Thursday, 3 July 2025
NewsFeed

การฝึกผสมกองทัพบกไทย ร่วมกับ 'กองทัพบกอินเดีย รหัส MAITREE 2024'

กองทัพบกไทย ร่วมกับ กองทัพบกอินเดีย จัดการฝึกผสมร่วมกัน ภายใต้รหัส 'MAITREE 2024' ประจำปี 2567 ในช่วงวันที่ 2 - 14 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ จังหวัดตาก เป็นการฝึกตามโครงการฝึกระหว่างหน่วยของกองทัพบกไทย กับกองทัพมิตรประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทหาร และการทำงานร่วมกัน ในระดับยุทธวิธี 2) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถส่วนบุคคลในการปฏิบัติการร่วมกับกำลังทหาร 3) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้, ประสบการณ์, เทคนิคการปฏิบัติทางการทหารแนวความคิดในการปฏิบัติการและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ และ 4) เพื่อฝึกแผนปฏิบัติการร่วม ตลอดจนการฝึกควบคุมบังคับบัญชาหน่วยกำลังผสม มีผู้เข้าร่วมการฝึกฯ จำนวน 154 นายประกอบด้วย ฝ่ายไทย จำนวน 76 นาย และฝ่ายอินเดีย จำนวน 78 นาย

กองทัพภาคที่ 3 ได้รับมอบหมายให้จัดกำลังพลในส่วนของการฝึกฯ ในครั้งนี้ โดยจัดจากกรมทหารราบที่ 14 กองพลทหารราบที่ 4 จำนวน 76 นาย เรื่องที่ทำการฝึก ประกอบด้วย 1) การจัดแสดงสาธิตอาวุธยุทโธปกรณ์ กองทัพบกไทย Static Display 2) อาวุธศึกษา 3) การติดต่อสื่อสาร 4) แผนที่เข็มทิศ 5) การฝึกลงทางดิ่ง 6) การดำรงชีพในป่า 7) การต่อต้านระเบิดแสวงเครื่อง 8) การปฏิบัติการร่วมกับสุนัขทหาร 9) การฝึกแลกเปลี่ยน (Cross Training Exercise (CTX)) 10) mรฝึกภาคสนาม (Field Training Exercise (FTX)) 11) การฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง 12) การยิงปืนเวลากลางคืน และ 13) การฝึกปฏิบัติการทางยุทธวิธี 48 ชั่วโมง

สำหรับการฝึกผสม MAITREE 2024 ประจำปี 2567 ถือเป็นการฝึกระหว่างกองทัพบกไทย และกองทัพบกอินเดีย โดยถือเป็นความสำเร็จในการพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางทหารระดับยุทธวิธีร่วมกันทั้งสองกองทัพ และทั้งสองกองทัพจะได้นำไปประยุกต์ใช้ต่อการปฏิบัติการทางทหารที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับความร่วมมือในการฝึกผสมฯ ดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมในการสร้างความร่วมมือกับมิตรประเทศ ในการพัฒนาการฝึกผสมฯ กับมิตรประเทศอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของกองทัพไทย รวมถึงเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ในการสร้างผลประโยชน์ของชาติให้มั่นคงยิ่งขึ้นสืบไป

รัฐ-เอกชน-นักวิชาการ ชี้ ก๊าซฯ แหล่งพื้นที่อ้างสิทธิไทย-กัมพูชา จำเป็นต่อความมั่นคงด้านพลังงานของไทย

(7 พ.ย.67) รัฐ-เอกชน-นักวิชาการ หนุนเดินหน้าเจรจาแหล่งพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา (OCA) ดึงก๊าซฯ มาใช้ประโยชน์สร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ประเทศ ปตท. ระบุ ก๊าซ LNG ยังจำเป็นในช่วงที่ OCA ยังไม่มีความชัดเจน พลังงานแนะเอกชนนำเข้า LNG ในอนาคตควรเน้นเป็นสัญญาระยะยาว ช่วยลดต้นทุนราคาก๊าซฯ และค่าไฟฟ้าประชาชนได้

นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานเสวนา 'พลังงานราคาถูก ทางรอดเศรษฐกิจไทย' ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจว่า การใช้ไฟฟ้าของไทยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วง 2 ปีนี้ เนื่องจากสภาพอากาศร้อนมากขึ้น โดยในปี 2566 ยอดการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 7% จากปกติจะเติบโตประมาณ 2% ทุกปี และในปี 2567 นี้ คาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% แสดงให้เห็นว่าไทยยังมีความต้องการปริมาณไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้ากลับลดลง จากเดิมเคยผลิตก๊าซฯได้ 70-80% ปัจจุบันเหลือเพียง 56% ของความต้องการใช้ก๊าซฯ ส่งผลให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาทดแทน ซึ่งในอดีตเมื่อ 8 ปีที่แล้วไทยเคยนำเข้า LNG ประมาณ 4-5 ลำเรือ แต่ปัจจุบันต้องนำเข้าถึง 90 ลำเรือ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ก๊าซฯ ในอ่าวไทยกลับลดลงและแหล่งผลิตก๊าซฯ เริ่มถดถอยลงหลังจากใช้งานมานาน ส่วนปริมาณน้ำมันที่จัดหาได้และใช้ในประเทศก็เริ่มลดลงจากเดิมเคยจัดหาได้ 15% แต่ในปี 2567 เหลือเพียง 7% ของความต้องการใช้ทั้งหมด

ดังนั้นจะเห็นว่า สิ่งสำคัญสำหรับไทยในปัจจุบันคือการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ ซึ่งคุณภาพการให้บริการไฟฟ้าของไทยยังอยู่ในระดับต้นๆ ของอาเซียน โดยไทยใช้เกณฑ์ความมั่นคงไฟฟ้า LOLE ที่มีดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับตลอด 1 ปีไม่เกิน 0.7 วันต่อปี ดังนั้นไทยยังมีความมั่นคงด้านพลังงานและยังเป็นประเทศที่น่าลงทุน จะเห็นได้จากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มียอดการขอรับการสนับสนุนการลงทุนกว่า 722,500 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการลงทุนกว่า 93,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนด้าน Data Center และ Cloud Service โดยเรื่องหลักที่ผู้ลงทุนต้องการคือ ไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งกระทรวงพลังงานมีความพร้อมทั้งด้านปริมาณ คุณภาพ ราคาและความยั่งยืน เช่น การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าสีเขียวตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2567-2580 หรือ PDP 2024 ให้มากขึ้นจาก 26% เป็น 51%

