Saturday, 11 May 2024
The States Times

เรื่องราวของ ‘ร็อกสตาร์ฆ่าไม่ตาย’ Oasis

“Oasis คือวงดนตรีที่โลกอนุญาตให้ปากหมาได้ตลอดกาล” ประโยคนี้คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนักเมื่อเทียบกับวีรกรรมสุดห้าวของสองพี่น้องกัลลาเกอร์ที่ปรากฏบนหน้าสื่อตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นในยุค ‘90s แล้ว ส่วนผสมที่ลงตัวแต่เข้ากันไม่ค่อยได้ของ ‘โนล กัลลาเกอร์’ มือกีตาร์ และ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ ฟรอนต์แมน ดูเหมือนจะยิ่งสร้างสีสันให้แฟนๆ หันมาสนใจพวกเขามากยิ่งขึ้น ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า Oasis คือวงดนตรีที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อประวัติศาสตร์บริตป๊อบ (Britpop) ของเกาะอังกฤษ

 

วง Oasis ได้ยุติบทบาทลงในปี 2009 หลังโนลตัดสินใจลาออกจากวงและไม่พูดจากับน้องชายนานร่วม 10 ปี ปัจจุบันนี้พี่น้องกัลลาเกอร์ต่างก็ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว แต่แฟนเพลงกลับทำเหมือน Oasis แค่พักวงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาเฝ้ารอวันที่วงดนตรีที่พวกเขารักจะกลับมารียูเนียนกันอีกครั้ง ความน่าสนใจคือแม้ Oasis จะเป็นวงดนตรียุค ‘90s ทว่ากระแสความนิยมไม่ได้ลดลง ยังคงมีแฟนเพลงเดนตายติดตามอย่างเหนียวแน่นโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่บนโลกออนไลน์ เพลง “Wonderwall” ของวง Oasis ก็ยังเป็นเพลงแรกจากยุค ‘90s ที่มียอดสตรีมมิ่งผ่าน Spotify ทะลุ 1,000 ล้านครั้ง!

 

 

เรื่องราวของวง Oasis เต็มไปด้วยสีสันและเรื่องราวเฮฮาที่น่าสนใจ บางเรื่องอาจเกรียนชนิดที่ศิลปินยุคนี้ไม่มีทางทำแน่ๆ เมื่อคนรุ่นใหม่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตพวกเขาสามารถสืบค้นข้อมูลและรับรู้ข้อมูลอีกด้าน ซึ่งแตกต่างจากที่หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ในยุค ‘90s เคยประโคมข่าว ทำให้มุมมองที่มีต่อวง Oasis ในยุคนี้เต็มไปด้วยเรื่องสนุกที่เล่ากันไม่รู้เบื่อ ซึ่งมีหลายปัจจัยด้วยกันที่จุดกระแสความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ตามไทม์ไลน์ดังต่อไปนี้…

 

จากครอบครัวชนชั้นแรงงานสู่ ‘ร็อกสตาร์’

เด็กหนุ่มจากครอบครัวชนชั้นแรงงานในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ รวมตัวกันตั้งวงดนตรีชื่อ The Rain ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Oasis’ ในเวลาต่อมา เมื่อ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ เข้ามาทำหน้าที่ฟรอนต์แมนของวง เขาชักชวนพี่ชาย ‘โนล กัลลาเกอร์’ ที่ทำงานเป็นเด็กขนเครื่องดนตรีประจำวงดนตรีท้องถิ่น Inspirals Carpets ให้มาร่วมวงในฐานะนักแต่งเพลงและมือกีตาร์ของ Oasis ไม่มีใครคาดคิดว่าบทเพลงที่โนลเคยแต่งไว้เล่นๆ จะได้นำมาใช้จริงๆ โดยเพลงส่วนใหญ่นอกจากจะพูดถึงวัฒนธรรมวัยรุ่นอังกฤษแล้ว ยังมีเนื้อหาที่สะท้อนการมองโลกในแง่ดีและความต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น “Whatever” เป็นเพลงที่โนลแต่งขึ้นสมัยทำงานเป็นกรรมกรในไซต์ก่อสร้างตามที่พ่อแนะนำ แต่เขาอยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงแต่งเพลงนี้เพื่อระบายความรู้สึกที่ต้องการเป็นอิสระ หรือเพลง “Live Forever” มีเนื้อหาที่พูดถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เป็นต้น ในที่สุดพวกเขาก็แจ้งเกิดในฐานะศิลปิน โดยปล่อยอัลบั้มชุดแรก ‘Definitely Maybe’ ในปี 1994 ยกระดับสถานะทางสังคมจากชนชั้นแรงงานสู่ครอบครัวที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เริ่มมีชื่อเสียงและเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

 

             

