Tuesday, 8 July 2025
NewsFeed

กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่ติดตามปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี

เมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.67) เวลา 13.30 นาฬิกา ณ โรงครัวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ณ บริเวณที่ทำการศาลากลางจังหวัดปัตตานี นายสมบูรณ์ หนูนวล รองประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา คนที่หนึ่ง พร้อมด้วกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการทางทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวม โดยนายสนั่น สนธิเมือง รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นำคณะตรวจเยี่ยมโรงครัวดังกล่าวด้วย 

ในการนี้ ผู้แทนคณะกรรมาธิการการทหารนำโดยนายสมบูรณ์ หนูนวล นางนวลนิจ หงษ์วิวัฒน์ นายนิฟาริด ระเด่นอาหมัด ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ได้ร่วมบริจาคเงินสมทบสำหรับการจัดปรุงอาหารเพื่อนำไปแจกจ่ายให้ผู้ประสบอุทกภัยของโรงครัวฯ จังหวัดปัตตานีด้วยส่วนหนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้ผ่านพ้นเหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้

'อลงกรณ์' ขับเคลื่อน 'เอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์' ร่วมประธานหอการค้าไทยผนึก '5ภาคีไทย-อาเซียน' เปิดเวทีสัมมนาองค์ความรู้เทคโนโลยีใหม่

'อลงกรณ์' ขับเคลื่อน 'เอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์' ร่วม 'สนั่น อังอุบลกุล' ประธานหอการค้าไทยผนึก '5ภาคีไทย-อาเซียน' เปิดเวทีสัมมนาองค์ความรู้เทคโนโลยีใหม่พร้อมจับคู่ธุรกิจส่งเสริมนวัตกรรมและธุรกิจเพื่อสังคม ผู้ช่วยรัฐมนตรี 'นราพัฒน์' เปิดงาน 7 ธ.ค.ภายใต้ธีมการคว้าโอกาสในอาเซียน: วิสัยทัศน์ 2030 'FKII - ASSEAN GO : INTEGRATION & INNOVATION'

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์ (FKII Thailand) นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา (TVA Institute) และผู้อำนวยการ FKII Thailand กำหนดจัดงาน 'FKII - ASSEAN GO : INTEGRATION & INNOVATION' ในวันที่ 7 ธันวาคม 2567 เวลา 9.30 – 13.30 น. ณ สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์กรุงเทพมหานคร โดยงานดังกล่าวเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง5ภาคีไทย-อาเซียนได้แก่ FKII Thailand สถาบันทิวา (TVA Institute) องค์การสมาชิกสภาอาวุโสเจซีไอแห่งอาเซียน (Senator JCI ASSEAN) องค์การพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและการประกอบการ (SEED) และมูลนิธิยุวไทยสากล (Thai Senate JCI Foundation) 

โดยกิจกรรมในงานประกอบไปด้วยการแนะนำองค์กรที่เข้าร่วมงาน กิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ (Lunch Networking) การบรรยายในหัวข้อที่น่าสนใจด้านการประกอบธุรกิจเพื่อสังคม สิ่งแวดล้อม และนวัตกรรม รวมไปถึงพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง FKII Thailand และองค์การพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและการประกอบการ (SEED) แห่ง ASSEAN (Social Enterprise and Entrepreneurship Development (SEED) of ASSEAN) “มีหัวข้อบรรยายที่น่าสนใจเช่น เทคโนโลยีน้ำเพื่อชีวิต ,เทคโนโลยีคาร์บอน – เทคโนโลยีป่าไม้, เอไอสำหรับธุรกิจเพื่อสังคม, ปฏิวัติประสิทธิภาพพลังงานเพื่อประหยัดต้นทุนและรักษาโลก, โครงการกรีนกราฟีนทรายแมวและการคว้าโอกาสในอาเซียน: วิสัยทัศน์ 2030“นายอลงกรณ์กล่าว

งานดังกล่าว นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็น ผู้แทนดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานเปิดงาน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยให้เกียรติกล่าวปาฐกถา รวมด้วยผู้นำองค์กรพันธมิตรได้แก่ Dr. Denny W.M. Tumiwa, SE., MA. ประธานองค์การสมาชิกสภาอาวุโสเจซีไอแห่งอาเซียน (President of ASSEAN), Mdm. Sakinolin Mohamad ประธานองค์การพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและการประกอบการ (SEED) แห่ง ASSEAN, นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ ประธานมูลนิธิยุวไทยสากล (Thai Senate JCI Foundation) และนายกสมาคมธุรกิจไม้ (Thai Timber Association) และ Mr. Benjamin Lo ประธานคณะกรรมการธุรกิจอาเซียน (ASSEAN Business Committee Chairman (ABC)) ในส่วนการบรรยายด้านวิชาการและองค์ความรู้ ประกอบไปด้วย

