Wednesday, 4 December 2024
NewsFeed

เสินโจว-18 เสร็จสิ้นภารกิจ 6 เดือน 3 นักบินอวกาศจีนกลับถึงโลก

หนังสือพิมพ์ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี เดลี (Science and Technology Daily) รายงานวันนี้ (4 พ.ย.) ว่ายานอวกาศเสินโจว-18 (Shenzhou-18) ได้เดินทางกลับถึงโลกโดยสวัสดิภาพ พร้อมด้วยตัวอย่างทดลองจากสถานีอวกาศซึ่งมีน้ำหนักรวม 34.6 กิโลกรัม ประกอบด้วยจุลินทรีย์ วัสดุโลหะผสม และวัสดุนาโน ซึ่งเป็นวัสดุที่ยากต่อการจัดเตรียมบนโลก

แคปซูลเสินโจว-18 ได้พานักบินอวกาศ 3 คนเดินทางกลับถึงโลกในช่วงเช้าวันนี้ หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่ยาวนานถึง 6 เดือนบนสถานีอวกาศ

ตัวอย่างทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ยานอวกาศนำกลับมามีทั้งหมด 55 ชนิด ครอบคลุมถึง 28 โครงการวิทยาศาสตร์ในหลายสาขา เช่น ชีววิทยาศาสตร์ในอวกาศ วิทยาศาสตร์วัสดุในอวกาศ และวิทยาศาสตร์การเผาไหม้ภายใต้แรงโน้มถ่วงต่ำ

ตัวอย่างทางชีววิทยาศาสตร์ประกอบด้วย อาร์เคีย (Archaea) ที่สามารถสร้างก๊าซมีเทน จุลินทรีย์ที่ต้านทานรังสีได้ และจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในหิน ซึ่งคาดว่าจะเป็นรากฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในการอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมนอกโลก และการประเมินความสามารถในการปรับตัวของจุลินทรีย์กับความท้าทายในอวกาศ

ด้านสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นอกจากนี้ ตัวอย่างบางส่วนที่นำกลับมายังรวมถึงโลหะผสมที่ทนทานต่ออุณหภูมิสูง ไฟเบอร์ออปติก และสารเคลือบออปติก วัสดุใหม่เหล่านี้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงการผลิตใบพัดกังหันในอนาคตสำหรับการบินและอวกาศ เลเซอร์ไฟเบอร์ที่ปรับให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมในอวกาศ และการรักษาทางการแพทย์ที่แม่นยำ

นอกจากนี้ ยานอวกาศยังได้นำอนุภาคนาโนจากการเผาไหม้มีเทนกลับมาด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการสังเคราะห์วัสดุระดับอนุภาคสำหรับสภาพแวดล้อมนอกโลกในอนาคต

จับนักร้องดังมาเลเซีย พร้อมยาบ้ากว่า 6 พันเม็ด แต่แฟนคลับแห่ให้กำลังใจแน่นโรงพักสุไหงโก-ลก

(4 พ.ย. 67) ตำรวจจับ Eda Ezrin นักร้องดังมาเลเซีย พร้อมยาบ้ากว่า 6 พันเม็ดคาโรงแรม ขณะที่แฟนคลับแห่ข้ามแดนให้กำลังใจแน่นโรงพัก สุไหงโก-ลก ฝั่งตำรวจต้องจัดกำลังคุมความสงบ

เรียกได้ว่าเป็นข่าวที่ทำเอาแฟนเพลงถึงกับช็อก! เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส บุกจับนักร้องสาวสุดฮอตจากมาเลเซีย พร้อมยาบ้ากว่า 6,000 เม็ด คาห้องพักโรงแรมดัง งานนี้แฟนคลับแห่ข้ามแดนมาให้กำลังใจแน่นโรงพัก จนเจ้าหน้าที่ต้องระดมพลคุมสถานการณ์กันเลยทีเดียว!

สำหรับนักร้องสาวคนดังกล่าวคือ วัน โนรชาฮีดา อัซลิน บินตี วันอิสมาอีล (MISS.WAN NORSHAHEEDA AZLIN BINTI WAN ISMAIL) อายุ 28 ปี เจ้าของเพลงฮิต “CINTA SETANDAN PISANG” หรือ “แบซอบาซอ” ที่แปลเป็นไทยว่า “ใจเย็นๆ” มียอดวิวถล่มทลายในมาเลเซีย

เธอถูกจับพร้อมกับเพื่อนร่วมแก๊งอีก 5 คน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 6,060 เม็ด ภายในโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในสุไหงโก-ลก เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ข่าวการจับกุมครั้งนี้สร้างความฮือฮาอย่างมากในมาเลเซีย แฟนคลับและญาติๆ ของนักร้องสาว พากันข้ามแดนมาให้กำลังใจที่ สภ.สุไหงโก-ลก จนเจ้าหน้าที่ต้องจัดกำลังเสริมกว่า 50 นาย เพื่อดูแลความเรียบร้อย แถมยังมีตำรวจและสื่อมวลชนจากมาเลเซีย เดินทางมาเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สะท้อนให้เห็นถึงความดังของนักร้องสาวคนนี้

จากการสอบสวนเบื้องต้น ยังไม่มีใครรับสารภาพว่าเป็นเจ้าของยาบ้า แต่ผลตรวจปัสสาวะพบว่าทั้ง 6 คนมีสารเสพติดในร่างกาย เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด” และ “เสพยาเสพติด” ส่วนเพื่อนร่วมแก๊งอีก 2 คน โดนเพิ่มข้อหา “เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย” เนื่องจากไม่มีเอกสารผ่านแดนที่ถูกต้อง

งานนี้ต้องติดตามกันต่อไปว่า บทสรุปของคดีนี้จะเป็นอย่างไร นักร้องสาวคนดังจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาหรือไม่?