1995-1997 ‘ยุคทอง’ ของ Oasis

อัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขามากที่สุดคือ ‘(What’s The Story) Morning Glory?’ อัลบั้มชุดที่ 2 ที่วางจำหน่ายในปี 1995 เต็มไปด้วยเพลงฮิตมากมาย เช่น “Wonderwall” และ “Don’t Look Back In Anger” ทำให้กระแสความนิยมของ Oasis เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาทะยานสู่การเป็นวงบริตป๊อบอันดับต้นๆ แย่งความนิยมกับวง Blur อย่างดุเดือดจนนำไปสู่เหตุการณ์ ‘สงครามบริตป๊อบ’ ที่ทั้ง 2 วงเลือกปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ในวันเดียวกัน ชื่อเสียงของ Oasis ทำให้พวกเขาสามารถจัดคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่ Knebworth ในปี 1996 ซึ่งมีแฟนเพลงกว่า 2.5 แสนคนเดินทางมาชม อีกทั้งยังได้รับรางวัลการันตีความนิยมจากหลายสถาบัน ส่งผลให้การปล่อยอัลบั้มชุดที่ 3 ‘Be Here Now’ ในปี 1997 เกิดปรากฏการณ์แฟนเพลงแห่มายืนรอหน้าร้านขายซีดีทั่วอังกฤษเพื่อรอซื้ออัลบั้ม โดยในวันแรกที่ปล่อยอัลบั้มสามารถขายอัลบั้มได้กว่า 4.2 แสนก๊อปปี้ พิสูจน์ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว Oasis คือวงดนตรีที่ขึ้นไปยืน ณ จุดสูงสุดของวงการบริตป๊อบอย่างแท้จริง

 

 

 

จุดแตกหักของพี่น้องกัลลาเกอร์

แม้จะเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ลักษณะนิสัยของโนลและเลียมกลับต่างกันสุดขั้ว โนลเคยเปรียบเทียบว่าเขาคือแมว จริงจังและมีโลกส่วนตัวสูง ส่วนเลียมเป็นหมาที่พร้อมจะเล่นทุกครั้งที่มีคนโยนลูกบอลให้ เมื่อทั้งคู่ต้องมาทำงานใกล้ชิดกันเป็นเวลานานก็ย่อมมีปัญหากระทบกระทั่ง โนลที่มีความรับผิดชอบสูงจึงเอือมระอาพฤติกรรมของน้องชายที่บางครั้งหายไปโดยไม่บอกกล่าว ปล่อยให้เขาต้องทำหน้าที่ฟรอนต์แมนเอง ในขณะที่เลียมเองก็บอกว่าพี่ชายซีเรียสจนเกินไป การตัดสินใจทั้งหมดของวงแทบจะรวมอำนาจไว้ที่โนลแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงการเขียนเพลงในแต่ละอัลบั้ม ความสัมพันธ์พี่น้องเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2009 ระหว่างที่ Oasis เตรียมขึ้นเล่นคอนเสิร์ตที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เลียมอาละวาดหลังเวที และพังกีตาร์ตัวโปรดของพี่ชาย ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่โนลตัดสินใจหันหลังให้วงดนตรีที่เขาอยู่มานานถึง 18 ปี และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็นำไปสู่การยุติบทบาททางดนตรีของวง Oasis

 

 

 

ตัวตนใหม่เมื่อศิลปินมี ‘สื่อเป็นของตัวเอง’

ภายหลังโนลได้ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว ภายใต้ชื่อ Noel Gallagher’s High Flying Birds ในปี 2011 ส่วนเลียมก็เป็นศิลปินเดี่ยวในปี 2017 เช่นกัน ทั้งคู่ต่างมีเส้นทางดนตรีเป็นของตัวเอง ได้ทดลองทำเพลงใหม่และเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก แน่นอนว่าในเซ็ทลิสต์ก็ยังมีบทเพลงของวง Oasis ให้แฟน ๆ ได้ฟังกันเช่นเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ยุคนี้แตกต่างจากยุค ‘90s คือโซเชียลมีเดีย ศิลปินมีช่องทางสื่อเป็นของตัวเองในการประชาสัมพันธ์ผลงาน สื่อสารกับแฟนเพลง และแถลงตอบโต้ต่อประเด็นข่าวต่าง ๆ พร้อมทั้งสามารถสร้างการรับรู้ใหม่ให้แฟนๆ อย่างตรงไปตรงมาด้วยตัวตนและคาแรกเตอร์ของศิลปินที่สื่ออาจไม่เคยนำเสนอมาก่อน เช่น เลียมรับอุปการะแมวไร้บ้าน โนลบริจาคค่าลิขสิทธิ์เพลงให้เหยื่อก่อการร้าย เป็นต้น ทำให้ศิลปินได้สื่อสารกับแฟน ๆ โดยตรง ขณะที่แฟนเพลงเองก็ได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ของศิลปินที่ทำให้รู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น อย่างตอนที่เลียมไปทัวร์คอนเสิร์ตที่เกาหลีใต้ เขาทำท่าเลียนแบบ MV เพลง ‘กังนัมสไตล์’ ทำให้ได้เห็นมุมน่ารักสวนทางกับท่าทีขึงขังที่สื่อหลักเคยเสนอมาตลอดหลายปี หรือแม้แต่การสนับสนุน #BlackLiveMatter ก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของศิลปินที่สนใจความเป็นไปของสังคม แน่นอนว่าการแสดงออกที่มี Value เหล่านี้ย่อมโดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่

