทอ 

“เกาหลีเหนือ” ผลมาจากการตัดสินใจของพรรคแรงงานเกาหลีในเดือนตุลาคม 1966 เกาหลีเหนือ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี) ได้ส่งฝูงบินเครื่องบินขับไล่ที่ 921 และ 923 ของกองทัพอากาศเกาหลีเหนือไปยังเวียตนามเหนือเพื่อสนับสนุนเวียตนามเหนือในต้นปี 1967 มีนักบินเกาหลีเหนือ 200 นาย และหน่วยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานของเกาหลีเหนือ 2 หน่วยประจำการในเวียตนามเหนือ ในช่วงสงครามเวียตนาม เกาหลีเหนือยังส่งอาวุธกระสุนและเครื่องแบบสองล้านชุดให้กับสหายของพวกเขาในเวียดนามเหนือ Kim Il Sung ผู้นำเกาหลีเหนือในขณะนั้นได้บอกกับนักบินของเขาว่า "ให้สู้รบในสงครามเหมือนกับว่าท้องฟ้าเวียตนามเป็นของพวกเขาเอง" เกาหลีเหนือให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหารแก่เวียตนามเหนือเป็นจำนวนมาก ในปี 1968 นักเรียนเวียตนามเหนือประมาณ 2,000 คนได้รับการศึกษาในเกาหลีเหนือโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามจากปี 1968 ความสัมพันธ์ระหว่างเปียงยางและฮานอยเริ่มเสื่อมลงด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิ การที่เกาหลีเหนือไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเวียตนามเหนือที่จะเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับสหรัฐอเมริกาและตอบสนองต่อข้อตกลงสันติภาพปารีส  ในช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชาเกาหลีเหนือได้เข้าร่วมแผนการจีนในการสร้าง "แนวร่วมของอาณาจักรทั้งห้าในเอเชีย" (จีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา) ในขณะที่เวียตนามเหนือปฏิเสธ เมื่อสงครามเวียตนามสิ้นสุดลงในปี 1975 รัฐบาลเวียตนามเหนือประสบความสำเร็จในการรวมประเทศซึ่งแตกต่างจากเกาหลีเหนือ ในช่วงสงครามกัมพูชา – เวียดนาม ผู้นำเกาหลีเหนือได้ประณามการรุกรานของกองกำลังเวียดนามในกัมพูชา และให้การสนับสนุนเขมรแดง (Khmer Rouge)  อีกทั้งยังสนับสนุนจีนในช่วงสงครามชิโน-เวียดนาม เวียดนามมาไม่พอใจสิ่งที่เห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัวของเกาหลีเหนือ และ 2 ชาติคอมมิวนิสต์นี้กลายเป็นคู่แข่งมากกว่ามิตรประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกัน Pol Pot เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาและผู้นำเขมรแดงได้ไปเยือนเกาหลีเหนือซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในสองประเทศ Pol Pot ได้ไปเยือน

“คิวบา” การมีส่วนร่วมในเวียตนามเหนือของสาธารณรัฐคิวบาภายใต้ Fidel Castro นั้น ทั้งเวียดนามและคิวบาไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก จึงไม่ทราบว่า ในช่วงสงครามมีที่ปรึกษาทางทหารของคิวบาจำนวนมากในเวียตนามเหนือ มีรายงานหลายฉบับระบุว่า นักบินคิวบาได้บินเครื่องบินขับไล่ในการรบทางอากาศกับนักบินอเมริกันเหนือเวียตนามเหนือ ที่ปรึกษาชาวอเมริกันคนหนึ่งที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์แบบ Sikorsky H-34 ได้ใช้เครื่องยิงลูกระเบิดแบบ M-79 ยิงเครื่องบินลำเลียง An-2 ซึ่งบินนักบินชาวคิวบาในภาคเหนือของลาว ซึ่งเป็นเครื่องบินชนิดที่ถูกใช้ในการโจมตี Lima 85 ฐานลับสุดยอดของสหรัฐฯ ในลาว เชื่อว่าบินโดยนักบินชาวคิวบาเช่นกัน (Lima 85 ทำหน้าที่ชี้เป้าให้เครื่องบินอเมริกันในการทิ้งระเบิดเวียตนามเหนือ) มีข้อกล่าวหามากมายจากอดีตเชลยศึกของสหรัฐฯ ที่ถูกชาวคิวบาทำทารุณกรรมในเรือนจำของเวียตนามเหนือในช่วงสงคราม ซึ่งถูกเรียกว่า "โปรแกรมคิวบา" (ซึ่งเวียตนามเหนืออ้างว่า เป็นการศึกษาทางจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยฮานอย) พยานในเรื่องนี้รวมถึง จอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิก และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2008 ผู้เคยเป็นเชลยศึกในเวียตนามเหนือ

ในบรรดาที่ปรึกษาทางทหารชาวคิวบาเหล่านี้หลายพันคนที่เรียกกันว่า "Giron Brigade" ทำหน้าที่รักษาเส้นทางหมายเลขเก้า หรือ เส้นทางโฮจิมินห์ที่เริ่มจากเวียตนามเหนือผ่านลาวและกัมพูชาไปยังเวียตนามใต้ มีทหารอเมริกันจำนวนมากที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในเวียตนามและลาวถูกจับหรือถูกฆ่าตายตามเส้นทางโฮจิมินห์ โดยทุกครั้งมักจะมีปรึกษาทางทหารชาวคิวบาหลายคนร่วมอยู่ด้วยเสมอ รายงานฉบับหนึ่งของสหรัฐฯ ระบุว่า เชลยศึอเมริกัน 18 นายถูกควบคุมตัวที่ค่าย Phom Thong ในลาวโดยมีปรึกษาทางทหารจากโซเวียตและคิวบาสอบสวนอย่างใกล้ชิด โดยมีทหารเวียตนามเหนือรักษาการณ์ภายนอก

“เยอรมนีตะวันออก” สงครามเวียดนามเป็นโอกาสที่จะปรับปรุงการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตนเองภายใต้สหภาพโซเวียต และมีโอกาสเผชิญหน้ากับ "จักรวรรดินิยมอเมริกัน...ผู้รุกราน" โดยกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของเวียตนามเหนือ (BộCông an) มีความสนใจเป็นพิเศษที่จะรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานความมั่นคงแห่งรัฐ (STASI) ของเยอรมนีตะวันออกในการจัดตั้งหน่วยข่าวกรองและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ด้วย STASI ได้รับการยกย่องว่ามี "เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีสไตล์ในการทำงานที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์" กระทรวงความมั่นคงสาธารณะเวียตนามได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยข่าวกรองโซเวียตและเยอรมันตะวันออกจนได้รับการจัดอันดับว่ามีความสำคัญที่สุดในกลุ่มสังคมนิยม เยอรมนีตะวันออกได้ให้ความช่วยเหลือเป็นจำนวนมากเพื่อช่วยให้เวียตนามเหนือ อาทิ การจัดทำ "Green Dragon" บัตรประจำตัวนักรบเวียตนามเหนือที่แฝงตัวในเวียตนามใต้ซึ่งยากที่จะปลอมแปลงหรือทำซ้ำ 

การมีส่วนร่วมของเยอรมนีตะวันออกในสงครามเวียตนามนั้นกว้างขวางและมากมายหลากหลายมิติ ความช่วยเหลือที่จับต้องได้เช่น การฝึกอบรมงานด้านข่าวกรองให้เจ้าหน้าที่เวียตนามเหนือ และในปี 1967 ได้เพิ่มงบประมาณเพื่อส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียง เวชภัณฑ์ ไปยังเวียตนามเหนือ รวมไปถึงความช่วยเหลือทางการเงิน ความช่วยเหลือด้านการแพทย์และมนุษยธรรม การศึกษาและการฝึกอบรมเฉพาะด้าน และการศึกษาสำหรับกลุ่มชาวเวียตนามเหนือในเยอรมนีตะวันออก การรณรงค์ที่สำคัญในเยอรมนีตะวันออกที่ประสบความสำเร็จ อาทิ "Blood for Vietnam" ในปี 1968 ซึ่งสมาชิกสหภาพการค้าของเยอรมนีตะวันออก 50,000 คนได้ร่วมกันบริจาคเลือดให้กับเวียตนามเหนือ 

หลังจากการรวมชาติของสองเวียตนามประสบความสำเร็จในปี 1975 ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างเยอรมนีตะวันออกและเวียดนามยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากการขาดแคลนแรงงานในเยอรมนีตะวันออกอย่างรุนแรง เยอรมนีตะวันออกและเวียดนามได้ลงนามในสัญญาในเดือนเมษายน 1980 สำหรับการจัดส่งพนักงานรับเชิญชาวเวียดนาม 200,000 คนไปทำงานในเยอรมนีตะวันออก ในทางกลับกันเยอรมนีตะวันออกให้ความช่วยเหลือเวียดนามในการพัฒนาด้านต่าง ๆ และนำเข้าสินค้าเช่น กาแฟ ชา ยาง และพริกไทย จากเวียดนาม ปัจจุบัน ชาวเวียดนามเป็นชนกลุ่มน้อยชาวเอเชียที่มีจำนงนมากที่สุดในเยอรมนี

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#13 'จีน' พันธมิตรสำคัญของเวียตนามเหนือ

สงครามเวียตนามเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของโลกในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 แม้ว่าจะเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาคที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรอินโดจีน แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'จีน' ซึ่งมีบทบาทสำคัญในสงครามเวียตนาม โดยจีนให้การสนับสนุนทางการทหารแก่เวียตนามเหนือในการสู้รบกับเวียตนามใต้และสหรัฐฯ ในสงครามเวียตนาม

เดือนตุลาคม 1949 สาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ได้ก่อตั้งขึ้น และเดือนมกราคม 1950 สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียตนาม (DRV) ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการโดยสาธารณรัฐประชาชนจีน สิ่งนี้เปลี่ยนสถานการณ์ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งกับเวียตมินห์ และส่งผลโดยตรงต่อสงครามเวียตนามในเวลาต่อมา รัฐบาลจีนภายใต้การบริหารของเหมาเจ๋อตุงมีบทบาทสำคัญในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง ในเดือนเมษายน 1950 เวียตมินห์ได้ร้องขอความช่วยเหลือทางทหารจากจีนอย่างเป็นทางการรวมทั้งอุปกรณ์ที่ปรึกษาและการฝึกอบรม จีนเริ่มส่งที่ปรึกษาของตนและต่อมาได้จัดตั้งคณะที่ปรึกษาทางทหารของจีน (CMAG) เพื่อช่วยเหลือเวียตมินห์ ซึ่งนำโดยนายพลเว่ยกัวชิง กับพลเอกอาวุโสเฉินเกิง นี่คือจุดเริ่มต้นของความช่วยเหลือของจีน