1.การคว้าโอกาสในอาเซียน: วิสัยทัศน์ 2030 เพื่อปลดล็อกศักยภาพบุคลากรที่มีพรสวรรค์ข้ามพรมแดน (Capturing ASEAN Opportunities: Vision 2030 to Unlock Cross-Boarder Talent Potential) โดย คุณแคสเปอร์ ธนกฤษณ์ เสริมสุขสัน ผู้ก่อตั้งและประธาน SEA Bridge
2.เทคโนโลยีคาร์บอน – เทคโนโลยีป่าไม้ : มาโกงเวลาจากธรรมชาติกันเถอะ (Carbon Tech – Forest Tech / Let’s Cheat Time from Nature) โดย นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ นายกสมาคมเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและเครดิตคาร์บอน (CCC)
3.โครงการกรีนกราฟีนทรายแมว (The Green Graphene Cat Litter Project) โดย ดร.ศรวิษฐ์ ด้วงศรีพัฒน์ บริษัท กรีน พาว อินโนเวชั่น จำกัด
4.เทคโนโลยีน้ำเพื่อชีวิต (Water Technology for Life) โดย Mr.Chris Hampel, ผู้อำนวยการ อันดามัน กูร์เมต์
5.เอไอสำหรับธุรกิจเพื่อสังคม (AI for Social Enterprise) โดย คุณเกรียงไกร พิพัฒน์วิไลกุล CEO ครอส เวิร์ค เอเซีย
6.ปฏิวัติประสิทธิภาพพลังงานเพื่อประหยัดต้นทุนและรักษาโลก (Revolutionise Energy Efficiency to save Cost and Planet) โดย คุณศศิพิมพ์ อินทวิเชียร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (BCDO) - BBP

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ (Lunch Networking) ในช่วงท้ายของงานที่มุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนและทำความรู้จักกันให้มากขึ้นและส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงธุรกิจต่อไป จึงขอเชิญท่านที่สนใจมาร่วมงานดังกล่าว

ผู้สนใจเข้าร่วมงานลงทะเบียนได้ที่ LineOA @fkii_thailand: https://lin.ee/BgPCPvd 

ติดต่อสอบถาม 
คุณวรวุฒิ ชิระนุรังสี 091-1805459 
สถานที่จัดงานสวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานคร
📌https://maps.app.goo.gl/YxVYudCo6RNZuUbA9?g_st=il 
#FKIIThailand #FKII #TVA #ASSEAN #SEED #สวนเสียงไผ่ #สถาบันทิวา

หมายเหตุ:
>SEED  ย่อมาจาก social enterprise and entrepreneurial development. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของASSEAN ที่มุ่งหวังพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นผ่านเทคโนโลยีเทคโนโลยีการเกษตร หรือการป่าไม้ ด้าน biotechnologyโดยผ่านผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
>ABC คือ assean business committee เป็นคณะกรรมการภายใต้ assean เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจและสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาความร่วมมือต่างๆ
>TVA: Transformation Valley 
>FKII: Field for Knowledge Integration and Innovation 
>Senator JCI ASSEAN
องค์การสมาชิกสภาอาวุโสเจซีไอแห่งอาเซียน

วธ.เผย ยูเนสโก ประกาศรับรอง ‘เคบายา’ มรดกวัฒนธรรมร่วม 5 ประเทศ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 (The nineteenth session of the Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage: IGC-ICH) ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา ประมาณ 11.40 น. (เวลาท้องถิ่น) สาธารณรัฐปารากวัย หรือตรงกับวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 20.40 น. (เวลาประเทศไทย) ยูเนสโก มีมติรับรองให้ Kebaya : knowledge, skills, tradition and practices หรือ เคบายา : ความรู้ ทักษะ ประเพณี และการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการเสนอร่วม 5 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity: RL) ประจำปี 2567 อีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ “เคบายา” เครื่องแต่งกายอันสง่างามของทางใต้ ได้รับการขึ้นทะเบียนในปีเดียวกันต่อจาก “ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นรายการมรดกวัฒนธรรมฯ ลำดับที่ 6 ของประเทศไทย ต่อจากรายการ โขน นวดไทย โนรา สงกรานต์ และต้มยำกุ้ง

รมว.วธ. กล่าวว่า ในการเสนอ เคบายา รายการมรดกวัฒนธรรมร่วม 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน เกิดจากแนวคิดนำโดยประเทศมาเลเซีย ได้มีการประสานงานเมื่อต้นปี พ.ศ. 2565 กับประเทศบรูไน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำเอกสารขอขึ้นทะเบียน โดยได้รับความยินยอมจากชุมชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งชุมชนผู้ปฏิบัติและผู้แทนจากประเทศผู้เสนอรายการทั้ง 5 ประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ณ พอร์ตดิกสัน รัฐเนกรีเซมบีลัน ประเทศมาเลเซีย โดยได้แลกเปลี่ยนและเสนอมาตรการส่งเสริมและรักษา จัดทำและสนับสนุนข้อมูลตามเอกสารแบบฟอร์มขอขึ้นทะเบียน หลังจากนั้น ได้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ณ กรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย และการประชุมออนไลน์ โดยประเทศสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ เพื่อร่วมกันจัดทำเอกสารขอขึ้นทะเบียนให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนยื่นเสนอต่อยูเนสโกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 เพื่อเข้าวาระการพิจารณาปี 2567

รมว.วธ. กล่าวอีกว่า เคบายา เป็นเสื้อผ่าหน้า มีลักษณะเด่นคือการประดับด้วยงานปักและลูกไม้ที่ประณีตและสวมด้วยตัวยึด สามารถสวมใส่คู่กับโสร่งหรือผ้าท่อนล่างที่เข้าชุดกัน เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวัน ในโอกาสทั่วไป รวมถึงในโอกาสที่เป็นทางการและงานเทศกาลต่าง ๆ ความรู้ ทักษะ ประเพณีและการปฏิบัติเกี่ยวกับเคบายา มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้หญิงทุกวัย ทุกพื้นที่ และทุกศาสนาจากชุมชนต่าง ๆ ในหลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศบรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และภาคใต้ของประเทศไทย เคบายา จึงสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และประเพณีที่มีร่วมกันของภูมิภาค ตลอดจนความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีส่วนสนับสนุนในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น การศึกษาที่มีคุณภาพ ความเสมอภาคทางเพศ การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม รวมทั้งสันติภาพและความสมานฉันท์ในสังคม เคบายา ยังเป็นรายการที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมและชุมชนที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ส่งเสริมความเคารพซึ่งกันและกัน และมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านต่าง ๆ 

