Wednesday, 4 December 2024
Health

ปรับร่างยังไงให้พร้อมเริ่มงานใหม่

ยังจำ ‘ยุ่น’ ในหนังฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามรักหมอ กันได้อยู่ใช่ป่ะ

ในเรื่อง ยุ่น เป็นฟรีแลนซ์กราฟิกขั้นเทพ ผลิตงานได้แบบไม่หลับไม่นอน จนสุดท้ายเม็ดขึ้นเต็มตัว ชีวิตจริงของบรรดาคนทำอาชีพฟรีแลนซ์ก็มีความคล้ายคลึงอย่างหนัง แต่อยากเตือนว่า ทำงานหาเงินจนป่วย แต่ป่วยแล้วเอาเงินไปรักษาตัว เพื่อ?

แต่เป็นฟรีแลนซ์มายาวนาน เกิดวันหนึ่งมีอันต้องไปเป็นพนักงานประจำ ประมาณว่า จากคนที่กินนอนไม่เป็นเวลา ประเภทนอนตี 5 ตื่น 6 โมงเย็น เริ่มงาน 2 ทุ่ม แต่จู่ ๆ กลับต้องเข้านอน 3 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้า เพื่อไปเข้างาน 8 โมง งานนี้ร่างกายมีเพี้ยนแน่นอน The States Times Lite ชวนคนที่ต้องเจอเรื่องราวทำนองนี้ มาเตรียมร่างกายให้พร้อมกันดีกว่า

.

1.) ฝึกการนอนใหม่ : ก่อนจะเข้าเริ่มงานประจำ ควรเปลี่ยนพฤติกรรมการเข้านอนตามใจฉัน ให้กลายเป็นเวลานอนประจำให้ได้ แรก ๆ อาจจะยากสักหน่อย เพราะเปลี่ยนอะไรไม่ยากเท่าเปลี่ยนนิสัยตัวเองนี่ล่ะ จากทฤษฎีที่เคยมีนักวิจัยในต่างประเทศได้บันทึกเอาไว้ การเปลี่ยนนิสัยที่เคยชินจะสามารถเปลี่ยนได้เฉลี่ยที่ 60 วัน หรือพูดง่าย ๆ ว่า อยากจะเปลี่ยนนิสัยที่ทำประจำสักอย่าง ต้องใช้เวลากว่า 2 เดือน เพราะฉะนั้น เตรียมปรับนิสัยการนอนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้เลย

.

2.) ต้องหัดกินอาหารเช้า : มันคือเรื่องเบสิกที่เคยฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่ามื้อเช้าคือมื้อที่ดีที่สุด แต่เป็นฟรีแลนซ์มาตลอด เรื่องมื้อเช้านี่แทบจะลืมไปได้เลย แต่การกลับมากินมื้อเช้าเพื่อเริ่มต้นการทำงานประจำ จะช่วยทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะระบบประสาทและกลไกการทำงานสมอง ทำให้มีความจำที่ดีขึ้น และมีสมาธิมากขึ้น

.

3.) ดื่มน้ำให้มากขึ้น : นี่ก็เบสิกอีกเรื่อง แต่เชื่อเถอะว่า ช่วงแรก ๆ ของการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้าระบบการทำงานประจำ คุณจะมีภาวะแปรปรวนทางร่างกายค่อนข้างสูง เรื่องหนึ่งที่สามารถช่วยได้ คือการดื่มน้ำ น้ำสะอาดมีประโยชน์ครอบจักรวาลจริง ๆ ดื่มวันละ 7 - 8 แก้วต่อวัน ทำให้สดชื่นขึ้นแน่ ๆ และทำให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ รวมถึงการทำงานของระบบย่อยอาหารก็จะดีขึ้นด้วย

.

4.) ออกกำลังกาย : เมื่อเข้าสู่ชีวิตงานประจำ ร่างกายต้องทำงานหนักกว่าตอนอยู่กับบ้านแน่นอน เพราะฉะนั้น ออกกำลังกายไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ร่างของเรามีกำลังวังชา ออกไปสู้รบกับภารกิจการงาน ตลอดจนชั้นบรรยากาศอันเต็มไปด้วยฝุ่นภายนอก จำไว้เสมอ หากมีเวลา จงออกกำลังกาย!

.

5.) อาหารเสริม : อันนี้ไม่ได้แนะนำบรรดาอาหารเสริมที่ต้องไปซื้อหามาในราคาแพง ๆ แต่อาหารเสริมดี ๆ มีอยู่ในของที่เรามักไม่กินนี่ล่ะ จากที่เคยเขี่ยออกนอกจาน หรือเลี่ยงไม่กิน ลองหันมากินดู เช่น มะเขือเทศ ผักโขม หรือพวกถั่วต่าง ๆ ที่ว่ามาเหล่านี้ เป็นผัก - ผลไม้ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเซลล์ประสาททั้งนั้น กินเข้าไปเถอะ ช่วยบำรุงสมองล้วน ๆ เพราะเมื่อไรที่เข้าสู่การทำงานประจำ ได้ใช้สมองเต็มที่แน่นอน

เริ่มงานประจำ ใจพร้อมแล้ว กายก็ต้องพร้อมด้วย เตรียมตัวดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ตามนั้นนะ...