ทั้งนี้กระทรวงพลังงานไม่ได้มองแค่ราคาพลังงานถูก แต่ยังมองเรื่องความมั่นคง การรักษาเสถียรภาพด้านราคา ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในประเทศ ไปพร้อมกันด้วย

นายสาร์รัฐ ประกอบชาติ รองผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า การใช้ไฟฟ้าของไทยมีความเปลี่ยนแปลงที่ต้องคำนึงถึงในอนาคตให้มากขึ้น ได้แก่  1.การเกิดยอดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีคไฟฟ้า) ที่เปลี่ยนจากช่วงกลางวันมาเป็นกลางคืน 2.การเปลี่ยนแปลงด้านไฟฟ้า ที่เกิดการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองมีมากขึ้น 3.การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เติบโตแบบก้าวกระโดด และ 4.การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นตามแผนพลังงานชาติ

ดังนั้นในร่างแผน PDP 2024 จึงมุ่งดูแลใน 3 มิติ ได้แก่ 1. การเพิ่มเป้าหมายไฟฟ้าสะอาดมากขึ้นเป็น 51% ภายในปี 2580 โดยลดการใช้ก๊าซฯ ลงจาก 60% เหลือ 41% แต่ก๊าซฯ ยังจำเป็นต่อการรองรับความมั่นคงด้านพลังงานประเทศ 2.นโยบายยังยึดมั่นด้านความมั่นคงพลังงาน สิ่งแวดล้อม และราคาที่เป็นธรรม และ 3.ต้องบริหารจัดการระบบสมาร์ทกริดรองรับไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่จะเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตามในแผน PDP 2024 ไม่ได้พิจารณาถึงการจัดหาก๊าซฯในแหล่งพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ( Overlapping Claims Area หรือ OCA) เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ซึ่งแผน PDP 2024 จำเป็นต้องพิจารณาเฉพาะแหล่งพลังงานที่มีความชัดเจนก่อน ส่วน OCA ก็ยังถือว่าจำเป็น เนื่องจากจะเป็นแหล่งก๊าซฯ ราคาไม่สูงเกินไป และราคาไม่ผันผวนเมื่อเทียบกับ LNG ถ้าสามารถเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็จะสอดคล้องกับแผนพลังงานชาติที่ต้องการก๊าซฯ ระยะยาว แต่หาก OCA ยังไม่เกิดขึ้น การบริหารจัดการก๊าซ LNG แบบสัญญาระยะยาวก็จำเป็นและต้องมีสัดส่วนที่มากขึ้น เนื่องจากจะได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อจากตลาดจร

นายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ยืนยันว่าการเจรจา OCA ภายใต้กรอบความร่วมมือ MOU 2544 ควรเดินหน้าต่อไป เพราะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงด้านพลังงานประเทศ เนื่องจากจะเห็นได้ว่าปัจจุบันการนำเข้า LNG มีมากขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อราคาค่าไฟฟ้าประชาชน ขณะที่ OCA จัดเป็นแหล่งก๊าซฯ ที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ซึ่งใช้เวลาเพียง 3 เดือนก็สามารถวางระบบท่อเพื่อนำก๊าซฯ มาใช้ได้เลย เพราะไทยมีท่อก๊าซฯ อยู่ 3 เส้นรองรับก๊าซฯ ได้ 3,800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่มีการใช้งานจริงเพียง 2,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งหากเกิดการใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพจะทำให้ค่าผ่านท่อถูกลงได้ด้วย

สำหรับในเรื่องพลังงานนั้นเห็นว่าสิ่งที่ไม่ควรทำคือ อย่าอุดหนุนราคาพลังงานแบบเหวี่ยงแห อย่าฝืนกลไกตลาดเสรี และปิดประเทศ รวมทั้งอย่าอ้างการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเกินควร จนกระทบความมั่นคง ราคา และธรรมาภิบาล นอกจากนี้อย่าสร้างกระแสเกลียดชังพลังงาน โดยอ้างเกี่ยวกับการระแวงเพื่อนบ้าน, ปัญหาสิ่งแวดล้อม, สินค้าแพง หรือตลาดทุนนิยม เป็นต้น

แต่สิ่งที่ควรทำด้านพลังงานคือ ตั้งงบประมาณมาช่วยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทั้งราคาน้ำมัน ราคาค่าไฟฟ้า, ปล่อยให้ราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม (LPG) ลอยตัว ไม่ฝืนกลไกตลาด เพราะจะเสี่ยงขาดแคลน, เร่งเจรจาแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ( TC-OCA ) เพื่อเปิดพื้นที่สำรวจและเพิ่มปริมาณสำรองก๊าซฯ แทนที่จะปล่อยให้นำเข้า LNG มากขึ้นเรื่อย ๆ, ปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการซื้อไฟฟ้าให้มีการแข่งขันมากขึ้น ไม่ต่อสัญญาโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) หรือ โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) ที่จะหมดอายุ แต่ให้มาแข่งขันเสนอค่าไฟฟ้าในตลาดเสรีแทน และการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แต่ควรมีกติกาที่โปร่งใส การซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศควรใช้ระบบประมูลค่าไฟฟ้า ไม่ใช่เจรจารายโครงการ

ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ไม่อยากให้ยึดนโยบายราคาพลังงานถูก เพราะจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แม้ราคาถูกในวันนี้ แต่จะแพงในวันหน้าได้ และการตรึงค่าไฟฟ้าระยะยาว จะนำไปสู่ภาระหนี้ที่ประชาชนต้องจ่ายในภายหลัง ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับพลังงานที่เป็นธรรม รักษาสมดุลเศรษฐกิจ ที่รับได้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

สำหรับทางออกด้านพลังงานของประเทศไทยคือ 1.ปรับบทบาทโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ให้ทำหน้าที่เสริมความมั่นคงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ไม่เพียงพอแทน ส่วนกรณี OCA ถือว่ามีประโยชน์อย่านั่งทับไว้เฉยๆ 2. เร่งลงทุนพลังงานสะอาด โดยเฉพาะระบบแบตเตอรี่ การมีส่วนร่วมลดการใช้ไฟฟ้าภาคสมัครใจ 3.รัฐควรปรับระบบผลิตและซื้อขายไฟฟ้า ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ในรูปแบบกิจการไฟฟ้าเสรี ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด   

นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก๊าซฯ ยังมีความจำเป็นต่อประเทศไทยอยู่ การแสวงหาก๊าซฯ จากแหล่งใหม่ๆ ทั้ง OCA และแหล่งอื่นๆ ก็จะช่วยลดต้นทุน และเสริมความมั่นคงด้านพลังงานได้ แต่ถ้าแหล่งก๊าซฯ อยู่ใกล้ไทยจะดีกว่าเพราะมีโครงสร้างท่อก๊าซฯ รองรับอยู่แล้ว และลักษณะทางธรณีวิทยาก็ใกล้เคียงไทย ซึ่งรูปแบบความร่วมมือก็มีหลายรูปแบบที่จะทำให้เกิดต้นทุนที่ต่ำลงได้

สำหรับ OCA ยังไม่ชัดเจนว่าจะนำก๊าซฯ ขึ้นมาใช้ได้เมื่อไหร่ ดังนั้นการทำแผนพลังงานต้องมีหลายทางเลือกไว้ โดยเมื่อยังไม่มีความชัดเจน ก็ต้องนำเข้า LNG มาใช้ไปก่อน ซึ่งบางช่วง LNG ก็มีราคาถูกและเป็นประโยชน์ต่อประเทศเช่นกัน

กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ เปิดการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธี กองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปี 2568

(6 พ.ย. 67) กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ เปิดการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธี กองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปี 2568 โดยมี พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกฯ ณ ท่าเรือแหลมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) เปิดเผยว่า กองเรือยุทธการเป็นหน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ ที่จะต้องมีความพร้อมในการจัดเตรียมกำลังสำหรับการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ สำหรับการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีกองเรือฯ โดยกำหนดห้วงการฝึกระหว่างเดือน พฤศจิกายน 67 - มกราคม 68 ซึ่งเป็นไปตามภารกิจของกองทัพเรือ ด้านการเตรียมกำลังและป้องกันราชอาณาจักร รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และช่วยเหลือประชาชน ตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ

โดยมีวัตถุประสงค์การฝึก เพื่อให้มีความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยทางทะเล และการช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้หน่วยที่รับการฝึกจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์ที่สมจริง ให้สอดคล้องกับแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ รวมถึงจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ Combat Staff ของกองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกล และกำหนดให้การฝึกต้องผ่านมาตรฐานในระดับ Safe To Sail และBasic Tactic

ส่วนการฝึกในปีนี้ จะมีการฝึกตามสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน ทั้งสงครามรัสเซีย ยูเครน รวมถึงยุทธศาสตร์ บลูดราก้อนของจีน หรือด้านอินโดแปซิฟิก และจะเห็นการใช้กำลังในเรื่องของสงครามอิสราเอล ที่เกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหลานี้ ทางกองเรือยุทธการ จะนำมาศึกษาและนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาพัฒนาการฝึก การฝึกจะเป็นการฝึกแบบเก่าไม่ได้ พร้อมกับจะมีการประเมินผลและแจงแผนการฝึกไปยังกองทัพเรือ ในการพัฒนากำลังรบทางเรืออย่างไร ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการฝึกเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่เกิดภัยพิบัติ โดยมุ่งเน้นการเตรียมการล่วงหน้าทั้งด้านกำลังพล ยุทโธปกรณ์ แนวทางปฏิบัติ เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ กองเรือยุทธการ ได้ให้ความสำคัญในการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีฯ และการเสริมสร้างกำลังพลให้มีความเป็นทหารอาชีพ เพื่อให้กองเรือยุทธการเป็น "หน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ ที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ" โดยได้มีการนำนโยบายของ ผบ.ทร. ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ “NAVY-SAFETY 2025” พลเรือเอก ณัฏฐพล  กล่าวเสริมอีกว่า ทั้งนี้ได้มีการนำนโยบายด้านความปลอดภัยของ ผบ.ทร. ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ “NAVY-SAFETY 2025” ถ้ากำลังรบหลักไม่ปลอดภัย ถือเป็นเรื่องใหญ่ของกองทัพเรือ บทเรียนที่ได้รับมา จะมีการนำมาเป็นบทเรียนในเรื่องของ SAFETY ในความปลอดภัยของบุคคล ในความปลอดภัยของเรือ และอากาศยานต่าง ๆ โดยจะมีการนำบทเรือมาวิเคราะห์ ศึกษา และนำมาปฏิบัติต่อไป ส่วนในเรื่องสถานการณ์เกาะกูดนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวไว้แล้วในส่วนกำลังทางเรือนั้นมีหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ ส่วนกองเรือยุทธการ มีหน้าที่เตรียมกำลังทั้งองค์บุคคล และองค์ยุทธวิธี ให้มีความพร้อม อยู่ตลอดเวลา

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645,0945565622/086-3684323

กมธ.อุตฯ หนุนออกกฎหมายจัดการกากอุตสาหกรรม ย้ำชัด ต้องเพิ่มโทษผู้ทำผิด - เร่งปราบปรามอย่างจริงจัง

กมธ.อุตสาหกรรม หนุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ออกกฎหมายจัดการกากอุตสาหกรรมเพิ่มโทษผู้ทำผิดกฎหมาย เดินหน้าปราบปรามอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านอุตสาหกรรมของประเทศ

เมื่อวานนี้ (6 พ.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม พร้อมด้วยกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้แถลงข่าวถึง การจัดการกากของเสียอุตสาหกรรม ว่า จากกรณีเมื่อไม่กี่วันมานี้ได้มีการเข้าตรวจค้น รวมถึงปราบปรามผู้กระทำความผิดจากกรณีการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งปิดโรงงานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในพื้นที่อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี จนนำมาสู่การจับกุมรวมถึงตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก

ทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้เคยลงพื้นที่ไปยังโรงงานแห่งนี้ครั้งหนึ่ง และได้มีการกำชับให้มีการดำเนินการตามมาตรฐาน รวมถึงกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งต่อมาได้มีการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม แต่ผู้ประกอบการยังคงลักลอบเปิดโรงงานจนนำมาสู่การตรวจค้นและจับกุมดังกล่าว และยังตรวจพบกากของเสียอุตสาหกรรมอันตรายที่มีน้ำหนักรวมมากกว่า 41 ตัน 

โดย จังหวัดปราจีนบุรี เป็นหนึ่งในจังหวัดที่จะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อเป็นต้นแบบของการปราบปรามการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากมลภาวะต่าง ๆ 

