Tuesday, 7 May 2024
ถลกข่าวถลกคน

ผุดรายการ 'ถลกข่าว ถลกคน' ถกทุกมิติเลือกตั้ง 66 แบบไม่แบ่งฝ่าย ประเดิม ‘จตุพร & สุริยะใส’ ควบคุมการถกโดย สำราญ รอดเพชร

THE STATES TIMES ผนึก TV Direct แกะกล่องรายการใหม่ 'ถลกข่าว ถลกคน’ ถกทุกมิติเลือกตั้ง 66 แบบเฉพาะกิจช่วงก่อนปิดหีบ ชูคอนเซปต์ ชัดเจน!! เป็นกลาง!! เปิดปรากฎการณ์สังคมไทยยุคใหม่ที่คนไทย ‘ทุกคน-ทุกฟาก-ทุกฝั่ง’ ร่วม 'ถก' กันได้ ประเดิม EP แรกกับอดีต 2 ขั้วสุดต่าง ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ และ ‘สุริยะใส กตะศิลา’ ดีเดย์ 15 เม.ย.นี้ 

(12 เม.ย.66) สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) เปิดตัวรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการถกข่าวสุดร้อนแรงในช่วงกระแสการเมือง/การเลือกตั้ง 2566 กำลังระอุ โดยได้สื่อมวลชนอาวุโสสุดเก๋าแห่งวงการ ‘คุณสำราญ รอดเพชร’ มาเป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมกับ EP แรก ที่ได้ 2 ผู้คร่ำหวอดทางการเมือง อดีตขั้วการเมืองที่ต่างกันสุดขีด แต่วันนี้ ทั้งคู่สามารถมานั่งถกกันได้ในฐานะ ‘คนไทย’ ที่จะมาช่วยเคลียร์หลากมิติการเมือง และการเลือกตั้ง 66 แบบอินไซด์ ภายใต้เหตุและผลสุดสร้างสรรค์

เริ่มจาก คุณจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน และอดีตแม่ทัพหลักของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แง้มประเด็นเล็กๆ แต่ก็ชวนให้ตามติดแบบทันควัน ไม่ว่าจะเป็น “จุดยืนพรรคเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ ทักษิณกับบิ๊กป้อม” หรือแม้แต่ "ลุงป้อม ผู้ส่งท่าทีก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่วันนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น...ส่วน ลุงตู่ ที่บอกเพลียงพล้ำ ตอนนี้อาจพลิกจากแพ้เป็นผู้กำชัย เพราะจุดยืนชัดเจน และการลงมาสู่สนามการเมืองของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ อาจทำให้เกมเพื่อไทยเปลี่ยน" เป็นต้น

ส่วนแขกรับเชิญอีกท่านอย่าง ศ.ดร. สุริยะใส กตะศิลา คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ก็แง้มปมถกที่ดุเดือดไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น “ทิศทางการเลือกตั้งหนนี้ ที่เชื่อว่าจะใช้เงินจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดทุจริตที่มากในอนาคต หรือแม้แต่หลายพรรคต่างเร่งออกนโยบายประชานิยม ซึ่งเป็นนโยบายที่น่ากลัว เพราะจะมีผลกระทบโยงไปยังเงินคงคลัง และงบประมาณของประเทศ” ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหัวข้อถกเถียงเรียกน้ำย่อย ที่รอคอยคอการเมืองมาร่วมตามติด แบบไม่ควรพลาด!!

ด้าน นายณัฐภูมิ รัฐชยากร Chief Operating Officer THE STATES TIMES กล่าวถึงความร่วมมือผลิตรายการ ‘ถลกข่าว’ กับทาง TV Direct ในครั้งนี้ ว่า จุดเริ่มต้นในการทำรายการ มาจากข้อสงสัยในประเด็นทางการเมืองมากมายที่สังคมและประชาชนทั่วไปต้องการคำตอบ แต่ยังหามุมมองวิเคราะห์และกลั่นกรองอย่างมีชั้นเชิงให้กับสังคมได้ไม่มาก ขณะเดียวกันนักการเมืองจากพรรคต่างๆ มีทั้งที่คุ้นตาและไม่คุ้นชิน โดยเฉพาะนักการเมืองหน้าใหม่ ย่อมต้องการพื้นที่แสดงออกทางความคิด หรือ นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้ ‘ถลกข่าว’ ต้องเกิดขึ้นมาในช่วงจังหวะนี้ 