"หัวใจวาย" มัจจุราชเงียบที่เกิดได้กับทุกคน

สัปดาห์ก่อน ข่าวการจากไปของ "ดีเอโก้ มาราโดน่า" นักฟุตบอลชื่อดัง ทำเอาผู้คนทั่วโลกใจหาย พร้อมกับต้องเหลียวกลับมาดูแลใส่ใจร่างกายตัวเอง เนื่องจากมาราโดน่าเสียชีวิตด้วยสาเหตุ "หัวใจล้มเหลว" หรือ "ภาวะหัวใจวาย" ซึ่งในทางการแพทย์ ภาวะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะผู้สูงอายุ แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่อายุน้อยได้เช่นกัน

The States Times LITE ชวนทุกคนมาเรียนรู้ภาวะหัวใจล้มเหลวนี้ร่วมกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเรา สัญญาณไหนที่ควรระวัง หรือทางไหนที่ควรหลีกเลี่ยง แม้แต่คุณเข้าข่ายภาวะสุ่มเสี่ยงจะเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า ตามไปเรียนรู้แบบง่าย ๆ กัน

หัวใจล้มเหลวคืออะไร?

มันคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถปั๊มเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เมื่อหัวใจอ่อนแรงไม่สามารถปั๊มเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อวัยวะต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่ม "ขาดเลือด" หรือ "ไม่สามารถใช้เลือดได้" หรือ "ไม่สามารถนำเอาออกซิเจนในเลือดไปใช้งานได้" เหล่านี้จะนำไปสู่ "อาการวูบ" เป็นลม หรือถ้าหากขั้นรุนแรง คือปั๊มเลือดออกไม่ได้เลย จะกลายเป็นหัวใจล้มเหลวจนถึงขั้นทำให้หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตได้ 

.

คนอายุน้อยก็หัวใจล้มเหลวได้

เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ดูแลการรับประทานอาหาร เช่น นิยมอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ อาหารที่มีรสหวาน อาหารรสจัด รสเค็ม ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยนำไปสู่โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นพิษต่อหัวใจและหลอดเลือด ทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวได้ง่าย และเร็วขึ้นกว่าเดิม แม้อายุจะยังน้อยอยู่ก็ตาม

สัญญาณแบบไหนที่เข้าข่ายหัวใจมีปัญหา?

สังเกตง่าย ๆ ว่า  จะออกแรงได้น้อยลง หรือเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง ถ้าหนักมากกว่านั้น จะพบว่ามีอาการเหนื่อยแม้กระทั่งทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน หรือประเภทรุนแรงมาก ๆ แม้กระทั่งนั่งอยู่เฉย ๆ ก็ยังรู้สึกเหนื่อย นอนราบแล้วไอ ขาบวม น้ำหนักขึ้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งหากพบอาการในลักษณะนี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณอาจมีสิทธิ์หัวใจล้มเหลว ถึงขั้นเสียชีวิตฉับพลันได้

.

ดูแลตัวเองอย่างไรให้ปลอดภัยจากภาวะหัวใจล้มเหลว

1.) "อย่า" ต่อไปนี้ให้ได้ อย่าให้อ้วน อย่าให้น้ำหนักเกิน อย่าให้ไขมันในเลือดสูง อย่าให้เป็นเบาหวาน อย่าสูบบุหรี่ อย่าดื่มเหล้า และอย่าเครียด

2.) การพักผ่อนที่เพียงพอ จะทำให้ห่างไกลทั้งจากภาวะหัวใจล้มเหลว หรือโรคภัยต่าง ๆ ได้

3.) การออกกำลังกาย ยังเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน จะมากหรือน้อย ยังไงก็ควรต้องออกกำลังกาย

4.) เปลี่ยนพฤติกรรมที่ต้องใช้ร่างกายหนัก ๆ ประเภทอดนอนทำงานยันเช้า หรือนอนไม่เป็นเวลา อย่าคิดว่ายังอายุน้อยแล้วจะไม่ป่วย เพราะร่างกายถูกใช้งานหนักเกินความจำเป็น จะยิ่งทรุดโทรมเร็วกว่าปกติ เหมือนรถที่ใช้งานตลอดเวลา ย่อมจะพังเร็วเป็นธรรมดา

.

