Wednesday, 4 December 2024
NewsFeed

Taiwan Excellence ยกทัพนวัตกรรมลํ้า โชว์งาน Taiwan Expo 2024 - เปิดตัว FU BEAR

เมื่อวันที่ (1 พ.ย. 67) ร่วมสัมผัสนวัตกรรมอันล้ำสมัยของไต้หวันได้ที่ “พาวิลเลียน Taiwan Excellence” ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของงาน Taiwan Expo 2024 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 21 ถึง 23 พฤศจิกายน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (ฮอลล์ 5, บูธหมายเลข 401) โดยภายในงานจะจัดแสดงสินค้าที่ได้รับรางวัลตราสัญลักษณ์ Taiwan Excellence มากถึง 58 รายการ รวมทั้งเปิดโอกาสสุดพิเศษให้เข้าเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ และสัมผัสกับอนาคต ของอุตสาหกรรมสุขภาพ ความยั่งยืน และเทคโนโลยีไปพร้อมกัน

ทั้งนี้ พาวิลเลียน Taiwan Excellence เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานบริหารการค้าระหว่างประเทศ ของไต้หวัน (Taiwan’s International Trade Administration) และสภาส่งเสริมการค้า และการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) ซึ่งในงานเป็นเวทีสำหรับจัดแสดงผลิตภัณฑ์ชั้นนำของไต้หวัน ที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้น ทั้งในแง่คุณภาพ การออกแบบ และนวัตกรรม การได้รับเกียรติคัดเลือกจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของไต้หวัน ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งตอกย้ำบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมระดับโลก    

นอกจากนี้ยังมีแขกรับเชิญสุดพิเศษในพาวิลเลียนนี้ คือ “FU BEAR” มาสคอตหมีดำจากไต้หวัน ซึ่งจะเปิดตัว อย่างเป็นทางการในประเทศไทยภายในงานนี้ โดย Fu Bear จะเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและไต้หวัน สร้าง ความประทับใจให้กับผู้เข้าชมด้วยความน่ารักสดใส พร้อมสื่อถึงนวัตกรรมและความคิด สร้างสรรค์ ที่อยู่เบื้องหลัง ผลิตภัณฑ์ ของไต้หวัน

นวัตกรรมทั้งหมดที่จัดแสดงในพาวิลเลียนจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ร่วมงานทุกท่าน ผ่านการเปิดตัวนวัตกรรม ล้ำสมัยจำนวนมาก ซึ่งครอบคลุมหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ซึ่งจะถูกจัดแสดงทั้งในรูปแบบสามมิติ  อุปกรณ์สมาร์ตลีฟวิ่ง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ภายในที่อยู่อาศัย ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อยกระดับชีวิตประจำวันของทุกคน

ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและน่าสนใจภายในพาวิลเลียนนี้ได้แก่ ฟิล์ม “Optiqb Qbarmour” สร้างประสบการณ์ การรับชมแบบสามมิติ ด้วยตาเปล่าจากอุปกรณ์ขนาดพกพา, “YZTEK e+Autoff Compact” อุปกรณ์ควบคุมการทำงาน เตาทำอาหารอัจฉริยะเพื่อความปลอดภัย และ “ible” เครื่องฟอกอากาศแบบสวมใส่ที่ช่วยฟอกอากาศบริสุทธิ์ได้ทุกที่ทุกเวลา มากไปกว่านั้นภายในงานยังมีนวัตกรรมที่โดดเด่นอีก

มากมายไม่ว่าจะเป็น “mbranfiltra” ตัวกรองน้ำแบบพกพาที่สามารถ ผลิตน้ำดื่มสะอาดได้ทุกที่, “Tokuyo” เก้าอี้นวดสุดหรู, “SAUBER Air FLAT™ Wall-mount Air Purifier” เครื่องฟอกอากาศ ติดผนัง พร้อมดีไซน์กรอบรูป และ “INNOLUX” หน้าต่างกรองแสงอัจฉริยะที่ช่วยประหยัดพลังงาน 

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดง อุปกรณ์สำหรับนักปั่นจักรยานอย่าง “WiseChip” ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การปั่นจักรยานด้วยการติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์, “Transcend DrivePro Body 70” กล้องสวมตัวสำหรับการบันทึกภาพ คุณภาพสูง และ “BenQ W4000i” โปรเจคเตอร์เพื่อสร้างบรรยากาศคล้ายโรงภาพยนตร์ในบ้าน ที่ให้ภาพคมชัดระดับ 4K ทั้งหมด ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินค้าจากไต้หวันที่จัดแสดงในพาวิลเลียนนี้เท่านั้น เพราะภายในงานยังมีนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับ คุณภาพชีวิตประจำวันอีกมากมาย

ท้ายที่สุด พาวิลเลียน Taiwan Excellence ยินดีต้อนรับทุกท่าน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริโภคที่ต้องการเดินชมนวัตกรรม สุดล้ำจากไต้หวัน หรือเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพราะภายในงานนี้มีสินค้าที่น่าสนใจสำหรับทุกท่าน แล้วมาพบปะ กับผู้ประกอบการจากไต้หวัน สัมผัสโปรดักต์ล้ำสมัย และเพลิดเพลินไปกับความน่ารักของมาสคอต FU BEAR โดยงานจัดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 21 ถึง 23 พ.ย. 2567 เวลา 10.00 น. ถึง 18.00 น. งานนี้เข้าชมฟรีและเปิดให้ประชาชนทั่วไป

สำหรับเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพาวิลเลียน Taiwan Excellence และผลิตภัณฑ์ 'Best Made in Taiwan' สามารถเยี่ยมชมได้ที่ https://www.taiwanexcellence.org/en

ผู้ปกครองเดือด!! หลังเด็ก 2 คน ถูกปฏิเสธขึ้นเครื่องไปอินเดีย อ้างพ่อ-แม่ไม่เซ็นรับรอง ทั้งที่ตอนจองให้ซื้อตั๋ว ‘ผู้ใหญ่’

(5 พ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก Happy Study Abroad โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 3 พ.ย.67 โดยระบุว่า รีวิวประสบการณ์เด็กถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่อง Airasia

น้องเล็กเดินทางกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน จากดอนเมืองไปชัยปุระ (Dmk-Jai) ด้วยสายการบิน Airasia ไฟล์ท FD 130เด็กทั้งสองได้เช็กอินเวลาประมาณ 17.30 น. โดยพ่อแม่ยืนรอจัดการให้จนเรียบร้อย (ตามตั๋วเครื่องออก 19.30 น.) เด็ก ๆ ได้รับ boarding pass แจ้งเวลาเรียกขึ้นเครื่อง 18.50 น.

จากนั้น พ่อแม่ส่งเด็ก 2 คนเข้าไปด้านในเวลา 18.14 น. ขณะที่เด็กๆ ถึงหน้า gate เวลา 18.35 น. น้องเล็กโทร.มาหาแม่เวลา 19.39 น. เพื่อขอบัตรประชาชนแม่ให้เจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกเด็กว่าขอไปทำไม

เวลา 20.20 น. น้องเล็กโทร.มาบอกแม่ว่าไม่ได้ไปแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่ให้ขึ้นเครื่อง ให้แม่มารับกลับ ซึ่งแม่ได้ขอคุยกับเจ้าหน้าที่ เขาถามว่าแม่มาแสดงตัว และได้เซ็นเอกสารตอนเช็กอินไหม แม่บอกว่ามาแสดงตัว แต่เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ไม่ได้ให้เซ็นเอกสารใดๆ 

เจ้าหน้าที่คนนั้นแจ้งว่าเด็กทั้ง 2 คนถูกปฏิเสธการขึ้นเครื่อง เพราะไม่มีเอกสารอนุญาตจากผู้ปกครอง เขาแจ้งว่าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่เช็กอิน สายการบินจะรับผิดชอบโดยการหาตั๋วใหม่ให้แทน ให้ผู้ปกครองมารับเด็กกลับไป

โดยทางแม่แจ้งเจ้าหน้าที่คนเดิมขอตั๋วเร็วที่สุด เพราะโรงเรียนเปิดเทอมแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าจะติดต่อกลับมา

จากนั้น เวลา 20.35 น. เจ้าหน้าที่พาเด็ก ๆ ออกมาส่งให้กับพ่อแม่ที่อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 3 ต่อมาเวลา 21.21 น. แม่โทร.กลับไปหาเจ้าหน้าที่ที่เดินออกมาส่งเด็ก เพื่อขอทราบสาเหตุโดยละเอียด และขอให้รับผิดชอบความเสียหายอื่นๆที่ตามมา 

เจ้าหน้าที่ตอบกลับว่าสายการบินทำได้เพียงรับผิดชอบตั๋วของเด็ก ๆ เท่านั้น และจะได้เดินทางในวันที่ 5 พ.ย. นี้แทน

ทั้งนี้ ทางเจ้าของโพสต์ได้ข้อสังเกตว่า

1. เจ้าหน้าที่เช็กอินไม่ได้ให้ผู้ปกครองเซ็นเอกสารใดๆเลย (ตอนมาจากอินเดีย เจ้าหน้าที่เช็คอินก็ไม่ได้ให้ผู้ปกครองเซ็นเช่นกัน) พวกเราเลยไม่ได้เอะใจ คิดว่าสายการบินเปลี่ยนวิธีการแล้ว ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาตลอดหลายปีที่เคยไปส่งลูกๆที่สนามบิน เจ้าหน้าที่ก็ส่งเอกสารให้กรอกเสมอ โดยไม่ต้องร้องขอ

2. เด็กๆ ผ่านเจ้าหน้าที่ ตม.ไปได้อย่างเรียบร้อย

3. เด็กๆไปรอหน้าเกทล่วงหน้าประมาณ 1 ชม. ก่อนเวลาเครื่องออก ขณะต่อแถวตรวจ boarding pass เจ้าหน้าที่ตรวจบัตรโดยสารถามอายุ น้องเล็กตอบ 13 และ 12 ปี เจ้าหน้าที่บอกให้รอก่อน ไม่ให้ขึ้นเครื่อง แต่ก็ไม่ได้แจ้งเด็กๆว่าเกิดปัญหาอะไร เด็ก ๆ ทั้งคู่มีโทรศัพท์ หากเจ้าหน้าที่ขอให้โทรหาพ่อแม่เพื่อมาเซ็นเอกสาร ณ เวลานั้น เรื่องจะไม่บานปลายเพราะพ่อแม่ยังรออยู่ที่สนามบิน 

4. เจ้าหน้าที่ขอพาสปอร์ต หรือบัตรประชาชนของแม่เพียงคนเดียว ส่วนผู้ปกครองเพื่อนของน้องเล็กไม่ได้รับแจ้งขอเอกสารใดๆ