ตลอดช่วงทศวรรษ 1950 และช่วงส่วนใหญ่ของทศวรรษ 1960 เหมาเจ๋อตุงเหมาถือว่าสหรัฐอเมริกาเป็นภัยคุกคามหลักต่อความมั่นคงและการปฏิวัติของจีน และอินโดจีนถือเป็นหนึ่งในสามแนวรบ (อีกสองแนวรบคือ เกาหลี และไต้หวัน) ซึ่งเหมาเจ๋อตุงมองว่า เสี่ยงต่อการรุกรานโดยประเทศจักรวรรดินิยม  ดังนั้นการสนับสนุนโฮจิมินห์ของเหมาเจ๋อตุง จึงเริ่มต้นด้วยความกังวลด้านความมั่นคงของจีน ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหภาพโซเวียตเสื่อมถอยลงในปี 1968 สภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ของจีนเปลี่ยนไปเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหภาพโซเวียตเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากความขัดแย้งชายแดนจีน-โซเวียตในเดือนมีนาคม 1969 เหมาเจ๋อตุงได้กล่าวว่า สหภาพโซเวียตเป็นภัยคุกคามหลักต่อความมั่นคงแห่งชาติของจีน จากนั้นได้เริ่มปรับนโยบายของจีนให้เข้ากับสหรัฐฯ และสนับสนุนให้เวียตนามเหนือบรรลุข้อตกลงสันติภาพ อย่างเด็ดขาด เมื่อจีนพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับอเมริกา “เวียดนามเหนือยังคงต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างสิ้นหวังกับอเมริกา” ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเวียตนามเหนือ และทำให้จีนลดความช่วยเหลือทางทหารต่อเวียดนามเหนือลงตั้งแต่ช่วงปี 1969-1970 เป็นต้นมา

การสนับสนุนของจีนสำหรับเวียตนามเหนือเมื่อสหรัฐฯ เริ่มเข้าแทรกแซงในเวียตนาม รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน และบทบาทในการสนับสนุนการฝึกอบรมบุคลากรทางทหารหลายแสนคน ฤดูร้อนปี 1962 เหมาเจ๋อตงได้ตกลงที่จะจัดหาอาวุธปืนจำนวน 90,000 กระบอกให้กับเวียตนามเหนือโดยเป็นการให้เปล่า ต่อมาในปี 1965 จีนส่งหน่วยต่อสู้อากาศยานและกองพันวิศวกรรมไปยังเวียตนามเหนือเพื่อซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากการทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ทหารจีนสร้างถนนและทางรถไฟขึ้นมาเพื่อสนับสนุนกองทัพเวียตนามเหนือสำหรับการสู้รบในเวียตนามใต้ จีนส่งกองกำลัง 320,000 นาย และส่งอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่าปีละ 180 ล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 1964 ถึง 1975 จีนได้มอบความช่วยเหลือทางทหารให้กับเวียดนามเหนือประกอบด้วย อาวุธปืนเล็ก 1,922,897 กระบอก ปืนใหญ่ 64,529 กระบอก กระสุนปืนเล็ก 1,048,207,000 นัด กระสุนปืนใหญ่ 17,074,000 นัด เครื่องรับ-ส่งวิทยุ 30,808 เครื่อง โทรศัพท์สนาม 48,922 เครื่อง รถถัง 560 คัน เครื่องบินรบ 164 ลำ ยานยนต์ 15,771 คัน กองกำลังจีนชุดสุดท้ายถอนตัวออกจากเวียตนามเหนือในเดือนสิงหาคม 1973 โดยทหารจีน 1,100 นายเสียชีวิต และบาดเจ็บอีก 4,200 นาย

ทั้งนี้กองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้อ้างว่า ระหว่างสงครามเวียตนามกองกำลังต่อสู้อากาศยานของจีนสามารถสร้างความสูญเสียแก่กองกำลังทางอากาศของสหรัฐฯ มากถึง 38% ในปี 1967 รัฐบาลจีนได้เปิดตัวโครงการลับทางทหาร "โครงการ 523" ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อหาทางรักษาโรคมาลาเรียเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กองกำลังเวียตนามเหนือ (PAVN) ซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคมาลาเรีย เป็นผลให้ Tu Youyou นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนและทีมงานค้นพบ Artemisinin TU สำหรับการรักษาโรคมาลาเรีย จนได้รับรางวัลโนเบลในปี 2015 นอกจากเวียตนามเหนือแล้ว จีนยังได้ให้การสนับสนุนเขมรแดงเพื่อเป็นการถ่วงดุลกับเวียตนามเหนือ โดย จีนได้มอบอาวุธยุทโธปกรณ์และให้การฝึกฝนทางทหารแก่เขมรแดงในช่วงสงครามกลางเมือง และยังคงช่วยเหลือต่อเนื่องมาอีกเป็นเวลาหลายปีหลังจากนั้น เขมรแดงได้เปิดฉากโจมตีเวียตนามอย่างดุเดือดในปี 1975-1978 และเมื่อเวียตนามตอบโต้ด้วยการบุกโค่นรัฐบาลเขมรแดง จีนก็ได้เปิดตัวบุกเวียตนามในปี 1979

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#12 พันธมิตรของเวียตนามเหนือ : ลาว-เขมรแดง -สหภาพโซเวียต

ในขณะที่สหรัฐอเมริกาทุ่มเท กำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และงบประมาณมากมายมหาศาลเข้าสู่เวียตนามใต้ สหภาพโซเวียตก็มีทั้งบทบาทและส่วนร่วมในเวียตนามเหนือเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ในฐานะที่เป็นอำนาจคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหภาพโซเวียตขณะที่ยังไม่ขัดแย้งแตกคอกับสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้สนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากไปยังเวียตนามเหนือ ทั้งมอสโกและปักกิ่งหวังที่จะรวมและขยายคอมมิวนิสต์ในเอเชีย ไม่เพียงแต่การเติบโตขึ้นของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียจะช่วยให้สร้างสมดุลกับตะวันตกในสงครามเย็นเท่านั้น แต่ยังเกิดผลประโยชน์ต่อทั้งรัสเซียและจีน การสนับสนุนของโซเวียตและจีนมีความสำคัญต่อฮานอยและมีส่วนทำให้เวียตนามเหนือประสบชัยชนะในที่สุด

ปารีส ในปี 1920 โฮจินมินห์ได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส สามปีต่อมาเขาเดินทางไปมอสโก ซึ่งเขาได้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีคอมมิวนิสต์และการเคลื่อนไหวระหว่างประเทศ นอกจากนี้เขายังเป็นตัวแทนของเวียตนามประสานงานกับองค์การคอมมิวนิสต์สากล (Communist International : Comintern) ซึ่งเป็นองค์การที่ทำหน้าที่เผยแพร่แนวความคิดปฏิวัติ ล้มล้างนายทุนและจักรวรรดินิยมตามแบบการปฏิวัติของบอลเชวิก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าโฮจิมินห์มีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เต็มตัว

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ในเวียตนามเพียงเล็กน้อย เพราะ โจเซฟ “สตาลิน” พยายามที่จะรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับพันธมิตรสงครามฝ่ายตะวันตกอย่างน้อยเป็นการชั่วคราว และเลือกที่จะไม่เป็นปฏิปักษ์พวกเขาด้วยการสนับสนุนเวียตมินห์ ในปี 1946-47 “สตาลิน” ยังคงไม่ไว้วางใจในกลุ่มคอมมิวนิสต์ของเอเชีย โดยมองว่าอ่อนแอ ไม่มีวินัย และชื่อเสียงไม่ดี อันเนื่องมาจากผลประโยชน์ของตนเองและความเป็นชาตินิยม ปลายปี 1949 สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ความตึงเครียดของสหรัฐอเมริกา-โซเวียตเพิ่มขึ้น และชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์นำโดย “เหมาเจ๋อตง” ในจีน (ตุลาคม 1949) เป็นพัฒนาการที่มีความรุนแรงที่สุดในยุคสงครามเย็น มกราคมปี 1950 มอสโกได้ให้การยอมรับ “โฮจิมินห์และเวียดมินห์” ในฐานะ ‘ผู้ปกครอง’ และ 'เจ้าหน้าที่' ของเวียตนาม โฮจิมินห์ได้เดินทางไปมอสโกและแสวงหาการสนับสนุนทางทหารจากสหภาพโซเวียตเพื่อสงครามอิสรภาพกับฝรั่งเศส แต่ “สตาลิน” ซึ่งยังมีความสนใจอยู่ในยุโรปได้ปฏิเสธการพูดคุยเจรจา โดยสนับสนุนให้ “เหมาเจ๋อตง” เป็นพันธมิตรคอมมิวนิสต์สนับสนุนเวียคมินห์แทน

ในเบื้องต้นจีนให้การสนับสนุนทั้งเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ปัญหาระหว่างเวียตนามเหนือและจากความพยายามที่จะครอบงำของจีน ทำให้ในที่สุดก็ทำให้เวียตนามเหนือหันไปหาสหภาพโซเวียตเพื่อขอความช่วยเหลือ ก่อนปี 1967 สหภาพโซเวียตให้ความช่วยเหลือทางทหารโดยการฝึกอบรมบุคลากรกองทัพอากาศเวียตนามเหนือ ต่อมาสหภาพโซเวียตได้จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น รถถัง เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ ปืนใหญ่, ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางทหารอื่น ๆ ให้เวียตนามเหนือ กล่าวกันว่า ทีมงานชาวโซเวียตรัสเซียเป็นผู้ยิงเครื่องบินรบไอพ่นแบบ F-4 Phantoms ของสหรัฐฯ ตกที่เมือง Thanh Hóa ในปี 1965 ภายหลังจากการสลายตัวของสหภาพโซเวียตในปี 1991 เจ้าหน้าที่ของสหพันธรัฐรัสเซียยอมรับว่า ในช่วงสงครามเวียตนาม สหภาพโซเวียตได้ส่งทหารราว 3,300 นายประจำการในเวียตนามเหนือ