ย้อนฟังสัมภาษณ์ “Eda Ezrin” เคยเผยถูกบังคับให้ร้องเพลงด้วยความกลัวในประเทศตัวเอง!
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ (พฤษภาคม 2567) Eda Ezrin เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ Sinar Harian ในมาเลเซีย โดยเปิดเผยว่า เธอถูกบังคับให้ร้องเพลงด้วยความกลัวในประเทศของตัวเอง

เนื่องจากในรัฐกลันตัน มีกฎห้ามผู้หญิงแสดงดนตรีในที่สาธารณะ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงมุ่งมั่นร้องเพลงต่อไป เพราะถือเป็นพรสวรรค์และอาชีพที่หล่อเลี้ยงชีวิต แม้จะมีข้อจำกัดในกลันตัน แต่เธอก็ได้รับเชิญไปแสดงทั่วประเทศ

Eda Ezrin ยังเผยอีกว่า เพลง “Cinta Setandang Pisang” ที่ร้องร่วมกับ Den Manjo ทำให้เธอโด่งดัง และได้รับรางวัล Malaysian TikTok Music Chart อีกด้วย

จากนักร้องสาวที่เคยเผยว่าต้องร้องเพลงด้วยความกลัว สู่การเป็นนักร้องดังที่ถูกจับกุมพร้อมยาบ้า เรื่องราวของ Eda Ezrinจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตาม!

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบ 15 นโยบายการบริหารราชการ เน้นย้ำการเปลี่ยนแนวคิด (MINDSET) ปรับองค์กร เร่งปราบปรามอาชญากรรม เพิ่มขีดความสามารถสถานีตำรวจ ดูแลสวัสดิการตำรวจและครอบครัว สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับพี่น้องประชาชน

(4 พ.ย. 67) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2568 ณ ห้องแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , ข้าราชการตำรวจระดับ พล.ต.ต. ขึ้นไป พร้อมทั้งสมาคมแม่บ้านตำรวจ จำนวนกว่า 465 นาย เข้าร่วมประชุม ณ ห้องแจ้งยอดสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และถ่ายทอดสัญญาณผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปยังหน่วยงานตำรวจทั่วไปประเทศ เพื่อร่วมรับฟังวิสัยทัศน์และนโยบายการบริหารราชการของผู้บัญชาการตำรวจคนที่ 15 ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน” 

โอกาสนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้อัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานหนังสือชุด ธรรมนาวา “วัง” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ดังนี้ 
“หลัก “ธรรม” ในพระศาสนา เป็นเรื่องสำคัญต่อมวลมนุษยชาติ และพวกเราทั้งหลายในฐานะทหาร และตำรวจ หลักปฏิบัติธรรมมะนาวาวังนี้ จะช่วยให้พวกเราได้เข้าใจในหลักธรรมคำสอนได้อย่างมีระบบระเบียบ โดยสามารถยึดถือเป็นหลักการและแนวทางในการศึกษา ฝึกปฏิบัติ ตลอดจนถึงการนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต 
อนึ่งการทหาร การตำรวจ กับ หลักธรรมคำสอนในพระศาสนานั้น หากพวกเราได้ทำความเข้าใจในธรรมะและศาสนา คือคำสอนที่ว่าด้วยเรื่องของชีวิต ตามความเป็นจริง สู่การดับทุกข์อย่างลึกซึ้งแล้วนั้น จะส่งผลให้สามารถครองตนและครองคนโดยธรรมได้เป็นอย่างดีและมั่นคงต่อไป”

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบ 15 นโยบายหลัก เน้นหนัก และเร่งด่วน ดังนี้
1. ปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2. เปลี่ยนแนวคิด ค่านิยม และกรอบความคิด (MINDSET) ให้ตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชน
3. สร้างขวัญกำลังใจ ให้รางวัลแก่ “ตำรวจน้ำดี” และพิจารณาลงโทษตำรวจที่ทำไม่ดีอย่างเด็ดขาด
4. ปรับปรุงการให้บริการ การอำนวยความสะดวกในหน้าที่ของตำรวจทุกด้าน พัฒนางานสถานีตำรวจ
5. ส่งเสริม สนับสนุน และแก้ไขปัญหางานสอบสวน รวมทั้งอำนวยความยุติธรรมทางอาญา
6. ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และเป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ เช่น ยาเสพติด อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ค้ามนุษย์ ผู้มีอิทธิพล อบายมุข บ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ สินค้าผิดกฎหมายหรือเลี่ยงภาษีศุลกากร และหนี้นอกระบบ
7. ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และกลุ่มชาวชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจโดยใช้นอมินี แรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองหรือทำงานโดยผิดกฎหมาย
8. สร้างเสริมวินัยจราจร บังคับใช้กฎหมายและแก้ปัญหาด้านการจราจรเพื่อลดอุบัติเหตุ
9. นโยบายเชิงรุกด้านการข่าว ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง
10. สร้างความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน ประชาสัมพันธ์เชิงรุก และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
11. ปรับปรุง พัฒนาระบบและวิธีการทำงาน เพื่อสร้างแผนแม่บท (MASTER PLAN)
12. ปรับการบริหารงานบุคคลและงบประมาณใหม่ 
13. ทบทวน แก้ไข ปรับปรุง ระเบียบคำสั่ง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานของตำรวจ และการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
14. ฝึกอบรม ทบทวน พัฒนา ทักษะ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของตำรวจ
15. จัดสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ที่ตำรวจพึงมีอย่างเต็มที่ รวมถึงการแก้ปัญหาหนี้สินของตำรวจ การสร้างอาชีพเสริมรายได้โดยสุจริต และไม่กระทบกับงานประจำ

