Tuesday, 8 July 2025
NewsFeed

'พีระพันธุ์' นำทีม!! รัฐมนตรีจาก ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศล แด่ในหลวง ร.9

(5 ธ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน พร้อมด้วยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรมว.อุตสาหกรรม และนายสุชาติ ชมกลิ่น สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรมช.พาณิชย์ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

‘สรยท.’ จับมือ ‘EVAT’ จัดเสวนา ในงาน ‘Motor Expo’ ชวน!! เช็คลิสต์ความพร้อม การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า

เมื่อวานนี้ (4 ธ.ค. 67) สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย หรือ สรยท. จับมือกับสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย หรือ EVAT จัดงานเสวนาในหัวข้อ ‘เช็คลิสต์ความพร้อม การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า’ ภายใต้การสนับสนุนของบริษัท สื่อสากล จำกัด ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ ซึ่งในงานนี้ได้รับเกียรติจากคุณขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 เข้าร่วมในฐานะของประธานในพิธี และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสมาชิกของสมาคม และบุคคลภายนอกเข้ามาร่วมรับฟัง ณ ห้องจูปิเตอร์ 4-5 อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี

ในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้า หรือ BEV ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจจากคนไทยอย่างต่อเนื่องนับจากที่มีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามานำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ๆ กันอย่างต่อเนื่องในตลาดเมืองไทยนับจากปี 2022  และทางสมาคมฯ เองได้เล็งเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ดังนั้น ในปี 2023 จึงได้ขยายการจัดงานรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี หรือ Thailand Car Of The Year เพื่อรองรับกับทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยการมอบทั้งรางวัลสำหรับรถยนต์สันดาปภายใน/ไฮบริดสำหรับรางวัล Thailand Car Of The Year และได้เพิ่มอีกประเภทคือ รางวัล Thailand EV Of The Year สำหรับรถยนต์พลังไฟฟ้าที่เข้าเกณฑ์การคัดเลือกของทางสมาคมฯ 

“สมาคมฯ ได้เล็งเห็นความสำคัญในการให้ความรู้ แก่ผู้ใช้รถยนต์ในยุคที่กำลังมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงในการใช้พลังงานสะอาด จึงผสานความร่วมมือกับสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ในการจัดเสวนาให้ความรู้ในครั้งนี้” นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) กล่าว

รถยนต์ไฟฟ้ากำลังถูกพัฒนาเข้ามา เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในตลาด นอกเหนือจากรถยนต์สันดาปภายใน และอาจจะเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาทดแทน เนื่องด้วยเหตุผลในเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เห็นได้จากตลาดรถยนต์ไทยในปัจจุบันที่มีอัตราการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในวันนี้เป็นโอกาสอันดี สมาคมฯ ได้จัดงานเสวนาให้ความรู้ด้านต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า ในหัวข้อ ‘เช็คลิสต์ความพร้อม การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า’ เพื่อสื่อสารองค์ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าไปยังผู้บริโภค โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านยานยนต์ไฟฟ้า มาเป็นผู้บรรยายให้ความกระจ่าง แก่สังคม เพื่อเตรียมพร้อมที่จะปรับตัว นำไปใช้งานยานยนต์ ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ในโอกาสข้างหน้าต่อไป

สำหรับวิทยากรในการเสวนาครั้งนี้ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคมของทั้งผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย 

ซึ่งในช่วงแรกเป็นการให้ข้อมูลในแง่ภาพรวมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยโดยคุณกฤษฎา อุตตโมทย์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ซึ่งในปัจจุบัน ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลกช่วงไตรมาส 4 ของปี 2024 อยู่ที่ 12.60% ซึ่งมากกว่าประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ ส่วนในตลาดอาเซียน ไทยถือเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์พลังไฟฟ้า โดยในปี 2023 ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดถึง 78.70% เลยทีเดียว

ส่วนตลาดปี 2024 จากยอดจดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมจนถึง 31 ตุลาคม รถยนต์ไฟฟ้ามียอดจดทะเบียนรวม 82,218 คัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์นั่งโดยสารซึ่งมีตัวเลขถึง 59,759 คัน แต่แม้ว่าจะมีการขยายตัวของตลาด แต่ในแง่ของระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเพื่อรองรับกับการใช้งาน เช่น แท่นชาร์จสาธารณะยังเป็นเรื่องที่จะต้องมีการขยายตัวตามไปด้วย เพราะในปัจจุบัน ประเทศไทยมีอัตราส่วนรถยนต์ไฟฟ้าต่อแท่นชาร์จสาธารณะอยู่ที่ 26 คันต่อ 1 หัวชาร์จ ซึ่งยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศจีนที่มีอัตราส่วนอยู่ที่ 5.5 คันต่อ 1 หัวชาร์จ