รมว.วธ. ยังเปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ พิจารณาของยูเนสโก ในครั้งนี้ ยังได้แสดงการชมเชยรัฐภาคีในการจัดเตรียมเอกสารและวิดีโอนำเสนอมาอย่างดี ถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการเสนอรายการมรดกร่วม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการสร้างสันติภาพและความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างชุมชน กลุ่มคน และปัจเจกบุคคลจากแต่ละรัฐภาคี การขึ้นทะเบียนมรดกร่วมนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากความภาคภูมิใจแล้ว ยังนำมาซึ่งความสามัคคี ความรับผิดชอบร่วมกัน และความมุ่งมั่นในการร่วมมือที่จะส่งเสริมและรักษามรดกวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค 

และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จทางประวัติศาสตร์นี้ ประเทศผู้เสนอรายการทั้ง 5 ประเทศ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมคู่ขนาน ได้แก่ นิทรรศการและการแสดงแฟชั่นชุด เคบายา ในช่วงระหว่างการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลฯ ครั้งที่ 19 นี้ ณ นครอซุนซิออน สาธารณัฐปารากวัย ซึ่งจะช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับมรดกร่วมและความเกี่ยวข้องกับสังคมร่วมสมัยให้กับประชาชนทั่วไป ยังเป็นโอกาสให้เกิดการสนทนาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมต่าง ๆ และร่วมกันพยายามส่งเสริม รักษาและสืบทอด เคบายา ให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป 

รมว.กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงวัฒนธรรม มีแผนในการส่งเสริมและต่อยอดมรดกวัฒนธรรม หลังจากยูเนสโก ขึ้นทะเบียน ต้มยำกุ้ง - เคบายา แล้ว ด้วยการขับเคลื่อน Soft power ด้านอาหาร และ ด้านแฟชั่น ตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม จะนำเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร เกม รายการโทรทัศน์ รวมถึงสื่อออนไลน์ ให้สอดแทรกเนื้อหา ต้มยำกุ้ง เพื่อสร้างกระแสความนิยมในวงกว้าง และบูรณาการกับภาคธุรกิจ-การท่องเที่ยว ในการนำ ต้มยำกุ้ง เป็นเมนูหลัก เมนูอาหารต้องชิม เมื่อมาเที่ยวเมืองไทย บรรจุลงในโปรแกรมการท่องเที่ยว และเป็นเมนูอาหารที่ต้องระบุไว้ในรายการอาหารขึ้นโต๊ะผู้นำ รวมทั้งผู้เข้าร่วมในการประชุมที่จัดในประเทศไทย หรือที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเชิญชวนให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวและการบริการ เช่น โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขายเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง รวมถึงยอดขายวัตถุดิบต่างๆ  และยังเป็นการสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าและสาระของเมนูต้มยำกุ้งไปสู่ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติอีกด้วย และในส่วน ภาคชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนโดยมุ้งเน้นบูรการร่วมกับหอการค้า สมาคม ชุมชน เครือข่ายในพื้นที่ ที่มีวัฒนธรรมการแต่งกายเคบายา ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขาย ด้วยการเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติสวมใส่ ชุดเคบายา พร้อมถ่ายรูปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างสีสันไปพร้อม ๆ กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ของชุมชนอีกด้วย

ในโอกาสที่น่ายินดีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงขอเชิญพี่น้องประชาชนร่วมกิจกรรม งานฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ระหว่างที่ 6-8 ธันวาคม 2567 ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็มควอเทียร์ ระหว่าง 10.00-21.00 น. *โดยในวันที่ 6 ธันวาคม เวลา 18.00 น. จะมีพิธีเปิดงานโดย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเปิดงานอย่างเป็นทางการ ภายในงานวันที่ 6 ธ.ค. 67 พบกับ การสาธิตการทำต้มยำกุ้งพร้อมให้ชิมฟรี โดยเชฟตุ๊กตา (ครัวบ้านยี่สาร) เชฟกระทะเหล็ก ส่วนวันที่ 7-8 ธ.ค. ปรุงต้มยำกุ้งโดยเชฟเมย์ พัทรนันท์ ธงทอง เชฟกระทะเหล็ก พร้อมให้ชิมต้มยำกุ้งฟรี รวมถึงการแสดงแฟชั่นโชว์ชุดเคบายา นำโดยนางสาวไทยและรองนางสาวไทย และร่วมชมนิทรรศการ “ต้มยำกุ้ง” และนิทรรศการ/สาธิตการปักชุด-เครื่องประดับ “เคบายา” และอาหารเปอรานากัน จากจังหวัดภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรังและสตูล อิ่มอร่อยกับอาหารที่ขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติแล้ว 20 รายการ และยังได้เพลิดเพลินกับการแสดงดนตรี การแสดงทางวัฒนธรรมให้รับชมตลอดงาน โดยติดตามรายละเอียดได้ที่ www.culture.go.th และเฟสบุ๊คกรมส่งเสริมวัฒนธรรม

‘กลุ่มเต้นแอโรบิก’ เปิดเพลงสุดมัน!! เสียงดังรบกวน ลั่น!! สนามกีฬากลาง คือ ‘พื้นที่ส่วนรวม’ ควรเกรงใจ