นอกจากนี้เรือหาข่าวของสหภาพโซเวียตในทะเลจีนใต้ได้ส่งคำเตือนล่วงหน้าแก่เวียตนามเหนือ โดยทำการตรวจหาเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 อเมริกันที่บินจากเกาะโอกินาวาและเกาะกวม เครื่องบินและทิศทางจะถูกบันทึกไว้แล้วส่งไปทำการวิเคราะห์ละคำนวณเป้าหมายการทิ้งระเบิด เพื่อแจ้งเตือนให้ย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์สำคัญ คำเตือนล่วงหน้าเหล่านี้ทำให้เวียตนามเหนือมีเวลาพอที่จะย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์สำคัญต่าง ๆ ให้ปลอดภัยจากเครื่องบินทิ้งระเบิด และในขณะที่มีการทิ้งระเบิดซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ปี 1968-1970 ด้วยการแจ้งเตือนทำให้เวียตนามเหนือไม่สูญเสียผู้นำทหารหรือพลเรือนเลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ยังมีการขยายความช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้เวียตนามเหนือพัฒนาวิธีโฆษณาชวนเชื่อในการต่อต้านสหรัฐฯ

ระหว่างปี 1953 ถึง 1991 สหภาพโซเวียตส่งมอบอาวุธยุทโธปกร์ให้เวียตนามเหนือประกอบด้วยรถถัง 2,000 คัน รถหุ้มเกราะลำเลียงพล 1,700 คัน ปืนใหญ่ 7,000 กระบอก ปืนต่อสู้อากาศยานมากกว่า 5,000 กระบอก ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ 158 ระบบ และเฮลิคอปเตอร์ 120 ลำ ในช่วงสงครามสหภาพโซเวียตส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้เวียตนามเหนือมูลค่าปีละ 450 ล้านเหรียญสหรัฐ โรงเรียนทหารและสถาบันการศึกษาของโซเวียตได้ฝึกบุคลากรทางทหารของเวียตนามเหนือมากกว่า 10,000 คน ในปี 1964 นักบินเครื่องบินขับไล่เวียตนามเหนือและพลปืนต่อต้านอากาศยานได้รับการฝึกฝนในสหภาพโซเวียต โดยมีที่ปรึกษาโซเวียตยังถูกส่งไปประจำการในเวียตนามเหนือ ในช่วงต้น ๆ เมื่อกองทหารเวียตนามเหนือยังคงไม่คุ้นเคยกับอาวุธต่อสู้อากาศยานของสหภาพโซเวียต ทีมอาวุธต่อสู้อากาศยานของโซเวียตได้เข้าจัดการระบบปืนด้วยตัวเองและทีมงานได้ยิงเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ตกด้วย มีรายงานว่า ทีมอาวุธต่อสู้อากาศยานของโซเวียตทีมหนึ่งสามารถยิงเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ตกถึง 6 ลำ

KGB ยังช่วยพัฒนาความสามารถของ Signals Intelligence (SIGINT) ของเวียตนามเหนือผ่านการดำเนินการที่รู้จักกันใน “โปรแกรม Vostok” ซึ่งเป็นโปรแกรมข่าวกรองและการจารกรรม โปรแกรมเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญในการตรวจจับและเอาชนะทีมคอมมานโดของสหรัฐฯ และเวียตนามใต้ที่ส่งไปยังเวียตนามเหนือ โซเวียตยังช่วยกระทรวงความมั่นคงสาธารณะเวียตนามเหนือรับสมัครชาวต่างชาติในวงการทูตระดับสูงในหมู่พันธมิตรตะวันตกของสหรัฐฯ ภายใต้โครงการลับ "B12, MM" ซึ่งสามารถจัดทำเอกสารความลับระดับสูงนานเกือบทศวรรษหลายพันรายการ รวมถึงเป้าหมายของการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน B-52 ในปี 1975 SIGINT ได้ทำลายข้อมูลจากพันธมิตรตะวันตกของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามแม้ว่าทหารและเจ้าหน้าที่ของสหภาพโซเวียตจะถูกระบุให้เป็น“ ผู้เชี่ยวชาญทางทหารของโซเวียต” เนื่องจากสหภาพโซเวียตอ้างว่าไม่มี “ทหาร” ในสงครามเวียตนาม แต่ก็สูญเสียเจ้าหน้าที่ไป 16 นาย แม้การมีส่วนร่วมของสหภาพโซเวียตนั้นจะไม่มากเท่ากับกรณีสหรัฐฯ กับเวียตนามใต้ แต่สำหรับเวียตนามเหนือแล้ว ถือเป็นความช่วยเหลือที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง สำหรับสหภาพโซเวียตได้ถือโอกาสนี้ในการทดสอบทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธวิธีการรบที่ดำเนินการในสถานการณ์จริง

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#11 พันธมิตรของสหรัฐฯ และเวียตนามใต้ : “ไทย” (2)

รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพลถนอม กิตติขจรได้ไห้การสนับสนุนสหรัฐอเมริกาในเวียตนามใต้ตั้งแต่แรกเริ่ม โดยไทยยืนยันว่า การช่วยเหลือเวียตนามใต้เป็นการหยุดยั้งการเติบโตของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้ อีกทั้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับจากสหรัฐฯ จากการสนับสนุนรัฐบาลไซง่อนเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่งการมีส่วนร่วมของไทยเป็นประโยชน์ต่อพันธมิตรโลกเสรีของสหรัฐฯ เป็นอย่างยิ่ง

คำร้องขอของประธานาธิบดีจอห์นสัน ถึง จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีไทยในปี 1964 : “ข้าพเจ้าตระหนักดีและซาบซึ้งอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของท่านกับรัฐบาลของท่าน อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าหวังว่าประเทศไทยจะหาวิธีเพิ่มขอบเขตและขนาดของความช่วยเหลือแก่เวียตนามใต้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของโลกเสรีที่จะร่วมมือกันต่อต้านการรุกรานของคอมมิวนิสต์” และ “แถลงการณ์ของรัฐบาลไทย 3 มกราคม 1967” ความว่า “ประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้กับเวียตนามใต้ และจะเป็นเป้าหมายต่อไปของคอมมิวนิสต์ตามที่ได้ประกาศไปแล้ว นี่คือเหตุผลที่ประเทศไทยตระหนักถึงความจำเป็นในการส่งหน่วยทหารไปช่วยต่อต้านการรุกรานของคอมมิวนิสต์เมื่อยังอยู่ห่างไกลจากประเทศของเรา รัฐบาลจึงตัดสินใจส่งหน่วยรบหนึ่งกองพันเพื่อมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสู้รบในเวียดนามใต้ในอนาคตอันใกล้”

ปัจจัยที่โดดเด่นหลายประการทำให้ไทยเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้
ประการแรก รัฐบาลไทยเชื่ออย่างยิ่งว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามไม่เพียงแต่ต่อประเทศของตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดด้วย พวกเขาตั้งใจที่จะปราบปรามภัยคุกคามนี้ก่อนที่มันจะทำลายล้างพวกเขา ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของอเมริกาในภูมิภาคนี้
ประการที่สอง ไม่เหมือนกับเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ของไทย ลัทธิอาณานิคมไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในจิตใจของคนไทยแต่อย่างใด เพราะไทยไม่เคยถูกปกครองโดยมหาอำนาจชาติเจ้าอาณานิคม และแม้ว่าไทยจะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากอังกฤษในพม่าทางด้านตะวันตก และจากฝรั่งเศสในอินโดจีนทางด้านตะวันออก แต่ไทยก็ไม่เคยยอมสละอำนาจอธิปไตยของชาติไป ส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่มีความรู้สึกต่อต้านและความไม่ไว้วางใจชาวยุโรปและอเมริกาน้อยกว่าชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชาติอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด 
ประการที่สาม ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยนั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับการปฏิบัติภารกิจทางอากาศในเวียตนามเหนือและเวียตนามใต้ (รวมทั้งลาวและกัมพูชาด้วย) อาทิ สามารถลดค่าใช้จ่ายของเครื่องบิน B-52 ที่ต้องบินจากฐานทัพอากาศในเกาะกวมถึงเที่ยวบินละ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

เครื่องบินรบของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เริ่มทำการบินจากฐานทัพต่าง ๆ 7 แห่งในประเทศไทย (อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา (โคราช) นครสวรรค์ (ตาคลี) นครพนม อู่ตะเภา และดอนเมือง (กรุงเทพฯ))  ตั้งแต่ปี 1961 จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลงในปี 1975 สหรัฐฯ ใช้เงิน 250 ล้านดอลลาร์ในการปรับปรุงฐานทัพเหล่านั้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ที่จ่ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของไทยตลอดช่วงสงคราม ในเดือนตุลาคม 1967 กำลังรบชุดแรกของไทยเดินทางมาถึงเวียตนามใต้เพื่อร่วมรบกับทหารออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหรัฐฯ โดยได้รับคำสั่งให้เป็นหน่วยขึ้นตรงกองพลทหารราบที่ 9 สหรัฐฯประจำการอยู่ที่ค่ายแบร์แคท ใกล้เมืองเบียนฮัว กองกำลังเหล่านี้ได้แก่ กรมทหารอาสาสมัคร (กองกำลังจงอางศึก) ซึ่งเป็นกำลังรบชุดแรก ในปี 1968 กองกำลังจงอางศึกถูกแทนที่ด้วยกองพลทหารอาสาสมัครของกองทัพบกไทย (กองพลเสือดำ) ผู้สังเกตการณ์ทางทหารในเวียตนามใต้ส่วนใหญ่ระบุในรายงานว่า กองกำลังของไทยทำการรบในเวียตนามใต้อย่างองอาจและกล้าหาญ เป็นที่ชื่นชอบของกองทัพอเมริกัน ทหารไทยหลายนายได้นำเครื่องรางมากมายหลายชนิดติดตัวมาเพื่อป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ตามความเชื่อของตน ซึ่งทหารอเมริกันหลายนายที่ได้รับการแบ่งปันเครื่องรางเหล่านั้นต่างก็มีความเชื่อเช่นนั้นด้วย

วีรกรรมสำคัญของทหารไทยในเวียตนามใต้ อาทิ (1)สมรภูมิฟุกโถ (Phuoc Tho) ในคืนวันที่ 20 ธันวาคม 1967 เวลาประมาณ 22.00 น. ขณะที่กำลังพลของกองร้อยอาวุธเบาที่ 1 กรมทหารอาสาสมัคร จำนวน 3 หมวด (ประมาณ 90 นาย) กำลังตั้งฐานปฏิบัติการควบคุมเส้นทาง ถนนสายสมเกียรติ (สาย 319) ซึ่งเป็นถนนยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายเวียตกงใช้เป็นเส้นทางส่งกำลังบำรุง และเข้าไปมีอิทธิพลในหมู่บ้านฟุกโถ ปรากฏว่าฝ่ายเวียตกงได้ส่งกำลังจำนวน 11 กองพัน (เพิ่มเติมกำลัง) เข้ามาในบริเวณที่ทหารไทยตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ และเริ่มการโจมตีโดยใช้เครื่องยิงลูกระเบิดยิงปืนใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างจากฐานของกองร้อยอาวุธเบาที่ 1 ไปทางตะวันตกประมาณ 3.5 ก.ม. เพื่อตรึงมิให้ปืนใหญ่ฝ่ายไทยยิงสนับสนุนกองร้อยอาวุธเบาที่ 1 นอกจากนี้ยังได้ระดมยิงฐานที่ตั้งของกองร้อยอาวุธเบาที่ 1 อย่างรุนแรง

