Saturday, 27 April 2024
นโยบาย

เปิดนโยบาย 4 พรรคการเมืองใหญ่ ชูนโยบายแก้ปัญหาปากท้อง ปชช.

เชื่อว่าช่วงนี้ทุกท่านคงจะเห็นพรรคการเมืองเริ่มรุกกำหนดนโยบายหาเสียงกันแล้ว มีตั้งแต่นโยบายเล็ก ๆ ไปจนถึงนโยบายใหญ่ ๆ ซึ่งวันนี้ทีมข่าว THE STATES TIMES จะพาทุกท่านไปดูว่า พรรคการเมืองพรรคไหนบ้างที่มีนโยบายสนับสนุนปากท้องประชาชน

ขอเริ่มต้นที่ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ได้กำหนดนโยบายออกมาคือ ‘เศรษฐกิจประชารัฐ’ คือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ย้ายแรงงานภาคการเกษตรไปยังภาคอุตสาหกรรม-ภาคของเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมมากขึ้น แล้วก็ส่งเสริมเรื่องเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมในเรื่องของการที่จะให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผ่านกองทุนต่าง ๆ หรือรูปแบบอื่นใดก็ตาม 

ต่อมา ‘พรรคเพื่อไทย’ พรรคนี้ได้ประกาศแคมเปญรณรงค์การเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ ซึ่งทางพรรคก็เคลมว่าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลในปี 2570 ซึ่งมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจปากท้องประชาชน คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส ปี 2570 พรรคเพื่อไทยจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 5% ต่อปี ช่องว่างความเหลื่อมล้ำจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะพรรคเพื่อไทยจะใช้แนวคิด ‘รดน้ำที่ราก’ เพื่อให้ต้นไม้งอกงามได้ทั้งต้น ทั้งที่น้ำมีจำกัด

พรรคถัดมาคือ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ พรรคนี้ได้กำหนดยุทธศาสตร์ของพรรคไว้คือ ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ ซึ่งมีนโยบายเสริมปากท้องประชาชนคือ 

1. การประกันรายได้ ซึ่งก็คือการประกันรายได้จ่ายเงินส่วนต่าง ข้าว มัน ยาง ปาล์ม และข้าวโพด โดยรายละเอียดของการต่อยอดโครงการประกันรายได้นั้นจะเน้นในส่วนของเงินส่วนต่างให้กับพี่น้องเกษตรกร

2. ให้เงินอุดหนุนกลุ่มประมง ซึ่งในไทยมีกลุ่มประมงกระจายอยู่ทั่วประเทศ 2,800 กว่าแห่ง กลุ่มประมงเหล่านี้คือกลุ่มประมงที่เป็นฐานรากของประเทศ ดังนั้นนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการสร้างความเข้มแข็งในฐานราก ก็คือการให้เงินอุดหนุนกลุ่มเกษตรกรประมง กลุ่มละ 100,000 บาทต่อปีทุกกลุ่ม ทั้ง 2,800 กว่ากลุ่ม 

ต่อมา ‘พรรคภูมิใจไทย’ ซึ่งพรรคนี้ได้กำหนดนโยบายออกมา 2 นโยบายที่สนับสนุนปากท้องท้องประชาชน ได้แก่

'ชาติพัฒนากล้า' ชูนโยบาย 'เกษตรสร้างชาติ' ยกระดับสินค้า จัดตั้งกองทุนหนุนธุรกิจ จ้างงานผู้สูงวัย สร้างคุณค่าชีวิต

(3 ก.พ. 66) นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงนโยบายด้านการเกษตรของพรรคชาติพัฒนากล้าว่า โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย ไม่ได้เอื้อให้ผู้ประกอบการรายย่อย และเกษตรกร ให้ลืมตาอ้าปากได้มากนัก พรรคชาติพัฒนากล้า ขอนำเสนอนโยบาย 'เกษตรสร้างชาติ เพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยี – อุตสาหกรรม' โดยยก 4 ข้อหลักเพื่อไปสู่เป้าหมายได้ คือ

1.) พัฒนาสินค้าเกษตรเป็นเกษตรพรีเมี่ยม เพิ่มคุณภาพการผลิต จำหน่ายในราคาสูงได้ ปัญหาของเกษตรกรเวลานี้คือ เน้นปริมาณ ไม่ได้เน้นคุณภาพมากนัก ทำให้สินค้าผลิตออกมาขายไม่ได้มาตรฐาน หรือขายได้ในราคาถูก ไม่คุ้มต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น สินค้าภาคการเกษตรเกี่ยวเนื่องกับหลายกระทรวง ที่มีนโยบายไม่สอดคล้องกัน ทำให้สินค้าภาคการเกษตรไม่สามารถแก้ปัญหาได้มาอย่างยาวนาน

