Wednesday, 9 July 2025
NewsFeed

ออสเตรเลียตามหาด่วน ไวรัส 323 หลอด หายจากแล็บ หวั่นถูกใช้ทำอาวุธชีวภาพ

(11 ธ.ค.67) ทางการรัฐควีนส์แลนด์เปิดเผยว่า หลอดบรรจุไวรัสชนิดร้ายแรงจำนวน 323 หลอดได้หายไปจากห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยาของหน่วยงานด้านสาธารณสุข ส่งผลให้รัฐบาลออสเตรเลียสั่งการให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขของรัฐควีนส์แลนด์ดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์นี้ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นการละเมิดมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพครั้งใหญ่ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2564 แต่ได้รับการยืนยันเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่าหลอดบรรจุไวรัสอาจหายไปหลังจากตู้แช่ไวรัสเกิดความเสียหาย

รายงานระบุว่า รัฐบาลรัฐควีนส์แลนด์ได้เริ่มการสอบสวนอย่างเป็นทางการ แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าหลอดบรรจุไวรัสที่หายไปนั้น ถูกขโมยหรือถูกทำลายแล้ว นอกจากนี้ ยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงหรืออันตรายต่อประชาชน 

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ชี้ว่า ไวรัสที่อันตรายเหล่านี้จะตายอย่างรวดเร็วเมื่อนอกตู้แช่และไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ โดยทางการยืนยันว่าแม้ตัวอย่างไวรัสเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในการผลิตอาวุธชีวภาพได้ แต่ต้องอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสูง โดยไวรัสที่หายไปประกอบด้วย

ไวรัสเฮนดรา (Hendra virus) เป็นไวรัสที่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน พบเฉพาะในออสเตรเลียและมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 57% ไวรัสนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2537 หลังเกิดการระบาดในม้าแข่ง 21 ตัวและมนุษย์ 2 คน ที่เมืองเฮนดรา ชานเมืองบริสเบน องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าไวรัสชนิดนี้มีต้นกำเนิดจากค้างคาวผลไม้

ไวรัสฮันตา (Hantavirus) เป็นไวรัสที่แพร่จากสัตว์สู่คน มีต้นกำเนิดจากหนูและแพร่ผ่านมูล ปัสสาวะ และน้ำลายของหนู เมื่อติดเชื้อจะทำให้เกิดโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสฮันตา อาการทั่วไปได้แก่ ไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ ท้องเสีย และของเหลวในปอด ศูนย์ป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่าไวรัสชนิดนี้มีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 38%

ลิสซาไวรัส (Lyssavirus) เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคพิษสุนัขบ้า ติดต่อได้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสชนิดนี้ประมาณ 59,000 คนทั่วโลก

ตร.โสมใต้ค้นทำเนียบประธานาธิบดี หาหลักฐาน 'ยุนซอกยอล' ปมกฎอัยการศึก

(11 ธ.ค.67) สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า ตำรวจเกาหลีใต้ได้บุกเข้าตรวจค้นทำเนียบประธานาธิบดี เพื่อสืบสวนข้อกล่าวหาว่า ประธานาธิบดียุน ซอกยอล ได้ก่อการกบฏด้วยการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ตามรายงานจากสำนักงานสืบสวนแห่งชาติ ซึ่งสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะเจ้าหน้าที่สืบสวนจำนวน 18 นาย ได้เข้าค้นหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกาศกฎอัยการศึก รวมถึงบันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรีที่จัดขึ้นไม่นานก่อนที่ประธานาธิบดียุนจะประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม

หมายค้นระบุว่า ประธานาธิบดียุนเป็นผู้ต้องสงสัย โดยมีสถานที่เป้าหมายในการตรวจค้น ได้แก่ ทำเนียบประธานาธิบดี ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี และหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดี

รายงานก่อนหน้านี้ระบุว่า ประธานาธิบดียุนไม่ได้อยู่ในอาคารขณะที่มีการตรวจค้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ

ประธานาธิบดียุนถูกระบุเป็นผู้ต้องสงสัยในข้อหาก่อการกบฏ และถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งนับเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกที่ถูกห้ามเดินทางขณะยังดำรงตำแหน่ง

ตำรวจสงสัยว่าประธานาธิบดียุนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการวางแผนก่อการกบฏ ซึ่งขณะนี้การสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป

เปิดประวัติ ‘รองเอ็ด พ.ต.ท.อนุรักษ์’ ผู้ท้าชิงนายก อบจ.ตาก คนนี้ไม่ธรรมดา อดีตผู้ช่วย รมว.ดีอี - สนิทมือขวาลุงตู่