ทั้งหมดเป็นที่มาที่ไปของภาวะหัวใจวาย หรือหัวใจล้มเหลว ซึ่งถึงที่สุด คงไม่มีอะไรดีไปกว่า การใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายอยู่เสมอ ให้ความสำคัญกับมันบ้าง มิฉะนั้น เราอาจใช้งานมันได้ไม่นาน อันนั้นจะเรื่องใหญ่เอานะ รักอะไรไม่เท่า รักตัวเอง ใช้ชีวิต  รวมทั้งใช้ร่างกายกันด้วยความพอดีกันนะครับ 


อ้างอิง

https://www.phyathai.com/article_detail/

https://mgronline.com/goodhealth/detail/9590000066796

 

ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป ส่งผลร้ายอย่างไร?

"อีกขวดน่า!" มีใครเคยพูดกับตัวเองทำนองนี้ ขณะยืนอยู่หน้าตู้แช่เครื่องดื่มบำรุงกำลังบ้างไหม?

แถมสุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดตู้คว้ามา 1 ขวดจนได้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง วันนี้ทั้งวัน ซัดเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปแล้ว 3 ขวด!!!

จากที่เคยได้ยินโฆษณาทางทีวีที่บอกว่า "ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด" แต่ในชีวิตจริง คือดื่มไปเรื่อย โดยเฉพาะเมื่อไรที่รู้สึกเพลีย ง่วง ซึมเซา ไม่กระปรี้กระเปร่า ก็ต้องมายืนอยู่หน้าตู้แช่แบบนี้ทุกทีไป

หน้าที่หลักของ "เครื่องดื่มบำรุงกำลัง" นั้น ทำให้สมองตื่นตัว เพิ่มพลังงาน เนื่องจากมีน้ำตาล และผสมสารคาเฟอีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของสมอง แต่อะไรที่กิน หรือเสพมากจนเกินไป ก็มักจะตามมาด้วยผลข้างเคียง เหมือนดังเช่น ‘คาเฟอีน’ ที่เมื่อได้รับมากจนเกินไป ผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ดูจะไม่เป็นมิตรต่อร่างกายสักเท่าไรเลย

ร่างกายเราสามารถรับคาเฟอีนได้แค่ไหน

โดยเฉลี่ยในผู้ใหญ่ ไม่ควรรับประทานคาเฟอีนเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเครื่องบำรุงกำลังมักจะผสมคาเฟอีนต่อขวดอยู่ที่ 80 มิลลิกรัม (เทียบเท่ากาแฟ 1 แก้ว) แต่จากผลการศึกษาของหน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ American Academy of Pediatrics (APP) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขปริมาณคาเฟอีนที่เห็นบนฉลากข้างขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลังนั้น มันเป็นเรื่องยากมากที่จะพิสูจน์ได้ว่า มีปริมาณคาเฟอีนจริง ๆ อยู่เท่าไรกันแน่

 

 

หากได้รับคาเฟอีนมากไป...จะมีผลเสียอย่างไร

การดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ หรือมากกว่า 2 ขวดขึ้นไป อาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกิน จนมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ อาการในระดับเบาที่มักจะเกิดขึ้น คือ รู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ กระหายน้ำ ปวดหัว นอนไม่กลับ หงุดหงิดง่าย อาการเหล่านี้สามารถเป็นแล้วหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป แต่หากได้รับคาเฟอีนมากเกินขนาดหนัก อาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ เช่น หายใจลำบาก อาเจียน เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก รวมทั้งมีอาการชัก

 

 

คาเฟอีนกับผลร้ายในวัยรุ่น

หน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ หรือ APP ยังมีรายงานถึงผลข้างเคียงที่ได้รับจากการดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กหรือวัยรุ่น อาจทำให้เกิดการเสพติดคาเฟอีนขึ้นได้ มากไปกว่านั้น การได้รับคาเฟอีนอยู่ตลอดเวลา มีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว และเต้นผิดจังหวะ มีผลต่อความดันโลหิตที่สูงขึ้น รวมทั้งความเข้มของเลือดที่มากขึ้น ไม่นับรวมภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน เนื่องจากในเครื่องดื่มบำรุงกำลังมีน้ำตาลผสมอยู่ในปริมาณมากเช่นกัน

 