หลังจากนั้นข้าศึกได้ส่งหน่วย ทหารราบจำนวน 1 กองพันบุกเข้าโจมตีรอบฐานของกองร้อยอาวุธเบาที่ 1 โดยเข้าตี 3 ทิศทาง คือ ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ, ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันตก ฝ่ายไทยได้ใช้อาวุธทุกชนิดที่มีเข้าสนับสนุน เพื่อผลักดันการเข้าตีของข้าศึก แต่เนื่องจากข้าศึกมีจำนวนมากกว่า จึงสามารถฝ่าแนวลวดหนามเข้ามาได้ ทหารไทยในแนวรบได้ตอบโต้อย่างรุนแรง ตลอดเวลา โดยไม่ยอมผละจากที่มั่น ส่วนกำลังทหารปืนใหญ่ และเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธของฝ่ายไทยพยายามยิงสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา การรบได้ดำเนินมาจนถึงเวลาประมาณ 03.00 น. ข้าศึกเห็นว่าคงไม่สามารถยึดที่มั่นของไทยได้จึงเริ่มถอนกำลังกลับ การรบได้ยุติลงเมื่อเวลาประมาณ 05.30 น. ภายหลังการสู้รบยุติลง ฝ่ายไทยเสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บสาหัสอีก 23 นาย และบาดเจ็บเล็กน้อย 48 นาย ฝ่ายเวียตกงเสียชีวิตนับศพได้ 95 ศพ เสียชีวิตแต่นำศพกลับไปได้ 90 ศพ (ตามคำให้การของเชลยศึก สรุปแล้วสามารถสังหารเวียตกงได้กว่า 185 ศพ) และบาดเจ็บ 80 คน ถูกจับเป็นเชลยอีก 2 คน พร้อมกับยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก

(2)การรบที่บินห์สัน (Binh Son) ครั้งที่ 1 วันที่ 21 กันยายน 1968 เวลาประมาณ 03.15 น. เวียตกงประมาณ 1 กองพันได้เข้าโจมตีที่ตั้งกองร้อยที่ 2 และ 3 ของกองพันทหารราบที่ 3 ของไทย โดยเข้าตี 5 ทิศทางเป็น 2 ระลอก โดยใช้การยิงนำด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด แล้วโจมตีด้วยจรวดอาร์พีจี ฝ่ายเราขอกำลังสนับสนุนจากปืนใหญ่กองพล จากฐานยิงสนับสนุน และชุดเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธปืนใหญ่สามารถยิงขัดขวางฝ่ายเวียตกง แนวหน้าที่มั่นฝ่ายไทยเพียง 180 – 200 หลา สามารถยังยั้งและสังหารข้าศึกได้เป็นจำนวนมากจนต้องถอยกลับไป ผลการรบ ฝ่ายไทยเสียชีวิต 5 นาย บาดเจ็บสาหัส 11 นาย บาดเจ็บไม่สาหัส 15 นาย ฝ่ายเวียตกงเสียชีวิตนับได้ 65 ศพ คาดว่านำศพกลับไปประมาณ 30 ศพ ยึดอาวุธได้เป็นจำนวนมาก ครั้งที่ 2 วันที่ 12 พฤษภาคม 1969 เวลาประมาณ 01.35 น. เวียตกงประมาณ 1 กองพันได้เข้าตีที่ตั้งกองร้อยที่ 3 กองพันทหารราบที่ 3 ของไทย เป็น 2 ทิศทาง ฝ่ายไทยเตรียมวางกำลังต่อสู้ในทางลึก เพื่อให้สามารถทำลายข้าศึกได้ตั้งแต่ระยะไกลได้ใช้ปืนใหญ่กองพลยิงสนับสนุน ขัดขวางการรุกของข้าศึกสมทบ ด้วยการยิงของเครื่องบินสปุ๊กกี้พร้อมกับทิ้งพลุส่องสว่าง ทำให้เวียตกงประสบกับความสูญเสียเป็นจำนวนมาก และยุติการรบลงในเวลาอันสั้นเมื่อเวลา 03.00 น. ผลปรากฏว่า ฝ่ายไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บสาหัส 1 นาย บาดเจ็บไม่สาหัส 4 นาย ฝ่ายเวียตกงเสียชีวิตนับได้ 41 ศพ ยึดอาวุธยุโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก ครั้งที่ 3 คืนวันที่ 13 พฤษภาคม 1969 เวลาประมาณ 00.25 น. เวียตกงได้เข้าโจมตีกองร้อยที่3 กองพันทหารราบที่ 3 โดยแบ่งกำลังเข้าตีพร้อมกัน 3 ทิศทาง กรมทหารราบที่ 31 ได้ใช้ปืนใหญ่กองพลและเครื่องบินสปุ๊กกี้สนับสนุนอย่างได้ผลฝ่ายเวียตกงได้รับความเสียหายหนัก จนรุ่งเช้าจึงได้ร่นถอยกลับไป ผลการรบ ฝ่ายไทยทุกคนปลอดภัย ฝ่ายเวียตกงเสียชีวิตนับศพได้ 87 ศพ ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นกองกำลังของไทยได้ทำการรบในอีกหลาย ๆ สมรภูมิ และในทุกสมรภูมินั้นทหารไทยทำการรบจนประสบชัยชนะด้วยดีสร้างความเสียหายแก่ฝ่ายตรงกันข้ามมากมาย 

ในช่วงสงครามเวียตนาม รัฐบาลไทยได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศจากสหรัฐฯ มากกว่าประเทศอื่นใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยกเว้นเวียดนามใต้ เช่นเดียวกับทหารเวียตนามใต้ ทหารไทยได้รับการฝึกฝนและจัดเตรียมอุปกรณ์โดยสหรัฐฯ ขนส่งด้วยเรือและเครื่องบินของสหรัฐฯ และได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน แต่ไทยก็ต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงในสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในเวียตนามใต้ ลาว และกัมพูชาในเวลาต่อมา แม้ว่าในที่สุดแล้วทั้งสามประเทศจะตกอยู่ภายใต้การปกครองของคอมมิวนิสต์ แต่ยุทธศาสตร์ของไทยในการควบคุมภัยคุกคามนอกประเทศก็นับว่าประสบความสำเร็จ เป็นอย่างดี ทักษะและความเชี่ยวชาญในการต่อต้านผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ของกองทัพไทยสามารถหยุดยั้งการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามาในประเทศของตนเป็นผลสำเร็จ สงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดำเนินต่อไประหว่างเดือนกันยายน 1967 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 1972 มีทหารไทยเกือบ 40,000 นายหมุนเวียนประจำการในเวียตนามใต้ ในจำนวนนี้ 351 นายเสียชีวิต และอีก 1,358 นายได้รับบาดเจ็บ แต่ความช่วยเหลือทางทหารจากรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้กองทัพไทยผูกติดกับระบบอาวุธยุทโธปกรณืของสหรัฐฯ และพันธมิตรต่อเนื่องมาอีกหลายสิบปี การรบตามแบบของกองทัพสหรัฐฯ นั้นต้องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์และค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล ซึ่งปัจจุบันกองทัพไทยก็ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการรบ อาวุธยุทโธปกรณ์ ฯลฯ ให้เป็นไปตามบริบทของไทยเองอย่างสมบูรณ์ แม้ว่า ยังต้องมีการซื้อนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ แต่ก็ไม่ได้พึ่งพิงสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว และยังมีการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศต่าง ๆ รวมทั้งขั้วตรงข้ามกับสหรัฐฯ อีกด้วย

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#10 พันธมิตรฝั่งสหรัฐฯ และเวียตนามใต้ : 'ไทย' (1)

ไทยมีบทบาทในภูมิภาคอินโดจีนมายาวนาน เริ่มจาก “เวียตนาม” ตั้งแต่สมัย “องเชียงสือ (เจ้าอนัมก๊ก ตามพงศาวดารไทย)” มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ที่กรุงเทพฯ ต่อมาสามารถกู้คืนอำนาจ รวมแผ่นดินเวียดนามได้สำเร็จ เฉลิมพระนาม “จักรพรรดิซาล็อง” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เหงวียน ราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม และสามารถโค่นล้มราชวงศ์เต็ยเซินอย่างสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2345 ด้วยความช่วยเหลือจากสยามหลายครั้ง เป็นที่มาของการส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาถวายรัชกาลที่ 1 ถึง 6 ครั้งตลอดรัชกาล โดยไทย (“ราชอาณาจักรสยาม” ในสมัยนั้น) ต้องเสียดินแดน “สิบสองจุไทย (สิบสองเจ้าไท)” ให้กับฝรั่งเศสซึ่งส่งกำลังเข้ามายึดเอาดื้อ ๆ ในปี 1888

“ลาว” เป็นดินแดนในปกครองของไทยมายาวนานเช่นกันก่อนที่จะถูกฝรั่งเศสใช้อำนาจและสารพัดเล่ห์กลสร้างเหตุเพื่อยึดเอาดินแดนเหล่านี้ไป ได้แก่ ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในปี 1893 ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงในปี 1904 เช่นเดียวกันกับ “กัมพูชา” ซึ่งได้แก่ ดินแดนกัมพูชาตะวันออกเฉียงใต้ในปี 1867 เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณในปี 1907 กระทั่งเกิด “กรณีพิพาทอินโดจีน” หรือ “สงครามฝรั่งเศส-ไทย”  เหนือดินแดนบางส่วนของอินโดจีนฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสต้องยกดินแดนจากกัมพูชาและลาวคืนให้ไทย ได้แก่ จังหวัดพระตะบองและจังหวัดไพลิน (จัดตั้งใหม่เป็นจังหวัดพระตะบอง) จังหวัดเสียมราฐ จังหวัดบันทายมีชัย และจังหวัดอุดรมีชัย (จัดตั้งใหม่เป็นจังหวัดพิบูลสงคราม) จังหวัดพระวิหาร ผนวกเข้ากับแขวงจำปาศักดิ์ของลาวที่อยู่ตรงข้ามปากเซ เพื่อสร้างจังหวัดนครจัมปาศักดิ์ แขวงไชยบุรี รวมแขวงหลวงพระบางบางส่วน ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัดลานช้าง

อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ไทยได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศมหาอำนาจและฝรั่งเศสซึ่งเป็นฝ่ายชนะสงคราม โดยต้องทำความตกลงระงับกรณีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส “ความตกลงวอชิงตัน” ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 1946 มีผลให้ไทยต้องคืนดินแดน อินโดจีน ที่ได้มาทั้งหมดให้กับฝรั่งเศส ดังนั้นไทยจึงเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญในภูมิภาคนี้มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ไทยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากสหรัฐอเมริกาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ขบวนการเสรีไทย และได้กลายเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง โดยเป็นหนึ่งประเทศซึ่งเป็นแนวร่วมสำคัญของสหรัฐฯ ในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนสต์ การส่งกองกำลังไปร่วมรบกับสหประชาชาติภายใต้การนำของสหรัฐฯ ในสงครามเกาหลี

สำหรับสงครามอินโดจีนที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทนั้น สืบเนื่องจากภัยคุกคามของไทยในขณะนั้นประสบกับการรุกรานของลัทธิคอมมิวนิสต์เพิ่มมากยิ่งขึ้น ในช่วงต้นเดือนกันยายน 1958 กองทัพบกไทยได้เริ่มทำการฝึกให้กับกองทัพลาวที่ค่ายเอราวัณ ต่อมาเดือนเมษายน 1959 ค่ายฝึกทหารลาวแห่งแรกในประเทศไทยได้เปิดตัวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย มีชื่อรหัสว่า "โครงการเอกราช (Unity)" กองทัพบกไทยยังได้จัดตั้งกองบัญชาการ 333 (HQ 333) เพื่อควบคุมการปฏิบัติการลับที่เกี่ยวข้องกับลาว โดยสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) ได้จัดตั้งหน่วยประสานงานร่วมเพื่อประสานงานกิจกรรมกับ HQ 333 มีการจัดส่งนักบินไทยและเจ้าหน้าที่เทคนิคไปทำการบินให้กับกองทัพอากาศลาว เดือนธันวาคมปี 1960 มีการส่งตำรวจพลร่ม (Police Aerial Reinforcement Unit : PARU) ชุดแรกเข้าไปในลาวเพื่อร่วมในปฏิบัติการด้านสงครามพิเศษ การทำสงครามแบบกองโจร และการฝึกทหารลาวม้ง การปฏิบัติการจิตวิทยา จัดตั้งกองกำลัง และการร่วมปฏิบัติการรบ

หลังจากลงนามสงบศึกที่เจนีวา แต่สงครามในลาวไม่ได้หยุดลง และกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น CIA และ HQ 333 จึงจำเป็นต้องขยายขอบเขตการรบในลาว จึงมีการจัดระบบเตรียมการและจัดส่งกำลังพลทหารรับจ้างไทย (ทหารเสือพราน) เข้าไปในลาว เริ่มจากทหารปืนใหญ่ของกองทัพไทยเข้าร่วมการรบในแนวใกล้ทุ่งไหหินในปี 1964 เพื่อต่อสู้กับกองกำลังของประเทดลาว (ลาวแดง) ในโปรแกรมการฝึกพิเศษของสหรัฐฯ ต่อมาในปี 1969 หน่วยปืนใหญ่อีกหน่วยหนึ่งได้ทารรบป้องกันเมืองสุยเพื่อต่อต้านกองกำลังคอมมิวนิสต์ (ลาวแดงและเวียตนามเหนือ) และกลายเป็นหน่วยรบแรกของไทยที่สู้รบในลาว จากนั้นก็มีหน่วยอื่น ๆ ตามมา ในปี 1970 ฝ่ายอเมริกันได้โน้มน้าวฝ่ายไทยให้ใช้กำลังอาสาสมัครติดอาวุธในลาว (ทหารรับจ้างไทย (ทหารเสือพราน)) และต่อมาอาสาสมัครที่ได้รับการฝึกและใช้งานเหล่านี้ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายอเมริกัน กองกำลังที่ได้รับการฝึกใหม่ได้รับการจัดเป็นกองพัน กองพันละ 495 นาย ภายใต้สัญญาจ้าง 1 ปี จากนั้นก็สามารถขยายต่อไปได้ กองพันเริ่มต้นด้วยเลข "6" ซึ่งเป็นความแตกต่างในการกำหนดหน่วยของไทยจากหน่วยลาว กองพันแรกเริ่มจาก 601, 602 การเตรียมการของสองกองพันดังกล่าวสิ้นสุดลงในต้นเดือนธันวาคม 1970 และในกลางเดือนธันวาคม กองพันเหล่านี้ก็ถูกส่งเข้าสู่สนามรบแล้ว CIA ซึ่งเคยชินกับความไร้ประสิทธิภาพของทหารลาวรู้สึกประหลาดใจอย่างยินดีกับผลลัพธ์ของการโจมตีของไทย

บทบาทและจำนวนทหารรับจ้างไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง CIA ต้องการทหารให้ได้มากที่สุด จึงเริ่มรับสมัครชายไทยที่ไม่มีประสบการณ์ทางการทหารเข้าค่ายฝึก เป็นผลให้ในเดือนมิถุนายน 1971จำนวนหน่วยทหารรับจ้างไทยที่ไปทำสงครามในลาวเท่ากับ 14,028 นาย และสิ้นเดือนกันยายน 1971 มากถึง 21,413 นาย เมื่อทหารลาวและทหารลาวม้งลดจำนวนลง สัดส่วนของทหารไทยก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสิ้นสุดปี 1972 ทหารไทยได้กลายมาเป็นกำลังรบหลักของลาวภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลวางเปา ทหารรับจ้างไทยถือเป็นกองกำลังที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการต่อสู้กับลาวแดงและเวียตนามเหนือในลาว ทหารม้งซึ่งบางครั้งสามารถทำลายกองกำลังคอมมิวนิสต์บางส่วนด้วยการสนับสนุนทางอากาศจากอเมริกันด้อยกว่าทหารรับจ้างไทยอย่างเห็นได้ชัดในทุกๆ ด้าน อย่างไรก็ตาม การรบในปี 1971 กองกำลังคอมมิวนิสต์ได้สร้างความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ให้กับกองกำลังทหารรับจ้างไทย เป็นครั้งแรกที่เครื่องบิน MiG ของเวียดนามได้เปิดฉากโจมตีในลาวเพื่อสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดินของเวียตนามเหนือและลาวแดง  เนื่องจากคุ้นเคยกับการสนับสนุนทางอากาศจากสหรัฐฯ ทั้งกองกำลังของลาวและไทยจึงไม่สามารถรักษาที่มั่นเอาไว้ได้ เมื่อฝ่ายศัตรูสามารถครองอากาศ และกองกำลังทหารรับจ้างไทยถูกบังคับให้หลบหนีจากสนามรบ ก่อนที่จะมีการสงบศึกในเดือนกุมภาพันธ์ 1973 ทหารรับจ้างไทยเกือบครึ่งหนึ่งหลบหนีกลับไทย ทหารรับจ้างไทยที่เหลือประมาณ 10,000 นายก็ถูกส่งตัวกลับไทยและแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนา ไม่มีข้อมูลยืนยันถึงตัวเลขของทหารรับจ้างไทยที่บาดเจ็บและเสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ ซึ่งน่าจะถึงหลักพัน สงครามในลาวถือว่าเป็น “สงครามลับ” สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งในวันที่ 15 พฤษภาคม 1997 สหรัฐฯ พึ่งจะยอมรับอย่างเป็นทางการว่าตนมีส่วนร่วมในสงครามลับดังกล่าว

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#9 'ฟิลิปปินส์' อีกหนึ่งพันธมิตรสำคัญฝั่งสหรัฐฯ - เวียตนามใต้

ฟิลิปปินส์ อดีตรัฐอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา จึงเป็นพันธมิตรที่สนิทชิดเชื้ออย่างแนบแน่นกับสหรัฐฯ ตั้งแต่สงครามเกาหลี ฟิลิปปินส์ส่งกองกำลังประมาณ 7,500 นายเข้าร่วมสงครามเกาหลี เมื่อสิงหาคม 1950 เป็นกองกำลังที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 สำหรับสงครามเวียตนาม ฟิลิปปินส์ให้การสนับสนุนกำลังพลในส่วนของปฏิบัติการด้านกิจการพลเรือน การพัฒนาชุมชน การแพทย์และสาธารณสุข โดยเริ่มส่งกำลังเข้าไปในเวียตนามใต้ครั้งแรกในปี 1964 ด้วยกำลังทหาร 28 นาย รวมทั้งพยาบาลและพลเรือน 6 นาย จำนวนทหารของกองทัพฟิลิปปินส์ที่ประจำการในเวียตนามใต้เพิ่มขึ้นเป็น 182 นาย และกำลังพล 1,882 นายในช่วงปี 1966–1968 ทหารฟิลิปปินส์ประมาณ 10,450 นายถูกส่งไปเวียตนามใต้ และสนับสนุนโครงการทางการแพทย์และกิจการพลเรือนในด้านอื่น ๆ เป็นหลัก กองกำลังเหล่านี้ปฏิบัติการภายใต้ชื่อ A หรือ กลุ่มปฏิบัติการกิจการพลเรือนฟิลิปปินส์-เวียดนาม Philippine Civic Action Group - Vietnam (PHILCAG-V)

ในปี 1954 หลังจากที่เวียตนามถูกแบ่งออกเป็นเวียตนามเหนือที่เป็นคอมมิวนิสต์และเวียตนามใต้ที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ชาวเวียดนามเหนือหลายพันคนได้อพยพลงใต้ ออสการ์ อาเรลลาโน ประธานสมาคมหอการค้าเยาวชนฟิลิปปินส์ (Jaycees) สาขามะนิลา เห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นวิกฤตด้านมนุษยธรรม จึงได้ขอความช่วยเหลือจาก รามอน แม็กไซไซ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในขณะนั้น ซึ่งตอบว่า “พวกเราได้รับความช่วยเหลือในยามที่เราต้องการความช่วยเหลือจากมิตรสหายผู้ใจดี แล้วเราจะปฏิเสธความช่วยเหลือเพื่อนบ้านเมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือได้อย่างไร ความทุกข์ยากของมนุษย์ไม่มีพรมแดนของชาติ ดังนั้นโปรดช่วยเหลือพวกเขาด้วยทุกวิถีทาง และหากข้าพเจ้าและรัฐบาลนี้สามารถช่วยอะไรได้ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อข้าพเจ้า” ในช่วง 2 ปีต่อมา ในปฏิบัติการที่ชาวฟิลิปปินส์เรียกว่า Operation Brotherhood สมาคม Jaycees ได้ร่วมกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ส่งแพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ ทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ จำนวน 235 คน เพื่อรักษาผู้ป่วยราว 730,000 คนในสถานพยาบาลทั่วเวียตนามใต้