ส่วนเรื่องของระบบการชาร์จเป็นการให้ข้อมูลโดยคุณอภิสิทธิ์ ณัฐวรวโรตม์ สถาปนิกระดับ 8 ทีมพัฒนาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ EGAT ซึ่งดูแลในส่วนการพัฒนาแอปพลิเคชัน EleXa แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับชุมชน EV เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของการเดินทางในอนาคต โดยเน้นไปที่เรื่องของการทำ Roaming ในเรื่องบริการของผู้ให้บริการแท่นชาร์จจากบริษัทต่างๆ ให้มารวมอยู่ในแพลตฟอร์มของ EleXa เพื่อลดจำนวนการติดตั้งแอปพลิเคชันจำนวนมากบนสมาร์ทโฟน ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานให้กับเจ้าของรถยนต์ BEV ได้เป็นอย่างดี

ในช่วงท้ายของการเสวนาเป็นการถาม-ตอบในหัวข้อ ‘เช็คลิสต์ความพร้อม การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า’ โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น คุณสุรมิส เจริญงาม อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย คุณตติยะ หลิมวิจิตร กรรมการและเลขานุการ คณะทำงานฝ่ายข้อมูลการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ดร.มานพ มาสมทบ ทีมวิจัยระบบกักเก็บพลังงานศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. และคุณกฤษฎา ธีรศุภลักษณ์ KOL ด้านยานยนต์ไฟฟ้าจากช่อง Welldone Guarantee โดยมี ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน เป็นผู้ดำเนินรายการตลอดการเสวนาในครั้งนี้

ตลอดช่วงของการถาม-ตอบ วิทยากรทั้งหมดต่างไขข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นประเด็นอยู่ ทั้งเรื่องของการชาร์จ การขับรถลุยน้ำท่วม การเลือกซื้อยางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า การเซอร์วิส

รถยนต์ไฟฟ้าหลังจากที่จมน้ำ การรับประกันจากบริษัทรถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้ากับตลาดมือสอง สงครามราคา หรือเรื่องเกี่ยวกับประกันภัย และอีกหลายประเด็นที่เป็นข้อสงสัยของผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก หรือผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว

‘อนุรักษ์’ โอด!! ป้ายหาเสียง ถูกทำลายหลายจุด วอน!! ‘เจ้าหน้าที่’ ช่วยดูแล เลือกตั้ง ‘อบจ.ตาก’

(5 ธ.ค. 67) นางอัจฉรา ทวีเกื้อกูลกิจ ลูกสะใภ้ ของนายณัฐวุฒิ ทวีเกื้อกุลกิจ อดีตนายกอบจ. ต้องปะทะกับค่ายพลังประชารัฐ ผู้สมัครหมายเลข2 พตท.อนุรักษ์ จิรจิตร อดีต ผู้ช่วยรมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สมัยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ที่ได้ พรรคประชาชน ตบเท้ามาร่วม เดินสาย ร่วมรบเพื่อหวังให้เมืองตาก เปลี่ยนเป็นเมืองที่พัฒนา และทันสมัย ล่าสุด ก่อนการเลือกตั้งโค้งสุดท้ายพบว่ามีการทำลายป้ายผู้สมัครกันในหลายพื้นที่ เช่น อำเภอ พบพระ อำเภอ อุ้มผาง  

วอนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ และดูแลด้วยเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม

‘อุ๊งอิ๊ง’ โพสต์!! ภาพครอบครัวอบอุ่น ผ่านไอจี มอบพวงมาลัยให้ ‘ทักษิณ’ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ

(5 ธ.ค. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านไอจีชื่อว่า ‘ingshin21’ พร้อมภาพประกอบ ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศครอบครัวอบอุ่นและชื่นมื่น มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายพานทองแท้ ชินวัตร พี่ชาย น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์พี่สาว นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีน.ส.พินทองทา นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีน.ส.แพทองธาร และหลาน ๆ นำพวงมาลัยมอบให้นายทักษิณ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 โดยมีข้อความระบุว่า …