 

 

 

‘Oasis: Supersonic’ กระแสเรียกฐานแฟนเพลงคืนสู่อ้อมอก

ต้องยอมรับว่าหมุดหมายสำคัญที่ทำให้กระแส Oasis กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งในหมู่แฟนเพลงก็คือ ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic กำกับโดย Mat Whitecross ออกฉายเมื่อปี 2016 นับเป็นการเรียกแฟนเพลงกลับสู่อ้อมอกวงดนตรีวงนี้อีกครั้ง อีกทั้งสร้างฐานแฟนเพลงใหม่ ๆ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากเป็นสารคดีที่ดำเนินเรื่องได้น่าสนใจ สนุกสนาน มีบทสัมภาษณ์และข้อมูลเอ็กซ์คลูซีฟทั้งจากฝ่ายโนล เลียม อดีตสมาชิกวง และผู้ที่เคยร่วมงานกับวง Oasis เล่าตั้งแต่เรื่องครอบครัวในวัยเด็ก ปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวของพ่อบังเกิดเกล้า จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งวง การเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทาง รวมถึงการเปิดเผยหญิงสาวปริศนาที่เป็นแรงบันดาลใจให้เพลง “Talk Tonight” ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนนานถึง 20 ปี สารคดีนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ ให้แฟนเพลงได้รับรู้ สร้างการรับรู้ในแง่มุมที่น่าสนใจ ได้เห็นความตั้งใจในการทำงาน การรับมือกับดราม่าต่าง ๆ พิสูจน์ว่าพวกเขาคือร็อกสตาร์ที่ฆ่าไม่ตาย ที่สำคัญ Oasis: Supersonic ยังเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในประเทศไทย ถูกพูดถึงอย่างมากในสื่อโซเชียลมีเดีย ดึงความสนใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจวงดนตรีจากยุค ‘90s วงนี้!

 

 

คอนเสิร์ตเดี่ยวของ ‘โนล-เลียม’ ในประเทศไทย

หลังจากกระแส Oasis เริ่มจุดติดอีกครั้งในปี 2016 จากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic ตามมาด้วย เลียม กัลลาเกอร์ ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกในปี 2017 ก็ยิ่งทำให้ได้รับความสนใจมากขึ้น เลียมกลับมาด้วยภาพลักษณ์เท่และคูลเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือใกล้ชิดแฟน ๆ มากขึ้น เลียมใช้ทวิตเตอร์ส่วนตัวในการอัปเดตความเคลื่อนไหวกับแฟนๆ กว่า 3.3 ล้านคนที่ติดตามเขา แถมยังขยันตอบคอมเม้นท์ด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่มีประเด็นสำคัญ ๆ เลียมไม่พลาดที่จะตอบทวีตแฟน ๆ รวมถึงเหตุการณ์หมูป่า 13 คนติดถ้ำหลวง กระแสความนิยมในตัวศิลปินนำสู่คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในประเทศไทย Liam Gallagher Live in Bangkok 2018 ที่ถูกพูดถึงในทวิตเตอร์จนติดเทรนด์อันดับ 1 ทำให้คนที่ไม่รู้จักเลียมเกิดความสงสัยว่าเขาเป็นใครขึ้นมา จนกระทั่งปลายปี 2019 กัลลาเกอร์คนพี่อย่าง โนล ก็เดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตในประเทศไทยเช่นกัน Noel Gallagher’s High Flying Birds Live in Bangkok 2019 จนแฟนเพลงต่างแซวกันว่าเมื่อพี่น้องไม่ถูกกัน แฟน ๆ จะชมคอนเสิร์ตทั้งทีก็ต้องแยกกันชม ซึ่งลึก ๆ ก็ต่างรอวันที่โนลและเลียมคืนดีเพื่อขึ้นเวทีเดียวกันอีกครั้ง

 

 

เลียม: “ผมฟังผลงานเพลงใหม่ของโนลแล้ว เหมือนพวกมังสวิรัติพยายามจะขายเคบับเลยว่ะ”

โนล: “เพลงของไอ้เลียมคือเพลงที่ไม่ซับซ้อน เขียนขึ้นโดยคนที่ไม่ซับซ้อน และทำให้คนที่ไม่ซับซ้อนฟัง”

 

 