ในปี 1964 เพื่อตอบสนองต่อการรณรงค์ 'More Flags' ของ ลินดอน บี. จอห์นสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ดิออสดาโด มาคาปากัล ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ได้ของบประมาณสนับสนุนจากรัฐสภาฟิลิปปินส์เพื่อส่งกำลังรบไปยังเวียตนามใต้ แต่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาฟิลิปปินส์กลับอนุมัติงบประมาณสำหรับความช่วยเหลือด้านพลเรือนแทน ในเดือนสิงหาคม 1964 ฟิลิปปินส์ได้ส่ง แพทย์ พยาบาล ช่างเทคนิค และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านกิจการพลเรือน 16 นายจากกองทัพฟิลิปปินส์เข้าไปช่วยเหลือ "ในความพยายามให้คำแนะนำที่มุ่งเน้นไปที่สงครามจิตวิทยาและกิจการพลเรือนในกองพลที่ 3" ตามประวัติของกองบัญชาการความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ เวียดนาม (MACV) ซึ่งเรียกหน่วยนี้ว่า PHILCON (กองกำลังฟิลิปปินส์)

ในปี 1966 รัฐบาลเวียตนามใต้ได้ร้องขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากฟิลิปปินส์ รวมถึงกองกำลังติดอาวุธ ฟิลิปปินส์จึงส่งกองกำลังใหม่ไปยังเวียตนามใต้เพื่อแทนที่ PHILCON คือ กลุ่มปฏิบัติการกิจการพลเรือนฟิลิปปินส์-เวียดนาม (PHILCAG-V) ประกอบด้วย กองพันวิศวกรก่อสร้าง ทีมปฏิบัติการทางการแพทย์และสาธารณสุข กองพันรักษาความปลอดภัย หน่วยสนับสนุนและกองบังคับการ พวกเขาได้ตั้งฐานทัพที่เมืองเตยนิญห์ 45 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของไซง่อน ในช่วงฤดูร้อนของปี 1966 ในช่วง 40 เดือนถัดมา PHILCAG-V ได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อพลเรือนที่มีความหลากหลาย โดยส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างสาธารณูปโภค การพัฒนาชนบท และการบรรเทาทุกข์ด้านอาหารและการแพทย์ แม้ว่า PHILCAG-V จะมีทหารฟิลิปปินส์ 2,068 นายในช่วงที่มีบทบาทสูงสุด แต่ PHILCAG-V เน้นภารกิจด้านมนุษยธรรม ไม่ใช่การรบ ด้วยคติประจำของ PHILCAG-V ว่า “สร้าง ไม่ใช่ทำลาย นำความสุข ไม่ใช่ความเศร้าโศก สร้างความปรารถนาดี ไม่ใช่ความเกลียดชัง”

PHILCAG-V เป็นหน่วยปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการดำเนินการเพื่อสังคม จนเป็นที่ชื่นชมของชาวเวียตนามใต้ สมาชิกหลายคนของ PHILCAG-V รุ่นแรกจำได้ว่า ชาวเวียตนามใต้มีชื่อเล่นพิเศษสำหรับทหารฟิลิปปินส์ว่า “ทุกที่ที่พวกเขาไป พวกเขาถูกเรียกว่า ‘Philuatan’ ซึ่งหมายความว่า ‘ชาวฟิลิปปินส์คือหมายเลขหนึ่ง’” เห็นได้ชัดว่าชาวเวียตนามใต้มากมายจดจำทหารฟิลิปปินส์ด้วยมิตรภาพ นอกจากนั้นแล้วรัฐบาลฟิลิปปินส์ยังให้การสนับสนุนต่อความพยายามในการทำสงครามเวียตนามของสหรัฐฯ ด้วยการให้กองกำลังสหรัฐฯ ปฏิบัติการจากฐานทัพเรือที่อ่าวซูบิกในซัมบาเลส สำหรับกองเรือที่ 7 ของสหรัฐฯ และจากฐานทัพอากาศคลาร์กในแองเจลิสซิตี้ในลูซอนของฟิลิปปินส์ตั้งแต่ปี 1965 จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามในปี 1975 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังรองรับคนงานในท้องถิ่นประมาณ 80,000 คนในธุรกิจระดับตติยภูมิที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีตั้งแต่ธุรกิจทำรองเท้าไปจนถึงการค้าประเวณี มีทหารฟิลิปปินส์ 9 นายเสียชีวิตในเวียตนามใต้ กองกำลังฟิลิปปินส์ถอนตัวออกจากเวียตนามใต้ในวันที่ 12 ธันวาคม 1969 โดยมีการส่งกำลังทหารฟิลิปปินส์ไปยังหมู่เกาะสแปรตลีย์ในเวลาเดียวกัน

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#8 'ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์' พันธมิตรสำคัญฝั่งสหรัฐฯ - เวียตนามใต้

กองกำลังผสมของกองทัพออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (ANZAC) เป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐอเมริกาในการป้องกันการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะเผชิญกับกระแสต่อต้านสงครามที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศ แต่ทั้งสองประเทศยังคงให้การสนับสนุนสหรัฐอเมริกาและเวียตนามใต้ตลอดช่วงสงคราม ในปี 1951 ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกาได้ลงนามในสนธิสัญญาความมั่นคง (ANZUS) ซึ่งเป็นข้อตกลงไตรภาคีที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศในภูมิภาคแปซิฟิก แม้ว่าจะไม่ได้มีการเรียกร้องสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการสำหรับสงครามเวียตนาม แต่ถึงกระนั้น ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก็ยังส่งกองกำลัง (ด้วยงบประมาณของตนเอง) เพื่อสนับสนุนสหรัฐอเมริกาในการปกป้องเวียตนามใต้

ในปี 1961 รัฐบาลออสเตรเลียเชื่อว่าการเอาชนะลัทธิคอมมิวนิสต์ในเวียตนามใต้เป็นเรื่องของหลักการและการป้องกันตนเอง เนื่องจากสันนิษฐานว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หากถูกคอมมิวนิสต์เข้าครอบงำแล้วจะเป็นภัยคุกคามต่อดินแดนทางเหนือของออสเตรเลีย ดังนั้น ในปลายฤดูร้อนของปี 1962 รัฐบาลออสเตรเลียได้ส่งทีมที่ปรึกษาทางทหาร 30 นาย ไปช่วยฝึกอบรมทหารของกองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม (ARVN) สองปีต่อมา ทีมดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเป็นที่ปรึกษาทางทหาร 80 นายซึ่งฝังตัวอยู่กับกองกำลังภาคสนามของ ARVN และส่งเครื่องบินขนส่ง DHC-4 Caribou (พร้อมนักบิน) ของกองทัพอากาศออสเตรเลียอีก 6 ลำ เมื่อสหรัฐอเมริกาเพิ่มการสนับสนุนเวียดนามใต้ด้วยการส่งกองกำลังรบในปี 1965 ออสเตรเลียก็ดำเนินการตามทันที ด้วยการได้ส่งกองพันที่ 1 กรมทหารออสเตรเลีย (1RAR) และกองกำลังสนับสนุนไปประจำการภายใต้การควบคุมการปฏิบัติการของกองพลทหารอากาศที่ 173 ของกองทัพบกสหรัฐที่เบียนฮัว เมื่อสิ้นสุดปี 1965 หน่วย 1RAR ได้เพิ่ม หน่วยปืนใหญ่ หน่วยวิศวกร หน่วยลาดตระเวนทางอากาศ และหน่วยสนับสนุนด้านโลจิสติกส์

แม้ว่าทหารอเมริกันและออสเตรเลียจะมีความร่วมมือและสู้รบร่วมกันได้ดี แต่โครงสร้างการบังคับบัญชาของออสเตรเลียไม่ได้สนับสนุนยุทธวิธีของกองทัพสหรัฐฯ หรือกฎการรบของกองทัพสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ ซึ่งบางครั้งพวกเขามองว่าเป็นข้อจำกัดที่ไร้ประโยชน์โดยไม่จำเป็น พวกเขาต้องการต่อสู้ในแบบของตนเอง ดังนั้นเมื่อในปี 1966 รัฐบาลออสเตรเลียได้เพิ่มกำลังพลให้เป็นหน่วยเฉพาะกิจสองกองพันที่มีการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุงในการรบ เรียกว่า หน่วยเฉพาะกิจออสเตรเลียที่ 1 (1ATF) พวกเขาจึงใช้โอกาสนี้แยกตัวออกจากกองพลทหารอากาศที่ 173 และกลายมาเป็นหน่วยบังคับบัญชาอิสระที่มีพื้นที่ปฏิบัติการของตนเองในจังหวัดฟุกตุย โดยมีฐานที่นุยดัต หน่วยสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงออสเตรเลียที่ 1 (1ALSG) ตั้งขึ้นในบริเวณใกล้เคียงที่ท่าเรือและสนามบินในเมืองวุงเต่า

วันที่ 18 สิงหาคม 1966 กองร้อยเดลต้า กองพันที่ 6 กรมทหารออสเตรเลีย ซึ่งมีกำลังพลรวมประมาณ 108 นาย ได้ออกเดินทางเพื่อค้นหาและเคลียร์กองกำลังของศัตรูออกจากบิญบา ซึ่งเป็นสวนยางพาราเก่าของฝรั่งเศสที่อยู่ไม่ไกลจากไซง่อน กองกำลังออสเตรเลียถูกกองกำลังคอมมิวนิสต์ผสมกว่า 1,500 นายจากเวียตนามเหนือและเวียตกงเข้าโจมตี ในการยิงตอบโต้กันเป็นครั้งแรกกับศัตรู กองกำลังออสเตรเลียสูญเสียทหารไปเกือบหมด ซึ่งถือเป็นการสูญเสียชีวิตมากที่สุดที่พวกเขาต้องเผชิญในเวียตนามใต้ หลังจากการปะทะครั้งแรก เมื่อกองร้อยเดลต้าตั้งแนวป้องกันได้แล้ว กองกำลังออสเตรเลียก็ต่อสู้อย่างหนักกับการโจมตีหลายครั้งในช่วงสี่ชั่วโมงถัดมาท่ามกลางพายุฝนที่ตกหนัก กองทัพออสเตรเลียได้รับการสนับสนุนด้วยปืนใหญ่ และได้รับเสบียงจากลูกเรือเฮลิคอปเตอร์ UH-1 “Huey” Iroquois ของกองทัพอากาศออสเตรเลียสองลำ และได้รับการเสริมกำลังจากกองร้อยออสเตรเลียอีกกองหนึ่งที่มาถึงในตอนค่ำด้วยรถลำเลียงพลหุ้มเกราะพร้อมปืนกลขนาด .50 ในท้ายที่สุด กองทัพเวียตนามเหนือและเวียคกงก็ยุติการปะทะ ออสเตรเลียสูญเสียทหารไป 18 นาย และบาดเจ็บ 24 นาย ระหว่างปี 1962 ถึง 1973 ทหารจาก กองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือของออสเตรเลียเกือบ 60,000 นายประจำการในเวียดนามใต้ ในช่วงที่มีกำลังพลสูงสุด มีทหารออสเตรเลียประจำการอยู่ในเวียตนามใต้มากกว่า 8,300 นาย ทหารออสเตรเลียบาดเจ็บมากกว่า 3,000 นาย และเสียชีวิต 521 นายในสงครามครั้งนี้