Happy Father's Day @ home ขอให้พ่อมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ รักพ่อที่สุดในโลกค่ะ

‘พรรครวมไทยสร้างชาติ - รร.สตรีวัดระฆัง - 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ร่วมมือ!! นำเยาวชน เรียนรู้ ประชาธิปไตย เข้าใจรากฐานของ ‘รัฐธรรมนูญ’

เมื่อวานนี้ (4 ธ.ค. 67) พรรครวมไทยสร้างชาติ จัดโครงการสัมมนาเชิงวิชาการและเผยแพร่ความรู้ ‘เบื้องแรกประชาธิปไตย: พัฒนาการปกครอง การปฏิรูปสยาม สภาพสังคมและเศรษฐกิจ เตรียมพร้อมสู่การมีรัฐธรรมนูญด้วยพระมหากรุณาธิคุณจากรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7’ โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ มอบหมายให้นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ คณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวสวัตติ์ กลิ่นขจร เลขานุการผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ
ดำเนินการโครงการในครั้งนี้

เป้าหมายในการจัดโครงการ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้สร้างความรู้และความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้ โดยมีนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 150 คน ซึ่งมีกิจกรรมดังต่อไปนี้

การรับชมภาพยนตร์ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ สร้างแง่คิดให้คนรุ่นหลังได้อย่างน่าสนใจ ร่วมกับนายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ฯ 

ร่วมรับฟังบรรยายพร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งนำเสนอประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนผ่านการปกครองของไทยจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ประชาธิปไตย พร้อมทั้งได้เรียนรู้ถึงบทบาทสำคัญของพระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 ในการวางรากฐานสู่รัฐธรรมนูญไทย 

และเข้าเยี่ยมชมรัฐสภาไทย องค์กรสำคัญตามรัฐธรรมนูญไทย ได้สัมผัสบรรยากาศการทำงาน และได้ฟังบรรยายถึงบทบาทของรัฐสภา ที่มีผลต่อการปกครองบ้านเมืองและการบริหารประเทศในหลายด้าน

'ผู้ช่วยฯสิรภพ' ลงพื้นที่ ช่วยน้ำท่วมใต้ ออกมาตรการฟื้นฟูซ่อมบ้านเรือนระบบไฟฟ้า พร้อมมอบถุงยังชีพในพื้นที่ จ.ปัตตานี

(4 ธ.ค.67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบนายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ในการนี้ นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายพิเชษฐ์  ทองพันธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน  พร้อมด้วย นายศักดินาถ  สนธิศักดิ์โยธิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมลงพื้นที่ โดยมี หัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปัตตานี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ โดย นายสิรภพ  และคณะ ได้ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ จำนวน 4 จุด ประกอบด้วย จุดที่ 1 โรงเรียนบ้านบาโงมูลง หมู่ที่ 6 ตำบลเตราะบอน อำเภอสายบุรี มอบถุงยังชีพ จำนวน 100 ชุด จุดที่ 2. ศูนย์พักพิงโรงเรียนบ้านหัวคลอง หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านนอก อำเภอปะนาเระ มอบถุงยังชีพ จำนวน 200 ชุด จุดที่ 3. ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะเปาะ อำเภอหนองจิก มอบถุงยังชีพ จำนวน 100 ชุด และ จุดที่ 4 หมู่ที่ 4 ตำบลดอนรัก อำเภอหนองจิก มอบถุงยังชีพ จำนวน 100 ชุด รวมจำนวน ทั้งสิ้น 500 ชุด  

นายสิรภพ กล่าวว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ ผมพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ได้ลงพื้นที่นำถุงยังชีพมาช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่นครศรีธรรมราช ตรัง สงขลา พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยได้ปักหลักอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 4 - 7 ธันวาคมนี้ ในส่วนของมาตรการการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ของกระทรวงแรงงานนั้น ประกอบด้วย การลดอัตราเงินสมทบและขยายระยะเวลาการส่งเงินสมทบแก่ลูกจ้างผู้ประกันตนลูกจ้างผู้ประกันตนที่สถานประกอบการถูกน้ำท่วมทำให้ต้องหยุดงานไม่สามารถไปทำงานได้สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย การขึ้นทะเบียนประกันการว่างงาน ผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน กรณีที่อยู่อาศัยของลูกจ้างได้รับผลกระทบเป็นเหตุให้ไปทำงานไม่ได้หรือเข้าทำงานสาย ขอความร่วมมือนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลา รวมถึงฟื้นฟูในพื้นที่หลังน้ำลด ซึ่งขณะนี้บางพื้นที่เริ่มคลี่คลายลงแล้ว กระทรวงแรงงานก็จะจัดทีมช่างจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงงาน เข้าไปซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ทำงาน บ้านเรือน รถจักรยานยนต์ เครื่องยนต์เล็กทางการเกษตร รวมถึงขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อนำโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยการจ้างงานภายหลังน้ำลด เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

“กระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยพี่น้องภาคใต้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยหลังจากนี้ในช่วงน้ำเริ่มลดลง เราจะนำรูปแบบ “เชียงรายโมเดล” เข้าไปช่วยเหลือ เพื่อให้กลับมาทำงานประกอบอาชีพได้ตามปกติ หรือติดต่อสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 ” นายสิรภพ กล่าว

ทั้งนี้ จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ในห้วงวันที่ 27 พฤศจิกายน ถึงปัจจุบัน มีพื้นที่ประสบสถานการณ์อุทกภัย จำนวน 12 อำเภอ ได้รับความเสียหาย 147,002  ครัวเรือน จำนวนประชาชน 428,223 คน และมีผู้เสียชีวิต จำนวน 7 ราย  มีข้าราชการ/เจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปัตตานี  ได้รับความเสียหาย  81 คน บัณฑิตแรงงาน 64 คน และอาสาสมัครแรงงาน  64 คน ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ได้มอบเงินเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องครอบครัวแรงงาน และเครือข่ายด้านแรงงานในจังหวัดปัตตานีแล้ว จำนวน 21 ราย เป็นเงิน 52,500 บาท

สอท. ร่วมกับ กสทช. จับคอลเซ็นเตอร์จีนเทาตลอบฝังตัวเช่ารีสอร์ทหรูเชียงใหม่ ตั้งฐานหลอกลวงเหยื่อ

วันนี้ (4 ธ.ค. 67) เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ , นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล  รักษาการ เลขาธิการ กสทช., พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ  รักษาราชการแทน ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. และ เจ้าหน้าที่ กสทช. ร่วมแถลงผลการจับกุมบุคคลต่างด้าวลอบตั้งฐานคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทย หลังตำรวจร่วมมือกับ กสทช. ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตในหลายพื้นที่ ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ย้ายฐานเข้ามายังประเทศไทยเพื่อใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงและเสถียรกว่าฝั่งประเทศเพื่อนบ้านโทรหลอกลวงเหยื่อคนไทย การจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนหาข่าว กระทั่งพบรีสอร์ทแห่งนี้ ตั้งอยู่ใน อ.หางดง จว.เชียงใหม่ ซึ่งได้ปิดการให้บริการไปในช่วงสถานการณ์โควิด 19 แต่กลับมีการให้เช่ารีสอร์ททั้งรีสอร์ท  โดยไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าพัก และมีคนต่างชาติเข้าออกสถานที่ดังกล่าวอย่างผิดสังเกต ชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม และประสานเจ้าหน้าที่ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตด้วยเครื่องมือพิเศษ พบว่ามีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณสูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าพัก อาจมีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้ขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้น ผลจากการตรวจค้นสามารถจับกุมผู้กระทำผิด พร้อมด้วยของกลางเป็นจำนวนมาก

พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า ในห้วงหลายเดือนที่ผ่าน กสทช. ได้ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขันจับกุม ซิม เสาสัญญาณ, สถานีโทรคมนาคม และสายเคเบิลข้ามแดนผิดกฎหมาย ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์บางส่วนจำเป็นต้องย้ายเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย การจับกุมนี้ครั้ง ถือเป็นทำงานร่วมกันกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ควบคู่กับการปรับปรุงกฎหมาย และระเบียบต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พฤติการณ์ของเครือข่ายนี้ถือ เป็นความผิดฐานรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุโทรคมนาคม อันเป็นความผิด ตาม ม.26 แห่ง พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม พ.ศ.2498 ซึ่งต้องระวางโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  