2.) ใช้เทคโนโลยีช่วยเกษตรแปรรูป โดยเสนอระบบ cloud factory ซึ่งเป็นระบบที่รัฐใช้เงินสนับสนุน มีโครงสร้างพื้นฐาน ให้ชาวบ้านมาใช้ มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ที่อุทยานหลวงปู่ทวด ต.บ้านใหม่ จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้นำท้องถิ่นได้รวบรวมสินค้าชุมชน นำมาแปรรูป และตั้ง อย.กลางเพื่อสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผลิตตามออเดอร์ หมดปัญหาผลิตมาไม่รู้จะขายใคร

3.) สอนเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการ ไม่ใช่แค่ผู้ผลิต ด้วยการค้าขายออนไลน์ ซึ่งมีตลาดแบบไร้พรมแดน หากทำได้ก็จะสร้างรายได้ให้กับประชาชนมหาศาล ลืมตาอ้าปากได้

'พปชร.' ปลื้ม ปชช. ขานรับนโยบาย 'ประชารัฐ 700' แถมดัน 'บิ๊กป้อม' ฟีเวอร์!! จ่อเปิดนโยบายที่เหลือต่อ

(3 ก.พ. 66) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกระแสตอบรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หลังเดินสายลงพื้นที่เปิดนโยบายเพิ่งเงิน บัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือน ทำให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่แสดงความชื่นชม บางคนถามว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในเขตว่าต้องทำอย่างไรให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ให้ได้ เพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ที่ผ่านมาพรรคพปชร.ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีผลงานเป็นรูปธรรม เรื่องสวัสดิการประชารัฐ การบริหารจัดการน้ำ จัดที่ดินทำกิน ปราบปรามการค้ามนุษย์ อุตสาหกรรมประมง และมีนโยบายที่รอเปิดตัว จึงมั่นใจว่าทุกนโยบายจะถูกใจประชาชนอย่างแน่นอน

'พปชร.' เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 4 ภาค พร้อมทำงานทันที เตรียมเปิดนโยบายเพิ่ม หลังกระแสตอบรับดีในทุกมิติ

(8 ก.พ. 66) เมื่อเวลา 16.00 น. ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค พร้อมด้วยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และนายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค ร่วมแถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 4 ภาค จำนวน 38 คน ประกอบด้วย พื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 5 คน ได้แก่ น.ส.สุชาดา เวสารัชตระกูล, นาวาอากาศเอก บัญชาพล อรัณยะนาค, นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์, นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ (ฟิล์ม) และนายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล

สำหรับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภาคกลาง จำนวน 4 คน ประกอบด้วย
1.) จังหวัดสระบุรี คือ นายอรรถพล วงษ์ประยูร เขต 2, น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ เขต 3 และนายองอาจ วงษ์ประยูร เขต 4
2.) จังหวัดกาญจนบุรี คือ นางลำยอง ยิ้มใหญ่หลวง เขต 4

ภาคตะวันออก จำนวน 2 คน ประกอบด้วย
1.) จังหวัดระยอง คือ นายกฤษฎา เอกกำลังกุล เขต 1
2.) จังหวัดจันทบุรี คือ นายชรัตน์ เนรัญชร เขต 3

ภาคอีสาน จำนวน 20 คน ประกอบด้วย
1.) จังหวัดบุรีรัมย์ คือ นายนภดล อังคสุภณ, นายสุเทพ ใสงาม, นายปกรณ์ ทรงประโคม, นายวรณัฐ ศรีสุริยชัย, นายบำเหน็จ ทิพย์อักษร, นายสมคิด สินไธสง, นายบรรจง ศรีหาบุญทัน, นายอิทธิศักดิ์ ปาทาน และนายเจษฎากร เขียนนิลศิริ
2.) จังหวัดสุรินทร์ คือ นายเจ้าจอม เตียวเจริญโสภา
3.) จังหวัดยโสธร คือ นายธวัชชัย นิจพาณิชย์ เขต 1
4.) จังหวัดอุบลราชธานี คือ นายจำลอง พรมสวัสดิ์ เขต 1
5.) จังหวัดมุกดาหาร คือ นายวิริยะ ทองผา เขต 1
6.) จังหวัดสกลนคร คือ นายชัยมงคล ไชยรบ เขต 4
7.) จังหวัดเลย คือ นายจรูญ พาณิช เขต 1 และนายสันติภาพ เชื้อบุญมี
8.) จังหวัดร้อยเอ็ด คือ นายเอกรัฐ พลซื่อ เขต 2 และนางรัชนี พลซื่อ เขต 3
9.) จังหวัดอุดรธานี คือ นายโกเมนทร์ ทีฆธนานนท์ เขต 1 และนายชัยฤทธิ์ เขาวงศ์ทอง เขต 2