(11 ธ.ค.67) ภายหลังจากเกิดกระแสคนตาก อยากเปลี่ยน ทำให้กระแสของ รองเอ็ด - พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร ผู้สมัคร หมายเลข 2 ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.ตาก เข้มข้น ขึ้น เพราะ รองเอ็ด เคยเป็น ถึงผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำงานปราบปราม อาชญากรรม ออนไลน์ ช่วยเหลือคนที่ถูกโกงถูกหลอกออนไลน์  รองเอ็ด นามสกุลเดิม 'เครือฟั่น' ได้รับ พระราชทานนามสกุลจาก ในหลวง ร.9 เป็น 'จิรจิตร'  

ประวัติการการศึกษา จบมัธยมตอนปลาย โรงเรียนตากพิทยาคม โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 29 รุ่นเดียว เสธฯ นิว พล.อ.นิธิ จึงเจริญ เสธฯนุ้ย พล.ท.ฐิตวัชร์ เสถียรทิพย์ สองเสธฯ ข้างกายของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา อดีต นายกรัฐมนตรี ปัจจุบันเป็นองคมนตรี ระดับปริญญาตรี จบโรงเรียนนายเรือ ในส่วนของตำรวจน้ำ นอกจากนีปี้ ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่น หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูงรุ่นที่ 25 (ปปร.25) กับ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เเละนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน  

นอกจากนี้ ยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผบ.ตร เพราะ เคยทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ตอนสมัยเป็นผู้หมวดผู้กอง ที่กองกำกับการสายตรวจ 191 นอกจากนี้ ยังลงไปทำงาน ไปปฏิบัติราชการชายแดน ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าสู่การเมือง เข้าสังกัด พรรคพลังประชารัฐ สมัยพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และต่อมาก็ดำรงตำเเหน่งกรรมการ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมทำงาน กับ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ตอนเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รับผิดชอบเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ช่วงที่แก็งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนัก ร่วมแก้ปัญหาให้ประชาชนรู้เท่าทันมิจฉาชีพทางออนไลน์ที่ตกเป็นเหยื่อกลโกงรูปแบบ แก้ไขปัญหาข่าวปลอมที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านสายด่วน การปราบปรามแก็งคอลเซ็นเตอร์ ร่วมกับ ตำรวจไซเบอร์ เป็นต้น

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ย้ำ ‘รัฐบาล’ หนุนสร้างระบบสถิติให้เข้มแข็งเพื่อรองรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เชื่อมั่นข้อมูลคุณภาพสูงเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนประเทศ 

(11 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยนางปิยนุช วุฒิสอน  รองปลัดกระทรวงฯ และนายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมคณะกรรมการสถิติภายใต้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) ครั้งที่ 9 โดยนายประเสริฐ ร่วมกล่าวปาฐกถาพิธีเปิดการประชุม ‘สัปดาห์สถิติแห่งเอเชียแปซิฟิก’ ได้เน้นย้ำความสำคัญของข้อมูล และสถิติในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยและภูมิภาคอย่างยั่งยืน ซึ่งข้อมูล 

นายประเสริฐ กล่าวว่า นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจะช่วยให้สามารถผลิตข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิผล และส่งเสริมการไหลเวียนข้อมูลได้อย่างเท่าเทียมและปลอดภัย

“รัฐบาลไทยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาประเทศ  โดยมีสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นแกนหลักในการสร้างระบบข้อมูลที่เข้มแข็งเพื่อรองรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งนอกจากการเข้าถึงข้อมูลแล้ว ข้อมูลต้องมีความถูกต้อง ทันเวลา และละเอียด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายพร้อมกับการพัฒนาระบบทางสถิติให้มีความคล่องตัว สามารถตอบสนองความต้องการข้อมูลในปัจจุบัน ทั้งนี้การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างความเชื่อมั่นว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังนั้น จำเป็นต้องมีข้อมูลที่มีคุณภาพสูงเข้าถึง เชื่อถือได้ และอาศัยความร่วมมือและสนับสนุนจากทุกภาคส่วน จึงจะสามารถเสริมสร้างระบบข้อมูลด้านสถิติให้มีความเข้มแข็งได้อย่างต่อเนื่อง” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว 

ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค รวมทั้งหารือเกี่ยวกับการดำเนินการที่สำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 โดยมีผู้แทนด้านสถิติจากประเทศสมาชิกเอสแคป มากกว่า 40 ประเทศเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แบ่งปันความรู้ความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังได้กล่าวแสดงความขอบคุณเอสแคปและทุกภาคส่วนที่ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของระบบสถิติที่เข้มแข็งและการร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของภูมิภาค

รมว.กต.เผยเยือนออสเตรเลียกระชับความร่วมมือรอบด้าน ทั้งความมั่นคงมนุษย์-อาหาร-พลังงาน-หลักสูตรส่งเสริมปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมชวนลงทุนในประเทศไทย 

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยระหว่างการเดินทางเยือนนครแอดิเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย 'เพนนี หว่อง' เชิญเดินทางเยือน และได้มีการวางแผนการเยือนล่วงหน้าแล้วกว่า 3 เดือน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และส่งเสริมความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ระหว่างไทย และออสเตรเลีย ให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ก่อนที่การประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือ Thailand-Australia Biennial Foreign Ministers’ Meeting ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 2 ปี ระหว่างไทย-ออสเตรเลียจะเริ่มต้นขึ้นว่า พัฒนาการความร่วมมือไทย-ออสเตรเลียนั้น ฝ่ายออสเตรเลียพร้อมสนับสนุนประเทศไทย ทั้งการจัดสรรงบประมาณจำนวน 222.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย สำหรับโครงการ Mekong-Australia Partnership ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ทั้งด้านการฝึกอบรม การบริหารจัดการน้ำ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งยังพร้อมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม OECD Southeast Asia Regional Programme หรือ SEARP ของไทย ซึ่งเน้นบทบาท และความมุ่งมั่นของไทยในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และออสเตรเลีย ยังพร้อมจะร่วมมือกับประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเกษตร อาหาร ยา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม

นายมาริษ ยังเปิดเผยอีกว่า ในการประชุมฯ ดังกล่าว ยังได้หารือเรื่องการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความมั่นคงของมนุษย์ อาหาร และพลังงาน ให้เป็นรูปธรรม โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ และในภูมิภาค โดยตนเองได้นำเสนอศักยภาพ และข้อได้เปรียบของประเทศไทย ซึ่งมีที่ตั้งในทำเลยุทธศาสตร์ สามารถเสริมสร้างความเชื่อมโยง ระหว่างออสเตรเลียกับภูมิภาคเอเชียตะวันออก, เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ โดยได้ยกตัวอย่าง EEC ที่ท่าเรือระนอง ตลอดจนโครงการ Landbridge ให้ได้รับทราบ พร้อมทั้งยังได้เชิญชวนให้ฝ่ายออสเตรเลียมาลงทุน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ได้ให้ความสนใจ และเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีท่ามกลางการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ 

นายมาริษ ยังเปิดเผยอีกว่า ก่อนประชุมฯ ดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ได้นำชมสถาบัน Australian Institute for Machine Learning หรือ AIML ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำด้านการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ โดยเน้นประโยชน์ด้าน พลังงาน การจัดการข้อมูล และการคำนวณ ซึ่งตนเห็นว่า ภารกิจและความเชี่ยวชาญของสถาบันฯ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เรื่องการส่งเสริมอุตสาหกรรม และ Workforce สำหรับอนาคต โดยคำนึงถึงการหาสมดุล ระหว่างการจัดเก็บข้อมูลกับความเป็นส่วนตัว จึงได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทย ประจำออสเตรเลียแสวงหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือ ระหว่าง AIML กับสถาบันการศึกษาในไทย เพื่อจัดตั้ง School of AI ในการพัฒนาบุคลากร องค์ความรู้ และเทคโนโลยี AI ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible AI) ต่อไป

ทั้งนี้ ประเทศออสเตรเลีย เป็นคู่ค้าอันดับ 7 ของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 10 ของออสเตรเลีย ซึ่งระหว่างไทยและออสเตรเลียนั้น มูลค่าการค้ารวมกว่า 19,054.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้ดุลการค้ากว่า 5,375.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประเทศไทย มีการส่งออกไปออสเตรเลียประมาณ 12,214.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าสำคัญได้แก่ รถยนต์, อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง, เม็ดพลาสติก และเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ส่วนประเทศไทย มีการนำเข้าสินค้าจากออสเตรเลีย จำนวนราว 6,839.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ พืช และผลิตภัณฑ์จากพืช สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะ และผลิตภัณฑ์ถ่านหิน และเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่ง และทองคำ เป็นต้น

นอกจากนั้น ประเทศไทย มีภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการลงทุนในออสเตรเลียโดยรวมประมาณ 7,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาทิ ปตท.สผ., บริษัทมิตรผล, บริษัทราช เครือไมเนอร์ และบริษัทบ้านปู และออสเตรเลียเอง มีการลงทุนในประเทศไทย จำนวนประมาณ 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาทิ บริษัท Linfox, บริษัท Anca Manufacturing 

สำหรับตัวเลขด้านการท่องเที่ยวนั้น มีนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยรวม 687,745 คน ขณะที่นักท่องเที่ยวไทย ไปท่องเที่ยวที่ออสเตรเลียรวม 107,320 คน รวมทั้งยังมีคนไทยในออสเตรเลีย จำนวน 113,751 คน แบ่งเป็นเป็นนักเรียน-นักศึกษา 25,887 คน โดยถือเป็นประเทศที่มีจำนวนนักเรียน-นักศึกษาในออสเตรเลียมากเป็นอันดับ 7 รองจากจีน, อินเดีย, เนปาล, โคลอมเบีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงยังมีร้านอาหารไทยในออสเตรเลีย ประมาณ 2,200 ร้าน และคนออสเตรเลียในประเทศไทย ประมาณ 35,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ

ทรภ.2/ศรชล.ภาค 2 พบปะพี่น้องชาวเลเมืองคอน สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของ ทร. และ ศรชล. 