ทั้งนี้ปริมาณของคาเฟอีนที่เหมาะสำหรับวัยรุ่น คือไม่ควรเกินวันละ 100 มิลลิกรัม แต่หากเลี่ยงได้ ก็ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า เพราะไม่ส่งผลดีใดๆ ในระยะยาว เอาเป็นว่า ถ้าง่วง เพลีย ซึมเซา หรือต้องใช้พลังงานอ่านหนังสือ หรือต้องทำงาน ลองปรับพฤติกรรมตัวเองดูดีกว่า หากอ่านหนังสือดึกๆ ไม่ไหว ก็สู้เข้านอนเร็ว แล้วรีบตื่นมาอ่านช่วงเช้า ๆ เผลอๆ หัวสมองจะแจ่มใส่กว่าเป็นไหน ๆ ส่วนคนที่ต้องทำงาน มีอาการง่วงเหงาหาวนอน ลองหาชาอุ่น ๆ จิบเบา ๆ ให้ร่างกายตื่นตัว เอาจริง ๆ ดื่มน้ำเปล่าก็ช่วยได้นะ ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น

เก็บเครื่องดื่มบำรุงกำลังเอาไว้เป็น "ตัวช่วยสุดท้าย" ถนอมร่างกายตัวเองกันใว้ยาวๆ ดีกว่านะ


อ้างอิง:

https://www.thelist.com/164290/what-happens-when-you-drink-too-many-energy-drinks/

https://hellokhunmor.com

https://www.pobpad.com  

 

 

ในวันที่เจอฝุ่นมากๆ การล้างจมูกช่วยคุณได้ มาเรียนรู้วิธีทำความสะอาดแบบง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้กันดีกว่า

ผจญฝุ่นกันมา 2 วันเต็ม ๆ ได้ยินคนใกล้ตัวเริ่มบ่นแสบจมูกกันระนาว จุดนี้เป็นอาการเบื้องต้นของการสูดเอาฝุ่นละอองเข้าไปมากเกิน แน่นอนครับว่า มันไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างที่หลายคนทราบกัน

เอาอย่างนี้ครับ ก่อนกลับบ้านวันนี้ แวะซื้อน้ำเกลือ ราคาขวดละ 40 บาท และไซริงค์-กระบอกฉีดยา ขนาดราว 10 - 15 มิลลิลิตร ราคาอันละราวๆ 10 บาท ไม่เกินนี้ หาซื้อได้ตามร้านขายทั่วไป เมื่อซื้อกลับมาแล้ว ก็ลองทำการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือกันดูนะครับ

แฮ่! หลายคนทำหน้าถอดสี เพราะไม่เคยทำ และกลัวว่ามันจะเป็นเรื่องยาก จริงๆ มันมีความยุ่งยากและรู้สึกแปลกๆ แค่ช่วงแรกเท่านั้นเอง แต่ถ้าได้ลองทำจนเริ่มคุ้นชินแล้วล่ะก็ แป๊บเดียวก็สามารถทำได้คล่องสบาย

.

ขั้นตอนการล้างจมูกด้วยการฉีดไซริงค์น้ำเกลือ ทำได้ดังนี้ครับ

1.) ดูดน้ำเกลือด้วยกระบอกฉีดยา ในผู้ใหญ่ประมาณ 10-15 ซีซี ในเด็กประมาณ 5 ซีซี

2.) นำปลายกระบอกฉีดยา ใส่เข้าไปในจมูกข้างที่จะล้าง อ้าปากไว้ แล้วหายใจเข้าเต็มที่ และกลั้นหายใจไว้

3.) ดันกระบอกสูบของกระบอกฉีดยา เบา ๆ ให้น้ำเกลือไหลเข้าไปในจมูกช้า ๆ จังหวะที่น้ำเข้าไปคั่งในรูจมูกจนสุด น้ำจะไหลข้ามไปออกรูจมูกอีกข้างหนึ่ง ในช่วงจังหวะนี้เองที่หลายคนเป็นกังวล เหมือนจะสำลัก ให้ทำตัวเหมือนกำลังกลั้นหายใจในน้ำอยู่ครับ รอจนกว่าน้ำจะไหลผ่านจมูกออกหมด แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออกมา แป๊บเดียว ไม่นาน

4.) ทำซ้ำแบบเดียวกัน กับรูจมูกอีกข้าง

5.) เมื่อแล้วเสร็จ ให้สั่งน้ำมูกออกเบา ๆ สิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ในรูจมูก ก็จะหลุดออกมาด้วย 

ถามว่าการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือมีประโยชน์อย่างไร? แน่นอนว่า มันเป็นการชะล้างเอาน้ำมูก หรือสิ่งสกปรกในจมูก ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นก็ดี หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ให้หลุดออกมา รวมทั้งยังบรรเทาอาการคัดจมูก ลดความเหนียวข้นของน้ำมูก และที่สำคัญ ทำให้เชื้อโรคไม่เจริญเติบโตอีกด้วย

ถ้าเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรก ฝุ่นควัน หรือเชื้อโรคต่างๆ ควรล้างวันละ 1 ครั้ง หรือหากกรณีคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ควรล้างวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อทำให้อาการดีขึ้นครับ ข้อควรระวังสำหรับการล้างจมูกมีนิดเดียว ให้ตรวจดูน้ำเกลือก่อนซื้อว่า ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล (Glucose) และควรอ่านฉลาก วันหมดอายุ ให้ละเอียด เท่านี้ก็ปลอดภัยแล้วล่ะครับ