นิวซีแลนด์ เช่นเดียวกับออสเตรเลีย รัฐบาลนิวซีแลนด์เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงต้นปี 1963 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ให้การสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมแก่ชาวเวียดนามใต้ด้วยการส่งทีมศัลยแพทย์พลเรือนไปให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ในเมืองกวีเญิน ฤดูร้อนปี 1964 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ส่งวิศวกรของกองทัพบก 25 นายไปช่วยเหลือในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ และในช่วงฤดูร้อนปี 1965 รัฐบาลนิวซีแลนด์จึงได้ส่งกำลังรบเข้าไปในเวียตนามใต้ อันได้แก่ กองร้อยปืนใหญ่ที่ 161 ของกองทหารปืนใหญ่นิวซีแลนด์เดินทางมาถึงเมืองเบียนฮัวในเดือนกรกฎาคม 1965 โดยเริ่มแรกเพื่อประจำการกับกองทัพออสเตรเลียภายใต้การบังคับบัญชาของกองพลทหารอากาศที่ 173 ของกองทัพบกสหรัฐฯ ต่อมาพวกเขาได้ย้ายไปอยู่กับกองกำลังพิเศษของออสเตรเลียที่เมืองนุยดัต ซึ่งพวกเขาประจำการอยู่ในกรมทหารปืนใหญ่ของออสเตรเลียจนถึงเดือนพฤษภาคม 1971

ในปี 1967 นิวซีแลนด์ได้ส่งกองร้อยปืนเล็กยาวจากกองพันที่ 1 ของกรมทหารราบของนิวซีแลนด์ไปประจำการ ซึ่งพวกเขาได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองกำลังออสเตรเลียในหน่วยรบปืนใหญ่ที่ 1 นอกจากนั้นแล้ว นิวซีแลนด์ยังส่งเฮลิคอปเตอร์ UH-1 Iroquois (พร้อมนักบิน) ของกองทัพอากาศนิวซีแลนด์ไปประจำการอีกหลายลำ และในปี 1969 ก็ได้ส่งกองกำลังขนาดเล็กของหน่วยปฏิบัติการพิเศษทางอากาศพิเศษนิวซีแลนด์ไปประจำการกับกองกำลังของออสเตรเลีย ระหว่างปี 1964 ถึง 1972 บุคลากรทางทหารของนิวซีแลนด์ประมาณ 3,500 นายประจำการในเวียตนามใต้ แม้ว่าจะมีไม่เกิน 550 นายที่อยู่ในประเทศในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตาม พวกเขาได้รับบาดเจ็บ 187 รายและเสียชีวิต 37 รายในช่วงเวลาดังกล่าว

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#7 ‘ทหารเกาหลีใต้’ พันธมิตรร่วมรบของสหรัฐฯ และเวียตนามใต้

สงครามอินโดจีนเป็นสงครามที่มีการระดมกำลังทหารจากพันธมิตรทั้งสองฝ่ายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐอเมริกาตัดสินใจส่งกำลังทหารเข้าไปปฏิบัติการรบโดยตรง จากเดิมที่มีการส่งเพียงที่ปรึกษาทางทหาร สำหรับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรแล้ว สงครามเวียตนามเป็นความพยายามของหลายชาติในการหยุดยั้งกระแสการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากขั้วตรงข้ามในสงครามเย็นของสหรัฐฯ คือ สหภาพโซเวียตและจีน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เวียตนามใต้ถือเป็นจุดที่ร้อนแรงในบริบทของสงครามเย็น เช่นเดียวกับความขัดแย้งทั้งหมด จึงมีการระดมกำลังทหารจากชาติพันธมิตรร่วมอุดมการณ์โลกเสรีอีก 5 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ และไทย 

สงครามเวียดนามเป็นภารกิจทางทหารครั้งใหญ่ครั้งแรกของเกาหลีใต้นับตั้งแต่การลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกสงครามเกาหลีในปี 1953 กองทหารเกาหลีทั้งหมดในเวียดนามเป็นอาสาสมัคร การมีส่วนร่วมของกองทัพเกาหลีใต้ในสงครามเวียดนามเริ่มต้นขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 1965 และสิ้นสุดลงเมื่อกองทหารรบสหรัฐฯ ชุดสุดท้ายออกจากเวียตนามใต้ ทหารและนาวิกโยธินสาธารณรัฐเกาหลีชุดแรก (ซึ่งเรียกทั่วไปว่า ‘ROK’) เริ่มมาถึงหลังจากกองทหารรบสหรัฐฯ ชุดแรกมาถึงเวียตนามใต้หลายเดือนก่อนหน้าแล้ว ผู้สังเกตการณ์ทางทหารยืนยันว่า “ทหารเกาหลีใต้” สู้รบด้วยความกล้าหาญ โดยหลายคนบอกว่า ดุเดือด ยุทธวิธี และเทคนิคของพวกเขามักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า โหดร้ายโดยไม่จำเป็น แต่ความกล้าหาญและมีวินัยของพวกเขานั้นไม่เป็นที่สงสัยเลย แม้แต่จากศัตรูของพวกเขา ความสำเร็จและการมีส่วนสนับสนุนของกองกำลังเกาหลีในเวียตนามใต้นั้น ไม่ได้รับการยกย่องและไม่ได้รับการชื่นชมมากนักนอกแวดวงทหาร สำหรับชาวอเมริกันหลายคนที่เคยร่วมรบกับพวกเขา ความสามารถในการต่อสู้ของ “ทหารเกาหลีใต้” ถือเป็นตำนาน กองกำลังเกาหลีใต้มีอัตราการสร้างความสูญเสียชีวิตให้กองกำลังคอมมิวนิสต์ในอัตราที่สูงมาก และสามารถจับกุมเชลยสงครามได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์อีกเป็นจำนวนมาก การกระทำดังกล่าวทำให้กองกำลังคอมมิวนิสต์ไม่กล้าเข้ามาปฏิบัติการในพื้นที่ของ “ทหารเกาหลีใต้” และสามารถขัดขวางภารกิจของเวียตกงในพื้นที่ปฏิบัติการที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

มุมมองของสหรัฐฯ คือ คนร่วมสมัยเชื่อว่ากองกำลังเกาหลีใต้มีประสิทธิภาพในการสู้รบเทียบเท่ากับกองกำลังสหรัฐฯ จึงช่วยแบ่งเบาภาระของกองกำลังสหรัฐฯ ในพื้นที่ปฏิบัติการของเกาหลีใต้ แน่นอน สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนการมีส่วนร่วมของกองกำลังเกาหลี ตั้งแต่ปี 1965 ถึงปี 1973 ทหารบกและทหารนาวิกโยธินของเกาหลีใต้ 320,000 นายถูกส่งมาประจำการประจำการในเวียตนามใต้ ตัวเลขดังกล่าวรองจากทหารสหรัฐฯ และเวียดนามใต้เท่านั้น และมากกว่าทหารพันธมิตรทั้งหมดรวมกัน ทหารเกาหลีใต้ 5,099 นายเสียชีวิตและอีก 10,962 นายได้รับบาดเจ็บในสงครามครั้งนี้ ในเดือนมีนาคม 1965 รายงานของ CIA อธิบายปัญหาหลักของเวียดนามใต้ไว้ดังนี้ “เวียตกงยังคงได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ... โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ลุ่มชายฝั่งทะเล รัฐบาล [เวียตนามใต้] อยู่ในฝ่ายรับอย่างชัดเจน ความสงบยังคงหยุดชะงัก และคาดว่าความมั่นคงในพื้นที่ชนบทจะลดลงต่อไป” การตอบสนองต่อการประเมินของ CIA ได้มาในรูปแบบของ “กองพลเสือ” แห่งกองทัพบกสาธารณรัฐเกาหลี และ “กองพลมังกรน้ำเงินที่ 2”  ของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินสาธารณรัฐเกาหลี หน่วยรบของเกาหลีใต้รับผิดชอบหลักในการสร้างความสงบและรักษาความปลอดภัยในจังหวัดชายฝั่ง (บิ่ญดิ่ญ ฟูเอียน คานห์ฮวา และนิญถวน) ในกองพลที่ 2 พวกเขารับหน้าที่นี้ด้วยความเข้มแข็ง พื้นที่ชายฝั่ง โดยเฉพาะทางใต้ของ Qui Nhon ลงไปจนถึง Phan Rang ยังคงค่อนข้างปลอดภัยตั้งแต่นั้นมา ภายใต้การจับตามองของ “ทหารเกาหลีใต้” 