เมื่อวานนี้ (11 ธ.ค.67) พลเรือโท นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2 (ผบ.ทรภ.2/ผอ.ศรชล.ภาค 2) เป็นประธานในกิจกรรม 'ทัพเรือภาคที่ 2 และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2 พบปะพี่น้องชาวเลเมืองคอน' ณ ชายหาดแพรกเมือง ตำบลหน้าสตน อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทัพเรือภาคที่ 2 และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2 หน่วยงานราชการในพื้นที่ สมาชิกไทยอาสาป้องกันชาติในทะเล เขตทัพเรือภาคที่ 2 สมาชิกมดดำนาวี เยาวชน นักเรียน นักศึกษาและ ประชาชนจิตอาสาในพื้นที่ร่วมกิจกรรม 

ในกิจกรรมดังกล่าว มีการสาธิตการปฏิบัติในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ (HADR) การส่งกลับสายแพทย์ การแสดงนิทรรศการ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และกิจกรรมการเก็บขยะชายหาด ตามโครงการจิตอาสาพระราชทาน 'เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ' 

กิจกรรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของกองทัพเรือและศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาศักยภาพของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ ในการสนับสนุนการรักษาความมั่นคง และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล

'พีระพันธุ์' ลั่นบนเวที 4 ปี THE STATES TIMES ขอดิสรัปนโยบายพลังงาน เพื่ออนาคตของคนไทย

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้าร่วมงานครบรอบ 4 ปีการก่อตั้งสำนักข่าว THE STATES TIMES พร้อมได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ 'Powering the future, Revolutionizing the energy landscape' ณ SCBX Next Tech ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

การกล่าวปาฐกถาพิเศษในครั้งนี้ของนายพีระพันธุ์ เป็นการเน้นย้ำถึงนโยบาย “รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง พลังงานไทย” โดยระบุว่า ที่ผ่านมาคำว่า 'ปฏิรูป' เป็นคำที่ถูกพูดถึงในการเปลี่ยนแปลงประเทศ แต่ตอนนี้หลายเรื่องเลยคำว่า 'ปฏิรูป' ไปมากแล้ว เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่ต้องปฏิรูป แต่ต้องรื้อทิ้ง โดยเฉพาะระบบราชการ เพราะถ้ารื้อได้ การใช้ชีวิตและการทำธุรกิจของประชาชนก็จะง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก

นายพีระพันธุ์ ได้ยกตัวอย่างปัญหาที่สะท้อนเรื่องนี้ได้ดี อย่างปัญหาราคาน้ำมัน ที่ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาราคาน้ำมันสามารถปรับขึ้นลงได้ตามใจชอบของผู้ประกอบการ ซึ่งนั่นเป็นเพราะไม่มีกลไกของคณะกรรมการฯที่จะมาควบคุมการขึ้นลงของราคาน้ำมัน อีกทั้งยังไม่มีใครทราบต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมัน ซึ่งนั่นทำให้คนไทยต้องจ่ายค่าน้ำมันในราคาแพง

ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศไทยจะไม่มีน้ำมันสำรองที่เป็นของรัฐเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน โดยที่มีอยู่เป็นเพียงคลังน้ำมันสำรองของภาคเอกชนที่จะใช้ได้เพียง 25 วันหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ต่างจากประเทศสากลที่รัฐจะมีคลังน้ำมันสำรองของตัวเองไว้ใช้อย่างน้อย 90 วัน

ดังนั้นขณะนี้จึงเป็นเวลาแห่งการรื้อถอนระบบน้ำมันและพลังงานไทย โดยตัวเองเตรียมออกกฎหมาย 3 ฉบับ ประกอบด้วย กฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ที่จะมีคณะกรรมการมากำกับดูแลราคาน้ำมันและชี้แจงตรวจสอบได้ว่าทำไมราคาน้ำมันจึงขึ้นหรือลง ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ค้าน้ำมันกำหนดราคาได้เองตามต้นทุนที่แท้จริง ที่สำคัญที่สุด คือ ประชาชนจะได้ทราบราคาต้นทุนที่แท้จริงของน้ำมันอย่างที่ไม่เคยทราบมาก่อน กฎหมายฉบับที่สอง คือ กฎหมายการจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve) ที่จะมาช่วยสร้างความมั่นคงให้ประเทศชาติและประชาชน เพื่อให้รัฐมีคลังน้ำมันสำรองที่เป็นของตัวเอง และกฎหมายฉบับสุดท้าย คือ การสนับสนุนให้ประชาชนได้ใช้โซลาร์เซลล์อย่างเสรีและเข้าถึงได้อย่างแท้จริง ผ่านการออกกฎหมายอนุญาตส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์) ที่จะเปลี่ยนจากการขออนุญาตใช้เป็นแจ้งให้ทราบในการใช้โซลาร์เซลล์แทน