'จตุพร' ถก 'สุริยะใส' ร่วมชี้!! 3 สัญญาณอันตรายเลือกตั้ง วิเคราะห์ 'ทักษิณ' ยิ่งรุก!! ยิ่งขันเกลียวภาพปี 62 ให้แน่นขึ้น

(16 เม.ย.66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการเกาะติดเจาะลึกการเลือกตั้ง 2566 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) ใน EP แรก ได้เชิญ 2 นักวิเคราะห์วิจารณ์ ผู้มองสถานการณ์การเมืองไทยแบบเกาะติด มาร่วมฉายฉากทัศน์การเลือกตั้ง 66 ได้อย่างน่าสนใจ 

ท่านแรกเป็นนักต่อสู้นักเคลื่อนไหว เคยเป็น ส.ส 2 สมัย พรรคพลังประชาชน เมื่อปี 2550 และพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2554 เป็นอดีตประธาน นปช. ทุกวันนี้ยังออกรายการทีวี คือ 'คุณจตุพร พรหมพันธ์' ส่วนอีกท่านหนึ่งเคยเป็นผู้ประสานงานคนดังของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งวันนี้เข้าสู่โหมดวิชาการอย่างเต็มรูปแบบ เป็นคณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต 'รศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา' ดำเนินรายการโดย นายสำราญ รอดเพชร สื่อมวลชนอาวุโส

>> 3 สัญญาณอันตรายเลือกตั้ง 66
สำหรับประเด็นที่น่าสนใจใน 'ถลกข่าว ถลกคน' EP แรกนี้ รศ.ดร.สุริยะใส ได้เปิดประเด็นด้วยการขีดเส้นใต้ให้เห็นถึงความของการเลือกตั้งหนนี้ กับครั้งก่อนหน้า โดย รศ.ดร.สุริยะใส เผยว่า...

"ผมขอขีดเส้นใต้ไปที่สัญญาณอันตราย 3 เรื่อง...
1) ใช้เงินเท่าไร ทุจริตเท่านั้น : การเลือกตั้ง 66 จะเป็นการเลือกตั้งที่ใช้เงินมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และก็จะเป็นการเลือกตั้งที่มีการทุจริตมากอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย...เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมเพิ่งจะคุยกับหัวคะแนน...สมัยก่อนเวลาจ่ายเงินซื้อเสียงเนี่ย ล็อกเป้าหวังผล จ่ายแสนต้องได้ 3,000 / 4,000 คะแนน เรียกว่าล็อกเป้าได้ แต่เดี๋ยวนี้จ่าย 500,000 ได้ 2,000 ก็เอาแล้ว  เพราะมันล็อกเป้าไม่ได้!! เพราะทุกพรรคจ่ายกัน แล้วจ่ายเยอะด้วย ฉะนั้นชาวบ้านก็รับทุกทาง ก็เป็นโอกาสของชาวบ้านว่าไป แต่ว่าเรานึกถึงตอนเขาถอนทุนสิ เขาต้องถอนทุนหนักกว่าเดิมแน่

"2) หาเสียงในวังวนเดิม : มีหลายเรื่องที่ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นการเดิมพันประเทศไทย แต่ปรากฏว่าวาระของประเทศกลับไม่ถูกพูดถึงหลายเรื่องเลย...เอาง่ายๆ ตอนนี้เราอยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ อันนี้พูดแบบวิชาการหน่อย แต่ว่าการเลือกตั้งรอบนี้ยังมาเถียงกันเรื่อง 600 / 400 / 700 / 300 / 3 พัน / 2 พัน เราถึงมักถูกบีบให้เลือกจีนหรือเลือกอเมริกา...คำถามคือ แล้วต่อไปไทยอยู่ตรงไหนของระเบียบโลกใหม่ เรื่องนี้ไม่มีพรรคการเมืองไหนตอบเลย และน่าห่วงมาก คือ พอไปถามพรรคพวกที่อยู่ในแวดวงทุกพรรค ก็บอกว่าเลือกประเด็นแบบนั้นมาเสนอ มันหาเสียงไม่ได้ ชาวบ้านไม่รู้เรื่อง นี่คือเรื่องที่น่าห่วง 