ช่วงนี้ฝุ่นเยอะจริงๆ หลีกเลี่ยงการออกพื้นที่กลางแจ้งนะครับ อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายทได้สะดวกเข้าไว้ พยายามสวมหน้ากากอนามัยอยู่เสมอด้วยครับ ขอให้สุขภาพแข็งแรงกันทุกคนนะครับ

 

‘กุ้ง’ สัตว์ตัวจิ๋วที่มีประโยชน์ใหญ่เกินตัว

หลังจากที่มีการระบาดของโควิด-19 ที่แพกุ้ง จ.สมุทรสาคร เป็นเหตุให้ช่วงนี้ควร ‘งดกุ้ง’ กันสักระยะ แต่ลองมาทบทวนคุณประโยชน์ของกุ้งกันสักหน่อยดีกว่า เผื่อเมื่อไรที่ได้กลับมากิน จะได้รู้ว่า กุ้งมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร

กุ้ง...ช่วยลดน้ำหนัก

กุ้งเป็นแหล่งโปรตีนและวิตามินที่ดี ที่สำคัญคือ ไม่เพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหาร จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ในส่วนของเปลือกกุ้งจะมีสารที่เรียกว่า ไคติน (Chitin) ทางการแพทย์ระบุว่าไคตินเป็นสารที่ไม่ดูดซึมเข้าร่างกาย มีส่วนช่วยในการเคลื่อนตัวของกากอาหารในลำไส้ คล้ายกับอาหารจำพวกไฟเบอร์ จึงช่วยในการขับถ่ายไปในตัว

กุ้ง...ช่วยชะลอวัย

กุ้งมีสารคาโรทีนนอยด์ที่ชื่อว่าแอสตาแซนธิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยลดการทำร้ายผิวที่เกิดจากแสงแดดและรังสียูวีเอ การกินกุ้งเป็นประจำ จึงมีส่วนช่วยในการลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำลงได้

.

กุ้ง...ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อตา เพราะในตัวกุ้งมีสารแอสตาแซนธิน มีส่วนช่วยในการลดอาการตาล้าจากการใช้สายตามากๆ และจากการศึกษาเพิ่มเติม กุ้งยังมีสารประกอบที่มีคุณสมบัติคล้ายสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด จึงเป็นประโยชน์ในกระบวนการฟื้นฟูเส้นเลือดฝอยของร่างกาย 

กุ้ง...ช่วยลดการผมร่วง

กุ้งมีสารสังกะสี ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างและคงสภาพเซลล์ใหม่ จึงมีผลต่อการช่วยรักษาเซลล์รากผมและผิวหนังให้มีสุขภาพดี ไม่ร่วง ไม่บาง ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย

.

กุ้ง...ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก

อย่างที่เล่าไปว่า ในตัวกุ้งมีโปรตีนและวิตามินจำนวนมาก รวมถึงแร่ธาตุสำคัญๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส รวมทั้งแมกนีเซียม ซึ่งถ้ากินกุ้งเป็นประจำ แร่ธาตุเหล่านี้จะมีส่วนช่วยลดภาวะกระดูกเสื่อม รวมทั้งชะลอการเกิดโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย


.

กุ้ง...มีสารต่อต้านการก่อตัวของมะเร็ง

สารแอสตาแซนธินในกุ้ง ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้ นอกจากนี้ แร่ธาตุที่ชื่อว่า ซิลิเนียม ที่มีอยู่ในกุ้ง แม้จะเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการน้อยกว่า 100 กรัมต่อวัน แต่กลับเป็นแร่ธาตุที่ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด

ประโยชน์ของ ‘กุ้ง’ มากมายหลายประการจริงๆ แต่เมื่อไรที่ซื้อมากิน หรือซื้อมาประกอบอาหาร ควรทำความสะอาดให้เรียบร้อย เพื่อความปลอดภัยแก่ร่างกาย...