ในเดือนกันยายน 1966 เกาหลีใต้ส่ง “กองพลม้าขาวที่ 9” ไปปฏิบัติการในพื้นที่ชายฝั่งทางใต้ ทำให้กองพลที่ 2 ทำให้ “กองพลมังกรน้ำเงินที่ 2” สามารถเคลื่อนพลไปทางเหนือเพื่อช่วยเหลือทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ ในจังหวัดกวางนาม ผู้สังเกตการณ์ทางทหารของสหรัฐฯ ได้บันทึกว่า ในเวียตนามใต้ กองกำลัง ROK ปฏิบัติหน้าที่อย่างโดดเด่นและกล้าหาญ และได้รับสถานะที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตำนานทั้งในหมู่มิตรและศัตรู และทหารร่วมสมัยบางคน แม้จะมีการกล่าวหาว่า “ทหารเกาหลีใต้” ใช้ยุทธวิธีที่ก้าวร้าวเกินไปหรือรุนแรงเกินไป เรื่องเล่าและตำนานมากมายเกี่ยวกับวินัยที่เข้มงวด ความแข็งแกร่ง และความสามารถทางการทหารของ “ทหารเกาหลีใต้” โดยได้รับการกล่าวขานว่ามี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างยิ่งในการทำสงครามต่อต้านการก่อความไม่สงบ กลยุทธ์ และการปฏิบัติการของหน่วยขนาดเล็ก และการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เป็นตำนานที่ทหารอเมริกันได้นำเล่าขานบ่อยครั้งด้วยความประทับใจ อาทิ “เอกสารของศัตรูที่ยึดมาได้ซึ่งสั่งให้หน่วย NVA [กองทัพเวียดนามเหนือ] หลีกเลี่ยงการปะทะกับ “ทหารเกาหลีใต้” ทั้งหมด เว้นแต่จะมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าจะได้รับชัยชนะ” ในขณะที่เรื่องราวที่แต่งขึ้นส่วนใหญ่เกี่ยวกับหน่วยที่เวียดนามเหนือกลัวอย่างแท้จริงนั้นมักจะมีเรื่องเล่าของผู้เล่าเอง แต่เรื่องราวเกือบทุกเรื่องล้วนมีเนื้อหาเกี่ยวกับ “ทหารเกาหลีใต้” 

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’ 

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน  
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#6 เมื่อสมรภูมิ 'เคห์ซาน' ไม่ใช่ 'เดียนเบียนฟู'

หลังจากรัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่าน “มติอ่าวตังเกี๋ย” ในปี 1964 ประธานาธิบดี Johnson มีอำนาจมากขึ้น จึงเริ่มส่งกำลังทหารสหรัฐฯ ในฐานะ “หน่วยรบ” เข้ามาแทนที่ “ที่ปรึกษาทางทหาร” ในเวียตนามใต้ ซึ่งทำให้รูปแบบการรบในเวียตนามใต้ในบริบทของกองทัพสหรัฐฯ และเวียตนามใต้เปลี่ยนไปจาก “การรบนอกแบบ” จากการฝึกกองกำลังอาสาสมัครขนาดเล็กเป็นนักรบแบบกองโจรโดยบรรดา “ที่ปรึกษาทางทหาร” ชาวอเมริกัน กลายเป็น “การรบในแบบ” โดยกำลังทหารของสหรัฐฯ เวียตนามใต้ และชาติพันธมิตรอื่น ๆ ในเวลาต่อมา

กองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ เป็นหน่วยรบหน่วยแรกที่เข้าสู่เวียตนามในปี 1965 โดยแต่เดิม “ที่ปรึกษาทางทหาร” ชาวอเมริกัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกอเมริกัน อาทิ หน่วย Green beret เข้าทำหน้าที่ฝึกอาสาสมัครชาวเวียตนามใต้ให้เป็นนักรบกองโจรในหน่วยรบขนาดเล็ก กำลังทหารสหรัฐฯ ในสถานะเป็น “หน่วยรบ” จึงมีการตั้งฐานทัพกระจายไปทั่วดินแดนเวียตนามใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับเวียตนามเหนือ ลาว และกัมพูชา ด้วยเหตุที่กองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งสามชาติมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก และมักใช้ดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานที่มั่นเพื่อข้ามพรมแดนไปโจมตีที่ตั้งของฝ่ายรัฐบาล

หมู่บ้านเคห์ซานเป็นที่มั่นของรัฐบาลเวียตนามใต้ในทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดกวางตรี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าบรูมองตานญาร์และไร่กาแฟ ห่างจากชายแดนลาวไปประมาณ 7 ไมล์ บนเส้นทาง 9 ซึ่งชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมากทอดยาวจากบริเวณชายฝั่งผ่านที่ราบสูงทางตะวันตกและข้ามพรมแดนเข้าไปในลาว ฐานปฏิบัติการรบเคห์ซานมีต้นกำเนิดมาจากการสร้างสนามบินของกองกำลังพิเศษของกองทัพสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม 1962 ซึ่งมีป้อมปราการเก่าตั้งแต่ยุคฝรั่งเศส  และต่อมากลายเป็นฐานทัพของอาสาสมัครพลเรือนที่ทำหน้าที่เฝ้าจับตาการแทรกซึมของกองทัพเวียตนามเหนือตามแนวชายแดนและคุ้มครองชาวบ้านในพื้นที่

กองกำลังหลักของสหรัฐฯ ที่ประจำอยู่ในฐานปฏิบัติการเคห์ซาน (KSCB) ได้แก่ กำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ สองกองพัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพบกสหรัฐฯ กองทัพอากาศสหรัฐฯ และกองทัพอากาศเวียดนามใต้ รวมถึงกองกำลังของกองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม (ARVN) จำนวนไม่มาก กำลังทหารเหล่านั้นต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังขนาดกองพลสองถึงสามกองพลของกองทัพประชาชนเวียดนามเหนือ (PAVN) ในตอนแรกกองบัญชาการสหรัฐฯ ในกรุงไซง่อนเชื่อว่า ปฏิบัติการรอบ ๆ KSCB เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการรบขนาดเล็กของ PAVN ในพื้นที่ชายแดน แต่เมื่อพบว่า PAVN กำลังเคลื่อนกำลังหลักเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว กองกำลังสหรัฐฯ ที่ประจำใน KSCB จึงได้รับการเสริมกำลัง 

นายทหารระดับสูงของเวียตนามเหนือเชื่อมั่นว่า “สมรภูมิเคห์ซาน” คงจะไม่แตกต่างไปจาก “สมรภูมิเดียนเบียนฟู” ในอดีตที่กองทัพประชาชนเวียดนามเหนือสามารถทำการรบและเอาชนะกองทหารฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคมได้ในที่สุด แต่การรบใน “สมรภูมิเคห์ซาน” ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะ “ฐานปฏิบัติการเคห์ซาน” ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกองทัพอากาศสหรัฐฯ ด้วยการปฏิบัติการ “ไนแองการา” ซึ่งเป็นการทิ้งระเบิดทางอากาศครั้งใหญ่ วันที่ 21 มกราคม 1968 กองกำลัง PAVN ได้ทำการปิดล้อม KSCB ในช่วงห้าเดือนต่อมา กองกำลัง KSCB และฐานทัพบนยอดเขาที่อยู่รอบๆ ฐานทัพถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่ ปืนครก และจรวดของกองกำลัง PAVN ทุกวัน รวมถึงการโจมตีของทหารราบหลายครั้ง โดยในช่วงสามเดือนแรก เครื่องบินรบของสหรัฐฯ และพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดมากกว่า 114,810 ตัน และยิงปืนใหญ่มากกว่า 158,900 นัดในการปฏิบัติการป้องกันฐานฯ ดังกล่าว ในเดือนมีนาคม 1968 กองกำลังพิเศษผสมระหว่างนาวิกโยธิน-กองทัพบก สหรัฐฯ และ ARVN ได้ส่งหน่วยบรรเทาทุกข์ทางบก (ปฏิบัติการ “เพกาซัส”) ซึ่งในที่สุดก็สามารถบุกทะลวงไปยังฐานปฏิบัติการเคห์ซานได้

ผู้บัญชาการของสหรัฐฯ ถือว่า การป้องกัน “ฐานปฏิบัติการเคห์ซาน” ประสบความสำเร็จ อย่างดีเยี่ยม แต่หลังจากที่การปิดล้อมสิ้นสุดลงไม่นาน กองบัญชาการสหรัฐฯ ในกรุงไซง่อนก็ตัดสินใจที่จะรื้อถอน “ฐานทัพปฏิบัติการเคห์ซาน” แทนที่จะเสี่ยงต่อการสู้รบในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต วันที่ 19 มิถุนายน 1968 การอพยพและการทำลาย KSCB ก็เริ่มขึ้น ท่ามกลางการโจมตีอย่างหนัก นาวิกโยธินพยายามทำลายทุกสิ่งที่เหลืออยู่ก่อนที่พวกเขาจะอพยพถอนกำลังออกมา การโจมตีเล็กน้อยยังคงดำเนินต่อไปก่อนที่ KSCB จะปิดตัวลงอย่างถาวรในวันที่ 5 กรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ยังมีกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ อยู่รอบ ๆ เนินเขา 689 และการสู้รบในบริเวณใกล้เคียงยังคงดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 1968  จนกระทั่งการอพยพถอนกำลังจบลงและทำให้การสู้รบสิ้นสุดลงด้วย

ภายหลังจากนั้น กองทัพประชาชนเวียดนามเหนือประกาศชัยชนะใน “สมรภูมิเคห์ซาน” ขณะที่กองกำลังสหรัฐฯ อ้างว่า ถอนกำลังจนหมดแล้ว เพราะไม่ต้องการใช้ประโยชน์จาก “ฐานปฏิบัติการเคห์ซาน” อีกต่อไป นักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า “สมรภูมิเคห์ซาน” อาจทำให้ความสนใจขอสหรัฐฯ และเวียตนามใต้เสียไปจากการเพิ่มกำลังของเวียตกงทางตอนใต้ก่อนการรุก Tet (ตรุษญวณ) ในช่วงต้นปี 1968 อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในเวียตนามใต้ พลเอกวิลเลียม เวสต์มอร์แลนด์ ยืนยันว่าเจตนาที่แท้จริงของการรุก Tet คือการเบี่ยงเบนกำลังออกจาก “ฐานทัพปฏิบัติการเคห์ซาน” โดยกองทัพสหรัฐฯ สูญเสียเครื่องบิน KC-130 ลำหนึ่ง เครื่องบิน C-123 ลำสามลำ และเฮลิคอปเตอร์ 35 ลำ ในขณะที่เครื่องบิน 23 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 123 ลำได้รับความเสียหาย ทหารสหรัฐฯ เสียชีวิต 274 นาย และบาดเจ็บมากกว่า 2,500 นาย ทหาร ARVN เสียชีวิต 229 นาย และบาดเจ็บ 436 นาย ทหาร PAVN เสียชีวิต 5,500 นาย (กองบัญชาการสหรัฐฯ ในกรุงไซง่อน) 2,469 นาย (PAVN) และบาดเจ็บ 1,436 นาย นอกจากนี้ยังมีทหารของกองทัพลาวบาดเจ็บและเสียชีวิตอีกจำนวนหนึ่งด้วย ตลอดปฏิบัติการกองกำลังของสหรัฐฯ ได้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดในการค้นหาและกำหนดเป้าหมายที่เป็นกองกำลัง PAVN และนวัตกรรมด้านการขนส่งเพื่อสนับสนุนฐานปฏิบัติการเคห์ซานอย่างเต็มที่

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top