สำหรับร่างกฎหมาย 3 ฉบับนี้คาดว่าจะเริ่มเข้าสภาได้ในช่วงต้นปีหน้า พร้อมกันนี้นายพีระพันธุ์ ย้ำด้วยว่า ตอนนี้โลกอยู่ในยุค Disruption ที่จำเป็นทุกคนต้องปรับตัว เพื่อให้อยู่รอดและไม่ให้เกิดปัญหา

"ที่บอกว่า Disruption ตัวเองจะเป็นคน Disruption ระบบพลังงานไทย แต่จะไม่ยอมให้ใครมา Disruption ประชาชน และต้องคืนอำนาจให้ประชาชนอย่างแท้จริง นี่คือนโยบายรื้อ-ลด-ปลด-สร้าง"

ท้ายสุดนายพีระพันธุ์ ได้กล่าวแสดงความยินดีและอวยพรกับสำนักข่าว THE STATES TIMES พร้อมร่วมถ่ายรูปกับผู้บริหารของ THE STATES TIMES ด้วย

ภายในงานยังมีการกล่าวปาฐกถาพิเศษโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในหัวข้อ 'Industry 4.0 revolution industry for smart manufacturing' และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในหัวข้อ 'Digital Economy: การพัฒนาอีกชั้นในยุคดิจิทัล' พร้อมทั้งยังมีเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของเมืองไทยมาร่วมในงานด้วย

สำหรับสำนักข่าว THE STATES TIMES ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2563 โดยจัดเป็นสำนักข่าวออนไลน์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกอย่างรอบด้าน

'เอกนัฏ' ขึ้นเวที 4 ปี THE STATES TIMES ชูไอเดียดิสรัปอุตสาหกรรม สู่ Industry 4.0

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.67) เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรคร่วมไทยสร้างชาติ เข้าร่วมงานครบรอบ 4 ปีการก่อตั้งสำนักข่าว THE STATES TIMES พร้อมทั้งได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ 'Industry 4.0 Revolution industry for Smart Manufacturing' ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

นายเอกนัฏ กล่าวว่า "ขอแสดงความยินดีต่อสำนักข่าว THE STATES TIMES ในโอกาสครบรอบ 4 ปี ผมมั่นใจว่า THE STATES TIMES สามารถอยู่บนจุดยืนความเป็นสื่อที่เป็นกลางจะสามารถฝ่า Distruption ต่าง ๆ ไปได้อย่างแน่นอน" ในการนี้นายเอกณัฐ ยังกล่าวชื่นชมนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่า ตลอดเวลาการทำงานพีระพันธุ์คือมนุษย์แห่ง Distruption อย่างแท้จริงตั้งแต่โครงการโฮปเวลจนถึงการบินไทย และสองปีล่าสุดในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 

เอกนัฏ เผยว่า สำหรับตัวเขากว่าจะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ ก็ลำบากยากเย็น กว่าจะฝ่าด่านมาได้ก็ลำบาก เมื่อเป็นรัฐมนตรีผมก็มาตรวจสอบสถานะของอุตสาหกรรมไทยที่ยังไม่สู้ดี เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นจากโควิด หนี้ครัวเรือนก็ยังอยู่ในสภาวะฝืดเคืองหากมองในแง่จีดีพี สัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมไม่ปรับตัวเปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของโลก 

เอกนัฏ เปรียบว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยเสมือน Cash Cow ที่ผลิตสินค้าแบบใดก็ผลิตแบบนั้นมาตลอด แต่เมื่อโลกเปลี่ยนจึงต้องถูกบีบให้ปรับตัว "ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ฐานเดิมผลิตรถยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันโลกผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่ปรากฏว่าปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าขายดีกว่ารถสันดาป เห็นได้จากยอดจองรถยนต์ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปโลกถูกดิสรัปด้วยยานยนต์ไฟฟ้า"

"เมื่อเราย้อนกลับมาดูบ้านเรายังปรับตัวไม่ทัน ภาคอุตสาหกรรมก็ผลิตแต่สินค้าเดิมๆ ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ตามที่ท่านหัวหน้าพรรคคิดนโยบายรื้อลดปลดสร้างในฐานะรมว.พลังงาน ผมก็คิดว่าจะสร้างภาคอุตสาหกรรมควรทำแบบนั้นเช่นกัน" เอกนัฏ กล่าว