ข้อเน้นย้ำในการปฏิบัติราชการและความร่วมมือด้านต่าง ๆ
1. การสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการ ต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ โดยเฉพาะในสถานีตำรวจที่ต้องให้บริการประชาชน
2. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ต้องไม่ปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบกระทำความผิดเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง และประกอบอาชีพโดยผิดกฎหมาย
3. การดูแลนักท่องเที่ยว การรักษาความปลอดภัย ดูแลอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
4. การบริหารจัดการจราจร อำนวยความสะดวกการจราจร ป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล
5. สนับสนุนความร่วมมือในการทำงานของสมาคมแม่บ้านตำรวจร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
6. ผู้บัญชาการ/ผู้บังคับการ จะต้องเป็น Influencer ด้วยตนเอง ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง
 
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเน้นย้ำ จะต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกด้านภายในองค์กรตำรวจ ขอให้ตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชน สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับตำรวจ และขอให้สามัคคี ร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชนและสังคมโดยรวม

‘โฆษกกระทรวงดีอี’ เปิดข้อมูลศูนย์ AOC 1441 เตือนภัยประชาชน  ‘5 เคส’ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ข่มขู่-หลอกลวง ติดตั้งแอปดูดเงิน เหยื่อเสียหายกว่า 5 ล้านบาท

(4 พ.ย. 67) นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 28 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมาศูนย์ AOC 1441 (Anti Online Scam Operation Center) ได้มีรายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง จำนวน 5 เคส ประกอบด้วย คดีที่ 1 คดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) มูลค่าความเสียหาย 1,480,741 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่เครือข่าย โทรศัพท์AIS แจ้งว่าผู้เสียหายได้ทำการเปิดหมายเลขโทรศัพท์ผิดกฎหมาย และโอนสายไปให้สนทนากับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และบัญชีธนาคารของผู้เสียหายถูกใช้ในการฟอกเงินคดียาเสพติดในพื้นที่ชายแดน จากนั้นขอตรวจสอบเส้นทางการเงินในบัญชี หากไม่ให้ความร่วมมือจะมีความผิดตามกฎหมาย ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป ภายหลังการโอนเสร็จไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 2 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ  มูลค่าความเสียหาย 1,989,574 บาท ผู้เสียหายได้รับข้อความ SMS จากมิจฉาชีพผ่านช่องทางโทรศัพท์แจ้งว่าพัสดุของท่านจัดส่งไม่สำเร็จ เนื่องจากเกิดความเสียหายขึ้น และจะโอนเงินค่าสินค้าคืนให้ Flash Express ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงกดลิงก์ไปจากนั้นเพิ่มเพื่อนทาง Line อัตโนมัติ มิจฉาชีพอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ Flash Express ให้ดำเนินการทำตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่แนะนำจนเสร็จสิ้นขั้นตอน ต่อมาภายหลังได้รับข้อความ SMS จากธนาคารแจ้งว่ายอดเงินในบัญชีได้ถูกโอนออกไปจนหมด

คดีที่ 3 คดีหลอกลวงให้กู้เงิน มูลค่าความเสียหาย 826,663 บาท ผู้เสียหายพบโฆษณาสินเชื่อกู้เงินง่ายผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงทักไปสอบถามรายละเอียด จากนั้นได้เพิ่มเพื่อนทาง Line มิจฉาชีพให้กรอกข้อมูลและแจ้งว่าให้โอนเงิน เพื่อเป็นค่าประกันสินเชื่อ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป แต่ไม่สามารถถอนเงินกู้ออกมาได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าผู้เสียหายกรอกข้อมูลส่วนตัวผิดพลาดระบบจึงทำการล็อกรายการไว้ให้โอนเงิน เพื่อขอรหัสแก้ไข ผู้เสียหายจึงโอนเงินไปให้อีกครั้ง จากนั้นไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 4 คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 453,599 บาท ทั้งนี้้ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทาง Facebook ชักชวนลงทุนเทรดหุ้น ผู้เสียหายสนใจจึงโอนเงินลงทุนแล้วทำการเทรดมาเรื่อย ๆ ต่อมา ผู้เสียหายต้องการถอนเงินแต่ไม่สามารถถอนได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าต้องเสียค่าภาษีและค่าธรรมเนียมก่อน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปให้ หลังจากโอนเงินเสร็จก็ยังไม่สามารถถอนเงินได้อีก มิจฉาชีพแจ้งว่าระบบขัดข้องมีปัญหาให้รอก่อน ภายหลังผู้เสียหายได้รับข้อมูลจากเพื่อนว่าเป็นขบวนการมิจฉาชีพ