ภาคเหนือ จำนวน 2 คน ประกอบด้วย
1.) จังหวัดเชียงใหม่ คือ นางรัตนประภา ดิศวัฒน์ เขต 6
2.) จังหวัดลำพูน คือ พล.ต.ต.กริช กิติลือ เขต 2

'พิธา' นำทัพ 'ก้าวไกล' เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ-บุรีรัมย์ จัดเต็ม 19 นโยบาย แก้ปัญหาเกษตรไทย เรียกเสียงเฮลั่น!!

(10 ก.พ. 66) พรรคก้าวไกล นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมแกนนำพรรค อาทิ อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ร่วมเปิดเวทีปราศรัยแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัครในพื้นที่อีสานใต้ ประกอบด้วย ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ พร้อมกับเปิดรายละเอียดนโยบายด้านการเกษตรของพรรคก้าวไกล ตามแนวคิด 'กระดุม 5 เม็ด' ที่พิธา เคยใช้ในการอภิปรายเพื่อแก้ไขปัญหาเรื้อรังของการเกษตรกรทั้งระบบ

โดยในช่วงบ่าย มีการจัดเวทีที่หน้าตลาดสดเทศบาลตำบลปรางค์กู่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ เพื่อเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 9 คน โดยได้รับการตอบรับอย่างเนืองแน่นจากประชาชน ที่เข้าร่วมจับจองที่นั่งจนเต็มเวที

พิธาเริ่มการปราศรัย กล่าวถึงแนวคิดกระดุม 5 เม็ด ที่เคยได้อภิปรายไปอีกครั้ง โดยระบุว่าในบรรดากระดุมทั้ง 5 เม็ด ตนและพรรคก้าวไกลเน้นเสมอว่ากระดุมเม็ดแรกที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในชีวิตของเกษตรกรคือเรื่องของที่ดิน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลประยุทธ์ได้ใช้นโยบายยึดที่ดินจากประชาชน เป็นนโยบาย 'ทวงคืนผืนป่า' ในยุครัฐบาล คสช.

สำหรับพรรคก้าวไกล เรามีวิธีคิดที่แตกต่างออกไปจากทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เราเป็นพรรคที่พูดมาเสมอว่าที่ดินของประเทศไทยอยู่ในมือของรัฐมากเกินไป ถึง 62% จาก 320 ล้านไร่ ภายใต้การดูแลของ 8 กระทรวง และกฎหมาย 16 ฉบับ และนี่คือจุดเริ่มต้นที่เราต้องแก้ปัญหา เป็นกระดุมเม็ดแรกที่พรรคก้าวไกลจะเข้าไปจัดการอย่างเป็นระบบ

ประการแรก คือการตั้งกองทุนพิสูจน์สิทธิที่ดิน ที่ปีหนึ่ง ๆ มีงบประมาณอยู่เพียง 300 กว่าล้านบาท ช่วยเกษตรกรพิสูจน์สิทธิได้แค่ปีละ 1,000 ราย ในอัตราเช่นนี้ เราต้องใช้เวลาถึง 1,000 ปีกว่าที่ประชาชนที่มีความต้องการจะได้รับการพิสูจน์สิทธิจนครบทั้งประเทศ ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงมีนโยบายเพิ่มงบประมาณในการสำรวจที่ดินเพิ่มขึ้น 30 เท่าเป็น 10,000 ล้านบาท

พร้อมกันนั้น เราจะจัดตั้ง 'ธนาคารที่ดิน' ซึ่งขบวนการภาคประชาชน อาทิ พีมูฟ ได้นำเสนอมาเป็นเวลานานแล้ว เพื่อให้เป็นกลไกในการเอาที่ดินจากมือรัฐ มาเข้าในธนาคารที่ดิน ก่อนกระจายให้ประชาชนผ่อนจ่ายเป็นเจ้าของที่ดินได้ในดอกเบี้ยราคาถูก