 

เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนหนีไม่พ้นอาการดราม่าช่วงก่อนมีประจำเดือน ไม่ว่าอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ มาสะกิดเป็นต้องบ่อน้ำตาแตก

ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องก็ไม่มีอะไรเลย ร้องไปก็งงตัวเองไป ปกติก็ไม่ใช่คนขี้แงนี่นา สาว ๆ รู้ไหมคะ ว่าที่เราแสดงอาการแบบนั้นออกไปแท้จริงแล้วมันมีสาเหตุ

เราเรียกอาการนี้ว่า “PMS” หรือ "Premenstrual syndrome" เกิดจากการที่ฮอร์โมนมีความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นอาการผิดปกติที่จะเกิดขึ้นราว 7-10 วัน ก่อนมีประจำเดือนในแต่ละรอบ ส่งผลต่อทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น มีอารมณ์เศร้าหรือเสียใจ โกรธหรือหงุดหงิดง่าย และอาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวลง่าย รวมทั้งการร้องไห้กับเรื่องเล็ก ๆ เช่น แม่ใช้ให้ไปล้างจาน แฟนไม่พาไปกินขนม หรือหมาเดินหนี ก็อาจทำให้สาว ๆ น้ำตาร่วงเผลาะได้

ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายได้เอง เมื่อประจำเดือนมา สำหรับการรักษาอาการทางจิตจากภาวะ PMS นั้นคือการปรับเปลี่ยนทัศนคติ รู้ตนเองว่ากำลังมีอาการอยู่ ฝึกผ่อนคลาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงชากาแฟ เนื่องจากชากาแฟมีสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการหงุดหงิดซึมเศร้า

เห็นไหมคะว่าเราไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา แต่แค่ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงแค่ช่วงนี้เท่านั้น วอนคนรอบข้างโปรดเข้าใจสาว ๆ ที่อาจมีอาการใจบางหน่อยนะคะ

กล้วยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ง่ายอีกทั้งยังอุดมไปด้วยประโยชน์มหาศาล วันนี้เราจะพาทุกคนไปพบกับประโยชน์ของกล้วย 17 ประการ ที่บอกเลยว่าใครได้รู้ต้องร้องว้าว!

รู้ไหมคะว่ากล้วยเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีสารอาหารมากที่สุดในโลก อีกทั้งมีโพแทสเซียมในปริมาณที่สูงที่สุดในบรรดาอาหารทั้งหมด หากคุณกินกล้วยสุกวันละสองลูก คุณจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมหาศาลและสิ่งที่เรียกว่า Tumor Necrosis Factor ซึ่งช่วยในการต่อต้านเซลล์มะเร็งในร่างกาย ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต้านมะเร็งและสารอาหารก็จะสูง เท่านั้นยังไม่พอคุณจะได้รับประโยชน์อะไรอีกบ้างจากการกินกล้วยสองสามลูกในแต่ละวัน ไปดูกันเลย

1.) กล้วยต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า คนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะมีระดับของเซโรโทนินในสมองต่ำ กล้วยมีทริปโตเฟนในระดับสูงซึ่งจะเปลี่ยนเป็นเซโรโทนิน กล้วยจึงช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้

2.) คุณจะมีพลังงานมากขึ้น กล้วยมีน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด ได้แก่ ฟรุกโตส กลูโคส และซูโครส และเป็นไฟเบอร์ที่ดี โรงไฟฟ้าแห่งโภชนาการนี้ให้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและยั่งยืน กล้วยเพียงสองลูกให้พลังงานเพียงพอสำหรับการออกกำลังกาย 90 นาที!

3.) กล้วยช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก ด้วยแคลอรี่เพียง 100 แคลอรี่ต่อมื้อ กล้วยเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่พยายามลดน้ำหนักสักสองสามปอนด์ นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ 3 กรัมช่วยให้เรารู้สึกอิ่มมากขึ้นและลดความอยาก

4.) กล้วยดีต่อสมอง กล้วยจะปล่อยพลังงานออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยให้สมองตื่นตัวได้นานขึ้น ระดับโพแทสเซียมที่สูงทำให้เราตื่นตัวมากขึ้น และแมกนีเซียมช่วยให้สมองมีสมาธิ

5.) ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของคุณ กล้วยมีโพแทสเซียมและวิตามินบี 6 ในปริมาณสูง กล้วยเป็นแหล่งสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการสร้างฮอร์โมน

6.) ช่วยบรรเทาอาการเสียดท้อง กล้วยที่มีโพแทสเซียมสูงช่วยลดความเป็นกรดของกระเพาะอาหารในขณะที่ไฟเบอร์ช่วยในการย่อยอาหาร ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จำเป็นต่อการบรรเทาอาการเสียดท้อง

7.) กล้วยช่วยลดความดันโลหิต การวิจัยพบว่าการกินกล้วยสองลูกต่อวันสามารถลดความดันโลหิตได้ 10% สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิต กล้วยมีโซเดียมต่ำและโพแทสเซียมสูงจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการบริโภค

8.) ช่วยให้เลือดของคุณแข็งแรง กล้วยมีธาตุเหล็กในปริมาณที่ดีช่วยให้เลือดแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคโลหิตจาง กล้วยยังมีวิตามิน B6 ในปริมาณสูง นอกจากนี้กล้วยยังช่วยในการผลิตเม็ดเลือดขาว