(5 ธ.ค. 67) สายรักสุขภาพ คนชอบออกกำลังกาย อาจจะคุ้นชินกับบรรยากาศการ ‘เต้นแอโรบิก’ ในสนามกีฬาสาธารณะ ซึ่งก็จะมีการเปิดเพลงประกอบจังหวะ ทำให้สามารถเต้นได้อย่างพร้อมเพรียงและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น

ทว่า ล่าสุดก็กลายเป็นประเด็นถกสนั่นในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้บัญชี X : @Mr_Whathapened ออกมาแชร์คลิปจากผู้ร้องเรียนรายหนึ่ง โวยกลุ่มคนกำลังเต้นแอโรบิก พร้อมข้อความเขียนในคลิปว่า 

สนามกีฬากลางไม่ใช่สนามกีฬาส่วนตัว ใช่ว่าทุกคนจะอยากฟังเสียงเพลงแอโรบิก ซึ่งพวกคุณเปิดดังมาก ไม่มีความเกรงใจคนที่เขามาใช้สนามกีฬาเลย

โดย บัญชี X : @Mr_Whathapened ก็ได้เขียนแคปชันชวนชาวเน็ตมาถกเถียงเสนอความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว ระบุว่า 

ประเด็นนี้น่าถกว่า สนามกีฬากลางที่มีการเต้นแอโรบิกแล้วใช้เครื่องเสียงซึ่งดังมาก จนไปรบกวนการเล่นกีฬาชนิดอื่น ๆ เหมาะสมหรือไม่ หรือคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ

ฝั่งเต้นแอโรบิกก็บอกว่า แค่ชั่วโมงเดียวเองจะอะไรนักหนา ไม่ได้เต้นทั้งวัน หรือ ไปบอกให้เบาเสียงก็ได้ แต่คนถ่ายคลิปบอกกูเคยเดินไปบอกแล้ว สรุปคือเปิดดังกว่าเดิม 

งานนี้ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันสนั่น โดยเสียงแตกออกเป็นสองฝ่าย มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยว่าพื้นที่ส่วนกลางควรลดเสียงและเกรงใจผู้ใช้สนามรายอื่น กับฝ่ายที่มองว่า เป็นเรื่องปกติ และการเต้นแอโรบิกก็ใช้เวลาไม่นาน ควรแบ่งปัน

ความคิดเห็นนั้นมีหลากหลาย อาทิเช่น

คนไทยจำนวนมากติดเสียงดังเกินความจำเป็นอะ ตามงานวัด งานโอท็อป กาชาด หมอลำ ฯลฯ จะเจอเปิดเพลงดังเยอะมาก แบบไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น แล้วก็อ้างสารพัดว่าปีละครั้ง หรือ แค่แป๊ปเดียว ประเด็นคือการทำให้คนอื่นเดือดร้อน แค่แป๊ปเดียวก็ไม่ควรทำป่ะ เปิดเสียงเบาลงแล้วจะเต้นไม่ได้เหรอ?

เอาแค่ให้คนที่เต้นได้ยินก็พอ ไม่ต้องสาระแนเผื่อแผ่ชาวบ้าน บีทดนตรีมันไม่ได้ชิวค่ะ มันหนวกหู แล้วมันอยู่ติดบ้านคนด้วยมั้ยล่ะ ถ้าติดด้วยนี่ควรโดนด่าเลย ไม่มีมารยาท

หลังบ้านเป็นอนามัยเมื่อก่อนมีกลุ่มแม่บ้านมาซ้อมรำทุกเย็นเปิดเพลงดังมากกกก จนเด็กที่กำลังจะอ่านหนังสือสอบอ่านไม่ได้เลยพี่เราเลยไปแจ้งเทศบาล เค้าก็เปิดเบาลงนะ คือสมัยนี้คนไทยก็ได้เรียนหนังสือกันแล้วก็น่าจะคุยกันได้นะ (ถ้ามีจิตสำนึกบ้าง)

ส่วนมากที่เจอ เสียงดังจริงค่ะ แต่ก็คิดว่าเขาเต้นไม่นานหรอก แต่เราแค่คนผ่านมาไง เราไม่ใช่คนใช้ชีวิตตรงนั้น ไม่ได้มาฟังทุกวันๆ ก็น่าเห็นใจคนที่บ้านอยู่แถวนั้นนะคะ ถ้าเบาได้ก็ช่วยเบาลงหน่อยน่าจะดี

เปิดเสียงในระดับที่ร้านคาเฟ่เขาเปิดกันก็พอแล้วมั้ย มากไปก็เป็นมลพิษทางเสียง
เปิดปกติ มันก็เต้นได้ ไม่เข้าใจจะเปิดดังๆทำไม เบียดเบียนคนอื่น เอาจริงๆ ไม่ควรเปิดเสียงรบกวนคนอื่นในที่สาธารณะเลย คนอื่นเค้าไม่ได้อยากฟังด้วย กทม. มาทำไรหน่อย

ไม่ได้รู้สึกว่าดังอะไรเลย สนามกีฬาก็ฟีลประมาณนี้อยู่แล้ว แล้วที่ว่ารบกวนกีฬาชนิดอื่น คืออะไร หมากรุก? เตะบอลก็ต้องมีเสียงเฮ ตะกร้อลอดห่วงก็ต้องมีเสียงเอ้วๆ แม้แต่อาม่ารำไทเก็กเช้าก็ยังเปิดเพลงจีน

ไม่ต้องเปิดเผื่อคนอื่นก็ได้ หนวกหู!!