ซึ่งทางนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีแนวนโยบายชัดเจนว่าจะต้องปราบปรามการกำจัดของเสียที่ไม่ถูกวิธีอย่างจริงจัง เพื่อคืนน้ำที่สะอาด คืนอากาศที่บริสุทธิ์ให้กับพี่น้องประชาชน ทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมเห็นด้วยกับแนวนโยบายดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง 

เพราะก่อนหน้านี้ได้มีหลายครั้งที่การจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมไม่ถูกวิธีนำมาซึ่งอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งทางคณะกรรมาธิการก็ได้มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในกิจการเกี่ยวกับการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (โรงงานประเภท 101 105 และ 106) โดยทางคณะกรรมาธิการได้ติดตามอย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ เมื่อเกิดเหตุการณ์พบสารแคดเมียม เรื่อยมาจนถึงการพบสารอะลูมิเนียมดรอส โดยได้มีการเสนอให้แก้ไขพระราชบัญญัติโรงงาน ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในสมัยการประชุมสมัยต่อไป 

นอกจากนี้ยังได้รับทราบว่ากระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะได้มีการเสนอกฎหมายอีกฉบับหนึ่งในเรื่องนี้ด้วย คือ พ.ร.บ.จัดการกากของเสียอุตสาหกรรม ซึ่งต้องขอชื่นชมและสนับสนุนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้มีวิสัยทัศน์ในการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรม เพื่อการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

โดยจะมีการกำหนดโทษทางอาญากับผู้ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างหนัก เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ที่กระทำผิดเกี่ยวกับการจัดการของเสียโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ดังนั้นการเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำผิดดังกล่าวย่อมจะทำให้การบังคับใช้ และการป้องกันการกระทำความผิดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 

แต่อย่างไรก็ดียังมีข้อห่วงใยว่า แม้จะมีการควบคุมการจัดการกากของเสียในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม พบว่า มีการลักลอบนำเข้ากากอุตสาหกรรม เช่น ของเสียอิเล็กทรอนิกส์ และกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ในหลากหลายช่องทาง 

ข้อห่วงใยดังกล่าวมาจากการที่เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรไม่สามารถเปิดตู้สินค้าเพื่อตรวจสอบได้ครบถ้วน ซึ่งในลำดับต่อไปทางกรรมาธิการจะเร่งศึกษาเพื่อหาแนวทางป้องกันไม่ให้มีการนำเข้ามาในประเทศได้ เพื่อไม่ให้กากของเสียอุตสาหกรรมสามารถทำลายสิ่งแวดล้อม และสร้างมลภาวะให้แก่พี่น้องประชาชน

จึงต้องขอเรียนไปยังพี่น้องประชาชนที่ติดตามการทำงานของคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมว่า ทางคณะกรรมาธิการดำเนินการทำงานในเรื่องการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงขอชื่นชมในการทำงานของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการจัดการของเสียอุตสาหกรรมที่ผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องพี่น้องประชาชนจากมลพิษที่จะเกิดขึ้น

‘จิรัฏฐ์’ สส. พรรคประชาชน ยอมโพสต์ขอโทษ ปมพูดโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่า “ตุ๊ด” อ้างเป็นคำพูดติดปาก

จากกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อเพจเฟซบุ๊ก 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้เผยแพร่คลิป นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน ด่าฝ่ายตรงข้ามที่โจมตีว่า “ตุ๊ด” ไม่แมน ไม่ลูกผู้ชาย

ล่าสุดวันนี้ (7 พ.ย.67) นายจิรัฏฐ์ ได้โพสต์ข้อความผ่าน X หรือทวิตเตอร์ว่า กราบขออภัยที่ผมได้พูดคำว่า “ตุ๊ด” ออกไปในรายการสดเป็นอย่างสูงครับ เป็นคำพูดติดปากซึ่งไม่เหมาะสม และไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นที่กำลังพูดถึงอยู่เลยด้วย ถึงแม้ผมจะขอโทษไปแล้วในรายการทันทีหลังจากที่หลุดพูดออกไป แต่อยากขอโทษเป็นทางการอีกครั้งครับ

ต่อมา เพจเฟซบุ๊ก 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้ออกมาโพสต์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า พี่ลักแกง ขอโทษที่พูด “เหยียดตุ๊ด” อ้างว่า “เป็นคำพูดติดปาก” แบบนี้แสดงว่าพูดเหยียดบ่อยใช่มั๊ยคะ

ซึ่งมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ขนาดออกสื่อยังขนาดนี้…ถ้าไม่ได้ออกสื่อ…! ตุ๊ดเขาไปคัดเลือกเกณฑ์ทหารกันนะจ๊ะ…

'พิชัย' เปิด Thailand Pavilion ยกทัพเอกชน โชว์เสน่ห์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ในงาน CIIE ที่จีน ชวนคนทั่วโลกเป็น ‘ลูกค้าประจำของสินค้าไทย‘ ใช้แล้วติดใจ! 

เมื่อวานนี้ (6 พ.ย.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิด Thailand Pavilion แสดงภาพลักษณ์ประเทศไทย ในฮอลล์ Country Exhibition ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน China International Import Expo หรืองาน CIIE ครั้งที่ 7 ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์ จำนวน 20 บริษัท อาทิ อาหาร ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และธุรกิจบริการเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ บนพื้นที่กว่า 250 ตารางเมตร คาดเกิดมูลค่าเจรจาการค้าไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท และสาธิตการทำอาหาร เมนูแกงมัสมั่น บริโภคกับข้าวหอมมะลิไทย เพื่อแจกจ่ายให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทดลองชิม และช่วยโปรโมตซอฟต์พาวเวอร์ไทยด้วย

นายพิชัย กล่าวว่า งาน CIIE เป็นงานที่ประเทศจีนจัดเพื่อเปิดกว้างสำหรับทุกประเทศให้เข้ามาขายของ ถือว่าเป็นโอกาสดีของไทยในการเข้ามา ครั้งนี้มี 80 บริษัทเข้าร่วม โดยเป็นของกระทรวงพาณิชย์ 20 บริษัท มีทั้งเรื่องอาหารไทย ซอฟต์พาวเวอร์ ฟิล์ม มวย ข้าวและปีนี้มีข่าวดี ที่พึ่งได้รับรายงานจากกรมการค้าต่างประเทศว่า ไทยส่งออกข้าวได้มากเกินเป้าจากที่คาดว่าจะได้ 8.2 ล้านตัน ตอนนี้ทะลุ 9 ล้านตันแล้ว ปลายปีต้องมากกว่านี้ ถือเป็นข่าวดีของชาวนาไทย  ขอเชิญชวนคนจากทั่วโลกให้มาช่วยซื้อของไทยเยอะๆ มาเป็นลูกค้าประจำของสินค้าไทย มาอุดหนุนเสน่ห์ซอฟพาวเวอร์ไทยกันให้มาก ถ้าท่านทดลองใช้ของไทยแล้วจะติดใจ ทั้ง อาหาร ผลไม้ นวด ชกมวย มาใช้ของไทยแล้วจะชอบ