9.) กล้วยดีต่อกระดูก สารอาหารในกล้วยช่วยเสริมสร้างและรักษากระดูกให้แข็งแรงโดยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม

10.) กล้วยต่อสู้กับความเจ็บป่วย กล้วยมีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับสูง ให้การปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง และความเสื่อมของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ

11.) ช่วยในการเลิกบุหรี่ได้ แม้ว่าอาจเป็นการกล่าวอ้างที่ถกเถียงกัน แต่กล้วยมีส่วนผสมของโพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบี 6 เมื่อรวมกันแล้วสารอาหารเหล่านี้เป็นที่ทราบกันดีว่าสามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากการเลิกนิโคตินได้เร็ว

12.) กล้วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ในขณะที่แพทย์ในอินเดียได้ประกาศถึงประโยชน์ของกล้วยในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารมาหลายชั่วอายุคน แต่เมื่อไม่นานมานี้แพทย์ในอังกฤษได้ค้นพบสิ่งเดียวกันนั่นคือกล้วยมีสารไซโตอินโดไซด์ ซึ่งช่วยป้องกันและสมานแผล

13.) สามารถแก้อาการเมาค้างได้ ด้วยการมีอิเล็กโทรไลต์ในปริมาณสูง กล้วยจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งในการควบคุมระดับอิเล็กโทรไลต์และทำให้ร่างกายกลับมามีสุขภาพดี

14.) ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก เพราะกล้วยมีเส้นใยสูงและมีไฟเบอร์ ช่วยให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติ

15.) กล้วยช่วยป้องกันความผิดปกติของสมอง กล้วยอุดมไปด้วยแมกนีเซียมช่วยในการเปลี่ยนกรดไขมันให้เป็น DHA ซึ่งเป็นโอเมก้า 3 ที่สำคัญ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการขาด DHA และความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคสมาธิสั้นและโรคอัลไซเมอร์ อ้อ! กล้วยมีวิตามินบีสูงช่วยป้องกันโรคพาร์คินสันได้ด้วยนะ

16.) กล้วยช่วยเพิ่มความจำ กล้วยสามารถช่วยปรับปรุงและรักษาความจำได้ เนื่องจากมีทริปโตเฟน โพแทสเซียม และแมกนีเซียมในระดับสูง

17.) กล้วยช่วยให้หัวใจแข็งแรง กล้วยมีสารอาหารและวิตามินในปริมาณสูง การเพิ่มปริมาณโพแทสเซียมและการลดปริมาณโซเดียมอาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คนสามารถทำได้เพื่อปกป้องหัวใจของพวกเขา และกล้วยเป็นอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงและมีโซเดียมต่ำ อีกทั้งส่วนผสมของไฟเบอร์ วิตามินซี และบี 6 ในกล้วยยังส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 

เป็นยังไงกันบ้างคะ คาดไม่ถึงเลยใช่ไหมว่ากล้วยที่เราเห็นอยู่ทุกวันจะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายขนาดนี้ อ่านจบแล้วต้องรีบไปหากล้วยมาทานเลยนะเนี่ย


ที่มา: https://www.powerofpositivity.com/eat-two-ripe-bananas-every-day-for-30-days/

 

ถือเป็นไอเทมที่ขาดไม่ได้ เสมือนอวัยวะชิ้นที่ 33 สำหรับหน้ากากอนามัย หลังจากมีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของทุกคนเปลี่ยนไป มีการแนะนำให้สวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลาเมื่อต้องออกไปข้างนอก หรือพบเจอผู้คน

เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค หลายคนจึงหันมาใช้หน้ากากผ้า เพราะสามารถซักกลับมาใช้ได้หลายครั้ง ประหยัดค่าใช้จ่าย และลดปริมาณขยะที่จะเกิดขึ้น

ตามที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า บุคคลทั่วไปที่มีร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการเจ็บป่วย สามารถสวมหน้ากากผ้าแทนหน้ากากอนามัยได้ ส่วนผู้ที่มีอาการป่วย ไอ จาม น้ำมูกไหล แนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อป้องกันกการแพร่กระจายของเชื้อ

วิธีการเลือกใช้หน้ากากผ้า

1.) ควรเลือกใช้หน้ากากที่กระชับเข้ากับรูปหน้า ไม่มีช่องว่างระหว่างผิวหน้า

2.) เลือกหน้ากากสี่เหลี่ยมแบบมีจีบ ถ้าไม่มีจีบ อาจทำให้หายใจได้ไม่สะดวก

3.) เลือกชนิดที่หายใจได้สะดวก

4.) เลือกชนิดที่มีประสิทธิภาพในการกันน้ำ เช่น ผ้าโพลีเอสเตอร์ทอแน่น ผ้า Taffeta ผ้าไหม