อย่างไรก็ตาม อีกเหตุผลที่ทำให้แฟนเพลงต่างติดตามเรื่องราวของวง Oasis และพี่น้องกัลลาเกอร์อย่างเหนียวแน่นก็เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยระหว่างโนลและเลียม ซึ่งมักจะตอบโต้กันอย่างเจ็บแสบผ่านสื่อทำให้แฟนๆ ได้อ่านเรื่องราวเฮฮาเป็นประจำ รวมถึงกระแสการรียูเนียนวงดนตรีที่หลายคนเฝ้ารอให้เกิดขึ้นเร็ววัน แต่ดูเหมือนทุกครั้งที่เข้าใกล้ความหวังก็มักจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้การรียูเนียนห่างไกลไปเสมอ

 

เรื่อง: Tatiya

ภาพ: Everwhere in Oasis

 

เลื่อนฉาย SEOBOK แฟนคลับ ‘กงยู-พัคโบกอม’ อดใจรอต้นปี 2021 ได้กรี๊ดแน่นอน

แฟนภาพยนตร์เกาหลี โดยเฉพาะ FC ‘กงยู & พัคโบกอม’ ตั้งตาเตรียมรอชมภาพยนตร์ที่ทั้งคู่โคจรมาเจอกันในเรื่อง SEOBOK ซึ่งหมายกำหนดการเข้าโรงภาพยนตร์เดิมคือ ราวปลายเดือนธันวาคมนี้ แต่ล่าสุดมีประกาศการเลื่อนฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไป ทั้งที่ประเทศเกาหลีใต้เอง รวมถึงประเทศไทย

 

ที่มาของการเลื่อนฉายภาพยนตร์ครั้งนี้ เป้นเพราะเหตุการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ยังส่อเค้าวุ่นในหลายๆ ประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้และประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยจึงได้มีการเลื่อนการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไปก่อน

 

สำหรับ SEOBOK ที่นอกจากจะได้ซูเปอร์สตาร์แม่เหล็กอย่าง กงยู และ พัคโบกอม มาประชันกันบนจอภาพยนตร์แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ทาง CJ Entertainment ค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ทุ่มทุนสร้างอย่างมหาศาลมาก 

 

โดยเป็นหนังแนวไซไฟที่บอกเล่าเรื่องราวของ มินกีฮอน (รับบทโดย กงยู) อดีตสายลับที่ได้รับภารกิจสุดท้ายในการปกป้อง ซอบก (SEOBOK) รับทโดย พัคโบกอม มนุษย์โคลนร่างแรกของโลก ที่เกิดจากการทดลองลับสุดยอด และประการที่สำคัญ ซอบกเป็นมนุษย์โคลนที่เป็นอมตะ เขาได้กุมปริศนาของการมีชีวิตอมตะเอาไว้ ซึ่งมินกีฮอนต้องปกป้องเขาจากกลุ่มคนที่หวังจะครอบครองซอบก และต้องการความลับอมตะนี้

 

เล่ามาขนาดนี้ หลายคนคงอยากดู ไม่ว่าจะดู กงยู หรือดู พัคโบกอม หรือจะดูภาพยนตร์ทั้งเรื่อง เอาเป็นว่า หนังยังไม่ฉายก็ไปอุ่นเครื่องกับภาพยนตร์ตัวอย่างกันเสียก่อน ส่วนข่าวคราวเรื่องกำหนดวันฉายใหม่ รวมทั้งความคืบหน้าต่างๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ เราจะนำมารายงานให้ทราบต่อไป หรือสามารถติดตามความเคลื่อนไหวกันได้ผ่านทาง MONGKOL MAJOR และ twitter.com/Sahamongkolfilm

 

 

 

 

 

11 ธันวาคม วันภูเขาสากล

‘ภูเขา’ นับเป็นแหล่งของสิ่งมีชีวิตที่ทำให้เกิดการผลิดอกออกผล รวมถึงเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลากหลายสายทั่วโลก เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่อยู่คู่กับมนุษยชาติเสมอมา เป็นเหตุให้ในปีพ.ศ. 2548 ณ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้มีการตกลงร่วมกัน โดยกำหนดให้ วันที่ 11 ธันวาคมของทุกปี ถือเป็น ‘วันภูเขาสากล’ (International Mountain Day)

 

ในวันนี้จะเป็นวันที่เราได้รำลึกและให้ความสำคัญกับ ‘ภูเขา’ ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแหล่งให้กำเนิดต้นน้ำ ต้นไม้ และธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นการให้ความสำคัญกับประเพณีและวัฒนธรรมของชาวเขาทั่วโลก เนื่องจากเป็นชุมชนดั้งเดิมที่ยังคงรักษารากแห่งวัฒนธรรมอันเก่าแก่ไว้ได้อย่างยาวนาน

 

วันภูเขาสากลในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่การรำลึกเพียงแค่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ แต่ยังสะท้อนถึงการคงไว้ซึ่ง ‘วิถีอันเก่าแก่’ ของผู้คนกลุ่มหนึ่งของโลก ไม่ว่าโลกจะหมุนไปด้วยความรวดเร็วแค่ไหน แต่วิถีชีวิตบางหนบางแห่ง ก็ยังคงดำเนินต่อไป และยังคงตั้งอยู่ในความงดงามของตัวเอง