และคดีที่ 5  คดีหลอกลวงให้รักแล้วโอนเงิน (Romance Scam) มูลค่าความเสียหาย 310,000 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Facebook ใช้โพรไฟล์เป็นหญิงสาว หน้าตาดีและได้เพิ่มเพื่อนทาง Line จากนั้น VDO Call สนทนากัน ฝ่ายหญิงอ้างว่าพักอาศัยอยู่ต่างประเทศมักใช้คำพูดอ่อนหวานกับตนและแจ้งว่าได้ส่งของขวัญเป็นสร้อยทองข้อมือ ของผู้ชายที่มีมูลค่าหลายล้านบาทมาให้ แต่ต้องโอนค่าภาษีค่าธรรมเนียมและค่าขนส่งไปให้ฝ่ายหญิง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปให้หลายครั้ง จากนั้นตนเริ่มสงสัยจึงขอ VDO Call เพื่อดู สร้อยทองข้อมือที่จะส่งมาให้ ปรากฏว่าฝ่ายหญิงไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

สำหรับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้ง 5 คดี รวม 5,060,577 บาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง วันที่ 25 ตุลาคม 2567 มีตัวเลขสถิติผลการดำเนินงานดังนี้ 1. สายโทรเข้า 1441 จำนวน 1,179,500 สาย / เฉลี่ยต่อวัน 3,214 สาย , 2. ระงับบัญชีธนาคาร จำนวน 365,404 บัญชี / เฉลี่ยต่อวัน 1,128 บัญชี , 3. ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ (1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 108,237 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 29.62 (2) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 89,692 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 24.55 (3) หลอกลวงลงทุน 56,177 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 15.37 (4) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 30,151 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 8.25 (5) หลอกลวงให้กู้เงิน 28,598 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 7.83 (และคดีอื่นๆ 52,549 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 14.38)

“จากเคสตัวอย่างจะเห็นได้ว่า มิจฉาชีพ หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้วิธีการหลอกลวงผู้เสียหาย ด้วยการอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ ขณะที่บางเคสเป็นการหลอกลวงให้มีการกู้เงิน รวมทั้งหลอกลวงให้ลงทุนในธุรกิจ ด้วยวิธีการติดต่อโทร หรือผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอย่าง facebook และ Line ก่อนที่จะหลอกลวงให้มีการติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน ทั้งนี้ขอย้ำว่า กรณีการข่มขู่ผู้เสียหายว่ามีการกระทำผิดในอาชญากรรมออนไลน์ ขอให้ผู้เสียหายตรวจสอบข้อมูลจากศูนย์ AOC 1441 เพื่อความแน่ใจ ก่อนที่จะมีการการดำเนินการใดๆ เพื่อความปลอดภัย ด้านกรณีการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ขณะเดียวกันกรณีที่อ้างมีการแอบอ้างให้บริการสินเชื่อ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ให้บริการ รวมทั้งการให้รางวัล หรือโอนเงินบำนาญ หรือการทำธุรกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ควรตรวจสอบจากหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง และควรตระหนักเป็นอันดับแรกว่าการติดต่อโดยตรงจากเจ้าหน้าที่รัฐถึงประชาชน เป็นการติดต่อที่น่าสงสัย ดังนั้นขอให้สอบถามรายละเอียดให้แน่ชัดก่อนให้ข้อมูลส่วนบุคคล และทำการเพิ่มเพื่อนหรือดำเนินการใดๆในโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ควรตรวจสอบการลงทุนในธุรกิจต่างๆ อย่างรอบคอบ และติดต่อสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด หรือติดต่อผ่านทางสายด่วน AOC 1441 เพื่อยืนยันตรวจสอบข้อเท็จจริง” โฆษกกระทรวงดีอี กล่าว

นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าวว่า ขอให้ประชาชนยึดหลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ อย่ากดเข้าลิงก์เว็บไซต์ หรือดาวน์โหลด และอัปโหลดแพลตฟอร์ม ที่มีการส่งต่อจากช่องทางที่ไม่แน่ใจ โดย กระทรวง ดีอี ได้เร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยอาชญากรรมออนไลน์ ผ่านศูนย์ AOC 1441 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง และหากประชาชนโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441 จ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชั่วโมง) หรือ Line ID : @antifakenewscenter และ เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com  

ขอนแก่น-"ธปท. สภอ."แจง! โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ยังเป็นแรงส่งสำคัญ

(4 พ.ย. 67) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 10,000 บาท มีผู้ได้รับสิทธิอยู่ในภาคอีสานมากที่สุด ทำให้เห็นการซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันของเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นกว่าภาคอื่น

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ที่ ห้องปัญญาวิจิตร ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) เปิดแถลงข่าวเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาส 3 ปี 2567  สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาส 3 ปี 2567 ยังมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ไม่แตกต่างจากไตรมาสก่อน ตามกำลังซื้อที่เปราะบาง สะท้อนจากยอดขายยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวต่อเนื่อง  อย่างไรก็ดีการใช้จ่ายภาครัฐช่วยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเดือนกันยายนให้ปรับดีขึ้น

โดยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณส่งผลดีต่อเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่อง อีกทั้งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 10,000 บาท มีผู้ได้รับสิทธิอยู่ในภาคอีสานมากที่สุด ทำให้เห็นการซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันของเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นกว่าภาคอื่น มองไปไตรมาส 4 ปี 2567 เศรษฐกิจอีสานยังคงมีแรงส่งต่อเนื่อง จากการเบิกจ่ายของภาครัฐ และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ยังเป็นแรงส่งสำคัญ ประกอบกับผลจากการปรับลดดอกเบี้ยจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และสนับสนุนการดำเนินธุรกิจได้บ้าง ส่งผลดีทันทีต่อลูกหนี้ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินเชื่อเกษตร สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อธุรกิจ จึงปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจภาคอีสานปี 2567  จากที่คาดว่าจะทรงตัวเป็นขยายตัวเล็กน้อย และในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวจาก  1)งบประมาณภาครัฐปีงบประมาณ 68 ที่จัดสรรได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน และงบผูกพันจากปีงบประมาณ 67 ที่เบิกจ่ายได้ต่อเนื่อง  2)ผลผลิตเกษตรที่เพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และ  3)มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยง ที่อาจกระทบประมาณการเศรษฐกิจอีสานปี 2568 เช่น การฟื้นตัวของกำลังซื้อโดยเฉพาะสินค้าคงทนและอสังหาริมทรัพย์ และมาตรการส่งออกข้าวของอินเดียที่จะกระทบราคาข้าวขาวอีสานในฤดูกาลเพาะปลูกหน้า เป็นต้น

รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ฯ นำ จนท.ตรวจสารเสพติดทหารใหม่ 2,911 นาย เพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา

(4 พ.ย. 67) พลเรือตรี ชาตรี เปี่ยมศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มอบหมายให้ นาวาเอกหญิง อัจฉรี สิกขมาน ผู้อำนวยการกองสุขภาพจิต และ คณะเข้าดำเนินการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ยาบ้า ยาไอซ์ กัญชา เฮโรอีน มอร์ฟีน ในทหารใหม่กองประจำการ ผลัดที่ 3/67 จำนวน2,911 นาย เพื่อค้นหา ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ณ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมี นาวาเอก มงคล อุปถัมภ์ รองผู้บังคับการศูนย์ฝึกททารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ให้การต้อนรับ และนำคณะเข้าดำเนินการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ในครั้งนี้

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ลุ้น ‘นิพนธ์-นายกฯชาย’ จะเลือก ‘เก่า หรือ ใหม่’ ยืนอยู่ฝั่งไหนในศึกชิง ‘นายกฯอบจ.สงขลา’

(5 พ.ย. 67) น่าสนใจเมื่อ ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ประกาศเจตนารมณ์ ‘ทดแทนแผ่นดินเกิด เดินตามรอย ‘ป๋า-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์’ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานองคมนตรี รัฐบุรุษอาวุโสผู้ล่วงลับ

สุพิศ ยังโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความ ‘ พร้อม’ ชีวิตนี้เพื่อสงขลา หรือแม้แต่ ‘ผู้ประสานสิบทิศ สุพิศ พิทักษ์ธรรม ชีวิตนี้พร้อมเพื่อสงขลา

ประโยคเหล่านี้เป็นการสะท้อนเจตนารมณ์ ในการใช้ชีวิตหลังจากนี้ไป คือการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ที่ปัจจุบันมี ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นั่งบริหารอยู่ และจะหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคม 2567 นี้ และจะมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568สุพิศยังกล่าวอ้างถึงผู้หลักผู้ใหญ่สองคนว่าให้การสนับสนุน คือ นิพนธ์ บุญญามณี อดีตนายกฯอบจ.สงขลา อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และนายกฯชาย-เดชอิศม์ ขาวทอง อดีตนายกฯอบจ.สงขลา รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข ก็ไม่แน่ใจว่า สองคนที่สุพิศกล่าวอ้างถึง ได้มีการคุยกันในรายละเอียดแล้วมากน้อยแค่ไหน เพราะยังมีรายละเอียดของการสนับสนุนอีกมาก และที่น่าจะเป็นประเด็น คือการจัดทีมคนลงสมัคร ส.อบจ.ในอนาคตด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งนิพนธ์ และนายกฯชาย จะต้องส่งคนของตัวเองไปสมัครเป็น ส.อบจ.ด้วย สุพิศเองก็ต้องมีคนของตัวเองลงสมัครด้วย บวกรวมกับส.อบจ.เก่า น่าจะเกิดปัญหาความซ้ำซ้อนกันในพื้นที่

การได้ถ่ายรูปร่วมกันในวันชิงชนะเลิศฟุตบอลคิงคัพ อาจจะไม่ใช่สัญญาณ 100% ว่าให้การสนับสนุน เพียงแต่สถานการณ์บังคับ ต้องได้ยินจากปากของทั้งสองท่าน หรือได้เห็นพฤติกรรมของการช่วยเหลือ จึงจะเชื่อได้ว่า สนับสนุนจริง การได้พบปะกินข้าวกันในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่บ้านเขารูปช้าง ถือเป็นเรื่องปกติที่นิพนธ์เปิดรับผู้สนับสนุนทุกอาทิตย์อยู่แล้ว

ยังเชื่อไม่ได้ 100% ว่า นิพนธ์ นายกฯชาย จะให้การสนับสนุนสุพิศ จนกว่าจะได้เห็นอะไรที่ชัดกว่านี้ สำหรับนิพนธ์ ผมเชื่อว่า ‘เลือดข้นกว่าน้ำ’ ด้วยเลือด ‘น้ำเงินขาว’ จากรั้วมหาวชิราวุธเช่นเดียวกับ ‘ไพเจน’ ใจของนิพนธ์จึงน่าจะอยู่กับไพเจนมากกว่า ส่วนเรื่องความหมองใจกันน่าจะเป็นเรื่องเล็กที่เคลียร์ใจกันได้ คุยกันได้ ผิดก็ขอโทษกันไป ปัญหาชาติบ้านเมืองสำคัญกว่า 