และที่สำคัญ คือนโยบายเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ซึ่งพิธาระบุว่าจากที่ดินที่ประเทศไทยเรามีอยู่ทั้งหมด 320 ล้านไร่ เป็นที่ดิน ส.ป.ก. อยู่ถึง 40 ล้านไร่ เป็นที่ดินที่ประชาชนสามารถใช้ได้แต่เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่สามารถนำไปสู่การต่อยอดได้ และเวลาผ่านไปกลับเกิดการเปลี่ยนมือเป็นของนายทุนถึง 4 ล้านไร่ นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตราบที่ประเทศไทยยังปล่อยให้ ส.ป.ก. เป็นเรื่องคาราคาซังอยู่แบบนี้ ส.ป.ก. จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการคายที่ดินออกมาจากมือของรัฐ

ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงเสนอนโยบาย ให้เกิดการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ภายใต้เงื่อนไขรับการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดได้ไม่เกิน 50 ไร่ โดยที่ (1) หากผู้รับสิทธิ ส.ป.ก. กับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นชื่อเดียวกัน สามารถออกเป็นโฉนดที่ดินได้ทันที ภายใน 5 ปีแรก สามารถโอนมรดกได้ แต่หากจะขายหรือจำนอง ต้องดำเนินการผ่านธนาคารที่ดิน

(2) หากผู้รับสิทธิ ส.ป.ก. กับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นชื่อไม่ตรงกัน จะออกโฉนดที่ดินได้ก็ต่อเมื่อเป็นผู้ที่มีหลักฐานใช้ประโยชน์ที่ดินแปลงมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี เป็นผู้ที่มีหลักฐานข้อตกลงระหว่างผู้ได้รับสิทธิเดิมกับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินจริง และเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินทั้งหมดไม่เกิน 10 ล้านบาท

(3) สำหรับกรณีที่ใช้ที่ดินที่ผ่านมาเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ นอกจากการเกษตร ได้รับการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดเฉพาะผู้ที่ครอบครองที่ดินรวมกันทั้งหมด ไม่เกิน 50 ไร่ โดยภายใน 10 ปีแรกโอนมรดกได้ แต่หากจะขายหรือจำนอง ต้องดำเนินการผ่านธนาคารที่ดิน ส่วนที่ดินส่วนที่เกิน 50 ไร่ หรือได้มาแบบผิดกฎหมาย จะถูกนำเข้าสู่ธนาคารที่ดินเพื่อนำมากระจายให้กับประชาชน

พิธายังกล่าวต่อไป ถึงการแก้ไขปัญหากระดุมเม็ดที่ 2 หรือหนี้สิน โดยระบุว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายที่จะปลดหนี้สินเกษตรกร เช่น นโยบายปลูกป่าปลดหนี้ ที่รัฐจะเข้าไปเช่าที่ดินจากเกษตรกรที่ไม่ประสงค์จะปลูกพืชเศรษฐกิจอีก แล้วมาปลูกไม้ยืนต้น ให้เกษตรกรได้ค่าเช่ามาปลดหนี้ รวมถึงนโยบายเสรีโซลาร์เซลล์ ให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้ง่ายขึ้น และสามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนให้กับรัฐได้ และที่สำคัญ ในกรณีที่เป็นเกษตรกรสูงอายุที่เป็นหนี้ ธ.ก.ส. หากคืนหนี้เกิน 50% แล้วรัฐบาลยกหนี้ให้ทันที

สำหรับกระดุมเม็ดที่ 3 หรือต้นทุน พรรคก้าวไกลมีนโยบายลดต้นทุนให้เกษตรกรอย่างครบวงจร ทั้งน้ำ ปุ๋ย และเครื่องจักร และเมื่อเก็บเงิน ตั้งตัว ลดต้นทุนได้แล้ว กระดุมเม็ดที่ 4 ของเรา คือการเพิ่มมูลค่าด้วยสุราก้าวหน้า อย่างที่ศรีสะเกษมีวิสกี้ขาวที่กำลังจะหายไปจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นของพรรคก้าวไกล แก้ระเบียบแค่ประโยคเดียวเพื่อปลดข้อจำกัดด้านกำลังแรงม้าและทุนจดทะเบียน เกษตรกรสามารถเริ่มต้นเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรได้ทันที

สำหรับกระดุมเม็ดที่ 5 บริการการเกษตร พรรคก้าวไกลมีนโยบายเพิ่มรายได้ใหม่ให้เกษตรกร เพื่อนำไปสู่การต่อยอดจากสินค้าสู่บริการ เช่น นโยบายให้เกษตรกรขอการรับรองมาตรฐาน GAP-GMP และเกษตรอินทรีย์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรคุณภาพดีไปทั่วโลก

พิธายังกล่าวต่อไป ว่าหลายคนอาจจะพูดว่าพรรคการเมืองทุกพรรคมีนโยบายการเกษตรเหมือนกันหมด แต่สำหรับพรรคก้าวไกล วันนี้เรามีนโยบายที่ต่างออกไปจากทุกพรรคอย่างชัดเจน มีข้อมูลที่ครบถ้วนอยู่ในมือที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของเกษตรกรได้อย่างแน่นอน

'อนุทิน' ลั่น 'ภท.' ไม่กังวลสูตรคำนวณแบ่งเขต ชี้ แข่งขันกันด้วยนโยบาย มั่นใจไร้ปัญหา

(14 ก.พ. 66) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีกรณีพรรคเพื่อไทยออกมาท้วงติงว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกัน ว่า พรรคภูมิใจไทย ยอมรับทุกกติกา เพราะเรื่องนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของพรรค จะชอบไม่ชอบเมื่อประกาศออกมาก็ตามกฎหมาย และเราต้องจัดสรรคนที่มีความสามารถและชำนาญในพื้นที่ลงไปแข่งขัน โดยเอานโยบายเข้าแข่งขัน ตนเชื่อว่าไม่ว่าจะพื้นที่แบ่งยังไง ถ้านโยบายดี ผู้สมัครใครดี ก็จะได้รับการพิจารณาจากประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ว่าการแบ่งเขตในลักษณะนี้จะทำให้เกิดบัตรเสียมากขึ้น นายอนุทิน กล่าวว่า "เราไม่กังวลเรื่องพวกนี้ ทำนโยบายให้ดีที่สุดและทำทุกอย่างที่คิดว่าดีที่สุดให้ประชาชนแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็อยู่ที่การพิจารณาจากประชาชน"

'มิ่งขวัญ' ผุดไอเดีย 'น้ำมันปชช.' หวังปรับลดราคาน้ำมัน แบ่งเบาภาระคนไทย ลั่น!! ทําทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล

(22 ก.พ. 66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สมาชิกพรรค ในฐานะคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค พปชร. แถลงผลประชุมคณะกรรมการฯ ถึงแนวคิดเรื่อง ลดราคาพลังงาน ว่า ที่ประชุมเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ได้มอบให้ตนมาพูดเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนในเบื้องต้นก่อน เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว พล.อ.ประวิตร จะแถลงให้ทราบต่อไป

ก่อนหน้านี้ ตนได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประวิตร ให้ไปศึกษาในเรื่องราคาพลังงาน ว่าจะสามารถปรับลดลงเพื่อช่วยประชาชนได้ในทางใดบ้าง เพราะราคาน้ำมันเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลัก ที่จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องปากท้องให้กับคนไทยได้ โดยจะใช้ชื่อนโยบาย ว่า 'น้ำมันประชาชน'

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า เรามีแนวคิดที่จะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยการรื้อโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยจะปรับลด 1 ปี นับตั้งแต่เราเป็นรัฐบาล และเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วช่วง 3-4 เดือนแรก จะมีคณะกรรมการขึ้นมาปรับโครงสร้างใหญ่ คือ ภาค 2 ที่จะดำเนินการ ซึ่งการปรับลดสามารถทำได้ เมื่อเราเป็นรัฐบาล เพื่อลดรายจ่าย ค่าเดินทาง การขนส่งสินค้า ที่สำคัญที่สุดคือ ลดต้นทุนการผลิตสินค้าทุกขั้นตอน ลดอัตราเงินเฟ้อ และจะทำให้ราคาสินค้า อุปโภคบริโภคของประชาชนถูกลง หากโครงสร้างถูกปรับเปลี่ยน จะสามารถลดราคาน้ำมันเบนซิน ลงได้ประมาณลิตรละ 18 บาท และลดราคาน้ำมันดีเซล ลงประมาณลิตรละ 6 บาท

'บิ๊กตู่' ชูนโยบาย ‘บัตรลุงตู่’ ดูแล ปชช.เท่าเทียม-ทั่วถึง ยัน ทุกนโยบายมีที่มางบฯ ชัดเจน มั่นใจ ‘รทสช.’ ชนะเลือกตั้ง