เอกนัฏ เผยอีกว่า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งของสหรัฐ กำลังจะเป็นผลดีให้กับประเทศไทยที่ผู้ประกอบการรายใหญ่จะย้ายฐานเข้ามาไทย นับว่าเป็นโชคดีของประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการแข่งขันของชาติอื่นในอาเซียน ประเทศไทยก็ต้องแข่งขันกับชาติเพื่อนบ้านให้ได้เช่นกัน

เรื่องนี้ถือเป็นโจทย์ให้กระทรวงอุตสาหกรรมที่เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ไทยควรปรับฐานการผลิตในประเทศจากฐานรถยนต์สันดาปไปสู่ไฟฟ้า "แต่ก่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่สนใจปรับตัวสู่ไฟฟ้า แต่เมื่อถูกดิสรัปอุตสาหกรรมยานยนต์จึงถูกบีบบังคับให้เป็นต้องปรับสู่ไฟฟ้าเช่นกัน"

เอกนัฏเผยว่าก่อนหน้านี้เขาเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น มีบรรดาผู้บริหารค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นเข้ามาหารือเป็นจำนวนมาก ทุกค่ายต่างเห็นพ้องที่จะเปลี่ยนมาผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการออกสิทธิ์พิเศษด้านภาษี เพื่อเอื้อต่อภาคเอกชนปรับตัวและลงทุนเพิ่มเติมในประเทศไทยจากการผลิตชิ้นส่วนและเครื่องยนต์สันดาปเป็นหลัก มาสู่การผลิตชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ไฮบริดหรือไฟฟ้าล้วน

"ต่อไปนี้ไม่เห็นข่าวปิดโรงงานค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นอีกต่อไปแล้ว ประเทศไทยจะได้รับการลงทุนอีกนับแสนล้านบาท" รมว.อุตสาหกรรมกล่าว ยังเผยอีกว่า นอกจากค่ายรถญี่ปุ่นแล้ว บรรดาค่ายรถจีนที่นิยมเข้ามาตั้งโรงงานในไทยเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็มีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นโอกาสของประเทศไทย

นอกจากนี้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นายเอกนัฏเผยว่า กำลังหารือให้ภาคอุตฯดังกล่าวเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ขณะที่ด้านอุตสาหกรรมเกษตร ในฐานะเลขาฯพรรคร่วมไทยสร้างชาติ เขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐมนตรีพลังงานในการนำพืชเศรษฐกิจด้านพลังงานมาใช้ให้มากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังสนับสนุนในการปฏิรูประบบราชการเพื่อให้เอกชนสามารถขอใบอนุญาตเพื่อการลงทุนได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

รมว.อุตสาหกรรมยังเผยถึงประเด็นการสนับสนุนภาคเอกชนในการขอใบอนุญาตตั้งกิจการว่า อนาคตจะมีการนำ AI มาช่วยในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน โดยอาจจะต้องมีการปรับปรุงพรบ.โรงงานที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมเช่นกัน นอกจากนั้นในด้านผลกระทบจากการผลิตในอุตสาหกรรมนั้น เอกนัฏ เผยว่า ในฐานะรัฐมนตรีอุตสาหกรรม นอกจากรับผิดชอบเรื่องการลงทุนแล้ว ยังต้องรับผิดชอบเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย เขามีเป้าหมายการฟื้นอุตสาหกรรมไทยให้ได้ 1% ของจีดีพีนั้น จะต้องไม่กระทบต่อประชาชนโดยเฉพาะกากอุตสาหกรรมก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน

"จับหมดครับ สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานลงดัมพ์ตลาดไทย เรามีทีมจับกุม จับทุกที จับทุกเวลา เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมไทย" เอกนัฏ กล่าว นอกจากนี้ยังมีแผนร่วมมือกับแอปพลิเคชัน Traffy Fondue ในการรับเรื่องร้องเรียนจากประชาสังคมเพื่อจัดการกับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน

เอกนัฏ กล่าวต่อว่า แม้จะมีการลงทุนมากมายจากต่างชาติ แต่สุดท้ายคนไทยต้องได้รับประโยชน์ คนไทยต้องได้รับการจ้างงาน คนไทยต้องได้พัฒนาทักษะด้านอุตสาหกรรมจากการลงทุนดังกล่าว ทั้งหมดนี้เป็นภารกิจที่เดินหน้าสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ 

“เราตั้งใจว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า ภาคอุตสาหกรรมจะกลับมาเติบโต เพิ่มจีดีพีอย่างน้อย 1% โดยไม่พึ่งงบประมาณของภาครัฐ เราทำทันที ทำทุกวินาที ทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อเติมเต็มศักยภาพของเศรษฐกิจไทย"