ต่อจากนั้น รมว.พาณิชย์ยังได้เป็นประธานเปิดบูธจัดแสดงสินค้าของหน่วยงานพันธมิตร เช่น หอการค้าไทยจีน ที่ขนทัพแบรนด์สินค้าไทย เช่น มาม่า ส.ขอนแก่น ชบา มาร่วมจัดแสดง จับคู่ธุรกิจ จำหน่าย แจก รวมถึงเอกชนไทยรายใหญ่ที่มีแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เช่น CP มาร่วมแสดงศักยภาพของสินค้าและบริการไทยด้วย สำหรับสินค้าไฮไลต์ที่นำมาโชว์ในงาน เช่น ผงน้ำมะพร้าวฟรีซดราย กะทิอัดเม็ด น้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ขนมครกและขนมบ้าบิ่นสำเร็จรูป น้ำจิ้มฟรีซดราย เครื่องแกง ผงปรุงรส ทูน่าสเปรดแบบวีแกน อาหารแพลนต์เบสพร้อมรับประทานและพร้อมปรุง ผลไม้ฟรีซดราย ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น

นายพิชัย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับการโปรโมตซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยในจีน ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ในจีน 7 แห่ง ได้ผนึกกำลังกันโปรโมตอย่างเต็มที่ โดยใช้โอกาสช่วงที่ภาพยนตร์ “หลานม่า” เข้าไปฉาย ได้ร่วมมือกับร้านอาหาร Thai SELECT 37 แห่ง ใน 13 เมือง (ปักกิ่ง ชิงต่าว หนานจิง ซูโจว เซี่ยงไฮ้ หางโจว เซี่ยเหมิน ฝูโจว กวางโจว หนานหนิง คุนหมิง ฉงชิ่ง และเฉิงตู) ในการเป็นจุดโปรโมต และบางร้านได้จัดเสิร์ฟเมนูพิเศษจากภาพยนตร์หลานม่า เช่น ปลาทอดสมุนไพร ก๋วยเตี๋ยว และโจ๊กอาม่า เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้ลิ้มลองรสชาติเมนูจากภาพยนตร์ดังกล่าวด้วย

“อนาคตผมเชื่อว่าประเทศจีนจะเป็นประเทศที่มีรายได้ประชาชาติสูงสุดในโลกและหวังว่าประเทศไทยจะร่วมมือกับจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยกัน ปัจจุบันประเทศจีนมีการลงทุนในประเทศไทยสูงที่สุด หวังว่าการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับจีนจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หวังว่าทางจีนจะเห็นไทยเป็นคู่ค้าและเป็นพี่น้องกัน ขอบคุณประเทศจีนที่เปิดกว้าง เราจะขายของให้ประเทศจีนได้มากขึ้น เมื่อวานตนได้พบผู้ประกอบการ 16 ราย กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายหลักในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยค้าขายในจีนหรือประเทศต่างๆได้มากขึ้น เราอยากสนับสนุนส่งเสริม 80% อีก 20% เป็นแค่เรกูเลเตอร์กำกับดูแล เน้นส่งเสริมสินค้าไทย ผู้ประกอบการไทยออกมาขายของได้มากๆ อยากเห็นการค้าไทยขยายตัวมากๆ เห็น GDP เราทะลุเกิน 4-5% ขึ้นไป อยากตามจีนให้ทัน ในความรู้สึกของคนไทยคนจีนมีความผูกพันกันเยอะ และปีหน้าจะเป็นปีที่จะ เฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี ผมว่าความรู้สึกนี้เกินกว่าการค้าหรือการลงทุน ความรู้สึกรักใคร่กันเป็นเรื่องที่สำคัญ จะนำมาซึ่งการค้าที่ดีต่อไปในอนาคต ผมเชื่อว่าไทยกับจีนจะต้องก้าวหน้าไปด้วยกันในอนาคตอย่างแน่นอน“ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

พ.ต.ท.สำรวย สมาน สว.ตม.จว.อุทัยธานี รับรางวัล ITA AWARDS 2024 อันดับที่ 1 ของประเทศ

พ.ต.ท.สำรวย สมาน สว.ตม.จว.อุทัยธานี รับรางวัล ITA AWARDS 2024 อันดับที่ 1 ของประเทศ(หน่วยงานส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรม ผ่านดีเยี่ยม) และข้าราชการตำรวจดีเด่น ด้านบริหารหน่วยงานดีเด่น เนื่องในวันตำรวจ ปี 2566 และ ปี 2567 

พ.ต.ท.สำรวย สมาน สว.ตม.จว.อุทัยธานี บก.ตม.5 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า ที่ได้รับรางวัล “การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ITA AWARDS 2024 อันดับที่ 1 ของประเทศ ของหน่วยงานระดับต่ำกว่ากรม (สำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร อำเภอ และสถานีตำรวจ ทั่วประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2567” เป็นอันดับที่ 1ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ และอันดับที่ 1 ของส่วนราชการในจังหวัดอุทัยธานีได้รับคะแนน คิดเป็นร้อยละ 99.41 (เต็ม 100 คะแนน) ด้วยผลคะแนนรวมทั้ง 3 ด้าน ผ่านประเภท ดีเยี่ยม โดย จำแนกการประเมินข้าราชการตำรวจ ทุกนาย มุ่งมั่น ร่วมแรงร่วมใจ เพื่อปฏิบัติติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ ตามหลักธรรมาภิบาล นำมาซึ่งผลคะแนนที่บ่งบอกถึงคุณภาพในการปฏิบัติติราชการ โดยได้นำเอาหลักการมีส่วนร่วมของข้าราชการที่ปฏิบัติงานในหน่วย ลูกจ้าง ภาคีเครือข่าย ร่วมแรงร่วมใจ ในการทำงานโดยมุ่งหวังในมิติการมีส่วนร่วมของข้าราชการตำรวจและประชาชนร่วมในการมีส่วนร่วม