5. เจ้าหน้าที่ได้รับบัตรประชาชนของแม่ไป แต่ไม่ได้แจ้งสาเหตุใดๆ เวลาผ่านไป 20 นาที แม่จึงได้รับแจ้งจากน้องเล็กว่าไม่ได้ขึ้นเครื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เหตุการณ์นี่สร้างปัญหาตามมาให้พวกเราอย่างมาก

6. เราซื้อตั๋วไป-กลับจาก Jai - Dmk และน้ำหนักคนละ 30 กิโลกรัมกับสายการบินโดยตรง กรอกวันเดือนปีเกิดของเด็กๆถูกต้อง แต่เจ้าหน้าที่คนเดิมอ้างว่าเรากรอกวันเดือนปีเกิดเด็กไม่ตรงตามจริงทำให้ไม่รู้ว่าเป็น Young Passengers ประเด็นนี้แม่ปฏิเสธกลับไปว่าไม่จริง เพราะเราจองตั๋วเองทุกครั้ง กรอกรายละเอียดตามพาสปอร์ต เด็กทั้งสองอายุมากกว่า 12 ปี ระบบให้จองได้ในช่องจำนวนผู้เดินทางผู้ใหญ่

ผลจากเหตุการณ์นี้
1. เด็กอายุ 12 และ 13 ปี ถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องพร้อมสัมภาระคนละ 30 กิโลกรัม หากผู้ปกครองกลับต่างจังหวัดแล้ว มารับเด็กๆกลับบ้านไม่ได้ จะทำอย่างไร

2. เด็กๆไม่ชอบใจที่กลับไปไม่ทันวันเปิดเรียน เพราะเป็นภาระให้ต้องตามงาน

3. เสียเวลาเดินทางไปกลับจากบ้านไปสนามบินดอนเมืองหลายรอบ

4. กระทบการงานของผู้ปกครองอย่างมาก

5. เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ปกครอง ที่ต้องทิ้งตั๋วเก่า มาซื้อตั๋วใหม่เพื่อกลับต่างจังหวัด มีค่าใช้จ่ายในการอยู่ กทม.ต่ออีก 2 วัน เพื่อรอส่งลูกเดินทางกลับไปอินเดีย

6. เสียเวลาของคนรอรับที่อินเดีย พวกเราต้องแจ้งโรงเรียนว่าไม่ได้เดินทางตามกำหนด และขอให้โรงเรียนมารับใหม่อีกครั้ง

*** ผลกระทบเหล่านี้ควรได้รับการชดเชยจากสายการบิน

ข้อมูลสำคัญ
1. เด็กอายุ12-16 ปี สายการบินถือเป็น Young Passengers ต้องมีผู้ปกครองมาเซ็นเอกสารที่เคาน์เตอร์เช็กอินทุกครั้ง และควรทำหนังสืออนุญาตให้เด็กเดินทางคนเดียวเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ตม. 

2. แม่สอบถามช่องทางร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ Airasia ทั้งที่ Terminal 1 และ 2 ทุกคนตอบเหมือนกันว่ามีช่องทางเดียวคือ website Airasia เรื่องจะถึงหลังบ้านโดยตรง แม่ดำเนินการไปแล้ว ได้รับหมายเลขร้องเรียนมา และต้องรอติดตามสถานะคำร้องเรียนต่อไป

โดยเจ้าของโพสต์ ยังระบุด้วยว่า ใครมีช่องทางร้องเรียน Airasia นอกเหนือจาก website รบกวนช่วยเม้นท์บอกต่อด้วย เนื่องจากรู้สึกเหมือนเด็ก ๆ ถูกรับกรรมจากระบบการทำงานแย่ ๆ ของสายการบิน

ขายออกจากพอร์ต 11 ล้านล้านบาท สะท้อนแบรนด์มือถือวิกฤต-ไร้เทคโนโลยีใหม่

(5 พ.ย. 67) สัญญาณเตือนวิกฤตแบรนด์ Apple หรือแค่ปรับกลยุทธ์การลงทุน เมื่อบริษัท  Berkshire Hathaway ของเจ้าพ่อการลงทุนวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่าหนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญคือการเทขายหุ้นล็อตใหญ่รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 60% ของพอร์ตตลอดปี 2024 

โดยวอร์เรน บัฟเฟตต์ ทยอยขายหุ้น Apple อย่างต่อเนื่อง โดยลดหุ้นแอปเปิ้ลในพอร์ตลงอีก 25% ในไตรมาส 3 หลังจากที่เคยหั่นลดลง 50% ในไตรมาส 2 ซึ่งวอร์เรนเคยกล่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นว่า การขายหุ้นแอปเปิ้ลไตรมาสแรกเพราะเหตุผลด้านภาษี และเบิร์กเชียร์จะยังคงลงทุนหุ้นแอปเปิลในสัดส่วนใหญ่อยู่ต่อไป โดยหุ้นแอปเปิลมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 10.6% ระหว่างไตรมาส 3

ในไตรมาสที่สาม Berkshire Hathaway ยังคงดำเนินกลยุทธ์ลดการถือครองหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยมีการขายหุ้นแอปเปิ้ลจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัท Berkshire Hathaway มีกระแสเงินสดจากการขายหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 325,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบราว 11 ล้านล้านบาท