15 ธันวาคม...วันชาสากล วันที่ชวนทุกคนมาดื่มชา พร้อมกันนี้ยังเป็นวันที่รณรงค์ให้ตั้งราคา สินค้าใบชาอย่างเป็นธรรม

เครื่องดื่มกลิ่นหอมๆ ของคุณในตอนเช้าๆ คืออะไรกันครับ? กาแฟ? หรือว่าชา? ถ้าในถ้วยที่กำลังถืออยู่ เป็นชาร้อนหอมๆ บอกเลยว่า วันนี้ ‘ชาอร่อยเป็นพิเศษ’ อย่างแน่นอน

เพราะวันนี้ ถูกยกให้เป็น ‘วันชาสากล’ (International Tea Day) วันนี้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ. 2548 จุดเริ่มต้นมาจากเกษตรกรผู้ปลูกชากลุ่มเล็ก ๆ ในเบงกอลตะวันตก และหลายรัฐทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ได้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องถึงสิทธิและความชอบธรรมในการค้าชาของตน โดยในช่วงนั้น แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่มีการปลูกอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ แต่อุตสาหกรรมค้าชาในประเทศอินเดียกลับมีความอ่อนแอและบริหารจัดการได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ เกษตรกรผู้ปลูกชากลุ่มเล็ก ๆ จึงได้นำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการปลูก ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตดีขึ้น และได้ชาที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน

ทว่าเมื่อชาดี แต่เกษตรกรกลับไม่ได้รับความเป็นธรรมในการค้าขาย พวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกกดราคา กระทั่งองค์กรเพื่อการสื่อสารและการศึกษาของประเทศอินเดีย (CEC – Centre for Communication and Education) ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือสิทธิของเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อยในประเทศ ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยได้รับความร่วมมือกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติด้วยอีกทาง ในที่สุดจึงสามารถเข้ามาพัฒนาและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ค้าชากลุ่มย่อย ๆ ให้ได้รับความเป็นธรรมในการค้าชาและทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น 

ชาจึงได้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ รวมทั้งได้มีการจัดตั้งให้วันที่ 15 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันชาสากล เพื่อระลึกถึงคุณประโยชน์ของชาและตระหนักถึงความสำคัญของเหล่าเกษตรกรตัวเล็ก ๆ ผู้ปลูกพืชซึ่งกลายเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าชนิดนี้

อ่านถึงตรงนี้ ใครที่มีถ้วยชาอยู่ในมือ โปรดยกขึ้นจิบให้สมกับคุณค่าของมัน หรือหากใครที่อยากจิบชาเพื่อสร้างบรรยากาศดีๆ บ่ายๆ นี้ลองจัดสักแก้วหนึ่ง ฉลองให้กับวันชาสากลกันนะครับ Cheers!


อ้างอิงข้อมูล : teadayblog

16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ ทรงได้รับการทูลเกล้า ฯ ถวายเหรียญทอง จากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4

สำหรับวันนี้ในแวดวงกีฬาของประเทศไทยแล้ว ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็น ‘วันกีฬาแห่งชาติ’ แต่ที่มาของวันพิเศษวันนี้ คงต้องย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2510 หรือเมื่อกว่า 53 ปีมาแล้ว

 

วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นตัวแทนของนักกีฬาทีมชาติไทย เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 (หรือชื่อในปัจจุบันคือ กีฬาซีเกมส์) ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยทรงชนะเลิศได้รับเหรียญทองในการแข่งขันเรือใบประเภท โอ.เค. ร่วมกับทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งนับเป็นหน้าประวัติศาสตร์ทางการกีฬาอันสำคัญยิ่งของประเทศไทย

 

กล่าวถึงเรือใบที่ทรงใช้แข่งขันในครั้งนั้น เป็นเรือใบที่ทรงต่อขึ้นเอง พระราชทานชื่อว่า ‘นวฤกษ์’ โดยส่วนพระองค์ทรงโปรดการเล่นเรือใบ และกีฬาประเภทอื่นๆ อีกหลายชนิด อาทิ สกี แบดมินตัน เทนนิส รวมทั้งยังทรงให้ความสำคัญต่อการซ้อมและการมีวินัยเป็นอย่างมาก

 

เพื่อเป็นการระลึกถึงพระปรีชาสามารถ ที่ทรงเป็นนักกีฬาตัวแทนของชาติไทย ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนชาวไทยเห็นคุณค่าความสำคัญของการกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย จึงได้มีมตินำเสนอคณะรัฐมนตรีลงความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2529 กำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวัน "วันกีฬาแห่งชาติ" นับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

การเล่นกีฬานอกจากให้ทำให้สุขภาพแข็งแรง ยังฝึกให้มีระเบียบ วินัย ตลอดจนมีความวิริยะ อดทน เพราะการหมั่นฝึกซ้อมด้วยความอดทน จะนำชัยชนะมาครองได้ในท้ายที่สุด