งานนี้ก็คงต้องรอดูว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการเคลื่อนไหวเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันหรือไม่ 

เปิดวาร์ป ‘โบว์ พัชรีย์’ พี่เลี้ยง ‘คุณหนูเอวา’ ดีกรีไม่ธรรมดา!! ‘สวย-เก่ง-ใจกล้า-มีทักษะ’

(5 ธ.ค. 67) ขึ้นแท่นเซเลปสาวสี่ขาประจำปี 2024 สำหรับ ‘น้องเอวา’ เจ้าของฉายา ‘คุณหนูเอวาสุดแกลม’ เสือโคร่งสีทอง-เสือโคร่งสตรอว์เบอร์รี แห่ง เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี (Chiang Mai Night Safari) ที่ใครเห็นก็อดใจไม่ไหว ตกหลุมรักในหน้าตาสุดแบ๊ว อยากไปเจอตัวเป็น ๆ

แต่นอกจากที่หลายคนจะโดน ‘น้องเอวา’ ตกแล้ว งานนี้เหล่าแฟน ๆ ก็โดนพี่เลี้ยงหญิงแกร่ง ‘คุณโบว์’ พี่เลี้ยงประจำตัวคุณหนูเอวาที่โด่งดังจากคลิปจกพุงน้องเอวาตกด้วยอีกคน ด้วยความใจกล้า แถมเก่ง มีทักษะ เพราะต้องอยู่ร่วมโซนแสดงกับสัตว์นักล่าอย่างเสือโคร่ง ทำให้ใครหลายคนอยากทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น

ประวัติส่วนตัว ‘โบว์ พัชรีย์’

นางสาวพัชรีย์ พิพัฒน์วงศ์ชัย (โบว์)

อายุ 25 ปี

จบการศึกษามาจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่

ทำงานตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ฝึกและแสดงสัตว์ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี

ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง น้องเอวา เสือโคร่งลูกคุณหนูนานกว่า 3 ปี โดยดูแลตั้งแต่เกิด

ม.ทั่วสหรัฐเตือน นักศึกษา-บุคลากรต่างชาติ กลับเข้าประเทศก่อนทรัมป์รับตำแหน่ง

นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานเมื่อ 5 ธ.ค. 2024 ว่า มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาชั้นนำในสหรัฐ เช่น มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ได้ออกประกาศเตือนนักศึกษาและบุคลากรต่างชาติให้หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกประเทศในช่วงนี้ พร้อมแนะนำให้กลับเข้าสหรัฐก่อนวันที่ 20 มกราคม 2025 ซึ่งเป็นวันเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์  

มหาวิทยาลัยเหล่านี้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบการตรวจคนเข้าเมืองและสถานะวีซ่า รวมถึงมาตรการห้ามเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อบุคลากรและนักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนและอินเดีย  

ในประกาศของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ระบุว่า “ภูมิทัศน์ของการย้ายถิ่นฐานมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีชุดใหม่” ขณะที่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ เช่น มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยเวสเลียนในคอนเนตทิคัต ได้ออกคำแนะนำให้นักศึกษาและคณาจารย์ต่างชาติเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล พร้อมจัดเซสชันให้ข้อมูลและบริการให้คำปรึกษากฎหมายการย้ายถิ่น  

ย้อนกลับไปในปี 2017 ช่วงต้นสมัยแรกของทรัมป์ เขาเคยออกคำสั่งฝ่ายบริหารห้ามพลเมืองจากหลายประเทศ รวมถึงเกาหลีเหนือและเวเนซุเอลา เดินทางเข้าสหรัฐ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อนักศึกษาและนักวิชาการจากประเทศเหล่านี้ แม้คำสั่งดังกล่าวจะถูกศาลสั่งยกเลิกในภายหลัง แต่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์เตือนว่ามาตรการลักษณะเดียวกันอาจกลับมาใช้ได้ในไม่ช้าหลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง โดยรายชื่อประเทศที่ถูกจำกัดอาจขยายไปถึงอินเดียและจีน  

จากข้อมูลของสถาบันการศึกษานานาชาติ (Institute of International Education: IIE) พบว่ามีนักศึกษาต่างชาติกว่า 1.1 ล้านคนศึกษาอยู่ในสหรัฐในปีการศึกษา 2023 โดยนักศึกษาชาวอินเดียมีจำนวนมากที่สุด แซงหน้าชาวจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี  

เบนจามิน สเทิร์น (Benjamin Stern) ที่ปรึกษาด้านการศึกษาสำหรับนักเรียนชาวอินเดีย ระบุว่า ลูกค้าของเขาหลายคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากชัยชนะของทรัมป์ โดยบางคนเริ่มพิจารณาสมัครเรียนในประเทศอื่นแทนสหรัฐเพราะความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

‘มหัศจรรย์ไม้เมืองหนาว ทิวลิปบานที่สวนหลวง ร.๙’ จัดเต็มความงดงาม พร้อมนวัตกรรมด้านพลังงานจาก ปตท.