"3) กลืนกินเงินอนาคต : ประชานิยมรอบนี้น่ากลัวมาก กินไปถึงเงินคงคลัง กินไปถึงเงินทุนสำรอง คำถามคือแล้วความรับผิดชอบของพรรคการเมือง ซึ่งเข้าไปผูกมัดตัวเองกับเรื่องที่มาของเงินล่ะ จะเอายังไง แน่นอนว่านาทีนี้ใครลงเลือกตั้งก็อยากชนะ แต่มันสมควรหรือไม่? แล้วคณะกรรมการการเลือกตั้งทำอะไรอยู่ ทำไมต้องรอคนไปร้อง มันเรียกแจงได้แต่ละพรรคได้แล้ว"

รศ.ดร.สุริยะใส กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ถ้าหากพรรคการเมืองทำตามนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ เท่ากับว่าเป็นการส่งสัญญาณที่จะกินไปถึงเงินคงคลังที่ว่า 1.โกง 2.วาระของประเทศน้อยไป ไม่ถูกพูดถึง 3.เรื่องประชานิยม"

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ด้านคุณจตุพร ก็มองไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า "อย่างที่คุณสุริยะใสบอกกล่าว การเลือกตั้งครั้งนี้มีการใช้เงินที่มาก เพราะท่ามกลางห้วงเวลาที่ประชาชนมีความยากลำบากเนี่ย เงินก็จะมีผล ไม่ว่าเงินโดยระบบการซื้อเสียง เงินโดยผ่านนโยบาย ซึ่งจะมีการคิดสารพัดพลิกแพลงที่จะแจกกัน ไม่ว่าเงินดิจิทัล 10,000, บัตรคนจน 1,000, บัตรพลังประชารัฐ 700, บำนาญประชาชน 3,000 จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องการแจกทั้งสิ้น 

"แต่ในมุมผม บางนโยบาย เช่น การนำแนวคิดด้านดิจิทัลมาขายนั้น อาจเป็นการคิดการขายที่เร็วเกินไป ทั้งที่ยังไม่มีกฎหมายมารองรับอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็จริงอย่างที่คุณสุริยะใสบอก ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง ควรที่จะตัดสินว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่ารอการชี้แจงจากผู้ร้อง และก็เป็นการชี้แจงเพียงแค่ว่าจะหาเงินมาจากไหน ขณะเดียวกันวันนี้ทุกคนต่างก็พูดพื้นฐานในเรื่องนโยบายเหมือนๆ กันว่า จะเก็บภาษีเพิ่ม ตัดงบประมาณที่ไม่เป็นจำออกไป แต่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องวินัยทางการคลังหรือว่ากฎหมาย หรือผลประโยชน์ทับซ้อนอื่นใดๆ เลย"

>> ฉากทัศน์การเมืองเดิม
เมื่อภาพของการหาเสียงไม่ต่าง การเปลี่ยนแปลงในเชิงฉากทัศน์เพื่อปากท้องไม่เปลี่ยน โอกาสที่ฉากทัศน์ทางการเมืองจะวนเวียนเหมือนเดิม จึงไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งประเด็นนี้คุณจตุพร มองว่า "โอกาสสวิงขั้วอำนาจของ 2 ซีกการเมืองเดิมนั้น คงจะเป็นไปได้น้อยมาก หรือก็คือ ซีกรัฐบาลเดิม ที่ถูกจำกัดความเรียกว่า 'อนุรักษ์นิยม' กับอีกซีกหนึ่งที่เรียกว่าพวก 'เสรีนิยม' นั้น จะปรากฏภาพของคะแนนในแต่ละภาคฝั่งที่มันจะถูกหารกันออกมาคล้ายๆ เดิม โดยในซีกรัฐบาลเดิม ไม่ว่าจะรวมไทยสร้างชาติ, พลังประชารัฐ, ประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย ก็คงหมุนวนอยู่ตรงนั้น อีกซีกนึง เพื่อไทย, ก้าวไกล, ไทยสร้างไทย, เสรีรวมไทย, ประชาชาติ ก็จะอยู่ในวนนี้ โอกาสที่จะสวิงข้างยากลำบาก 

"ฉะนั้น เมื่อฉากทัศน์ในแง่ของขั้วการเมืองไม่ต่าง จึงสังเกตได้ว่า ตอนนี้รูปแบบการหาเสียงเลือกตั้งเลยดูจะเน้นไปในทางสร้างความแตกแยกก่อน เพื่อจะแย่งเอาคะแนนไปให้ฝ่ายตนได้มากสุด