พล.ต.ท.ไตรรงค์ฯ กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายปราบปรามแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชติ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. 4 ซึ่งดูแลพื้นที่ภาคเหนือ ได้สืบสวนการกระผิดในพื้นที่ จนกระทั่งพบรีสอร์ทเป้าหมายใน ต.บ้านปง อ.หางดง จว.เชียงใหม่ ซึ่งเคยปิดให้บริการช่วงโควิด ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าพัก แต่มีชาวต่างชาติเข้าออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งผิดปกติ ชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม และประสานเจ้าหน้าที่ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตด้วยเครื่องมือพิเศษของ กสทช. พบว่ามีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณสูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าพัก คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชา และขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่เข้าทำการตรวจค้น โดยพบว่า ผู้ต้องหาชาวจีนแอบลักลอบใช้อินเทอร์เน็ตของร้านกาแฟข้างๆ ปิดบังการใช้สัญญาณของคอลเซ็นเตอร์ เชื่อมโยงกับแก็งค์ที่อยู่ที่ประเทศกัมพูชา โดยพบคนต่างชาติ สัญชาติจีน 9 คน ตรวจยึดอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตได้เป็นจำนวนมาก จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมด้วยของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดี โดยจะได้ขยายผลถึงผู้บงการเพื่อปราบปรามให้สิ้นซากต่อไป

ทั้งนี้ จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนว่า หากพบเห็นสถานที่แห่งใด มีความผิดปกติ เช่นเคยร้างไป แต่กลับมีคนเข้าออกอย่างผิดปกติ หรือมีการใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า หรือขอใช้อินเทอร์เน็ตมากผิดปกติ  สามารถแจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โทร.191 หรือ กสทช. 1200 ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าตรวจสอบ ป้องกันมิให้คนร้ายเข้ามาตั้งฐานหลอกลวงคนไทยต่อไป

กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

(4 ธ.ค.67) เวลา 09.30 นาฬิกา ณ ห้องประชุมหาดวาสุกรี ชั้น 4 อาคาร 3 ศาลากลางจังหวัดปัตตานี นายสมบูรณ์ หนูนวล รองประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา คนที่หนึ่ง พร้อมด้วยกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการทางทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวม ได้ประชุมร่วมกับนายสนั่น สนธิเมือง รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เพื่อรับฟังผลการดำเนินงานขับเคลื่อนฮูกุมปากัตธรรมนูญหมู่บ้าน 9 ดี และธรรมนูญโรงเรียน 9 ดีในห้วงที่ผ่านมา รวมถึงการขยายผลในห้วงถัดไป ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในการขับเคลื่อนฮูกุมปากัต หรือ 'กฎสังคม' ที่ได้รับความเห็นชอบจาก 'เสาหลักชุมชน 4 ฝ่าย' คือ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และผู้นำทางธรรมชาติ เรียกว่า 'ผู้นำ 4 เสาหลัก'ประกอบด้วย ดีที่ 1 การเป็นคนดี ดีที่ 2 มีปัญญา ดีที่ 3 รายได้สมดุล ดีที่ 4 สุขภาพแข็งแรง ดีที่ 5 สิ่งแวดล้อมสมบูรณ์ ดีที่ 6 สังคมอบอุ่น ดีที่ 7 หลุดพ้นอาชญากรรม ดีที่ 8 จัดตั้งกองทุนพึ่งตนเอง และดีที่ 9 กรรมการหมู่บ้านเข้มแข็ง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันการกระทำที่ผิดหลักศาสนา และป้องกันการบิดเบือนคำสอนทางศาสนา เพื่อให้หน่วยงานส่วนที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ได้นำไปขยายผลเพื่อใช้กับหมู่บ้านอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ จะนำข้อมูลและข้อคิดเห็นต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่อไป

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ ออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน/ไทย 

พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กห. ได้กล่าวว่า ในวันพุธที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 11.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับ นาง Rukhsana Afzaal (รุคซานา อัฟซอล) เอคอัคราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย (ออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน/ไทย) ณ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม 

โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้พบปะหารือกันและชื่นชมทั้งสองประเทศ ที่ได้ดำเนินความสัมพันธ์ฉันมิตรมาอย่างยาวนาน โดยกองทัพไทย กับกองทัพปากีสถาน มีประวัติศาสตร์ความร่วมมือที่ใกล้ชิด และเคยเป็นสมาชิกของภาคีองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Treaty Organization: SEATO) 