 

 

17 ธันวาคม ค.ศ. 1903 วันทดลองเครื่องบินลำแรกของโลก

ใครเลยจะคิดกันล่ะครับ ว่ามนุษย์ที่มีสองมือ สองขา และใช้ชีวิตเดินบนผืนดินมาตลอด แต่แล้ววันหนึ่ง พวกเราก็สามารถ ‘บินได้ดั่งนก’

ใช่แล้ว, เรากำลังพูดถึง ‘เจ้านกเหล็ก’ หรือ ‘เครื่องบิน’ พาหนะที่ทำให้มนุษย์บินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้สำเร็จ และวันนี้เมื่อ 117 ปีก่อน หรือวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1903 ถือเป็นวันที่เครื่องบินสามารถลอยขึ้นสู่กลางอากาศได้เป็นหนแรก

มันเป็นฝีมือของ วิลเบอร์ ไรต์ และ ออร์วิล ไรต์ สองพี่น้องตระกูลไรต์ ที่ได้ทำการทดลองนำสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า เครื่องบิน  บินขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้แรกเริ่มมันจะลอยตัวอยู่กลางอากาศที่ความสูงราว 800 ฟุต กับเวลาที่บินอยู่ได้ราว 12 วินาที แต่นั่นก็คือความสำเร็จในเบื้องต้น ที่มันถูกต่อยอดมาจากความฝันของพวกเขาที่อยากบินขึ้นไปท้องฟ้าให้จงได้

ผ่านจากวันนั้นมาถึงปี ค.ศ. 1908 พวกเขาก็สามารถพัฒนาเครื่องบินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีการออกแบบให้มีที่นั่งโดยสาร มีเครื่องยนตร์ขนาด 20 แรงม้า บินได้ระยะไกลถึง 56 กม./ชม. กระทั่งหนึ่งปีให้หลังจากนั้น คือในปี ค.ศ. 1909 ออร์วิล ไรต์ ก็สามารถขับเครื่องบินผ่านช่องแคบอังกฤษได้สำเร็จ พร้อมกับทำการจดสิทธิบัตร และถูกบันทึกไว้ว่า เป็นผู้พัฒนาเครื่องบินลำแรกของโลกนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ไม่น่าเชื่อว่า เวลาผ่านมาเพียง 100 ปีเศษๆ แต่ถึงวันนี้ วิวัฒนาการของเครื่องบินมาไกลจากจุดเริ่มต้นเป็นอย่างมาก ถ้านักประดิษฐ์ทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู วันนี้พวกเขาคงอดที่จะภูมิใจกับการบุกเบิกของตัวเองไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่สิ่งประดิษฐ์เปลี่ยนโลก แต่มันยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างให้ผู้คนในโลกนี้เชื่อมต่อกันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

18 ธันวาคม ค.ศ. 1946 วันคล้ายวันเกิด “สตีเวน สปีลเบิร์ก” อายุ 74 ปี

ผู้กำกับระดับโลกในความทรงจำของคุณเป็นใครกันบ้างครับ? แต่เราท้าพนันได้ว่า หนึ่งในความนึกคิดของคุณ ต้องมีชื่อพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดคนนี้ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’

 

สำหรับคนที่รักในการชมภาพยนตร์แล้ว ชื่อนี้การันตีคุณภาพ และไม่ใช่แค่คุณภาพธรรมดา หนังส่วนใหญ่ที่เขากำกับนั้น ส่วนใหญ่ได้ทั้งเงิน และได้ทั้งกล่อง

 

สตีเวน สปีลเบิร์ก ไม่เคยเรียนด้านภาพยนตร์ใดๆ แต่เขาเริ่มอาชีพการทำหนังตั้งแต่อายุ 16 ปี กระทั่งในราวปี พ.ศ. 2518 หนังเรื่องที่ถือเป็นการแจ้งเกิดในอาชีพผู้กำกับของเขา นั่นก็คือ Jaws หนังปลาฉลามชวนสยองที่หลายคนยังจำได้ดี และหลังจากนั้น ภาพยนตร์อีกมากมาย ก็ถูกสร้างสรรค์ออกมาจากจินตนาการของผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าจะเป็น E.T.The Extra-Terrestrial, Indiana Jones หรือหนังที่ทำให้เขาคว้ารางวัลออสการ์อย่าง Schindler list และ  Saving Private Ryan รวมไปถึงหนังสุดแสนจะสนุกตื่นเต้นอย่าง Jurassic Park

 

กว่า 52 ปีที่พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดสร้างสีสันให้กับโลกภาพยนตร์ ในวันนี้เขามีอายุครบ 74 ปี เราก็ขออวยพรให้เขามีสุขภาพแข็งแรง สร้างสรรค์ผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้ชมกันต่อไป HBD Mr.Spielberg

19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 วันคล้ายวันประสูติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย

วันนี้เป็นสำคัญของกองทัพเรือไทย เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันประสูติของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ ‘เสด็จเตี่ย’ ผู้ที่ได้รับกล่าวขานว่าเป็น ‘พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย’

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอลำดับที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมารดาคือ เจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2423

ที่มาของการได้รับการถวายสมัญญาจากกองทัพเรือว่าเป็น ‘พระบิดาของกองทัพเรือไทย’ และต่อมาได้แก้ไขเป็น ‘องค์บิดาของทหารเรือไทย’ เนื่องจากพระกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงวางรากฐานและพัฒนาปรับปรุงทหารเรือสยามให้เจริญก้าวหน้าตามแบบประเทศตะวันตก

ส่วนสาเหตุที่นักเรียนนายเรือเรียกพระองค์ว่า ‘เสด็จเตี่ย’ สันนิษฐานว่ามาจากการที่พระองค์ทรงขัดดาดฟ้าให้นักเรียนนายเรือใหม่ๆ ที่ฝึกภาคทางทะเลบนเรือหลวงพาลีรั้งทวีปดูเป็นแบบอย่าง ในปี พ.ศ. 2462 หลังจากที่ทอดพระเนตรเห็นนักเรียนเหล่านั้นทำงานนี้ด้วยท่าทางเงอะงะเก้งก้าง โดยตรัสกับพวกนักเรียนเหล่านั้นว่า “อ้ายลูกชาย มานี่เตี่ยจะสอนให้”

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์  ทรงถือเป็นแบบอย่างของนายทหารเรือที่มีความวิริยะ อุตสาหะ จนได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนพระยศมากขึ้นเป็นลำดับ โดยพระยศสุดท้าย โปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ อันเป็นตำแหน่งสูงสุดในราชการทหารเรือ

 

อ้างอิง: https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_4922

 

‘เอฟเวอร์ตัน vs อาร์เซน่อล’ เมื่อทีมฟอร์มแรงกับทีมฟอร์มหล่นมาพบกัน!

พรีเมียร์ลีกค่ำคืนวันเสาร์นี้ คงต้องโฟกัสไปที่คู่ ‘เอฟเวอร์ตัน’ เปิดบ้านพบ ‘อาร์เซน่อล’ ทั้งสองทีมนี้โคจรมาเจอกันในช่วงเวลาที่น่าสนใจ คือก่อนคริสต์มาส เอ้ย! ใช่ที่ไหนเล่า! โคจรมาเจอกันในช่วงเวลาที่ ‘สวนทาง’ กันต่างหาก

 

เอฟเวอร์ตัน เปิดตัวต้นฤดูกาลมาได้สวยๆ ชนะรวดจนเคยขึ้นไปรั้งจ่าฝูงมาแล้ว แต่มาออกอาการเป๋ๆ ในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา ล่าสุดเริ่มกลับมาตั้งลำใหม่ เก็บชัยชนะได้อีกครั้ง ซึ่งสวนทางกับอาร์เซน่อล ที่ทรงๆ ทรุดๆ และล่าสุด รั้งอันดับที่ 15 ของตาราง มีคะแนนห่างจากโซนตกชั้นอยู่แค่ 5 คะแนนเท่านั้น

 

นัดนี้อาร์เซน่อลจะต้องยกพลมาเยือนถิ่นกูดิสัน พาร์ค ของเอฟเวอร์ตัน ซึ่งหากว่ากันในภาพรวม ทรงการเล่นของทั้งสองทีมนี้คล้ายๆ กัน คือเล่นบอลกับพื้น ต่อบอลหาพื้นที่ และใช้กราบสองข้างในการเข้าทำ เอฟเวอร์ตันยุคหลังๆ พอได้เฮดโค้ชอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ มาคุมทีม สไตล์เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะ เป็นบอลที่กลางแน่น เล่นกันเข้มข้น ตัดเกมได้เมื่อไรก็ขึ้นบอลจากกราบสองข้าง ซึ่งมีทีเด็ดเพียบ ทั้งฮาเมส โรดิเกวซ ลูก้าส์ ดีญ และ อเล็กซ์ อิโวบี้ ที่ฟอร์มกำลังเข้าฝัก ส่วนกองหน้าปีนี้เขาก็มาจริงๆ นั่นคือ โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน ร้อนแรงเกินห้ามใจ

 

 

หันมาดูขุนพลอาร์เซน่อลกันบ้าง หมดสิทธิ์ใช้งาน กาเบรียล มากัลเญส ที่ติดโทษแบน ส่วนโธมัส ปาร์เตย์ กองกลางความหวังใหม่ก็บาดเจ็บซะอีก แผงกลางยังมี โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ และ ดานี่ เซบายอส จับคู่กัน เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ขี้เหร่นัก กองหน้าก็มีครบทั้ง ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมย็อง บูคาโย่ ซาก้า และ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ปัญหาที่ต้องเร่งจัดการก็คือ ผู้จัดการทีมอย่าง มิเกล อาร์เตต้า จะปลุกขวัญลูกทีมจากสภาพจิตตก ฟอร์มหล่นได้อย่างไร เพราะถ้าทำไม่ได้ ก็คงเป็นอาร์เตต้านั่นแหละ ที่อาจจะต้องบ๊ายบายยยย