การถือครองหุ้นแอปเปิ้ลของบัฟเฟตต์ สิ้นไตรมาส 3 มีมูลค่า  มีมูลค่า 69,900 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.3 ล้านล้านบาท) ลดลงราว 60% เทียบกับมูลค่า 174,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.8 ล้านล้านบาท) เมื่อสิ้นปี 2023 ซึ่งนับตั้งแต่เดือนพฤศภาคมที่ผ่านมา บัฟเฟตต์ไม่ได้ระบุเหตุผลเพิ่มเติมของการเทขายหุ้นแอปเปิ้ลในไตรมาสสองและไตรมาสสาม แม้ว่า Berkshire จะเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของแอปเปิ้ลก็ตาม 

จำนวนหุ้นแอปเปิลที่ Berkshire ถืออยู่ล่าสุดมีประมาณ 300 ล้านหุ้น ลดลงจากตัวเลขไตรมาสก่อนหน้านี้ที่ 400 ล้านหุ้น และลดลงจากเมื่อต้นปีที่ 915 ล้านหุ้น โดยมูลค่าหุ้นแอปเปิลที่บริษัทมีตอนนี้ประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์

การตัดสินใจของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ขายหุ้น Apple และสะสมเงินสดมหาศาล สร้างความประหลาดใจ และเป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั่วโลก แม้ผลประกอบการโดยรวมของ Berkshire Hathaway จะยังแข็งแกร่ง แต่การลดลงของกำไรจากการดำเนินงาน บวกกับการเทขายหุ้น Apple ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการลงทุน เน้นคุณค่า ในระยะยาว ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ของบัฟเฟตต์ในครั้งนี้

การวิเคราะห์สถานการณ์ อาจตีความได้ว่า บัฟเฟตต์กำลังมองเห็น ความเสี่ยง บางอย่าง ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ หรือความผันผวนจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ การกลับมาถือครองเงินสดอาจะเป็นการรับมือวิกฤตอะไรบางอย่างที่เขาเตรียมฉวยจังหวะลงทุนในเวลาที่เหมาะสม

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การเทขายหุ้นแอปเปิ้ลอาจสะท้อนว่าผลกระกอบการของแบรนด์มือถือที่ไม่สดใสเท่าที่ควร แม้จะมีการเปิดตัวมือถือไอโฟนรุ่นใหม่ เนื่องจากไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรที่จูงใจผู้ใช้งานมากเท่าที่ควร ขณะที่นักวิเคราะห์บางรายก็มองว่า Berkshire Hathaway อาจเตรียมการสำหรับเปลี่ยนผ่านผู้บริหารไปสู่ผู้นำคนใหม่ อย่างเกร็ก เอเบล ก็เป็นไปได้

‘เอกนัฏ‘ เผย รทสช.ไม่ขัดแก้ รธน. แม้ไม่มีนโยบายหนุน แต่ย้ำชัด!! ห้ามแตะหมวด 1,2 – มาตรการปราบโกง

’เอกนัฏ‘ เผย รทสช.ไม่ขัดแก้รธน. แม้ไม่มีนโยบาย แต่ขอห้ามแตะหมวด 1,2 – มาตรการปราบโกง เผย “พีระพันธุ์” ขอไปศึกษาข้อกฎหมาย-เอ็มโอยู 44 เพิ่มเติม ห่วงไทยเสียผลประโยชน์

(5 พ.ย. 67) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ว่า ได้มีการพูดคุยกัน 2 เรื่อง คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยังได้รับคำยืนยันว่า ในส่วนของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะไม่มีการแตะมาตรา 112 ซึ่งเป็นจุดยืนหลักของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด เราจะไม่สังฆกรรมไม่สนับสนุนและพร้อมจะขัดขวางทุกวิถีทางในเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 รวมไปถึงการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต้องไม่นับรวมเรื่องมาตรา 112 และตนได้ชี้แจงในที่ประชุมว่า ในฐานะที่เป็นเลขาธิการพรรค รทสช. เรามีจุดยืนที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มหาเสียงว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่นโยบายหลักของพรรค แต่หากเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่น เราไม่ขัดข้อง แต่จะไม่ต้องแตะหมวด 1 และ 2 ของรัฐธรรมนูญ รวมถึงมาตรการการป้องปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ส่วนจุดยืนของพรรค รทสช.ต่อเรื่องการแบ่งผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชานั้น ภาพใหญ่ของพรรค รทสช. เรารักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่สุดอยู่แล้ว ต้องไม่มีการนำพื้นที่อธิปไตยไปเจรจาต่อรองในทุกรูปแบบ ซึ่งเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ซึ่งได้รับคำยืนยันในที่ประชุมพรรคร่วม ทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ว่า ไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาแบบไหน จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศ 

ส่วนสิ่งที่คนกังวลคือ เรื่องเกาะกูด ก็ได้รับคำยืนยันว่า เป็นของประเทศไทยแน่นอน ไม่ว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม หรือจะยกเลิกเอ็มโอยู 44 เกาะกูดก็ยังเป็นของไทย เป็นจุดยืนของพรรคร่วมทั้งหมด ส่วนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน จะต้องเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการด้านเทคนิคฝ่ายไทยหรือไม่นั้น ตนยังไม่ทราบว่ามีใครบ้างที่จะนั่งเป็นคณะกรรมการ ทราบเพียงว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการเดินหน้าต่อจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2557 และรัฐบาลทุกยุคก็ตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาเพื่อไปเจรจากับกัมพูชา ส่วนผลการเจรจาเป็นอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