งาน 'มหัศจรรย์ไม้เมืองหนาว ทิวลิปบานที่สวนหลวง ร.๙' ประจำปี 2567 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงาน 'พรรณไม้งาม อร่ามสวนหลวง ร.๙' ที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ มูลนิธิสวนหลวง ร.๙ และกรุงเทพมหานคร จัดขึ้นภายใต้แนวคิด 'The Charming of Colorful Town' ระหว่าง 1-10 ธันวาคม 2567 ณ อาคารถกลพระเกียรติ สวนหลวง ร.๙ เป็นอีกหนึ่งงานที่ไม่ควรพลาด เพราะถ้าพลาดปีนี้อาจจะต้องรออีกทีใน 1 ปีข้างหน้า

โดยในส่วนของการจัดแสดงดอกไม้เมืองหนาวนั้น ได้จำลองบรรยากาศเมืองในยุโรป สร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าชมได้เพลิดเพลินไปกับความงดงามของดอกไม้เมืองหนาวหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นทิวลิปหลากสี ไฮเดรนเยีย และไม้เมืองหนาวนานาพรรณ

ซึ่งงานนี้ไม่เพียงแต่มีความงดงามของพรรณไม้เมืองหนาวนานาชนิดเท่านั้น แต่ยังได้จัดแสดงเทคโนโลยีการปลูกไม้เมืองหนาวให้เติบโตในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยนวัตกรรมการใช้พลังงานความเย็นที่ได้จากการเปลี่ยนสถานะก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ถือเป็นการใช้ประโยชน์จากพลังงานความเย็นเหลือทิ้งให้เกิดประโยชน์สูงสุด  

และนอกจากโซนดอกไม้เมืองหนาวแล้ว ยังมีไฮไลต์สำคัญที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ด้วย นั่นก็คือ โรงเรือนปลูกสตรอว์เบอร์รี่อัจฉริยะขนาดเล็ก ที่นำระบบควบคุมอัจฉริยะมาใช้ติดตามและควบคุมปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และแสงสว่าง เพื่อให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นสตรอว์เบอร์รี โรงเรือนนี้พัฒนาจากความสำเร็จของโครงการทดลองปลูกสตรอว์เบอร์รีในโรงเรือนอัจฉริยะที่ จ.ระยอง เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่สนใจด้านการเกษตรสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี
กว่าที่จะประสบความสำเร็จสามารถเพาะพันธุ์และปลูกไม้เมืองหนาวได้ดังเช่นปัจจุบัน ได้ผ่านการคิดค้นและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือของกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ ปตท.

เริ่มจากการจัดตั้งโครงการวิจัย พืชเมืองหนาวในปี 2553 ซึ่งเป็นการศึกษา วิจัย การนำพลังงานความเย็นที่เหลือใช้จากการเปลี่ยนแปลงสถานะของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาใช้ประโยชน์ โดยได้ผนวกนำความรู้ทางด้านวิศวกรรมและเกษตรกรรม  มาพัฒนาและยกระดับองค์ความรู้ทางด้านการเกษตรของประเทศ  เริ่มจากการวิจัยเพาะปลูกดอกทิวลิป ลิลลี่ แดฟโฟดิล จนประสบความสำเร็จ และต่อยอดสู่การจัด 'งานมหัศจรรย์ไม้เมืองหนาว' ซึ่งเป็นการนำพืชเมืองหนาวนานาพันธุ์มาจัดแสดงนิทรรศการ ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในองค์รวม

หลังจากความสำเร็จในการเพาะปลูกพืชเมืองหนาว จึงต่อยอดจากไม้ดอกสู่ไม้ผลตระกูลเบอร์รี่ต่าง ๆ อาทิ สตรอว์เบอร์รี่ ในปี 2555 โดยเพาะปลูกในโรงเรือนอัจฉริยะ ซึ่งเป็นระบบปิดที่ทันสมัย ควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ปลอดภัยไร้สารเคมี และสามารถให้ผลผลิตต่อเนื่องตลอดปี  จึงทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และมีปริมาณเพียงพอต่อการพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์

จากนั้นในปี 2560 ได้นำผลผลิตสตรอว์เบอร์รี่เกรดพรีเมี่ยมออกสู่ตลาด ภายใต้แบรนด์ Harumiki สำหรับผู้ที่ชื่นชอบบริโภคผลไม้คุณภาพสูงจากต่างประเทศ และใส่ใจสุขภาพ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ทำให้ ปตท. ได้คิดค้น พัฒนา และต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ ผลไม้แปรรูป น้ำผลไม้สด รวมถึงผลไม้พันธุ์อื่นๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาธุรกิจใหม่ต่อยอดธุรกิจเดิมจากค้าปลีกสู่คาเฟ่ Harumiki Farm & Cafe จังหวัดระยอง ได้อย่างงดงาม

ผู้ที่มาชมงาน 'มหัศจรรย์ไม้เมืองหนาว ทิวลิปบานที่สวนหลวง ร.๙' ในปีนี้ นอกจากจะได้ดื่มด่ำกับความงดงามของพรรณไม้เมืองหนาวที่หาชมได้ยากในประเทศไทย พร้อมกับลิ้มรสสตรอว์เบอร์รี่เกรดพรีเมียมแล้ว ยังจะได้สัมผัสกับนวัตกรรมด้านพลังงานที่น่าทึ่งจาก ปตท. ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน

ความปลอดภัยทางถนน หนุนลดการเจ็บตายบนท้องถนน ตั้งเป้าลดตายในกลุ่ม 'เยาวชน'

ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน แพทย์ นักวิชาการ สถาบันการศึกษา จัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่องความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 16 ภายใต้แนวคิด 'สานพลังเข้มข้น สร้างกลไกเข้มแข็ง เพื่อถนนไทยปลอดภัย : Road Safety Stronger Together' เมื่อวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม อิมแพ็ค