"ยกตัวอย่าง พรรคพลังประชารัฐ ลุงป้อม ก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่เดินไปเดินมาชักจะเป็นปัญหา เพราะมีการปรากฏตัวของนายทักษิณ รวมถึงการขับเคลื่อนของพรรคก้าวไกลที่เข้มข้น แต่ขณะเดียวกันเมื่อทักษิณผลุบ ซีกฝั่งของพลเอกประยุทธ์อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาดื้อๆ เพราะการปรากฏตัวของทักษิณโดยเฉพาะยิ่งพูดถึงเรื่องการกลับบ้านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างความแข็งแรงให้พลเอกประยุทธ์มากเท่านั้น 

"หรือแม้แต่วันก่อนกับ พรรคที่ขอก้าวข้ามความขัดแย้ง  รองหัวหน้าพรรคไพบูลย์ นิติตะวัน ออกมาสัมภาษณ์ว่าจะไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ซึ่งพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่เคยประกาศว่าจะจับมือกับพรรคก้าวไกล มีเพียงก้าวไกลประกาศจับมือกับพรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทยก็ประกาศไม่จับมือกับพรรคก้าวไกล ทั้งหมดเนี่ยก็คือ การละเลงทางการเมืองก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นสังเกตให้ดีเราจะเห็นว่า คะแนนเดิมมันปริ่มน้ำทั้ง 2 ฝ่าย เหมือนตอนยุบไทยรักษาชาติแล้วคะแนนมางอกที่อนาคตใหม่ยังไงยังงั้น เพราะฉะนั้นบริบทคะแนนมันไม่ได้ต่างกัน จึงต้องมีการกระทำเพื่อนำไปสู่การเทคะแนนเสียงไปมา

"นี่ไม่นับเรื่องการยุบพรรค ซึ่งดูกำหนดเวลาแล้วเนี่ย น่าจะมีการยุบภายหลังการเลือกตั้งในระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล ในกรอบ 180 วัน ก่อนพระราชกฤษฎีกาหลังพระราชกฤษฎีกา"

>> ทักษิณขยับ!! ลุงตู่ผงาด!!
เกี่ยวกับประเด็นนี้ รศ.ดร.สุริยะใส ได้วิเคราะห์เพิ่มเติมด้วยว่า "คงยังไม่มีกรณีซ้ำรอยเช่นพรรคไทยรักษาชาติแบบเมื่อปี 2562 ซึ่งตอนนั้นมีการยุบพรรคก่อน แต่หนนี้อาจจะยุบพรรคทีหลัง ส่วนในเรื่องสูตรของรัฐบาล คงเป็นเรื่องที่ต้องคาดการณ์ล่วงหน้ากันไป แต่มันไม่ใช่ตัวแปรที่จะทำให้การเลือกตั้งสะดุด เพียงแต่ว่าสูตรที่วางกันในขณะนี้มันกลับไปสูตรเดิม นั่นก็คือทันทีที่คุณทักษิณขยับ คะแนนแกจะหยุด แล้วเรตติงบิ๊กตู่ดันขึ้นมา"

"กลายเป็นว่าเป็นคนเดียวที่จะหยุดนายกทักษิณได้ คือ พลเอกประยุทธ์" คุณจตุพรสำทับ 

ข้อความส่วนหนึ่งจาก นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า

“เราไม่แก้ ม.112 แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทำงานกับพรรคก้าวไกลไม่ได้...พรรคชาติพัฒนากล้าที่ธงที่จะเป็นพรรคซึ่งกล้าเข้าไปชนกับผู้มีอำนาจ ณ ปัจจุบันในการรื้อโครงสร้าง เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ พร้อมเข้าไปสร้าง ‘โอกาสนิยม’ แบบที่ไม่ใช่ ‘ประชานิยม’ ด้วยหลักปฏิบัตินิยมผ่าน ‘ยุทธศาสตร์ 7 เฉดสี’ นำพารายได้ 5 ล้านล้านบาทเข้าประเทศ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี”

‘ศิธา-ทสท.’ ลั่น!! ไม่มีใครเป็นซูเปอร์แมนที่รู้ทุกเรื่อง 'ไม่ร่วมมือ-ฉายเดียว-คิดว่าเก่ง' ประเทศจะไปได้ไม่ไกล

จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการที่ล้วงลึกทุกฉากการเลือกตั้ง 2566 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ใน EP.5 เมื่อวันที่ 29 เม.ย.66 ได้เชิญ ‘น.ต.ศิธา ทิวารี’ แคนดิเดตนายกฯ พรรคไทยสร้างไทย มาร่วมถกประเด็นก่อนการเลือกตั้ง โดยช่วงหนึ่งคุณศิธาได้กล่าวว่า...