รวมทั้ง มีความร่วมมือในหลายมิติ อาทิ การแลกเปลี่ยนการเยือน การฝึกศึกษา การประชุมในระดับต่าง ๆ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการลงนาม MOU ว่าด้วยความร่วมมือ ด้านการป้องกันประเทศ ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เมื่อ 5 มี.ค.64 ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการผลักดันความร่วมมือระหว่างกัน

โดยออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน/ไทย ได้ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้ให้การต้อนรับ รวมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศ รวมทั้งยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งสองประเทศ จะได้พัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน และจะยินดีเป็นอย่างยิ่งมาก หากปากีสถาน ได้เข้าร่วมการฝึก Cobra Gold กับประเทศไทย

ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวว่า การที่จะเข้ามาขอร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ ต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าภาพร่วมคือไทยและสหรัฐฯ และเห็นชอบด้วยกับการที่จะเน้นการฝึกและสังเกตการณ์การฝึกให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และบรรเทาภัยพิบัติ (H A D R) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อการแก้ปัญหาภัยธรรมชาติ ยาเสพติด และปัญหาไซเบอร์

ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมยินดีสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ ของง ออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน/ไทย อย่างเต็มความสามารถ และเชื่อมั่นว่าจะสามารถสานต่อการดำเนินงาน ระหว่างกระทรวงกลาโหม ของทั้งสองประเทศ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ยินดีอย่างยิ่งที่ได้หารือกับ เอกอัครราชทูต ในวันนี้เกี่ยวกับความไม่สงบในหลายพื้นที่ ทั้งนี้ ไทยต้องการเห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่ในหลายพื้นที่มีความสงบสุขให้เกิดเสถียรภาพ ซึ่งจุดยืนของประเทศไทย คืออยากเห็นการเจรจาด้วยความอดทนอดกลั้นการหารือ ด้วยวิธีสันติและปรารถนาให้ทุกประเทศได้ส่งเสริมให้มีความสงบสุขพร้อมดูแลประชาชนของทุกฝ่าย ให้เกิดความปลอดภัยทั้งในประเทศและภูมิภาค

‘จีซู BLACKPINK’ คว้าตำแหน่ง!! ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน

(5 ธ.ค. 67) Nubia Magazine นิตยสารชื่อดังสัญชาติอังกฤษ ได้เผยผลการจัดอันดับ 10 ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ประจำปี 2024 และแน่นอนว่าอันดับ 1 ก็ยังคงเป็น จีซู หรือ คิมจีซู (Kim Jisoo) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK วัย 29 ปี

การสำรวจดังกล่าวจัดขึ้นเป็นเวลา 5 เดือน และสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา มีหญิงคนดังกว่า 40 คน จากทั่วโลก ถูกเสนอชื่อเข้าชิง โดยมีผู้เข้าร่วมโหวตกว่า 900,000 คน จาก 126 ประเทศ อาทิ เม็กซิโก จีน เปรู โคลอมเบีย อียิปต์ อาร์เจนตินา บราซิล แอลจีเรีย ไทย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สเปน และ เกาหลีใต้

จีซู ได้รับคะแนนโหวตล้นหลามกว่า 300,000 โหวต จาก 106 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแฟน ๆ ชาวเม็กซิโก โคลอมเบีย และเปรู และความสวยที่แสนประจักษ์ของ ‘จีซู’ ส่งผลให้เธอคว้าอันดับที่ 1 มาครองได้นานถึง 3 สมัยติดต่อกันแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจในเหตุผล เพราะเธอทั้งสวยทั้งน่ารักมาตั้งแต่ก่อนเดบิวต์เสียอีก

นอกจากอันดับหนึ่งอย่าง จีซู แล้ว ก็ยังมีไอดอล K-Pop คนอื่น ๆ ที่ติดอันดับเช่นกัน ได้แก่ ‘โจว จื่อวี’ จากวง TWICE เจ้าของอันดับที่ 2 และ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ สมาชิกวงแบล็คพิงค์ อันดับที่ 3

อย่างไรก็ดี ทางนิตยสาร Nubia Magazine ได้ติดต่อไปยัง YG Entertainment ต้นสังกัดของจีซู เพื่อมอบประกาศนียบัตรให้กับเธออย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติครั้งสำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่าจีซูสามารถคว้าตำแหน่ง งผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก’ ได้ต่อเนื่องถึง 3 ปีซ้อน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top