เมืองทองธานี โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวในห้องย่อยที่ 1 ระบบนิเวศความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชน : Road Safety Ecosystem for Youthด้วยว่า “กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง เช่น แนวทางรถรับส่งนักเรียนหรือแนวทางการจัดทัศนศึกษาที่ปลอดภัย แต่ปัญหาอยู่ที่การปฏิบัติของบุคลากรทางการศึกษา ที่จะทำอย่างไรให้เป็นการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กนักเรียนเมื่อมีการเดินทาง แต่อย่างไรก็แล้วแต่เรื่องความปลอดภัยทางถนนควรเป็นวาระที่สำคัญที่ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ระดับครอบครัว ซึ่งก็คือการที่พ่อแม่มีวินัยจราจรให้บุตรหลานได้เห็นเป็นแบบอย่างและสถานศึกษา มาเน้นย้ำในสิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่ออยู่บนท้องถนน

น่าสนใจว่าประชาชนยังขาดจิตสำนึกเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน หากย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีก่อนประเทศไทยมีความพยายามที่จะบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการห้ามนั่งท้ายกระบะ แต่เกิดเสียงตำหนิรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก ที่ไม่เห็นอกเห็นใจผู้มีรายได้น้อยที่จำเป็นต้องโดยสารท้ายรถกระบะเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเรายังคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายก่อนเรื่องความปลอดภัยทางถนน จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายระบบการศึกษาของไทยและกลไกของครอบครัวว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เมื่อมีการเดินทางสัญจรเกิดขึ้น ทั้งนี้สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพหลักในการสร้างเสริมระบบนิเวศที่ปลอดภัย (Ecosystem) ในกลุ่มเด็กและเยาวชน คือการจัดให้มีการกำหนดมาตรการความปลอดภัยทางถนนหรือจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนน รวมถึงจัดให้มีกิจกรรมเสริมหลักสูตรเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนนในชั้นเรียนนั้น ทาง ศธ. ยินดีรับข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาและดำเนินการต่อไป”

ด้านนายธนันท์ เมฆประเสริฐวนิช ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ปัจจุบันกรุงเทพมหานครได้ดำเนินโครงการ 'เด็กเริ่ม ผู้ใหญ่ร่วม' เป็นภารกิจของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนกรุงเทพมหานคร (ศปถ.กทม.) เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 2563 โดยมีเป้าหมายและจุดเน้นคือการสร้างเยาวชนต้นแบบและผู้ริเริ่ม 'รักษ์วินัยจราจร' ที่จะเป็นกำลังสำคัญของกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มพฤติกรรมรักษ์วินัยจราจรจากตนเองส่งต่อไปยังกลุ่มเพื่อน และผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง สมาชิกอื่น ๆ บนท้องถนน รวมถึงโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร 437 โรงเรียน ทั้งนี้จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดการณ์ว่าหากเราไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้แนวโน้มปี 2564 – 2573 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีเด็กเสียชีวิตเพิ่มอีก 30,204 คน แต่ถ้าเราลงมือเริ่มแก้ไขปัญหานี้ เริ่มจากเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้ามีการลดการตายได้ปีละ 5% ใน 10 ปีจะช่วยชีวิตเด็กและเยาวชนได้ สูงถึง 9,675 คน

ด้านนายรวิศุทธ์ คณิตกุลเศรษฐ์ รองเลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. มีบทเรียนสำคัญที่ดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดระยอง โดยเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ได้จัดให้มีการลงนามความร่วมมือ (MOU) กับ 5 สถาบันอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง ซึ่งดำเนินงาน 5 มาตรการอย่างเข้มงวด ได้แก่ 1. ส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย 2.ประกาศนโยบายสถานศึกษาปลอดภัย 3.พัฒนาองค์ความรู้ด้านการขับขี่และทักษะการขับขี่ 4.ส่งเสริมการทำใบอนุญาตขับขี่ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก 5.สนับสนุนการปรับปรุงสภาพแวดล้อมส่งผลทำให้จำนวนของการบาดเจ็บลดลง และสามารถลดผู้เสียชีวิตให้เป็นศูนย์ได้ภายในปี 2565 ความสำเร็จดังกล่าว ยท. และ สสส. จึงได้สานต่อความสำเร็จในครั้งนี้เพื่อเป้าหมายการใช้หมวกนิรภัยให้ได้ 100% ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา รวมไปถึงสร้างนิสัยความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะการดื่มไม่ขับ เคารพกฎจราจร โดยในปี 2567 ได้ขยายความร่วมมือไปยังจังหวัดขอนแก่นและเมืองพัทยาจังหวัดชลบุรี และนำ 5 มาตรการดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อหนุนเสริมความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกอนุกรรมการด้านเด็กและเยาวชน ในศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดชลบุรี”

GC และ KBC ร่วมมือยกระดับการเปลี่ยนผ่าน เดินหน้าสู่ดิจิทัลอัจฉริยะในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

เมื่อวันที่ (4 ธ.ค.67) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของประเทศไทย และ KBC Advanced Technology Pte Ltd (KBC), a Yokogawa company บริษัทที่ปรึกษาเชิงเทคโนโลยีชั้นนำที่ให้บริการอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมี ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ GC โดยมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) The Intelligent Digital Technology Collaboration Program

ความร่วมมือครั้งนี้จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Advanced Process Simulation ที่ล้ำสมัยและความรู้ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของ GC และ KBC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดของ GC โดยเริ่มจากการมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และประสิทธิภาพการผลิต (production efficiency) ที่ดียิ่งขึ้น การผสานการวิเคราะห์ขั้นสูง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับการจำลองกระบวนการที่ซับซ้อน (Advanced Process Simulation) จะช่วยให้ GC และ KBC สามารถมีเครื่องมือในการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรม และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างสูงสุด ความร่วมมือนี้จะช่วยให้ GC สามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดปิโตรเคมีและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ตามกลยุทธ์องค์กร