เลขาธิการพรรค รทสช. กล่าวว่า หลังประชุมพรรคร่วม ตนได้โทรศัพท์หานายพีระพันธุ์ สิ่งที่นายพีระพันธุ์ให้ความสำคัญคือ เรื่องเขตแดน เนื่องจากเป็นนักกฎหมาย จึงจะไปศึกษากฎหมายเพิ่มเติม ทั้งในตัวเอ็มโอยู 2544 และกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะเอ็มโอยู 2544 เดิมทีเป็นภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานด้านความมั่นคง ในส่วนของกระทรวงพลังงานเป็นเรื่องการเจรจาผลประโยชน์ร่วม ซึ่งนายพีระพันธุ์ระบุว่า ในส่วนนี้ต้องดูให้ดี คำว่าผลประโยชน์ร่วมทุกฝ่ายก็อยากได้ ทำอย่างไรจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้ได้มากที่สุด 

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ยังมีความกังวล เพราะเดิมทีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมีการสัมปทานไปก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์จึงกำลังศึกษาอยู่ว่า หากเป็นไปแบบนั้นจริง ประเทศไทยจะได้ผลประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เกิดความอุ่นใจ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เป็นเรื่องเขตแดนของประเทศ ซึ่งไม่เฉพาะพื้นที่บนเกาะกูดเท่านั้น แต่ในทางกฎหมายยังหมายรวมถึงพื้นที่ในทะเล หรือพื้นที่สิทธิประโยชน์ทางทะเล ถ้าเรายืนยันว่า เกาะกูดเป็นของไทย พื้นที่อื่นที่เกี่ยวเนื่องก็ต้องเป็นของไทยด้วย ซึ่งเป็นที่มาที่ไทยได้ประกาศพื้นที่ไหล่ทวีปเมื่อปี 2516 ไทยก็ต้องรักษาเขตแดนของเรา ส่วนการเจรจาผลประโยชน์ร่วมก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศเช่นกัน 

“ยังไม่ถึงกับว่า นายพีระพันธุ์ไม่สบายใจเรื่องนี้ เพียงแต่สไตล์การทำงานของท่านต้องศึกษาให้เกิดความละเอียดในทุกเรื่อง จนกว่าท่านจะมั่นใจ เพราะมันเป็นเรื่องข้อกฎหมาย มีกฎหมายระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง และทำกันมา 20-30 ปีแล้ว ทุกอย่างมันอยู่ในใจของเราอยู่แล้ว ต้องทำให้รอบคอบ อย่าให้ประเทศไทยเสียผลประโยชน์ ต้องไปดูว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่”นายเอกนัฏ กล่าว

เทศกาลช้อปปิ้ง THE MERRY VILLE JOLLY MARKET กลับมาอีกครั้ง! พร้อมเปิดพื้นที่ให้พ่อค้าร่วมออกบูธต้อนรับนักช้อปช่วงปลายปี

(5 พ.ย. 67) ฤดูกาลแห่งการช้อปปิ้งเริ่มขึ้นแล้ว! เตรียมพบกับเทศกาลปลายปีสุดอลังการที่จะเนรมิตบรรยากาศความสุขตลอดเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่ Central World (Sq.C) งานที่ทุกสายช้อปและสายขายต้องไม่พลาด! THE MERRY VILLE JOLLY MARKET เปิดให้จองพื้นที่บูธครบทั้ง 4 EP ให้คุณได้มาร่วมสร้างความทรงจำพิเศษไปด้วยกัน!
📅 กำหนดการเปิดบูธ:
• EP.1: วันที่ 5-19 พฤศจิกายน (15 วัน)
• EP.2: วันที่ 20 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม (14 วัน)
• EP.3: วันที่ 4-17 ธันวาคม (14 วัน)
• EP.4: วันที่ 18 ธันวาคม - 5 มกราคม (19 วัน)

ภายในงานนอกจากจะได้สัมผัสบรรยากาศการช้อปปิ้งช่วงปลายปีแล้ว บริเวณโดยรอบยังตระการตาไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ ต้นคริสต์มาสยักษ์สุดอลังการ และงาน Countdown สุดมันส์ที่ทุกคนรอคอย! รวมร้านเด็ดร้านดังที่จะทำให้พ่อค้าแม่ค้ามียอดขายปังๆ และลูกค้าช้อปได้อย่างเพลิดเพลินที่สุด!

อย่ารอช้า! รีบจับจองพื้นที่เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาสุดพิเศษนี้ไปพร้อมๆ กัน มาเปลี่ยนทุกก้าวเดินใน Central World ให้เป็นความทรงจำที่ไม่เหมือนใครในช่วงเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี

📲 ติดต่อจองพื้นที่:
• LINE: @fyimarket (มี @)
• โทร 098-983-8995
• โทร 065-957-4514

อย่าพลาด! มาร่วมเปิดโอกาสเปิดบูธขายอาหาร เครื่องดื่ม และขนม ต้อนรับนักท่องเที่ยวและนักช้อปปลายปีไปด้วยกัน งานดีๆ แบบนี้มีเพียงปีละครั้งเท่านั้น!