ส่วนนายกฯชายเดิมใจอยู่กับไพเจนอยู่แล้ว เขานัดเจอกันบ่อย แต่ด้วยแรงดูดที่หนักหน่วงทำให้ใจของนายกฯชายไขว้เขวไปบ้าง แต่ถึงวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างตกผลึก เชื่อว่า ยังมีเวลาให้เปลี่ยนใจได้ อนาคตกับที่ยืนสำคัญกว่า

กล่าวสำหรับสุพิศการกล่าวว่าจะเดินตามรอยป๋า ไม่ได้เป็นผลดีต่อเขามากนัก เพราะป๋า มีภาพลักษณ์ที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรมที่สูงส่ง นอกจาก ‘เกิดมาต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน’ แล้ว ป๋า ยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ประจักษ์ ไม่มีข้อกล่าวหา ร้องเรียนตลอด 8 ปี ของการเป็นนายกรัฐมนตรี

อีกแค่เดือนกว่าๆ นายกฯไพเจนจะหมดวาระแล้ว และอีกไม่กี่วันก็จะได้รู้ข้อเท็จจริงว่า นิพนธ์-นายกฯชาย ช่วยใครกันแน่ หรืออาจจะวางเฉยในสถานการณ์ได้เสียก็เป็นได้

ททท. ผุด E – Guidebook กระตุ้นคน Gen S ท่องเที่ยวด้วยรถไฟ ประเดิมเส้นทางฮิต ‘กรุงเทพฯ – เพชรบุรี – หัวหิน – ประจวบฯ’

(5 พ.ย. 67) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดตัว E-Guide Book #MyRailJourney ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ เชิญชวนนักท่องเที่ยวออกแบบประสบการณ์เดินทางเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเดิมด้วยแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในเส้นทาง กรุงเทพมหานคร – เพชรบุรี และ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมจับมือกับ เคทีซี  รวมถึงพันธมิตรระดับโลกอย่าง Netflix และ Airbnb ร่วมปักธงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีความหมาย เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว GenS ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ณ เคทีซี ทัช กรุงเทพมหานคร 

นางสาวเอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าการท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า ททท. ให้ความสำคัญต่อการนำเสนอประสบการณ์เดินทางที่มีคุณค่าและมุ่งเป้าหมายการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยเล็งเห็นว่า การเดินทางด้วยรถไฟนั้นเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพราะมีการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ารถยนต์หรือเครื่องบิน อีกทั้งการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟนั้นอยู่คู่กับนักเดินทางชาวไทยมายาวนานกว่า 120 ปีถือเป็นการสร้างประสบการณ์ที่สนุกและมีเสน่ห์เฉพาะตัว จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรจัดทำ E- Guidebook #MyRailJourney เส้นทางเพชรบุรีและหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ขึ้น เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ เปิดมุมมองใหม่ในการเดินทางที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม 

เจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว GenS (Generation Sustainability) นักท่องเที่ยวหัวใจยั่งยืนที่พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อมไม่จำกัดช่วงวัย โดยมี E- Guidebook เป็นเสมือนไกด์นำเที่ยวคนสำคัญในการออกเดินทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถออกแบบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีความหมายด้วยตัวเอง นับตั้งแต่การเลือกตารางเวลารถ การคำนวณระยะเวลาในการเดินทาง การเลือกขบวนรถ การเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อทำกิจกรรมที่ชื่นชอบในระหว่างนั่งรถไฟ รวมทั้งวางแผนการท่องเที่ยวในจุดหมายปลายทางจนกระทั่งเดินทางกลับ ทั้งนี้ ททท.จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านมาสัมผัสการเดินทางแบบ Slow Travel ที่งดงามและยั่งยืน เพื่อร่วมกันสร้างเทรนด์ใหม่เป็นทางเลือกให้การท่องเที่ยวของไทยไปพร้อมกัน 

ด้าน Mr. Ruben Hattari, Public Policy Director for Netflix in Southeast Asia กล่าวว่า Netflix ในฐานะผู้มอบความบันเทิงระดับโลก มีความยินดีที่จะแนะนำภาพยนตร์ ซีรี่ส์ และสารคดี ที่มีเนื้อหาส่งเสริมประสบการณ์การเดินทางที่ลึกซึ้งเพื่อให้นักเดินทางได้ชมระหว่างนั่งรถไฟ ซึ่งได้แนะนำไว้ใน E - Guidebook ฉบับนี้ และยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชม Netflix เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และหวังว่าคอนเทนต์ต่างๆ ที่คัดสรรมานำเสนอจะกระตุ้นความสนใจให้มีการออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย

ขณะที่ Ms. Mich Goh, Director of Public Policy for Asia Pacific at Airbnb กล่าวว่า นอกเหนือจากการเปิดบ้านและที่พักแล้ว Airbnb ให้ความสำคัญต่อการเป็น Host ที่ส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เข้าถึงความเป็นท้องถิ่น โดยเล็งเห็นว่าการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟนั้นจะนำพานักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ เข้าสู่พื้นที่ได้อย่างทั่วถึง Airbnb จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายให้กับนักเดินทางที่เลือกใช้บริการ Host  และ Airbnb จะเป็นช่องทางสำคัญในการประชาสัมพันธ์ E-Guidebook รวมทั้งช่วยให้ข้อมูลและเรื่องราวในพื้นที่ และเป็นทูตวัฒนธรรมที่ช่วยแนะนำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยว สำรวจมรดกท้องถิ่น อาหารพื้นเมือง และสถานที่ที่พิเศษต่างๆ ในเมือง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อชุมชนท้องถิ่นโดยรอบ

นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดหมวด
สายการบิน “เคทีซี” กล่าวว่า เคทีซีคำนึงถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ด้านการเดินทางท่องเที่ยวผ่านช่องทางเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส อาทิ บัตรรถไฟ บัตรรถราง รถเช่าไฟฟ้า (EV) และแพ็กเกจท่องเที่ยวชุมชน สำหรับ

การเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟนั้น เชื่อมั่นว่านักเดินทางจะได้รับประสบการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร ทั้งประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่น ธรรมชาติและชุมชน รับคะแนนเพิ่ม 1,000 KTC FOREVER เมื่อจองตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ขณะเดียวกันเคทีซีพร้อมสร้างความตระหนักรู้ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของเคทีซีเพื่อแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชุมชน ร้านอาหารท้องถิ่น ร้านขายของฝาก ที่พักชุมชนให้สมาชิกได้เข้าถึงข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวได้สะดวกมากขึ้น

นอกจากนี้ ในการจัดกิจกรรมเปิดตัว E -Guidebook #MyRailJourney ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับฟังแนวทางการพัฒนาโครงข่ายและการให้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทยโดย นางศุภมาศ ปลื้มกุศล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว รฟท. พร้อมทั้งชมความงดงามเสน่ห์ของการเดินทางด้วยรถไฟผ่านนิทรรศการภาพถ่ายในหัวข้อ “ชีวิตที่สวยงาม” และ “การเฉลิมฉลองช่วงเวลาที่น่าจดจำ”ถ่ายภาพโดย ชาตรี สลีวงศ์ ช่างภาพสารคดีชื่อดัง ซึ่งถ่ายทอดจิตวิญญาณของการเดินทางด้วยรถไฟ ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวของผู้คน ทิวทัศน์ และความอมตะของการเดินทาง ความมหัศจรรย์ในการชะลอจังหวะชีวิตและสัมผัสประสบการณ์ผ่านหน้าต่างรถไฟ  และ กฤษฎากร สุขมูล ช่างภาพผู้เชี่ยวชาญด้านภาพถ่ายอาหาร และนำเสนอความงดงามของรถไฟไทยไม่ใช่แค่ปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่เติมเต็มด้วยวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการเชื่อมต่อของผู้คนในแต่ละจุดที่รถไฟหยุด นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสประสบการณ์เดินทางจากอาหาร รังสรรค์โดย เชฟเบลล์ พิมพ์ทิพย์ เป้าศิลา เชฟชื่อดังจากรายการ Master Chef Thailand นำเสนอแนวคิดการเดินทางด้วยรถไฟคือการซึมซับทุกช่วงเวลา เหมือนกับการเพลิดเพลินกับอาหารจานพิเศษที่เชื่อมโยงกับการเดินทางได้อย่างลึกซึ้ง

ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด E-Guide Book #MyRailJourney เพื่อเป็นข้อมูลแนะนำประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟได้แล้วที่ https://tourismproduct.tourismthailand.org/2024/10/23/rail-journey/  หรือสอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1672 Travel Buddy

สส. โกงเกณฑ์ทหาร-ใช้ สด. 43 ปลอม อีกหนึ่งความมัวหมองของนักการเมืองไทย

(5 พ.ย. 67) คนไทยที่มีหัวใจเป็น “ลูกผู้ชายตัวจริง” ถ้าไม่ได้ผ่านการเรียน รด. ครบ 3 ปี เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปเกณฑ์ทหารตามปกติเฉกเช่น “ผู้ชายไทย” ทั่วไป จึงจะถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เอาเปรียบเพื่อนชายไทยด้วยกัน และยังได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่มีความกล้าหาญ มีความสุจริตใจ พร้อมที่จะปฏิบัติตนตามกฎกติกาของสังคม   

บางคนร่างเป็นชาย กายอยากเป็นหญิง แม้ร่างกายจะซ่อนความตุ้งติ้งไว้ภายใน แต่เมื่อมีหัวใจที่เข้มแข็งไม่แพ้ชายไทยแท้ ก็มีทั้งเลือกเรียน รด. ตอนชั้นมัธยมปลาย และมีทั้งรอไปเกณฑ์ทหารเสี่ยงจับใบดำใบแดง ก็ต้องยกย่องว่าเป็น “คนดีของสังคมไทย” ในแบบหนึ่ง

ส่วนผู้ชายไทย ที่ รด. ก็ไม่เรียน ขณะที่เพื่อน ๆ ต้องลงทุนแต่งชุด รด. อดทนถือหนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารเล่มหนาเกือบครึ่งฝ่ามือ โหนรถเมล์ไปฝึกสัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นเวลายาวนานถึงสามปี และในตอนใกล้จบหลักสูตรก็ต้องไปฝึกภาคสนามที่ “เขาชนไก่” จังหวัด กาญจนบุรี อีกเจ็ดวันเต็ม ๆ แล้วพอถึงเวลาที่ตนเองต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ก็ยังหนี หรือโกงอีก นอกจากจะมีความผิดทางกฎหมาย ยังมองเห็นความผิดปกติในเรื่องของ “นิสัยใจคอ” สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดถึงการเป็นคนที่ชอบ “โกงเวลาชีวิตของคนอื่น” คนประเภทนี้ขาดความเสียสละ แล้งน้ำใจ ขาดความเคารพนับถือทั้งต่อตนเอง และสังคมส่วนรวม ถือเป็นคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคม

ผู้ชายที่แค่การเกณฑ์ทหารยังหนี ยังโกง ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพที่สูงส่งหรอก แค่มีอาชีพ “หาเช้ากินค่ำ” ก็ยังไม่พ้นข้อหาน่ารังเกียจไปได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ชายที่มีพฤติกรรมที่เอาเปรียบสังคม 

แต่ถ้ามีอาชีพเป็นถึง “นักการเมือง” ได้กินเงินเดือนจากภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชน แต่มาถูกขุดคุ้ยว่าเคยหนีการเกณฑ์ทหาร แถมยังโกหกสังคมด้วยการโชว์ใบ สด.43 ปลอมอีก ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองในระดับ “ชั่วเรียกพี่” นอกจากสมควรต้องได้รับโทษทางกฎหมาย เงินเดือนที่ได้รับจากภาษีของประชาชนมาตลอดการเป็น ส.ส. สมควรต้องคืนหลวงให้ครบทุกบาททุกสตางค์ 

ถ้าไม่มีเงิน ก็ลองไปขอเรี่ยไรจาก “คน 14 ล้าน” ที่ยังหูหนวกตาบอดอยู่ หรือไม่ก็ไปปรึกษา “ทนายนักต้มตุ๋นสังคม” ที่กำลังเป็นข่าวดู ถามเขาว่าเมื่อถูกผู้คนจับได้ไล่ทันแล้วว่าเป็นคนที่ “ปลิ้นปล้อน” สถานการณ์แบบนี้ควรทำตัวอย่างไรดี 

เพราะถึงอยู่ ก็ไม่สู้ตายดีกว่า อยู่แบบหมา มันเสียชาติชาย

โสมร่างกม. ห้ามนักเรียนใช้สมาร์ทโฟน หวั่นทำเด็กเป็นซึมเศร้า-สมาธิสั้น

(5 พ.ย. 67) สำนักข่าว Koreanherald ของเกาหลีใต้รายงานว่า เกาหลีใต้กำลังพิจารณาห้ามใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน สืบเนื่องจากพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรครัฐบาลกำลังพิจารณาร่างกฎหมาย ซึ่งจะห้ามนักเรียนใช้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวในระหว่างชั้นเรียน

รายงานระบุว่า ร่างกฎหมายนี้มาจาก สส โช จุงฮุน และเพื่อนสมาชิกรัฐสภาอีก 10 คนจากพรรคเดียวกันกำลังผลักดันร่างกฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์และอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ ในโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อปกป้องสุขภาพจิตของนักเรียน

สส โช ระบุว่า กฎหมายลักษณะนี้มีบังคับใช้ในหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐฯ และฝรั่งเศส ในขณะที่การเสพติดโซเชียลมีเดียกลายเป็นปัญหาร้ายแรง เรื่องนี้เกิดขึ้นในเกาหลีใต้เช่นกัน โดยพบว่าเด็กอายุระหว่าง 3-9 ปี ร้อยละ 25 และเด็กอายุระหว่าง 10-19 ปีร้อยละ 40.1 เสพติดสมาร์ทโฟนมากเกินไป ดังนั้นเพื่อปกป้องสุขภาพจิตของพวกเขา เราจึงเสนอให้จำกัดการใช้สมาร์ทดีไวซ์ในโรงเรียน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่เจาะจง หรือในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

ความคืบหน้าดังกล่าวสอดคลองกับงานวิจัยจากหลายสถาบันทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ ที่ออกมาระบุคล้ายกันว่า พฤติกรรมการใช้งานมือถือสมาร์ทโฟนมากเกินไป อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิต และสุขภาวะทางการรู้คิดของเยาวชนได้ การเสพติดและสิ่งรบกวนสมาธิไม่ใช่ปัญหาเดียวเท่านั้นที่ทำให้เกิดความกังวล ในหลายกรณี พบว่านักเรียนยังใช้ฟังก์ชันของโทรศัพท์เพื่อบูลลี่หรือแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเพื่อนร่วมชั้นด้วย

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังระบุเช่นกันว่า เกมและวิดีโอสั้นๆ ที่ช่วยกระตุ้นความคิดได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น แต่ทำให้การติดสมาร์ทโฟนเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าและโรควิตกกังวล

ข้อมูลล่าสุดของ Health Insurance and Review Assessment Service สนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าว เนื่องจากจำนวนการเข้าพบจิตเวชสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีพุ่งสูงขึ้นถึง 65 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา นักศึกษาประมาณ 250,000 คนเข้าโรงพยาบาลในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เพียงปีเดียว คิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของการเข้าพบทั้งหมดในปีที่แล้ว

ทั้งนี้ ผลสำรวจโดย Macromill Embrain ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่าผู้ปกครองของนักเรียนร้อยละ 69 สนับสนุนแนวคิดการจำกัดการใช้โทรศัพท์ของนักเรียน มีเพียงร้อยละ 12.6 ที่คัดค้าน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top