Wednesday, 8 May 2024
นโยบาย

‘เพื่อไทย’ ระดมสมอง ประชุมทีม ศก.นัดแรก หารือนโยบาย กำหนดทิศทางประเทศ ลุยงานเชิงรุก

(7 มี.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค พท. ฐานะกรรมการเลขานุการและโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรค พท. กล่าวว่า วันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรค พท. นำโดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานกรรมการ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานกรรมการ พร้อมด้วยนายเศรษฐา ทวีสิน, นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์, นายศุภวุฒิ สายเชื้อ และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษา

โดยที่ประชุมได้หารือถึงนโยบายเศรษฐกิจของพรรค พท.ที่ใช้สำหรับการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท, นโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, นโยบายด้านการบริหารจัดการหนี้ของประชาชน, นโยบายด้านเศรษฐกิจดิจิทัล, นโยบายเขตธุรกิจใหม่, นโยบาย 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ ซอฟท์ พาวเวอร์ และนโยบายด้านการเกษตรแบบครบวงจร เป็นต้น

นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้หารือกรอบสำคัญในการกำหนดทิศทางประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ทิศทางการสร้างงาน การค้าระหว่างประเทศ รวมถึงจุดยืนด้านข้อตกลงทางการค้า ภาคการเกษตรเพื่อความมั่งคั่งของเกษตรกร ภาคบริการด้านสุขภาพเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ ความมั่นคงทางการคลัง การดึงดูดแรงงานทักษะสูง และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ เป็นต้น

แก้ปัญหาให้เก่งเหมือนใช้เงิน!! ‘ทักษิณ’ ซัดหนัก!! พรรคการเมืองคู่แข่งลอกนโยบาย เย้ย!! “จ่ายอย่างเดียว แต่ยังไม่เห็นนโยบายหาเงิน”

‘โทนี่’ แกว่งปากถล่มนโยบายพรรคคู่แข่ง แข่งประชานิยม จ่ายอย่างเดียว-หาเงินไม่เป็น

(8 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ ‘CARE คิด เคลื่อน ไทย’ เปิดเผยคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ ซึ่งกล่าวถึงนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ ว่า “...นโยบายหลายพรรคตอนนี้แข่งกันเป็นประชานิยม จ่ายอย่างเดียว แต่หาเงินไม่เป็น...”

“เวลาออกนโยบาย ต้องคิดด้วยว่า ต้องมีนโยบายหาเงินประกอบด้วย ถ้าไม่มีแล้วจะใช้เงินอย่าง สุดท้ายจะเหมือนเวเนซุเอลา ดังนั้น ผู้นำต้องคิดว่าจะหาเงินยังไง ใช้เงินเก่งแต่หาเงินไม่เป็น เละ”

แก้กฎหมายไม่เป็นธรรม ‘พีระพันธุ์’ ปูพรมหาเสียง ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ ชู 5 นโยบายโดนใจ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน

รทสช. คิกออฟแคมเปญหาเสียง ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ ชู 5 นโยบายโดนใจ เพิ่มสิทธิบัตรสวัสดิการพลัส  ตั้งกองทุนฉุกเฉินประชาชน คืนเงินสะสมชราภาพ ปลดหนี้ด้วยงาน  รื้อกฎหมายไม่เป็นธรรม เตรียมเปิดนโยบายชุดใหญ่ ต้นเมษายนนี้  
.
(11 มี.ค.66) ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยนโยบายหาเสียงภายใต้แคมเปญ ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ ตามยุทธศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคว่า นโยบายภายใตแคมเปญนี้ถือเป็นความตั้งใจของพรรคที่จะสานต่อโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งปรากฏผลชัดเจนว่าทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถช่วยให้ประชาชนคลายความเดือดร้อนในช่วงวิกฤตไปได้ 
.
 