‘สุชาติ’ หารือ ‘รมช. การค้าตุรกี’ ผลักดันเจรจา FTA ต่อ สานสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนไทย-ตุรกี

(5 พ.ย. 67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนได้พบหารือทวิภาคีกับนายมุสตาฟา ตุซคู (H.E. Mr. Mustafa Tuzcu) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าสาธารณรัฐตุรกี ในห้วงการเดินทางเยือนตุรกี เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการถาวรว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า (COMCEC) ครั้งที่ 40 ภายใต้องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ระหว่างวันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2567 ณ นครอิสตันบูล 

นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางที่จะเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะการกลับเข้าสู่การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ตุรกี ซึ่งได้หยุดชะงักลงตั้งแต่ปี 2565 หลังจากการเจรจาร่วมกันมา 7 รอบโดยขอให้คณะเจรจาสองฝ่ายกลับเข้าสู่การเจรจา FTA ระหว่างกันโดยเร็ว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายนอกจากนั้น ฝ่ายตุรกียังได้แสดงความพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า หรือ Joint Trade Committee (JTC) ระดับรัฐมนตรี ณ กรุงอังการา ซึ่งเป็นกลไกการหารือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับตุรกี ที่สองฝ่ายได้จัดตั้งไว้แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีการประชุมระหว่างกัน 

“ผมแจ้งฝ่ายตุรกีว่าไทยพร้อมเข้าร่วมประชุม JTC ไทย-ตุรกี ครั้งที่ 1 เพื่อจะได้หารือถึงแนวทางกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ผมได้เชิญชวนฝ่ายตุรกีให้เข้ามาลงทุนในไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ EEC ขณะเดียวกัน ฝ่ายตุรกีก็เชิญชวนไทยเข้าไปลงทุนในตุรกี ซึ่งผมได้แจ้งว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการ และผมจะส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในตุรกีต่อไป  ส่วนการเจรจา FTA ที่ค้างอยู่ ผมขอให้ทีมเจรจาสองฝ่ายพูดคุยกันต่อ เพื่อผลักดันให้การเจรจาเดินหน้าต่อไป ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าจะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันของทั้งสองประเทศ“ นายสุชาติกล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ตุรกีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 33 ของไทยในตลาดโลก และอันดับที่ 4 ในตะวันออกกลาง ในระยะ 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2567 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 1,221 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง และเส้นใยประดิษฐ์ และสินค้านำเข้า ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องประดับอัญมณี น้ำมันดิบ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป

สหราชอาณาจักร ขึ้นค่าเทอมมหาวิทยาลัย ในรอบ 8 ปี หลังเงินเฟ้อพุ่ง ส่งผลให้ค่าเรียนต่อปีทะลุ 9.5 พันปอนด์

(5 พ.ย. 67) ลอนดอน, 5 พ.ย. สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า - บริดเจ็ท ฟิลลิปสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของสหราชอาณาจักร ประกาศว่า ค่าธรรมเนียมการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในอังกฤษจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ในปี 2025 ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016

การปรับเพิ่มครั้งนี้เป็นผลพวงมาจากภาวะเงินเฟ้อ โดยจะทำให้ค่าธรรมเนียมการศึกษารายปีสูงสุดอยู่ที่ 9,535 ปอนด์ (ราว 4.2 แสนบาท) ขณะที่สินเชื่อเพื่อการดำรงชีพสำหรับนักศึกษาจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ฟิลลิปสัน เน้นย้ำถึงความท้าทายทางการเงินในระดับอุดมศึกษา และกล่าวเป็นนัยถึงการปฏิรูปที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งมีเป้าหมายขยายการเข้าถึงสำหรับนักศึกษาที่ด้อยโอกาสอีกด้วย

ด้านลอรา ทรอทต์ รัฐมนตรีเงาว่าการกระทรวงฯ ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยเสนอให้เพิ่มนักศึกษาเข้าในรายชื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจด้านงบประมาณครั้งล่าสุด

‘JobThai’ เผยนายจ้าง 82% ยินดีรับคนจบไม่ตรงสาย พร้อมเปิด 5 ทักษะที่บริษัทต้องการจากคนวัยทำงาน

(5 พ.ย. 67) นายจ้าง 82% ยินดีรับวัยทำงานที่ไม่จบมาตรงสายงานเข้าทำงาน เพียงแต่ต้องอัปสกิลหรือเพิ่มทักษะในด้านที่เกี่ยวข้องกับงานก็เพียงพอแล้ว

นางสาวแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ หัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ JobThai.com  ได้บรรยายในงาน Work Life Fest 2024 ระบุว่า สายงานบางอย่างอาจถูกทดแทนด้วย AI แต่ขณะเดียวกันก็จะเกิดงานใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย
วัยทำงานต้องเอาตัวรอดในตลาดงานโลกอนาคต ด้วยการอัปสกิลให้ตนเอง โดยทักษะที่สำคัญต่อโลกการทำงานแห่งอนาคต ได้แก่ Technical Skills ทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง, Human Skills ทักษะการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ ส่วน Soft Skill หรือทักษะด้านอารมณ์ วัยทำงานควรมี Soft Skill แบบไหนบ้างจึงจะเป็นที่ต้องการขององค์กร ผลสำรวจพบว่า มี 5 ทักษะทางด้านอารมณ์ (ทักษะด้านลักษณะอุปนิสัยและความสามารถเชิงสมรรถนะ ที่จะช่วยให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี) เพื่อดึงดูดให้นายจ้างอยากจ้างงานมากขึ้น ประกอบด้วย