(27 ก.พ. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ขอคะแนนชาวจังหวัดนครราชสีมาให้ลงคะแนนเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติทั้ง 16 เขต โดยย้ำถึงนโยบายการสร้างความเท่าเทียม และความเป็นธรรม ดูแลผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบาง ว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้เน้นย้ำถึงการเข้ามาดูแลประชาชนในทุกด้านโดยเฉพาะด้านปากท้อง

ซึ่งเรื่องดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติตามแคมเปญ ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ โดยเฉพาะนโยบาย ‘บัตรสวัสดิการพลัส’ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘บัตรลุงตู่’ เป็นการเพิ่มสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย เป็นเงินจำนวน 1,000 บาทต่อเดือน และการปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เท่ากันทุกคน เป็น 1,000 บาทต่อเดือน จากเดิมที่ให้แบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ นอกจากนี้ ยังขยายการดูแลให้ครอบคลุมถึงกลุ่มอาชีพอิสระ ให้ได้รับสวัสดิการสามารถเข้าระบบประกันสังคมถ้วนหน้า

‘สันติ’ ปัดตอบ บัตรคนจนพลัสทำได้จริงหรือไม่ แต่มั่นทุกนโยบาย พปชร.ทำได้จริง 100%

(28 ก.พ. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงนโยบายบัตรสวัสดิการพลัส ของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะสามารถทำได้หรือไม่ ว่า ยังไม่ได้คำนวน แต่สามารถไปคำนวนดูเอาได้ว่า 14.5 ล้านคน และรวมกับ 5 ล้านกว่าคน ที่อุทธรณ์แล้วน่าจะผ่านเกณฑ์สักครึ่ง รวมแล้วน่าจะอยู่ที่ 16-17 ล้านคน ลองคูณดูปีหนึ่งเป็นเงินแสน ๆ ล้านบาท จะทำอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรค พปชร.เพิ่มเงินสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 700 บาท สามารถทำได้หรือไม่ นายสันติ กล่าวว่า เราคำนวณไว้แล้วว่าเป็นไปได้ แต่ต้องในกรณีที่พรรค พปชร.ได้จัดตั้งรัฐบาล และพล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ เราจะทำทันที

เมื่อถามว่าขณะนี้ มีนโยบายหลายพรรค ที่ออกมาเกทับกัน นายสันติ กล่าวว่า ไม่เป็นไร อยู่ที่ประชาชนจะให้ความเชื่อถือกับนโยบายของพรรคไหน ใครคิดอะไรก็คิด คิดแล้วต้องมีความสามารถหาเงินมาด้วย อยู่ที่ความสามารถและเทคนิกของแต่ละพรรคการเมือง

อย่ามาเคลม!! ‘ศุภชัย’ เดือด!! โวย ‘พรรคใหญ่’ ก๊อปนโยบายพักหนี้ ภท. แฉ ขโมยไอเดียไปหาเสียงบนเวที แต่ไม่ยอมเอาขึ้นป้าย

(6 มี.ค. 66) นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กภาพนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค พร้อมข้อความ ระบุว่า…

อย่าลักไก่ก๊อปปี้นโยบาย

ตอนนี้ทุกพรรคการเมือง ต่างก็นำเสนอนโยบายหาเสียงแล้ว พรรคภูมิใจไทยเองก็เช่นกัน นโยบายของเรามีความชัดเจน และนำเสนอมานานหลายเดือน มีอะไรบ้าง ให้ไปดูตามป้ายหาเสียง ทั้งพักหนี้ 3 ปี พักต้น ปลอดดอก, ศูนย์ไตเทียมทุกอำเภอ, เครื่องฉายรังสีรักษามะเร็ง ต้องมีทุกจังหวัด, นโยบาย กินดี อยู่ดี, ให้สิทธิ์ติดตั้งโซลาร์ รูฟ ลดค่าไฟ – ได้สิทธิ์ผ่อนซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าราคาประหยัด, กรมธรรม์ประกันชีวิตผู้สูงอายุ, นโยบายเกษตรร่ำรวย – เกษตรพันธะสัญญา ฯลฯ ซึ่งเราจริงใจกับประชาชน เราติดป้ายชัดเจน เห็นในทุกพื้นที่ ทุกนโยบายของเรา ผ่านการคิดวิเคราะห์จากทีมวิชาการที่มาจากทั่วทุกพื้นที่ กว่าจะมีหนึ่งนโยบาย ใช้ทั้งความทุ่มเท และความพยายาม เพราะนโยบายของเราต้องทำได้จริง ทำได้เร็ว และต้องไม่เป็นภาระงบประมาณแผ่นดิน ที่สำคัญ ยังต้องสามารถช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยได้
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top