ซึ่งผลคะแนนทั้ง 3 ด้านประกอบด้วย 
1. ด้านการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน : IIT ได้ 100 คะแนน 
2. ด้านการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก : EIT ได้ 98.02 คะแนน 
3. ด้านการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ : OIT ได้ 100 คะแนน

โดยที่ผ่านมาได้รับรางวัลตำรวจดีเด่น 2 ปีซ้อน ตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีนโยบายให้จัดทำโครงการคัดเลือกข้าราชการตำรวจดีเด่น เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2566 และ ปี 2567 เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชู สร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ผลการปฏิบัติราชการดีเด่น ในรอบปีงบประมาณ พ.ศ.2566 และ พ.ศ.2567 โดยจัดพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ผลการปฏิบัติราชการดีเด่น โดย พ.ต.ท.สำรวย สมาน สว.ตม.จว.อุทัยธานี ได้รับคัดเลือกด้านบริหารหน่วยงานดีเด่น ระดับ สว.ตม.จว. 2 ปีซ้อน ด้วยคะแนนสูงสุดใน บก.ตม.5 โดยมีผลงานดีเด่นด้านพัฒนาสถานที่ทำการและพื้นที่ให้บริการ ด้านพัฒนาบุคลากรและส่งเสริมสวัสดิการ และด้านพัฒนารูปแบบการทำงานและระบบเทคโนโลยี
  
พ.ต.ท.สำรวย  กล่าวต่อไปอีกว่า ตั้งแต่ได้ดำรงตำแหน่ง ได้นำแนวคิดเรื่องธรรมาภิบาลหรือการบริหารบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) นโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มาใช้ในด้านการบริหารงาน นำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ภายใต้อำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ ในการปฏิบัติราชการตามกรอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

การทำงานแบบบูรณาการทำงานเป็นทีม ซึ่งปรากฏว่าด้วยการรวมพลังการทำงานบูรณาการทำงานเป็นทีม ทำคนน้อย ให้เป็นคนมาก ใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทำงาน ร่วมแรง ร่วมใจกันของข้าราชการตำรวจและพนักงานจ้างทำให้ผลการประเมิน ในปี 2567 ได้รับคะแนนรวมทะลุถึง 99.41 (เต็ม 100 คะแนน) เป็นหน่วยแรก และหน่วยเดียวของ สตม.และของ จว.อุทัยธานี ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงคุณภาพในการปฏิบัติราชการในทุกมิติทั้งด้านการบริหารจัดการ ด้านการบริหารงานบุคคลและการมีส่วนร่วม ด้านการบริหารงานการเงินและการคลัง ด้านการบริการสาธารณะ ด้านธรรมาภิบาล 

 อีกทั้งได้นำระบบศูนย์ราชการสะดวก (GECC :Government Easy Contact Center) มาขับเคลื่อนเพื่อให้เป็นหน่วยงานที่ให้บริการประชาชนที่มุ่งเน้นการอำนวยความสะดวก โดยมีมาตรฐาน ระบบงาน เชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน ส่งมอบบริการด้วยใจ การบริการเหนือความคาดหมายเช่น บริการในวันหยุด เพื่อให้ประชาชน ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย ประชาชนมีความพึงพอใจต่อบริการ ของภาครัฐ

องค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace)โดยมีแผนงานสอดคล้อง มีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติราชการ ได้แก่ แอพพลิเคชัน “Uthai on Mobile” เพื่อให้ประชาชน ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย สามารถใช้บริการได้ทุกที่ทุกเวลา สอดคล้องกับการนำหลักองค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) มาใช้ในการปฏิบัติราชการ โดยใช้ความสุขพื้นฐานแปดประการ ในการทำงาน(Happy 8) ประกอบไปด้วย Happy Body (สุขภาพดี) ,Happy Heart (น้ำใจงาม) ,Happy Society (สังคมดี) ,Happy Relax (ผ่อนคลาย) ,Happy Brain (หาความรู้) ,Happy Soul (ทางสงบ) ,Happy Money (ปลอดหนี้) และ Happy Family (ครอบครัวดี)

ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของบุคลากรของ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดอุทัยธานี ที่ยึดถือแนวทางนี้ในการปฏิบัติราชการ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล เพื่อการบริหารจัดการบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดคืนสู่ประชาชนต่อไป

 ตม.จว.อุทัยธานี สร้างองค์กรให้มีมาตรฐานสากล เป็นต้นแบบของหน่วยงานราชการขนาดเล็กที่ดีเยี่ยม แม้ขาดแคลนกำลังพล แต่ได้เสริมด้วยการจ้างเหมาบริการบุคคลภายนอก และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน ทำให้ประชาชนสะดวก สบาย ในการมาติดต่อราชการ จัดทำอาคารสถานที่ ให้สะอาด สวยงาม ทันสมัย มีมุมพักผ่อน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน 

อีกทั้งให้ความสำคัญ เรื่องสวัสดิการข้าราชการตำรวจ ครบทุกด้าย อาทิ โครงการอาหารกลางวัน ,โครงการประกันชีวิต "ออมสิน อุ่นใจ ให้คุ้มๆ"  ,โครงการตัดผมฟรี ,โครงการส่งเสริมการออกกำลังกาย ,โครงการมอบทุนการศึกษาให้บุตรหลานข้าราชการและลูกจ้างในสังกัด เป็นต้น อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างจริงจังและจริงใจ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน ลดขั้นตอนการติดต่อ ลดขั้นตอนการสัมผัส ทำธุรการผ่านระบบ Application “Uthai on Mobile” ถือเป็นต้นแบบได้รับการชื่นชมจากกรรมาธิการบริหารราชการแผ่นดินวุฒิสภา เมื่อครั้งตรวจเยี่ยม จว.อุทัยธานี และหลายหน่วยงานได้เข้ามาศึกษาดูงานเพื่อนำไปปรับใช้ในหน่วยงานของตน

การที่ ตม.จว.อุทัยธานี ได้รับรางวัล ITA AWARDS 2024 ไม่เกินความคาดหมายมากนัก ผลตอบรับได้กับประชาชนที่มาติดต่อราชการ ลดต้นทุนหน่วย เป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจที่สุด และยังได้รับรางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่น ด้านบริหารหน่วยงาน และด้านอำนวยการอละสนับสนุน เนื่องในวันตำรวจแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ.2567 อีกด้วย