“กรณีบางพรรคเขาเสนอตัวคนเดียว ซึ่งเป็นพรรคใหญ่ดั้งเดิมอยู่แล้ว เขาก็อาจไม่ต้องนำเสนอนโยบายอะไรเยอะ แต่ของผม พรรคไทยสร้างไทย เรามองว่าประเทศไทยจะต้องตอบโจทย์ปัญหาได้ด้านและครอบคลุมในเรื่องที่ถูกมองข้ามมากกว่านี้ ยกตัวอย่าง เช่น เรื่องเงินทุนของกลุ่มผู้ประกอบการ SME ทราบหรือไม่ว่า กว่าพวกเขาจะหาเงินมาได้ หาเงินกู้มาได้ มันยากแค่ไหน และส่วนใหญ่ก็เข้าถึงแหล่งเงินที่มีดอกเบี้ยราคาถูกไม่ได้

"ไทยสร้างไทย ก็เข้าใจดีว่า คนไทยกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องนี้ เขาก็จะโฟกัสกับปัญหาและรอคอยทางแก้เหล่านี้เป็นหลัก และเราต้องเข้าไปเติมเต็มแบบรอบด้าน อย่างพรรคเราเองก็ตั้งใจที่จะช่วยคนตัวเล็ก เราก็มีแนงทางไว้แล้ว แต่เรื่องนี้กับพรรคอื่นอาจจะมองเป็นเรื่องหลังๆ เพราะบางทีก็ไปคิดว่า 'คนจนเบี้ยวง่าย' แต่ผมว่าคนจนเขาไม่เบี้ยวนะ เขาก็ต้องรักษาเครดิตเขาอยู่แล้ว หากเขาต้องดำเนินธุรกิจในระยะยาว"

น.ต.ศิธา กล่าวอีกว่า "ผมมองว่าวันนี้ความเป็นธรรมกับบ้านเมืองของเราน้อยมาก โดยเฉพาะผลประโยชน์ที่ควรเกิดขึ้นกับประชาชน ยิางภายหลังจากทุกครั้งที่เกิดรัฐประหาร ซึ่งมักจะเกิดผลพวงแห่งการขัดแย้งและเผชิญหน้าแบบไม่มีใครถอยให้กัน ประโยชน์ที่คิดที่จะทำ มันก็เกิดจากมุมตัวเอง 

'พุทธิพงษ์' ชี้!! คน กทม. โหยหาการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิม มั่นใจ!! นโยบาย 'ภูมิใจกรุงเทพ 24/7' ตอบโจทย์ทุกมิติ

(2 พ.ค.66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการเกาะติด-เจาะลึกการเลือกตั้ง 2566 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) ได้เชิญนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผอ.การเลือกตั้งกทม. พรรคภูมิใจไทย (ภท.) มาพูดคุยในเรื่องเหตุผลที่ปักธงเข้าร่วมทำงานกับพรรคภูมิใจไทย และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทย

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะมาเข้าร่วมกับพรรคภูมิใจไทย ตนได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคหลายคน ทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ก็มีพรรคการเมืองอีกหลายพรรคที่ได้เข้ามาชักชวนให้ไปร่วมงานด้วย แต่สุดท้ายก็เลือกปักธงที่ภูมิใจไทย ซึ่งทางพรรคภูมิใจยื่นโอกาสให้ได้คัดเลือกผู้สมัคร ส.ส. ใน 33 เขตของกรุงเทพ และให้โอกาสร่วมร่างนโยบาย 'ภูมิใจกรุงเทพ 24/7' ถึงแม้จะมีขั้นตอนที่มากมาย แต่เต็มใจทำเพื่อพี่น้องประชาชน

"โดยส่วนตัว ไม่ได้มีปัญหากับพรรคไหนเลย สามารถไปอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ก็ตอบได้ง่ายๆ เลยคือเรื่องของ ‘โอกาส’ ทางพรรคภูมิใจไทยให้โอกาสผมได้ทำงาน" นายพุทธิพงษ์กล่าว

นายพุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า ผมดูแลพื้นที่กรุงเทพ ก็มีนโยบายที่ดูแลคนกรุงเทพฯ ซึ่งไม่เคยมีคนทำมาก่อน เคยคิดหรือไม่ว่าทำไมค่าไฟเราแพงอยู่ทุกวัน ไม่เคยลดลง ไม่เคยนิ่งอยู่เฉยๆ แต่กลับพุ่งขึ้นตลอด ถ้าหากเราไม่คิดเรื่องการพักหนี้ให้กับพี่น้องประชาชน แล้วมาพูดว่าจะเดินหน้าเศรษฐกิจ ทำนู่นทำนี่ มันทำไม่ได้หรอก

“ถามว่า มันใช่เรื่องเหรอที่ต้องไปนั่งเข้าคิว เพื่อเอาชีวิตรอด เราอยากให้การเมืองเปลี่ยน อยากได้การเมืองที่ไม่มีผลประโยชน์ อยากได้การเมืองที่มันสมัย การเมืองที่คิดไปข้างหน้า” นายพุทธิพงษ์ กล่าว

ต่อข้อคำถามที่ว่าจนถึงนาทีนี้หลายคนก็ยังมองว่า ‘ภูมิใจไทย’ ไม่สามารถปักธงในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เลย นายพุทธิพงษ์ตอบว่า หลายคนบอกว่าจุดอ่อนของภูมิใจไทยคือไม่เคยมี ส.ส. ในกรุงเทพฯ เลย แต่ผมกลับมองต่างออกไป ผมเชื่อว่าวันนี้คน กทม. ต้องการการเปลี่ยนแปลง คนกรุงเทพ เวลาจะเลือก ส.ส. เขาจะเลือกด้วยเหตุผลว่า ครั้งนี้จะเลือกไปเพราะอะไร เลือกไปทำอะไร เลือกเพื่ออะไร?

"การเลือกตั้งทุกครั้ง พื้นที่กรุงเทพถือเป็นพื้นที่ที่หักปากกาเซียน บางครั้ง พรรคที่ได้ ส.ส. ในกรุงเทพเยอะๆ สุดท้ายหลังเลือกตั้งจบไม่เหลือ ส.ส. เลยก็มีนะครับ และที่ผ่านมา พรรคที่ได้เยอะ ก็เป็นพรรคที่ไม่เคยมี ส.ส. ในกรุงเทพเลย" นายพุทธิพงษ์กล่าว

‘รศ.ดร.กิตติ’ เผยแผนนโยบายเศรษฐกิจพาไทยพ้นจน วอน!! ขอโอกาสให้ 'เพื่อไทย' ได้ทำ ลั่น!! "เราจะพาให้หลุด"

จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการที่ล้วงลึกทุกฉากการเลือกตั้ง 2566 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ใน EP.7 ได้เชิญ ‘รศ.ดร.กิตติ ลิ่มสกุล’ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มาร่วมถกประเด็นก่อนการเลือกตั้ง โดยช่วงหนึ่ง รศ.ดร.กิตติ ลิ่มสกุล ได้พูดถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านเงินดิจิทัลหนึ่งหมื่นบาท โดยกล่าวว่า...

"หากมองเศรษฐกิจมหภาค โดยภาพรวมของเศรษฐกิจ จะมองอยู่ 3 ด้านที่สำคัญ 1) ความเจริญเติบโต 2) การรักษาเสถียรภาพภายในภายนอก 3) เรื่องของการกระจายความมั่งคั่งระหว่างกลุ่มรายได้และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ เพราะฉะนั้นการวางนโยบายทางด้านเศรษฐกิจมหภาคต้องมอง 3 ด้านนี้เป็นสำคัญ และเป็นหน้าที่ของระบบเศรษฐกิจมหภาคที่จะต้องเข้าไปจัดการ Jump Start ที่ฝั่งอุปสงค์หรือฝั่งการบริโภคก่อน 

"แน่นอนว่าทุกคน อาจจะเอ๊ะ!! ว่าทำไมไปให้การบริโภคล่ะ เพราะมันจำเป็น ถ้าผู้บริโภคไม่เริ่ม ไม่เคลื่อน ฝั่งที่ผลิตเขาก็คงต้องเอาผ้าปิดเครื่องจักรไว้ ปิดไลน์ผลิตไว้ เครื่องจักรก็นอนอยู่เฉย ๆ แต่ถ้าฝั่งผู้บริโภคมันเดินไปได้สัก 2.5 ขึ้นไป จนเป็น 3-4-5 ฝั่งที่ผลิตก็เริ่มได้ละ” 