เอกนัฏยังเผยว่า หากหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติทำเรื่องพลังงาน ในฐานะรัฐมนตรีอุตสาหกรรมเขาจะทำเรื่องกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตอนนี้ ได้ร่างกฎหมายฉบับนี้เสร็จเรียบร้อย ร่างกฎหมายนี้จะให้อำนาจเจ้าหน้าที่จัดการผู้ประกอบการจัดการกับขยะอุตสาหกรรมอย่างไม่เหมาะสม นอกจากนี้เรายังสนับสนุนการรีไซเคิลเช่นกัน เรามีแผนจะร่างกฎหมายด้านการผลิตจากชิ้นส่วนรีไซเคิล เพราะในฐานะที่ประเทศไทยจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว เราควรมีมาตรการรีไซเคิลในด้านนี้ด้วยเช่นกัน 

"หากท่านพีระพันธุ์ดิสรัปพลังงานแล้ว ผมเอกนัฏขอดิสรัปภาคอุตสาหกรรมครับ" 

ภายในงานยังมีการกล่าวปาฐกถาพิเศษโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษภายใต้หัวข้อ Powering the future, Revolutionizing the energy landscape และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในหัวข้อ “Digital Economy: การพัฒนาอีกชั้นในยุคดิจิทัล” พร้อมทั้งยังมีเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของเมืองไทยมาร่วมในงานครบรอบ 4 ปีของการก่อตั้ง THE STATES TIMES อีกด้วย ทั้งนี้ สำหรับสำนักข่าว THE STATES TIMES ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2563 โดยจัดเป็นสำนักข่าวออนไลน์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกอย่างรอบด้าน

ชัยวุฒิโชว์ไอเดียเวที THE STATES TIMES หนุนเศรษฐกิจดิจิทัลไทย สู้ภัยอาชญากรรมออนไลน์

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เข้าร่วมงานครบรอบ 4 ปีการก่อตั้งสำนักข่าว THE STATES TIMES พร้อมทั้งได้ขึ้นกล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘Economic Development In the Digital Age’ ณ SCBX Next Tech ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้ คนไทยคุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีกันมามากพอสมควร ซึ่งเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี หรืออินเทอร์เน็ตมากกว่า 90% แล้ว เช่น การซื้อของออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ การทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านออนไลน์ และระบบจ่ายเงินที่เรียกว่า 'พร้อมเพย์' ที่ร่วมมือกันระหว่างธนาคาร สถาบันการเงิน กับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่พัฒนาระบบที่เรียกว่า 'mobile banking' ซึ่งทำให้เป็นรากฐานให้เศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยเติบโตมาอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

รัฐบาลในอดีตหลายรัฐบาลได้วางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ทำให้ทุกวันนี้ ในเมือง ในพื้นที่ชุมชนทั้งหมด สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในราคาที่จับต้องได้ มีระบบ 5G ที่เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลที่แล้ว ทำให้ใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ตโฟนอย่างสะดวกและรวดเร็ว

นายชัยวุฒิกล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ ไทยของเราเป็นฮับของอาเซียน หรือศูนย์กลางด้านดิจิทัลในภูมิภาคนี้ นักลงทุนจากทั่วโลกให้ความสนใจประเทศไทย ซึ่งหากเกิดการเชื่อมโยงกับเมียนมา ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ จะทำให้เกิดธุรกิจใหม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง

"และล่าสุดก็เริ่มเกิด เอไอคลาวด์ แล้ว เช่น อินวิเดียร์ ที่ทำชิปฯ ประมวลผลด้านกราฟิกจากเอไอ ซึ่งก็จะร่วมลงทุนธุรกิจในเมืองไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อ เพราะนี่จะเป็นอนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยที่ต้องขับเคลื่อนกันต่อไป" นายชัยวุฒิกล่าว

นายชัยวุฒิได้กล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านของประเทศทางเทคโนโลยีของประเทศไทยด้วย โดยระบุว่า สิ่งที่เราควรทำอย่างยิ่งคือการออกกฎหมาย กำกับดูแล เพื่อช่วยคนตัวเล็ก วันนี้ปัญหาที่เกิดจากการใช้ดิจิทัลในเมืองไทยคือความเหลื่อมล้ำ เราต้องกระจายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไปยังพื้นที่ห่างไกล เช่น ชนบท ป่า ทะเล หมู่เกาะ หรือพื้นที่แถบชายแดน 

บริการดาวเทียมให้บริการอินเทอร์เน็ตในไทย หมดสัมปทานไปแล้วกว่า 30 ปี แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ชื่อว่า Low Earth Orbit หรือ LEO ซึ่งจะทำให้คนใช้อินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้ในทุกพื้นที่บนโลก ซึ่ง บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กำลังดำเนินการเรื่องนี้และเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่ทำธุรกิจในเมืองไทย 