 

 

สถิติของทั้งสองทีมที่เคยพบกันมากว่า 202 ครั้ง เป็นอาร์เซน่อลที่ชนะไปแค่ 57 ครั้ง เอฟเวอร์ตันเอาชนะไป 102 ครั้ง เสมอกันไป 47 ครั้ง ที่สำคัญ เอฟเวอร์ตันสามารถเอาชนะในบ้านตัวเองไปได้ถึง 70 ครั้งด้วยกัน

 

 

ฟอร์มในลีก 5 นัดหลังสุด อย่างที่บอกว่า เอฟเวอร์ตันเริ่มกลับมาสู่เส้นทางที่ดีขึ้นอีกครั้ง ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1 รั้งอันดับที่ 5 ในเวลานี้ ส่วนอาร์เซน่อล แพ้ 3 เสมอ 2 อยู่อันดับที่ 15 แต่หากดูจากเฮดทูเฮดหรือผลงานที่เจอกัน 6 นัดหลังสุด อาร์เซน่อลกลับทำผลงานได้ดีกว่า เอาชนะไปได้ถึง 4 นัด เอฟเวอร์ตันชนะได้แค่ครั้งเดียว ส่วนอีกนัดเสมอกันไป

 

 

ผลลัพธ์ที่น่าจะเป็น เอฟเวอร์ตันน่าจะปิดจ็อบในบ้านตัวเองได้ เพราะสภาพอาร์เซน่อลในเวลานี้ น่าเหนื่อยใจแทน แถมยังเป็นช่วงเวลาที่ขุนพลทอฟฟี่กำลังทำผลงานได้ดี กำลังใจนักเตะก็ดีกว่า ทีนี้ก็อยู่ที่ขุนพลเดอะกันเนอร์แล้วล่ะ ว่าจะ #เซฟอาร์เตต้า กันหรือไม่ ถ้าฮึดกันจริงๆ จังๆ ก็มีโอกาสคว้าคะแนนออกไปจากรังของทอฟฟี่สีน้ำเงินได้นะ คุณภาพบอลไม่ได้ห่างอะไรกันมากมาย ที่เหลือก็อยู่ที่ระบบระเบียบในการเล่น และสภาพจิตใจของนักเตะทั้งหมดนี่เอง #รักอาร์เตต้าแค่ไหนถามใจพวกเธอดูวว์ และแฟนๆ ก็เตรียมรอดูกันได้ คืนนี้ 00.30 น. หรือเที่ยงคืนครึ่ง ตามเวลาในบ้านเรา แล้วเจอกันนะ ปู๊นๆ

 

 

20 ธันวาคม ค.ศ. 1998 วันเกิด ‘คิลียัน เอมบัปเป้’ นักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก อายุครบ 22 ปี

ในโลกฟุตบอลยุคใหม่ มีรายชื่อนักเตะที่ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบความเป็นซูเปอร์สตาร์อยู่มากมาย แต่หนึ่งในคนที่เรากำลังจะพูดถึงนี้ เขาถูกจับตามาตั้งแต่วัยเยาว์ว่า จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นยอดนักฟุตบอลของโลกอย่างแน่นอน ซึ่งผลจากการทำนายของหลายสำนัก มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

เรากำลังพูดถึง ‘คิลียัน เอมบัปเป้’ ซูเปอร์สตาร์ชาวฝรั่งเศส ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรปารีส แซงต์.-แชร์กแมง ในลีกประเทศฝรั่งเศส แต่ก่อนหน้านี้ 2 ปี เขาคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ทีมชาติฝรั่งเศสสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 มาครองได้สำเร็จ

 

ด้วยพรสวรรค์ที่หาตัวจับยาก มีทักษะการเล่นที่ดี แถมยังมีความเร็วและแข็งแกร่ง ทำให้เอมบัปเป้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์เบอร์ต้นๆ ของโลกอยู่ในเวลานี้ และที่สำคัญ เขาคือนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก ด้วยค่าตัวราวๆ 252 ล้านยูโร หรือประมาณ 8,820 ล้านบาท แม้ในวันนี้เขาจะยังไม่ได้ย้ายสโมสรไปไหน แต่หากเมื่อไรที่เจ้าตัวมีการย้ายทีมขึ้นมา รับประกันได้ว่า โลกฟุตบอลคงได้มีการจดบันทึกสถิติค่าตัวสูงสุดใหม่อย่างแน่นอน

 

วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของซูเปอร์สตาร์คนนี้ เขาเพิ่งมีอายุครบ 22 ปี หนทางในการเป็นซูเปอร์สตาร์เบอร์ 1 ของโลกลูกหนังนั้นยังอีกยาวไกล...

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top