1. ทักษะด้านการสื่อสาร Communication : องค์กรต่างๆ ต้องการพนักงานที่สื่อสารรู้เรื่อง ทักษะพื้นฐานฟังพูดอ่านเขียนไม่พอ แต่ต้องต้องสามารถวิเคราะห์และสรุปข้อมูลออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วสื่อสารให้ทาร์เก็ตกรุ๊ปเข้าใจได้

2. ทักษะความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบ : เวลาทำงานพนักงานจะต้องรู้หน้าที่ของตน สามารถรู้ได้ว่าในแต่ละวันมี Task อะไรที่จะต้องทำให้สำเร็จ และจะต้องทำได้อย่างดีมีประสิทธิภาพด้วย งานต้องละเอียดรอบคอบ มีความรับผิดชอบ หากระบุว่าจะส่งงานเมื่อไหร่ก็ต้องทำให้ได้ตามกำหนดเวลานั้น

3. ทักษะการดูแลลูกค้า Customer experience : องค์กรอยากได้พนักงานที่ “อ่านใจลูกค้าให้ออก” เวลาพูดคุยสื่อสารกับลูกค้า ต้องรู้ว่าขณะนั้นลูกค้าใช้โทนเสียงแบบนี้แปลว่าต้องการความช่วยเหลือ หรือกำลังเดือดร้อนแล้วต้องการให้เราช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่าง เมื่อรับทราบแล้วเราต้องแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าทันที หากเราไม่ใส่ใจ แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้ เขาก็จะไม่ใช้บริการเราอีก แต่ถ้าเราแก้ไขให้ได้ สร้างความประทับใจ ลูกค้าก็จะภักดีต่อแบรนด์ไปอีกนานเท่านาน

4. ทักษะด้านการบริหารคุณภาพ : พนักงานต้องสามารถทำงานที่มีคุณภาพ และตรวจสอบได้ ต้องมีทักษะในการสำรวจตรวจสอบงานของตนเองว่า วิธีการทำงานของเราทำอย่างไรให้มันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หรือสามารถพัฒนางานให้ดีกว่านี้ได้อย่างไรบ้าง ต้องไม่หยุดนิ่งในการพัฒนางานของตนเ

5. ทักษะการฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว Resilience : การทำงานทุกอย่างย่อมเกิดปัญหาขึ้นมาได้เป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเกิดปัญหาแล้ว วัยทำงานตั้งสติได้อย่างรวดเร็วหรือไม่? ทักษะที่สำคัญอีกอย่างที่พนักงานควรมีคือ Resilience หรือการมีสติ พลิกฟื้นจากวิกฤติกลับมาได้ และแก้ไขปัญหาให้ผ่านไปได้ด้วยดี 

นอกจากนี้ วัยทำงานหลายคนโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ (First Jobber) อาจกังวลว่านายจ้างหรือองค์กรต่างๆ มักต้องการทักษะใหม่ๆ หลายอย่างมากซึ่งอาจจะพัฒนาตนเองได้ไม่พอ หรือไม่ทันกับความต้องการนั้น แล้วยิ่งหากเรียนจบมาในสาขาที่ไม่เป็นที่ต้องการขององค์กรส่วนใหญ่ จะต้องทำอย่างไร

เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล เพราะผลสำรวจเผยว่า นายจ้างมากถึง 82% ยินดีรับวัยทำงานที่ไม่จบมาตรงสายกับตำแหน่งงานนั้น เพียงแต่ต้องมีการอัปสกิลหรือเพิ่มทักษะในด้านที่เกี่ยวข้องกับงานก็เพียงพอแล้ว ยกตัวอย่างเช่น บริษัท JobThai ก็รับพนักงานที่จบวิศวกรรมโยธา ให้เข้ามาทำงานในตำแหน่ง วิศวกรคอมพิวเตอร์ ได้ 

เนื่องจากเขามีการไปอบรมทักษะเพิ่มเติม และเขาก็มีความสามารถทำงานในตำแหน่งนั้นได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเรียนจบสาขาใดมา หากมีทักษะที่ใกล้เคียงกับงานนั้น หรือมีการไปอบรมเพิ่มสกิลให้ตรงกับงานนั้น ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกงาน มีโอกาสได้งานทำแน่นอน

อย่างไรก็ตาม โลกการทำงานยุคนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตลาดงานต้องการแรงงานที่มีทักษะหลากหลายด้าน ยิ่งวัยทำงานมีทักษะหลากหลายองค์กรก็จะยิ่งต้องการตัวมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา และปรับตัวให้เท่าทันกับโลกการทำงาน เพื่อที่จะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้เร็ว และประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน

‘เอกนัฏ’ นำทีม ‘ดีพร้อม’ จับคู่พันธมิตร ‘จังหวัดโทคุชิมะ’ ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยุคใหม่หนุน ศก.ไทย – ญี่ปุ่น โตยั่งยืน

เมื่อวันที่ (31 ต.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) และจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมด้วย นายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายโกโตดะ มาซาซูมิ ผู้ว่าราชการจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น นายวัชรุน จุ้ยจำลอง นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 5 โรงแรม S31 กรุงเทพฯ

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” มุ่งเซฟผู้ประกอบการไทยให้อยู่รอด และแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม พร้อมสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) และจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ผลักดันอุตสาหกรรมยุคใหม่ อีกทั้ง ยังได้จัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างภาคอุตสาหกรรมไทย–ญี่ปุ่น เพื่อยกระดับผู้ประกอบการไทยให้เติบโตได้ในตลาดสากล ผ่านการต่อยอดธุรกิจ และสร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางการค้า คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,000 ล้านบาท 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบายในการ “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” การสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SME ไทย สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย “Save อุตสาหกรรมไทย” เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งหาช่องทางขยายความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเติบโตต่อไปได้ในตลาดสากลอย่างมั่นคง เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจโลก

พิพัฒน์ผนึก 9 ราชมงคล - TVD เปิดแพลตฟอร์ม 'ONE TVET' ยกระดับนศ.ไทยสู่ World Skill

(6 พ.ย. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความรู้เฉพาะด้านในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยความร่วมมือนี้มีขึ้นระหว่างบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง ในโครงการ ONE TVET (ONE Technical and Vocational Education and Training) เพื่อสร้างทักษะแรงงานไทยทั้งในด้าน Up Skill และ Re Skill ให้สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานทักษะในระดับโลกได้

โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายวิชัย ทองแตง ประธานที่ปรึกษา บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์, ดร.ธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC), นายถาวร ชลัษเฐียร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, พลโท กิตติ สมสนั่น กรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก, รศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ ประธานคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง ตลอดจนภาคเอกชนชั้นนำจากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ OMRON, MICROSOFT, NVIDIA, ZDT และ malaysian institute of technology academy ร่วมเสวนาในหัวข้อ "From Local To Worls Skill"

นายพิพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า โครงการ ONE TVET นี้ถือเป็นโครงการที่ช่วยยกระดับทักษะแรงงานไทย โดยเฉพาะนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่กำลังจะจบมาเข้าสู่ตลาดแรงงาน เป็นโครงการที่มุ่งเน้นให้แรงงานในประเทศไทยมีทักษะความรู้เฉพาะด้านอุตสาหกรรมต่างๆ 

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ เทคโนโลยีดิจิทัล AI ซึ่งจะช่วยยกระดับทักษะแรงงานไทยสู่ World Skill ให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาของชาติ ทั้งยังสร้างโอกาสในการทำงานในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อประเทศ

ด้านรศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ในฐานะประธานคณะกรรมการอธิการบดีกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กล่าวว่า โครงการนี้เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และทรัพยากรที่จะช่วยเพิ่มทักษะในการทำงานก่อนการเริ่มงานจริง ด้วยการเน้นพัฒนาทักษะของนักศึกษาให้สามารถตอบสนองต่อการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดยสิทธิประโยชน์ของนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการคือ การรับประกันการเข้าทำงานกับบริษัทหรือโรงงานชั้นนำ อีกทั้งยังมีโอกาสได้รับค่าจ้างมากกว่าอัตราเฉลี่ยที่ 25-30% ด้วย

นายวิชัย ทองแตง ประธานที่ปรึกษา บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทชั้นนำและโรงงานจำนวนมากที่เข้ามาตั้งธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกหรือ EEC มีความต้องการแรงงานไทยจำนวนมาก แต่แรงงานไทยประกอบปัญหาเรื่องทักษะที่ยังไม่ตอบโจทย์การทำงานเหล่านั้นได้ จึงเกิดแนวคิดแพลตฟอร์ม ONE TVET ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบหลักสูตรที่ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโดยตรง นักศึกษาที่ผ่านหลักสูตร ONE TVET จะมั่นใจได้ว่าจบแล้วมีงานทำ ส่วนทางสถานศึกษาจะใช้การฝึกสอนโดยใช้ทักษะความรู้และเครื่องมือการสอนที่ตรงตามความต้แงการของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการจะได้นักศึกษาที่มีความพร้อมไปทำงานได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาฝึกงานหลายๆ เดือนอีกต่อไป 

รศ.ดร. อุดมวิทย์ กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือนี้อยู่บนพื้นฐานของการเห็นพ้องด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยมีเป้าหมายหลักคือ 1.พัฒนาทักษะแรงงานไทยสู่ World Skill ให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ S-Curve 2.เพิ่มอัตราการแข่งขันโดยเฉพาะภาคการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจริยะ การแพทย์ การผลิตกึ่งอัตโนมัติ และเทคโนโลยี AI 3.สร้างโอกาสในการทำงานในภาคอุตสาหกรรมทที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ ซึ่งจะช่วยให้แรงงานมีทักษะที่สูงขึ้นพร้อมกับรายได้ในการทำงานที่สูงขึ้นด้วย

สำหรับรูปแบบการดำเนินโครงการ ONE TVET จะมีการนำนักศึกษาในระดับชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 มาฝึกอบรมผ่านความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของโลก โดยจะมีการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมต่างๆขอประเทศไทย ในโปรแกรมฝึกอบรบจะเน้นทั้งการเรียนรู้เชิงทฤษฏีและปฏิบัติพร้อมทั้งมีการเก็บสะสมคะแนนหน่วยกิตซึ่งจะทำให้นักศึกษาเข้าถึงการเรียนรู้แบบลึกซึ้งนอกจากการฝึกงานแบบทั่วไป เพื่อให้นักศึกษาพร้อมสู่การนำไปใช้ในสายงานจริงของตนเอง

นอกจากนี้ การได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก นอกจากจะทำให้สถาบันการศึกษาผลิตแรงงานสู่ตลาดได้ตรงตามความต้องการแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมให้บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ เข้ามาลงทุนและสนับสนุนให้มีการฝึกอบรบที่มีคุณภาพและสอดคล้องต่อความต้องการของตลาดแรงงานด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top