"ผมอยากจะผลักดันให้ NT เปิดบริการธุรกิจ Satellite Broadband ให้เร็วที่สุดเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีได้ครอบคลุม" นายชัยวุฒิกล่าว

นอกจากนี้ นายชัยวุฒิยังได้กล่าวถึงปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ในไทยด้วยว่า ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์เป็นเรื่องสำคัญ ผมติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลา และตั้งแต่เมื่อตอนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมก็ได้ให้ความรู้และปัญหาให้แก่ประชาชน และก่อนที่จะพ้นตำแหน่งได้ออกพระราชกำหนด การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ด้วย

ก็ต้องยอมรับว่าการใช้เทคโนโลยีออนไลน์ มีปัญหาอย่างมากเพราะประชาชนถูกหลอกให้ทำธุรกรรมทางการเงิน โดนหลอกโอนเงินผ่านบัญชีม้า จึงได้ออกกฎหมายกำหนดให้การเปิดบัญชีม้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากรับจ้างเปิดบัญชีจะมีโทษจำคุก 3 ปี หรือหากถูกหลอกโอนเงินไปแล้วสามารถแจ้งต่อธนาคารเพื่ออายัดบัญชีนั้น ๆ ได้ทันที เพื่อจะได้นำเงินคืนกลับมาได้อย่างเร็วที่สุด

นายชัยวุฒิกล่าวต่อว่าก็ขอฝากการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพียงแค่การโกงผ่านไลน์ หรือโอนเงินแล้ว แต่มีอาชญากรรมออนไลน์ที่เรียกว่า 'ดีปเฟค' เป็นการใช้ เอไอ ปลอมเป็นคนอื่น ๆ ทั้งหน้าตา น้ำเสียง ดังนั้นรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องลงมาดูและแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

"เศรษฐกิจดิจิทัลจะเติบโตไม่ได้เลย หากเราไม่คุ้มครองดูแลความปลอดภัยของประชาชน" นายชัยวุฒิกล่าวปิดท้าย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการกล่าวปาฐกถาพิเศษโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในหัวข้อ 'Powering the future, Revolutionizing the energy landscape' และ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในหัวข้อ 'Industry 4.0 revolution industry for smart manufacturing' พร้อมทั้งยังมีเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของเมืองไทยมาร่วมในงานครบรอบ 4 ปีของการก่อตั้ง THE STATES TIMES อีกด้วย

สำหรับสำนักข่าว THE STATES TIMES ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2563 โดยจัดเป็นสำนักข่าวออนไลน์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกอย่างรอบด้าน ชัดเจน เป็นกลาง และเป็นธรรม

'โดนัลด์ ทรัมป์' ผงาด Time's Person of the Year กลับมารอบนี้เปลี่ยนบทบาทสหรัฐฯ บนเวทีโลก

(13 ธ.ค.67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับเลือกเป็น 'บุคคลแห่งปี' (Person of the Year) ประจำปี 2024 ของนิตยสารไทม์ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองที่เขาได้รับเกียรตินี้ โดยก่อนหน้านี้เขาเคยได้รับตำแหน่งดังกล่าวในปี 2016 หลังชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรก

ในแถลงการณ์ของนิตยสารไทม์ ระบุถึงเหตุผลในการเลือกนายทรัมป์ว่า "สำหรับการกลับมาครั้งประวัติศาสตร์ การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในหนึ่งชั่วอายุคน และการเปลี่ยนบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลก ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นบุคคลแห่งปี 2024"  

แซม เจคอบส์ บรรณาธิการบริหารของนิตยสารไทม์ กล่าวว่า นายทรัมป์คือผู้ที่มีอิทธิพลต่อข่าวสารทั่วโลกมากที่สุดในปี 2024 ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือแง่ลบก็ตาม ซึ่งทำให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากได้รับการประกาศตำแหน่ง นายทรัมป์ได้เดินทางไปลั่นระฆังเปิดตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเมื่อช่วงเช้าวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เขาเติบโตมาจากจุดเริ่มต้นก่อนก้าวสู่เวทีการเมืองสหรัฐฯ โดยนายทรัมป์แสดงความรู้สึกว่า "ถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับตำแหน่งนี้เป็นครั้งที่สอง และผมคิดว่าครั้งนี้ยิ่งมีความหมายมากกว่าครั้งก่อนเสียอีก"

ที่ผ่านมา นิตยสารไทม์ได้มอบตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับบุคคลทรงอิทธิพลจากหลากหลายวงการ เช่น อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา, ประธานาธิบดีโจ ไบเดน, ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน, สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส และมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตา ส่วนผู้ได้รับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้วคือเทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังชาวอเมริกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top