ตม.จว.อุทัยธานี มีสถิติผลการปฏิบัติงาน ตามมาตรการเชิงรุก 5 ด้าน อยู่ในระดับดีเยี่ยม ของ สตม. ตอบสนองนโยบายผู้บังคับบัญชาสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่ายขนคน ตม.จว.อุทัยธานี ร่วมบูรณาการขยายผลร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กรณีจับกุมเครือข่าย น.ส.เมเตและพวก รวม 11 ราย ขยายผลแจ้งข้อกล่าวหา 1 ราย ออกหมายจับ 4 ราย จับกุมแล้ว 3 ราย จัดทำ Application Line OA เป็นต้นแบบเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติ และผู้ประกอบการตม.จว.อุทัยธานี ได้คะแนนการตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ 2567 เป็นลำดับที่ 2 ของ บก.ตม.5 ด้วยคะแนน 99.38 คะแนน

ปณิธาน ความมุ่งมั่นของ ตม.จว.อุทัยธานี "เป็นองค์กรใช้กฎหมาย ที่ประชาชนเชื่อมั่น และศรัทธา บริการ เหนือความคาดหมาย รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม นำองค์กรสู่ ความเป็นเลิศ"

‘สนธิ’ สวมกอด ‘ชูวิทย์’ อธิษฐานให้หายป่วย พร้อมให้อภัยทุกอย่าง – ลืมทุกเรื่องที่เคยขัดแย้ง

‘สนธิ’ กอดอธิษฐาน ให้ ‘ชูวิทย์’ น้องรักหายป่วย ลืมทุกเรื่องที่ผ่านมา ชูวิทย์ อวยพรให้พี่ชายเจริญ ๆ มีกำลังปราบมารต่อไป ส่วนผมเห็นปลายทางแล้ว

วันนี้ (7 พ.ย.67) ณ บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือผู้จัดการ นำคณะผู้บริหาร พนักงาน ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 9 รูป เนื่องในโอกาสครบรอบวันก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ครบรอบ 34 ปี และเนื่องด้วยเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุครบรอบ 77 ปี ซึ่งในงานได้มีแขกคนสำคัญหลายคนที่เข้ามาร่วมอวยพรในวันเกิด

โดยช่วงเวลา 10:30 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ทันทีที่ได้เดินทางมาถึงบ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ได้เดินเข้าไปประคองตัวนายชูวิทย์และโผเข้ากอด พร้อมกับบอกว่า ”น้องรักเอ็งกอดพี่แน่น ๆ ขอหายใจเข้าลึก ๆ” และกล่าวต่อว่าจะถ่ายพลังที่ตนเองได้ปฏิบัติธรรมให้กับนายชูวิทย์ พร้อมกับกล่าวต่อว่า “หายใจเข้าลึก ๆ พุทธ หายใจออกโธ ” พร้อมอธิษฐานที่ได้สะสมบุญบารมีที่ตนมีมอบให้กับนายชูวิทย์ ที่เป็นน้องรัก และก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพร้อมกับให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ

ก่อนที่นายชูวิทย์ จะมอบพวงมาลัยที่เตรียมมามอบให้นายสนธิ โดยนายชูวิทย์ บอกว่า "ขอบคุณพี่ที่อวยพร ขอให้พี่เจริญๆ ขอให้พี่มีกำลังใจที่เข้มแข็ง และช่วยปราบพวกมารต่างๆ ขอให้พี่ทำหน้าที่นี้ให้คนไทยสังคมไทย ส่วนผมเห็นปลายทางแล้ว"

ก่อนที่นายสนธิ จะบอกว่า "ไม่ ๆ ชูวิทย์ยังต้องอยู่ต่อ ชูวิทย์เป็นคนมีคุณูปการต่อสังคม ไม่ด้านใดด้านหนึ่ง พี่คิดว่าประชาชนทั้งหมดเขาซาบซึ้งจริง ๆ ที่ชูวิทย์ทำ แล้วทุกคนทุ่มเทกำลังใจให้ชูวิทย์ให้หาย พี่บอกมานานแล้วว่าพี่ลืมไปแล้ว พี่รู้แต่ว่าชูวิทย์เป็นน้องพี่ ไม่ต้องมาขอโทษพี่ มาให้พี่กอด เท่านั้นเป็นสิ่งที่พี่ต้องการ

ก่อนที่นายชูวิทย์จะบอกว่า มาถูกวัน มาวันที่พี่ไม่ด่าผม นายสนธิบอกว่า "ไม่...โถ่เอ้ย เอ็งจำได้ไหมเอ็งก็เคยมาหาพี่วันเกิด" ก่อนที่นายชูวิทย์จะตอบว่า "จำได้"

จากนั้นทั้งคู่ก็จูงมือกันเข้าไปด้านใน ในบ้านพระอาทิตย์ ท่ามกลางสื่อมวลชนที่มารอติดตามทำข่าว

นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เคยมีประธานบอร์ดคนไหน แสดงอำนาจใหญ่โต สร้างความเสียหายให้แบงก์ชาติ ก่อความพินาศให้เศรษฐกิจไทย จะมีก็แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติทำพังเอง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540

(6 พ.ย. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัว ระบุว่า ความเคลื่อนไหวต่อต้านการแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกัน ทั้งในกลุ่มอดีตผู้ว่าฯ นักวิชาการ นักธุรกิจ และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในวิถีประชาธิปไตย

แบงก์ชาติต้องดำเนินการโดยอิสระเป็นหลักสากล ผมเห็นด้วย แต่เท่าที่ตามดูทั้งข้อกฎหมายและแนวปฏิบัติ ผมยังชั่งใจอยู่ว่าประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จะมีฤทธิ์เดชขนาดที่บางฝ่ายกำลังวาดภาพหรือไม่

ผู้ว่าฯคนปัจจุบันจะหมดวาระกลางปีหน้า การแต่งตั้งคนใหม่ทำโดยกรรมการอีกคณะหนึ่ง ซึ่งตั้งโดยรมว.คลัง จากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย บอร์ดไม่มีอำนาจเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

อาจมีข้อสังเกตว่าผู้ว่าฯ มีข้อเห็นต่างกับรัฐบาลหลายครั้ง จะตั้งประธานบอร์ดเพื่อปลดผู้ว่าฯหรือไม่ กฎหมายก็เขียนว่าการปลดเป็นอำนาจครม.โดยคำแนะนำของรมว.คลัง เพราะประพฤติเสื่อมเสียร้ายแรง หรือทุจริต หรือครม.ปลดออกโดยการเสนอของรัฐมนตรี โดยคำแนะนำของบอร์ด ซึ่งถ้าดูจากข้อเท็จจริงก็ยังไม่มีเหตุถึงขั้นนั้น และอีกไม่กี่เดือนจะมีผู้ว่าฯคนใหม่อยู่แล้ว รัฐบาลจะหาเรื่องปลดให้ยุ่งไปทำไม

กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจบอร์ดไปก้าวก่ายนโยบายการเงิน นโยบายสถาบันการเงิน และระบบชำระเงิน เรื่องพวกนี้มีกรรมการที่มีผู้ว่าแบงก์ชาติเป็นประธาน ทำงานโดยอิสระ อำนาจหน้าที่หลักของบอร์ดคือการควบคุมดูแลโดยทั่วไป ไม่ใช่ล้วงลูกลงลึก 

ผมนั่งนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เคยมีประธานบอร์ดคนไหน แสดงอำนาจใหญ่โต สร้างความเสียหายให้แบงก์ชาติ ก่อความพินาศให้เศรษฐกิจไทย

จะมีก็แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติทำพังเอง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ที่เอาเงินทุนสำรองซึ่งกู้ IMF มา ไปสู้ค่าเงินกับกองทุนต่างชาติจนเจ๊งกันระเนระนาดทั้งประเทศ นายกรัฐมนตรีเผชิญแรงเสียดทานต้องลาออก แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆจากแบงก์ชาติ ทั้งในนามบุคคลและองค์กร หรือก่อน 2540 ก็เคยมีเหตุความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ถูกบันทึกว่าเกิดจากแบงก์ชาติมาแล้ว 

แบงก์ชาติต้องอิสระจากรัฐบาลแน่นอน แต่ดูไปบางมุมคล้ายอิสระจากสังคมและประชาชนด้วยหรือไม่

ผมพยายามค้นระเบียบ หลักเกณฑ์ภายใน พบว่าหายากมาก ทั้งที่หลายเรื่องน่าจะสัมผัสได้ เช่น มีส.ส.ฝ่ายค้านท่านหนึ่ง บอกว่าตั้งประธานบอร์ดแล้วก็จะใช้อำนาจตั้งกรรมการกนง. แทนคนเก่าซึ่งจะหมดวาระ 2 คน พูดจนคนเข้าใจไปว่างานนี้บอร์ดชงเองกินเอง ตั้งพวกตัวเองแน่ ๆ

ทั้งที่สอบถามจากผู้อาวุโสที่เคยเป็นบอร์ดเขายืนยันว่าไม่ใช่ บอร์ดต้องตั้งกนง.จริง แต่ตั้งตามชื่อที่แบงก์ชาติเสนอไม่ใช่คิดเอาเอง เช่น ถ้าว่าง 2 ที่ แบงก์ชาติจะเสนอชื่อมา 3 คนขึ้นไปแล้วบอร์ดพิจารณา ยังไงก็ต้องเป็นคนในโผจากผู้ว่าฯ

เรื่องนี้ก็หาระเบียบไม่พบ แต่ได้รับคำยืนยันว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ทำกันมา

การเสนอชื่อประธานบอร์ดขณะนี้มี 3 คน กระทรวงการคลังเสนอชื่อ 1 คน แบงก์ชาติ 2 คน หนึ่งในสองคนที่เสนอมาเป็นนักกฎหมาย ไม่เคยปรากฏว่าเชี่ยวชาญเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง 

อดีตผู้บริหารแบงก์ชาติและกลุ่มต่างๆค้านชื่อจากกระทรวงการคลัง แบบนี้ประชาชนมีสิทธิ์คิด
ว่าจะล็อคเป้าให้เข้าทางเฉพาะชื่อที่แบงก์ชาติเสนอเท่านั้นหรือไม่

ถ้าชื่อจากกระทรวงการคลังถูกมองว่าเป็นฝ่ายการเมือง แล้วชื่อจากแบงก์ชาติเป็นฝ่ายทางการเมือง หรือเคยเลือกข้างทางการเมืองมาบ้างหรือไม่

หลักคิดของผมคือ เรื่องนี้อย่าเอาการเมืองเป็นตัวตั้ง เสียงค้านรัฐบาลต้องฟัง แต่ฝ่ายเห็นต่างก็ต้องใช้เหตุผลด้วย ว่ากันที่คุณสมบัติก่อน ถ้ามีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ และคุณสมบัติตามกฎหมาย ทุกคนย่อมมีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกได้ 

องค์กรที่ต้องเป็นอิสระย่อมต้องอิสระ แต่ความอิสระก็ไม่ควรล้นเกิน จนอาจถูกมองเป็นแดนสนธยา ที่ซึ่งตาเปล่าของประชาชนยากจะมองเห็นได้

หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กของท่าน ‘ทนายวิชัย ทองแตง’ เห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จึงนำมาแบ่งปันเป็นข้อคิด สอดรับกับกระแสความร้อนแรงของทนายโซเชียล! ซึ่งกระทบภาพลักษณ์ทนายความอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

(7 พ.ย. 67) นายประกิจ เพชรรัตน์ อดีตประธานสภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า วันนี้ผมมีเวลาหยิบหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กของท่านทนายวิชัย ทองแตง “เคล็ดลับความสำเร็จของทนายมือทอง” ซึ่งได้อ่านมา 2-3 รอบแล้ว เห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จึงนำมาแบ่งปันเป็นข้อคิดให้กับผู้สนใจในบางตอน สอดรับกับกระแสความร้อนแรงของทนายโซเชี่ยล! ซึ่งสร้างความสั่นคลอนและเป็นหลุมดำกระทบภาพลักษณ์และวิกฤตศรัทธาของประชาชน สังคม ต่อองค์กรสภาทนายความอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนครับ!!

สำหรับ “เคล็ดลับความสำเร็จของทนายมือทอง” มาจากหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อ จากทนายความมือทอง สู่เซียนหุ้นหมื่นล้าน  ‘ลงทุนสไตล์ วิชัย ทองแตง’ ไขรหัสลับสู่ความสำเร็จ The Last Masterpieces ที่ถ่ายทอดความลับ การลงทุนหมื่นล้าน! ของ ‘คุณวิชัย ทองแตง’ เจ้าของฉายานักเทคโอเวอร์หมื่นล้าน นักลงทุนหุ้น เทิร์นอราวด์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยติดอับดับมหาเศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้หันมาให้ความสำคัญกับการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัปให้เติบโต จนได้ฉายาใหม่ว่า ‘godfather of startup’ หรือแปลเล่น ๆ ว่า ‘พ่อทูนหัว’ ของวงการสตาร์ตอัปนั่นเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top