'ชัช เตาปูน' ชวนคนไทยปกป้อง ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ 14 พ.ค. เลือก รทสช. ทั้ง 2 ใบ ดัน ‘ลุงตู่’ เป็นนายกฯ

(9 พ.ค. 66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการที่ล้วงลึกทุกฉากการเลือกตั้ง 2566 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ได้เชิญ ‘นายชัชวาลล์  คงอุดม’ หรือที่รู้จักกันในนาม 'ชัช เตาปูน' ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ พรรครวมไทยสร้างชาติ มาร่วมถกประเด็นก่อนการเลือกตั้ง โดยช่วงหนึ่งนายชัชวาลล์ได้พูดถึงการเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 14 พ.ค. 66 พร้อมชักชวนให้คนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันเยอะ ๆ และลงคะแนนให้พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อดัน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย 

นายชัชวาลล์กล่าวถึงเหตุผลที่เข้าร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เพราะเชื่อมั่นในตัว ‘บิ๊กตู่’ พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา โดยระบุว่า…ลุงตู่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และถือว่าเป็นคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน นอกจากนี้ก็ยังซื่อสัตย์ ไม่มีการโกงกินบ้านเมือง 

เมื่อถามถึงนโยบายของพรรคที่ครองใจมหาชนทั่วประเทศที่รับรู้ได้จากการเดินสายหาเสียงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นายชัชวาลล์ระบุว่า ก็เป็นคนละครึ่งนะ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชาวบ้านชอบนะ แล้วนโยบายเรามี บัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัส เพิ่มเงินเป็น 1,000 บาท และสามารถเอาไปกู้เงินมาใช้จ่ายได้อีกนะ ดีกว่าไปกู้เงินนอกระบบ เสียดอกเบี้ยแพง ๆ

เมื่อถามถึงเสียงตอบรับในภาคอีสานมีมากน้อยแค่ไหน นายชัชวาลล์ ระบุว่า ต้องบอกแบบนี้ เวลาเขาสำรวจโพลกัน ก็จะสำรวจในโลกโซเชียล ทำให้คนที่เขาไม่ได้เล่นโซเชียลไม่ได้ตอบ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ จึงไม่มั่นใจว่าในภาคอีสานเราจะชนะขาดหรือไม่ อีกทั้งการสำรวจโพลก็สอบถามเฉพาะกลุ่มที่นิยมชมชอบฝั่งนั้นอย่างเดียว ทำให้ผลโพลที่ออกมาเอนเอียงไป แต่ส่วนมากคนสูงอายุจะคิดถึงเรื่องความเป็นอยู่ เขาก็คิดว่ามีกะปิ พริก น้ำปลาติดตู่กับข้าวได้ก็เพราะลุงตู่ แต่สำหรับเด็ก ๆ ก็จะมองต่างออกไป 

เมื่อถามการที่มาช่วยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ จะพบเจอกับความผิดหวังเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตหรือไม่? นายชัชวาลล์ระบุว่า เชื่อว่าไม่ผิดหวังนะ เพราะพลเอกประยุทธ์จะอยู่เพียงแค่ 2 ปี โดยมีการพิสูจน์มาแล้วตั้ง 8 ปี ทุกอย่างโอเคหมด ผมฟังท่านพูด ผมคิดว่าท่านรู้ทุกอย่างนะ ท่านเข้าใจปัญหาดี ท่านเก่ง แต่เวลาสัมภาษณ์ถูกนักข่าวจี้จุด ก็เลยมีหงุดหงิดไปบ้าง แต่เวลาเราคุยกันท่านก็เฮฮา มีอารมณ์ขัน ไม่เป็นอย่างที่เห็นตามหน้าสื่อเลย

เมื่อถามว่า เชื่อหรือว่าพลเอกประยุทธ์จะอยู่เพียงแต่ 2 ปี นายชัชวาลล์ ระบุว่า ผมเชื่อแบบนั้น ในความรู้สึกผม ถ้าท่านไปได้ก็คงไปแล้ว ที่ผ่านมาโดยสารพัด เพราะคนไม่เข้าใจ แต่พูดตรง ๆ เลยนะ ฝ่ายนั้นกำลังมา ตอนนี้มีคนจ้องจะแก้ม.112 หากแก้ไปแล้วประเทศชาติจะเป็นอย่างไร คนที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์คงยอมไม่ได้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top