นายพีระพันธุ์ระบุว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะสานงาน “ทำต่อ” ตามยุทธศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนอีกหลายโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องและความเป็นอยู่ของประชาชนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย เพราะความเดือดร้อนของประชาชนไม่สามารถรอได้  ทางพรรคจึงได้นำร่องหาเสียงด้วย 5 นโยบายโดนใจ ที่พร้อมช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ลดภาระหนี้ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ชีวิต และขจัดปัญหาอุปสรรคด้านกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ดังนี้ 
.
1. เพิ่มสิทธิ ‘บัตรสวัสดิการพลัส’ เป็น 1000 บาท/เดือน และ สิทธิเบิกฉุกเฉิน 10,000 บาท/คน   
2. ตั้ง ‘กองทุนฉุกเฉินประชาชน’ วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท     
3. คืน 30% เงินสะสมชราภาพ ให้ผู้ประกันตน ตามมาตรา 33  
4. โครงการ ‘ปลดหนี้ด้วยงาน’   
5. รื้อกฎหมายที่รังแกประชาชน และเป็นอุปสรรคการทำกิน  
.
นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงนโยบายการเพิ่มสิทธิ ‘บัตรสวัสดิการพลัส’ ว่า นโยบายนี้เป็นโครงการ “ทำต่อ” จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอยู่แล้ว  โดยให้สิทธิเพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจัดสรรจากเงินงบประมาณที่รองรับโครงการนี้อยู่แล้ว  ขณะเดียวกัน ผู้ถือบัตรยังมีสิทธิกู้ฉุกเฉินในวงเงิน 10,000 บาทต่อคน โดยสามารถนำบัตรนี้ไปเป็นหลักประกันเงินกู้กับธนาคารออมสินซึ่งมีโครงการให้สินเชื่อรายย่อยในวงเงิน 10,000 บาทอยู่แล้ว
 .
“บัตรนี้มีความน่าเชื่อถือ เพราะรัฐบาลเป็นคนจ่ายเงิน สามารถใช้เป็นหลักประกันอะไรก็ได้  ขณะที่ทางธนาคารออมสินก็มีโครงการให้เงินกู้แก่ชาวบ้านรายย่อยในวงเงิน 10,000 บาทอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาแทบจะไม่ค่อยได้ปล่อยกู้ เพราะคนที่มาขอกู้ซึ่งเป็นชาวบ้านระดับฐานรากไม่ค่อยมีหลักประกัน  กลายเป็นว่ามีโครงการให้ มีวงเงินให้ แต่ปล่อยกู้ไม่ได้  ก็สามารถใช้บัตรนี้ซึ่งเป็นบัตรที่รัฐจ่ายเงินแน่นอนทุกเดือนอยู่แล้ว ไปเป็นหลักประกันเงินกู้ให้กับธนาคารออมสิน โดยสามารถหักคืนเงินกู้จากบัญชีของผู้กู้ได้เลย ทำให้บัตรใบเดียวสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง” นายพีระพันธุ์กล่าว 

นโยบายครอบคลุม ‘ปชป.’ เดินหน้าปล่อยนโยบายก๊อก 2 เพิ่ม 8 เรื่อง เอื้อประโยชน์ให้ด้านการเกษตร เพื่อดันเศรษฐกิจไทย

‘ปชป.’ เปิดนโยบายก๊อก 2 เพิ่ม 8 เรื่อง อินเตอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด เรียนฟรีถึงปริญญาตรี 12 สาขา เอื้อความต้องการตลาดแรงงาน เดินหน้ารักษาฟรี ตรวจสุขภาพฟรี บัตรประชาชนใบเดียวไม่ต้องเสีย 30 บาท พร้อมจัดเต็มต่อ SME ลืมตาอ้าปาก พร้อมปลดล็อกกองทุน กบข.ซื้อบ้านได้ เพิ่มเงิน อกม. 1 พันบาทต่อเดือน  

(11 มี.ค.66) เมื่อเวลา 10.10 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค และนายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานนโยบายพรรค ร่วมกันแถลงนโยบายพรรคที่จะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง

โดย นายจุรินทร์ ได้นำแถลงเปิดตัวชุดนโยบายของพรรคว่า หลังจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดตัว 1 ชุด 8 นโยบาย เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ วันนี้จึงถือเป็นชุดที่ 2 ที่จะเปิดอีก 8 นโยบาย ได้แก่ 