นายพรศักดิ์ มงคลตรีรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจเพื่อความเป็นเลิศ  GC. กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ KBC นี้เป็นการลงทุนตามกลยุทธ์ Holistic Optimization ของ GC ในการเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร ด้านดิจิทัลของ GC โดยการใช้ประโยชน์จาก Advanced Process Simulation ระดับโลกของ KBC เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มความแข็งแกร่งในด้านเทคโนโลยี สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมาก รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างนวัตกรรม 

Mr. Takayuki Matsubara, Chief Executive Officer (CEO) of KBC กล่าวว่า “KBC รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ GC ผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ GC โดยการผสานซอฟต์แวร์จำลองกระบวนการ (Process Simulation) ของเรากับ AI เราตั้งเป้าที่จะยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของ GC และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง GC และ KBC นี้เป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างนวัตกรรมและความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมการกลั่นและปิโตรเคมี โดยการใช้จุดแข็งร่วมกัน GC และ KBC พร้อมที่จะขับเคลื่อนความก้าวหน้านด้านประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความยั่งยืน และประสิทธิภาพทางธุรกิจโดยรวม

เปิดปมซีอีโอ 'ยูไนเต็ดเฮลธ์แคร์' ถูกยิง พบกระสุนสลักคำแค้น สะเทือนธุรกิจประกันภัยสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ (4 ธ.ค.67) ตามเวลาท้องถิ่นนครนิวยอร์ก เกิดเหตุสะเทือนขวัญเมื่อนาย ไบรอัน ธอมป์สัน  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์ (UnitedHealth) ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตใจกลางย่านแมนฮัตตัน โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าคนร้ายตั้งใจดักรอเพื่อหมายเอาชีวิตนายธอมป์สัน

รายงานระบุว่า ธอมป์สัน วัย 50 ปี ถูกยิงเมื่อเวลาประมาณ 06:45 น. ที่บริเวณด้านนอกโรงแรมฮิลตัน บนถนนซิกซ์อเวนิว เพียงไม่นานก่อนที่งานกิจกรรมวันพบปะนักลงทุนประจำปีของบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์จะเริ่มขึ้น โดยเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงอย่างเร่งด่วน ขณะที่คนร้ายยังคงหลบหนี

รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า มือปืนดักรอ Brian ขณะเดินอยู่ริมถนน จากนั้นใช้อาวุธปืน 9 มม. ยิงเขา 6 นัด โดยมีการใช้กระบอกเก็บเสียง ปลอกกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุถูกสลักข้อความว่า 'Delay' (ยืดเยื้อ), 'Deny' (ปฏิเสธ), และ 'Depose' (โยนคดีทิ้ง) ซึ่งสอดคล้องกับชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีนักของบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์ เนื่องจากมีอัตราการปฏิเสธการจ่ายเงินประกันสูงถึง 32% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มบริษัทประกันสุขภาพทั้งหมด อีกทั้งยังมีอัตราการปฏิเสธการจ่ายเบื้องต้นสูงถึง 90% ส่งผลให้มีคดีความฟ้องร้องระหว่างผู้เอาประกันชาวอเมริกันกับบริษัทเป็นจำนวนมาก

การปฏิเสธการจ่ายเงินของบริษัทส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะหากไม่มีเงินประกันมาจ่าย โรงพยาบาลจะต้องหยุดการรักษาชั่วคราว  

การลอบยิงดังกล่าวส่งผลให้ชาวเน็ตวิจารณ์เหตุการณ์นี้อย่างกว้างขวาง หลายคนแสดงความเห็นว่ามือปืนอาจเป็นตัวแทนของผู้ที่ทนไม่ได้กับความไม่เป็นธรรมจากระบบประกันสุขภาพในสหรัฐฯ และถึงแม้ตำรวจจะสามารถจำกัดวงผู้ต้องสงสัยจากจำนวนคนที่เคยถูกปฏิเสธการจ่ายเงินเหลือเพียง 25 ล้านคน แต่การจับกุมมือปืนอาจไม่ใช่เรื่องง่าย

เหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้บรรดาบริษัทประกันภัยรายอื่น ๆ ของสหรัฐ ต่างทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้บริหารระดับสูงอย่างเร่งด่วน อาทิ CVS Health อีกหนึ่งบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐ ได้นำภาพถ่ายและข้อมูลของทีมผู้บริหารทั้งหมดออกจากเว็บไซต์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น   

โรเบิร์ต ดามิโก อดีตเจ้าหน้าที่ FBI และผู้ก่อตั้งบริษัท Sierra One Consulting บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยระบุว่า การนำรูปภาพออกจากเว็บไซต์สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการลดความเสี่ยงที่ผู้ไม่หวังดีจะสามารถระบุตัวและเข้าถึงผู้บริหารได้ง่าย อีกทั้งยังบอกว่า ช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจด้านสุขภาพในสหรัฐฯ เผชิญกับความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้น จนต้องสำรวจมาตรการความปลอดภัยใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับความเป็นไปได้ของอาชญากรรมรุนแรง

ทั้งนี้ เหตุการณ์การเสียชีวิตของธอมป์สันเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่ผู้บริหารระดับสูงต้องเผชิญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการประกันภัย ซึ่งเป็นประเด็นที่กระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top