1.อินเตอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน ทุกห้องเรียน ซึ่งหมายถึงชุมชนในเขตเมือง เทศบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนในกทม. ด้วย

2. นโยบายเรียนฟรีถึงปริญญาตรีในสาขาที่ตลาดต้องการ จากการสำรวจเบื้องต้นโดยกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พบว่า ตลาดมีความต้องการประมาณ 1.8 แสนคน โดยประมาณ ใน 12 สาขาสำคัญ ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนตั้งรัฐบาล จะสนับสนุนให้มีการเรียนฟรีในสาขาเหล่านี้ เพื่อที่เรียนจบจะได้มีงานทำได้ทันที 

3. นโยบายตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี โดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว ซึ่งมี 2 เรื่องในนโยบายเดียวกัน คือ รักษาฟรี และตรวจสุขภาพฟรี เป็นการต่อยอดนโยบายเดิมของพรรคที่ทำมาตั้งแต่สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นรมว.สาธารณสุข (สธ.) ในปี 2531 และตนเป็นเลขานุการรมว.สธ. ต่อมาเมื่อตนเป็นรมว.สธ ในปี 2553 ตนได้ริเริ่มนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรี 48 ล้านคน โดยไม่ต้องเสีย 30 บาท ซึ่งดำเนินการได้อย่างราบรื่น วันนี้จึงเป็นการต่อยอดจากสิ่งที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว 

ทีมเศรษฐกิจ รทสช.เตรียมดันนโยบายมุ่งเป้า ไม่ขอเล่นเกมหว่านแห ลั่น!! ‘คนละครึ่ง’ ทำต่อแน่

(23 มี.ค. 66) ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมเปิดตัวทีมเศรษฐกิจ รทสช. ถึงกรณีสมัครเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค รทสช.ว่า ถ้าเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อก็เป็นไปได้ ตามกติกาของพรรค เพราะตนลงมาตรงนี้แล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ที่สุด ซึ่งนโยบายด้านเศรษฐกิจของตนนั้น จะไม่เน้นที่การให้แบบเหวี่ยงแห แต่เป็นการมุ่งเป้า และการส่งเสริมการดำเนินการอะไรต่าง ๆ จะได้มีอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นความร่วมมือกับประชาชน และทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียว เราใช้หลักที่เราฟันฝ่าอุปสรรคโควิด-19 มาได้อย่างไร เราจะใช้หลักนั้น เพราะเราเชื่อว่าหลักนั้นเป็นความสำเร็จที่ดี ทุกอย่างต้องร่วมมือด้วยกัน

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ หลายพรรคการเมืองออกนโยบายเรื่องตัวเลขมาเกทับกัน นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เดี๋ยวรอดูของพรรค รทสช.เราจะมุ่งเป้าสำหรับคนที่จำเป็น มีที่ไหนบ้างในอดีตที่ช่วยเหลือแต่ละกลุ่มอย่างเป็นระบบ เมื่อก่อนเหวี่ยงแหแจกทุกคน แต่ในยามวิกฤต ยามเดือดร้อน เราใช้เงินเหมาะสม คนล่างสุดรับเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เหมือนเบาะรองรับเมื่อตกตึกสองชั้น ซึ่งเขาพออยู่ได้ มีโอกาสดำรงชีวิตได้ในระดับหนึ่ง คนที่ระดับสูงกว่านั้นก็เป็นโครงการคนละครึ่ง ที่ต้องไปช่วยคนตัวเล็กอีกทีหนึ่ง ส่วนช็อปดีมีคืน ก็เป็นคนมีฐานะก็ไปช่วยกันใช้เงิน การแบ่งเป็น 3 ชั้นอย่างนี้ไม่เคยมี

ถามต่อว่า แสดงว่าโครงการคนละครึ่งเหล่านี้ จะมีการทำต่อ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ทำต่ออยู๋แล้ว ถือว่าเป็นนโยบายของพรรคเลย ก็มันเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งครั้งนี้จะต่างจากช่วงวิกฤติ แต่เราจะเน้นผู้ที่ประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้ที่ถือแอพพิเคชั่นเป๋าตังค์ รอบหน้าเราเพิ่มเรื่องถุงเงินที่เน้นเอสเอ็มอี เน้นคนตัวเล็ก ซึ่งในถุงเงินภายใต้โครงการคนละครึ่งมีผู้มีสิทธิ์ 1 ล้านราย เราอยากให้มีมากขึ้นถึง 5 ล้านราย


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/719396

‘ดร.พิสิฐ’ ติวเข้ม ผู้สมัคร ภาคอีสาน ชู นโยบาย 8+8 มั่นใจ!! นโยบาย ปชป.อยู่บนพื้นฐานความรับผิดชอบ

(24 มี.ค. 66) ที่โรงแรมปัญจะดารา จังหวัดนครราชสีมา ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) บรรยายติวเข้มด้านนโยบายของพรรคฯ ในการเลือกตั้งปี 2566 ให้กับว่าที่ผู้ลงสมัคร ส.ส. ภาคอีสานกว่า 70 เขต โดยเน้นนโยบาย 8+8 ที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ปชป. ได้ประกาศไว้แล้ว

นายพิสิฐ กล่าวว่า วิกฤตการณ์ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ทั้งเศรษฐกิจที่ขยายตัวช้า การลงทุนต่ำ เงินเฟ้อ การขาดดุลทางการคลัง โดยมีสาเหตุที่เป็นเรื่องเรื้อรัง การขาดวินัยทางการเงินการคลัง และผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงการมีหนี้ของบรรดาข้าราชการและประชาชนที่ประสบปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ส่งผลให้รายรับไม่พอรายจ่าย

‘จุรินทร์’ ดีเบตเศรษฐกิจ ชู ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ ขอโอกาส ให้ ‘ปชป.’ ได้เป็นรัฐบาล ช่วยขับเคลื่อนประเทศ

(30 มี.ค. 66) ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ร่วมเสนอนโยบายของพรรคในเวทีตอบข้อซักถาม ‘มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ’ จัดโดย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนทำงานร่วมกับสภาหอการค้า 4 ปีเต็ม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งพรรคการเมืองที่จะพาประเทศไปข้างหน้าหลังเลือกตั้งได้ อย่างน้อยต้องมี 2 ข้อ คือ 1.) หลักคิดในการพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน และ 2.) ต้องมีกลไกขับเคลื่อนประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม

ขณะที่มีหลายพรรคพูดถึงนักการเมือง ระบบราชการ แต่เท่านี้ไม่พอ เพราะภาคประชาชนและเอกชน ก็เป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้า ปชป.ตั้งรัฐบาล กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาประเทศรวมทั้งเศรษฐกิจ คือ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) จะต้องมีบทบาทมากขึ้น และเป็น ‘New กรอ.’ ที่ไม่ใช่ประชุมในห้องแอร์ สั่งการแล้วจบ แต่ กรอ. ต้องขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์จริงในการแก้ปัญหาประเทศ

“ถ้า ปชป.เป็นรัฐบาล นายจุรินทร์เป็นนายกฯ ผมจะเชิญท่านสนั่น (ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย) แล้วเข้าไปร่วมกันแก้ปัญหาเหมือนที่เราทำกันใน กรอ.พาณิชย์ ทำจริง เห็นผลจริง” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า หลักคิดของ ปชป.ในการพาประเทศไทยไปข้างหน้า จะต้องอยู่ในกรอบยุทธศาสตร์ ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ โดย ‘สร้างเงิน’ นั้น เป็นการสร้างเงินให้ทั้งคนไทยและประเทศ ด้วยการประกันรายได้คนไทยและประกันรายได้ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการประกันรายได้จากการส่งออกหรือการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ ปชป.ให้ความสำคัญทั้งเศรษฐกิจฐานราก เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจมหภาค รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำและโครงสร้างพื้นฐาน

'อลงกรณ์' เชื่อมั่นนโยบาย 'ธนาคารหมู่บ้าน ธนาคารชุมชน' ของ 'พรรคประชาธิปัตย์' ดีกว่ายั่งยืนกว่านโยบาย 'เงินดิจิตอล1หมื่น' ของ 'พรรคเพื่อไทย'

กรณีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายแจกเงินดิจิตอล1 หมื่นของพรรคเพื่อไทยทั้งแง่บวกแง่ลบอย่างกว้างขวาง วันนี้นายอลงกรณ์ พลบุตรรองหัวหน้าพรรคและทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์เป็นอีกคนหนึ่งที่ออกมาให้ความเห็นในอีกแง่มุมที่น่าสนใจโดยเขียนบทความสั้นในเฟสบุ้ค 'อลงกรณ์ พลบุตร' และไลน์ส่วนตัวเรื่อง 'เงินดิจิตอล & ธนาคารหมู่บ้าน-ชุมชน: ความต่างของนโยบายพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์' เป็นการนำเสนอวิสัยทัศน์และนโยบายธนาคารหมู่บ้าน-ธนาคารชุมชนของพรรคประชาธิปัตย์ในเชิงเปรียบเทียบกับนโยบายเงินดิจิตอลของพรรคเพื่อไทยไว้อย่างชัดเจนพร้อมเปิดโอกาสนายเศรษฐา ทวีสินโต้แย้งชี้แจงแลกเปลี่ยนมุมมอง โดยนายอลงกรณ์เขียนไว้ดังนี้

“เงินดิจิตอล VS 
ธนาคารหมู่บ้าน-ชุมชน
ความต่างของนโยบายพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์”

กรณีมีการวิจารณ์กันมากเรื่องนโยบายแจกเงินดิจิตอล1 หมื่นของพรรคเพื่อไทยนั้น ผมสงวนความเห็นไม่กล่าวถึงประเด็นทำได้หรือไม่ ขัดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ แต่จะเสนอนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ให้เห็นเป็นการเปรียบเทียบ นั่นคือ นโยบายธนาคารหมู่บ้านธนาคารชุมชนทุกหมู่บ้านทุกชุมชนใน77 จังหวัด เป็นการจัดตั้งระบบธนาคารท้องถิ่นเพื่อให้บริการเงินฝากและสินเชื่อรวมทั้งบริการอื่นๆใช้เทคโนโลยีธนาคารดิจิตอล(Fintech) ปัญญาประดิษฐ์(AI)และบล็อคเชน (Blockchain)แบคอัพการบริหาร โดยใช้เงิน 2 แสนล้าน เป็นทุนประเดิมเริ่มต้นเป็นเงินหมุนเวียน ไม่ใช่จ่ายครั้งเดียวจบแบบเงินดิจิตอล1หมื่นของพรรคเพื่อไทย

สรุปคือ ธนาคารหมู่บ้านและธนาคารชุมชน

1.เป็นการปฏิรูประบบธนาคารใหญ่ที่สุดโดยให้มีระบบธนาคารหมู่บ้านธนาคารชุมชนเป็นครั้งแรกในรอบกว่า100ปีที่มีแต่ระบบธนาคารพาณิชย์ระดับชาติ
2.เป็นสถาบันการเงินเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนและครัวเรือนเพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงสินเขื่อและทุนของชาวบ้านทั้งในชนบทและในเมือง

‘เฉลิม’ ลั่น หากงบแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทไม่พอ  จะไล่รื้อ ‘งบทหาร-เรือดำน้ำ-งบลับนายกฯ’ มาโปะ

‘เฉลิม อยู่บำรุง’ กร้าวถาม ‘เรือดำน้ำซื้อไปทำไม’ ถ้างบนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทไม่พอ ก็ไปรื้องบทหาร-งบลับนายกฯ มาใช้เป็นประโยชน์กับประชาชนดีกว่า  

(12 เม.ย. 66) ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ, ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ผู้บริหารพรรคเพื่อไทย, นายประภัสร์ จงสงวน ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ, นายวราวุธ ยันต์เจริญ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และ นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้สมัครส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 29 เบอร์ 9 เขตบางแค (เฉพาะแขวงบางแคเหนือ) และ แขวงบางไผ่, เขตหนองแขม (ยกเว้นแขวงหนองแขม) ร่วมพิธีเปิดศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย ที่ซอยบางแวก 97 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีพี่น้องประชาชนผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.อย่างอบอุ่น 

ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ตนเองเป็น ส.ส.สมัยแรก เริ่มต้นที่เขตบางแค และวันนี้ ได้กลับมาช่วย ดร.กฤชนนท์ อัยยปัญญา หาเสียงที่เขตบางแคอีกครั้ง จึงรู้สึกอบอุ่นใจและมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งในเขตบางแคนี้แน่นอน ส่วนกรณีที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน กล่าวว่านโยบายเงินดิจิทัล ไม่มีกฎหมายรองรับและถ้าเข้าสภาฯ ส.ว.จะคว่ำนโยบายนี้ว่า นายไพบูลย์พูดไร้สาระ เหมือนมีคนเขียนบทละครมาให้พูด 

ตนขอเรียนว่า คนที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายพรรคเพื่อไทย เขาตกใจกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย เพราะทีมงานพรรคเพื่อไทยได้คิดผลิตนโยบายออกมาอย่างละเอียด รอบด้าน ตอบโจทย์ทั้งในมิติเศรษฐศาสตร์ มิติด้านกฎหมาย มิติด้านสังคม นโยบายเดียวสามารถแก้ปัญหาให้พี่น้องได้หลายมิติในเวลาเดียวกันและทรงพลัง จนพวกเขาเหล่านั้นนั่งอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ดังนั้น ถ้าใครถามอะไรพรรคเพื่อไทยตอบได้ทั้งหมด

ส่วนกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม ออกมาบอกว่า งบประมาณปี 2567 เหลืองบประมาณให้ใช้แค่ไม่ถึง 200,000 ล้านบาทเท่านั้น ตนขอบอกว่า ที่เงินไม่พอก็เพราะพวกคุณใช้กันไปแบบไร้ประโยชน์ และถ้าเงินไม่พอจริง ผมก็จะไปรื้องบทหาร งบซื้อเรือดำน้ำ และงบลับของนายกรัฐมนตรีที่เขาปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึง ถ้าไม่พอเราจะไปค้นมาใช้เอง

“บอกเงินเหลือแค่ 200,000 ล้านบาทไม่พอใช้ ไม่เป็นไร ถ้าเงินไม่พอ งบเรือดำน้ำเราจะซื้อไปทำไม กฎหมายเรารู้ ระบบราชการเรารู้ เราจะไปรื้องบทหาร งบลับที่นายกฯ นั้นแหละ ถืออยู่เงียบ ๆ เราจะไปเอางบที่ใช้กันอีลุ่ยฉุยแฉก เอามาเป็นงบประมาณมาใช้เพื่อปากท้องและความกินอยู่ที่ดีของประชาชน” ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง กล่าว

ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวว่า ทีมงานของพรรคเพื่อไทยทำงานอย่างมียุทธศาสตร์ มีหลักคิด ทุกนโยบายของเพื่อไทยเช่นนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ตอบโจทย์อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเราคิดทั้งระบบภาพรวม ไม่ได้คิดออกมาเป็นส่วน ๆ ดังนั้น ถ้ามีคนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายจุดไหน เราพร้อมยินดีตอบคำถาม และขอให้พี่น้องเชื่อใจว่า ทุกนโยบายของเพื่อไทยทำได้ ทำจริง และถ้าเลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์เป็นรัฐบาลเมื่อใด เราจะลงมือทำนโยบายทันทีให้ประสบความสำเร็จเหมือนสมัยที่พรรคไทยรักไทยเคยทำในอดีต

‘ปชป.’ เตรียมแถลงนโยบายด้านพลังงาน 19 เม.ย.นี้ ยัน!! ไม่กระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศ

(17 เม.ย. 66) นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์มีทีมเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งประกอบด้วยผู้มีชื่อเสียง มีความเชี่ยวชาญหลายด้าน มีผลงานในอดีตถือว่าเป็นทีมที่แข็งแกร่งมากที่สุด มีความโดดเด่นระดับแนวหน้าของประเทศมากกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ ภายใต้การนำของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคฯ และพร้อมเดินหน้านโยบายด้านเศรษฐกิจภายใต้แนวทาง สร้างเงิน-สร้างคน-สร้างชาติ ที่มีความชัดเจน เป็นไปได้ ไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ และไม่มีผลกระทบความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top