5.) หน้ากากผ้าต้องมีอย่างน้อย 2 ชั้น

6.) ด้านนอกสามารถกันของเหลว และ ด้านในสามารถดูดซึมของเหลวได้

7.) จากการทดลองพบว่า ผ้าฝ้ายมัสลิน เหมาะที่จะทำหน้ากากอนามัยที่สุด

วิธีการซักและดูแลหน้ากากผ้า

ขั้นตอนที่ 1 ถอดหน้ากาก โดยไม่สัมผัสด้านในของหน้ากาก

ขั้นตอนที่ 2 ซักหน้ากากผ้าด้วยน้ำยาซักผ้าเด็ก หรือน้ำสบู่อ่อน ไม่ควรแช่ทิ้งไว้

ขั้นตอนที่ 3 ขยี้เบาๆ ให้ทั่วทั้งผืน

ขั้นตอนที่ 4 ล้างน้ำสะอาด 2 ครั้งจนหมดฟอง บิดให้หมาด

ขั้นตอนที่ 5 ตากไว้ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท มีลมโกรก

*หมายเหตุ ควรซักหน้ากากผ้าทุกวัน ไม่ใช้ซ้ำ จึงต้องมีหน้ากากผ้าสำรองไว้อย่างน้อย 2-3 ชิ้น

6 ท่า ‘บริหารสมอง’ ห่างไกลอัลไซเมอร์

“สมอง” เป็นอวัยวะสำคัญของมนุษย์ ประกอบด้วยเซลล์จำนวนนับแสนล้านเซลล์ที่มีการเชื่อมโยงต่อกันด้วยความสลับซับซ้อน สมองเป็นอวัยวะที่มีความยืดหยุ่น ทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ตลอดเวลา ยิ่งเซลล์สมองได้รับการฝึกฝนก็ยิ่งทำให้มนุษย์มีความฉลาดในการแก้ปัญหามากขึ้น แต่หากสมองได้รับความเสียหายจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด ได้รับสารพิษหรือมลภาวะ อาจส่งผลให้การเรียนรู้ช้าลง มีปัญหาเรื่องความจำหรือการแก้ปัญหา โดยเมื่อเกิดโรคทางสมองมักส่งผลรุนแรงต่อร่างกาย

สมองแบ่งเป็น 3 ส่วนดังนี้
สมองส่วนหน้า (Forebrain) เป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับข้อมูล รวมทั้งการประมวลผลทางประสาทสัมผัส เช่น การมองเห็น, ภาษา, การสื่อสาร, ความคิด, ความจำ, การตัดสินใจ, การวางแผน, ความมีเหตุผล

สมองส่วนกลาง (Midbrain) มีหน้าที่รับส่งกระแสประสาทระหว่างสมองส่วนหน้าและสมองส่วนท้าย ทั้งยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้การมองเห็น, การเคลื่อนไหวของลูกตา และการได้ยิน

สมองส่วนท้าย (Hindbrain) มีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อขณะเคลื่อนไหว, ควบคุมการหายใจ, ช่วยประมวลการรับรู้และควบคุมการสั่งงานของสมอง

จะเห็นได้ว่าสมองมีความสำคัญกับระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ดังนั้นการบริหารสมองจึงมีส่วนช่วยให้การเคลื่อนไหว ความคิด ความจำ อารมณ์และการแสดงออกต่าง ๆ เป็นปกติ

เทคนิคการบริหารสมอง 6 ท่า

ท่าที่ 1 ฝึกหายใจ
ในท่านั่งผ่อนคลาย นำมือวางไว้ที่บริเวณใต้ลิ้นปี่ หายใจเข้าทางจมูกช้า ๆ กลั้นลมหายใจสุดท้ายค้างไว้ 3 วินาที แล้วหายใจออกทางปากช้า ๆ ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง สมองจะได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ ช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น

ท่าที่ 2 นวดขมับ
ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงบริเวณขมับเบา ๆ 30 วินาที ท่านี้ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียดและกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้ายและขวา

ท่าที่ 3 นวดไหปลาร้า
ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงบริเวณไหปลาร้าเบา ๆ 30 วินาที ท่านี้ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนไปสู่สมองดีขึ้น

OR ผนึก ‘สปสช.-คลินิก’ ดูแลคนท้องในปั๊มปตท. เพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุขผู้ป่วยบัตรทอง

OR ต่อเกมธุรกิจ Health & Wellness จับมือสปสช. - คลินิก เปิดโครงการ ‘โอบอ้อมคลินิก’ คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ในพีทีที สเตชั่น ตอบโจทย์แนวคิดให้บริการด้านสาธารณสุขรูปแบบใหม่ นำบริการพบแพทย์ทางไกล (Telemedicine)มาใช้ยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพ และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานในประเทศ นำร่องแห่งแรกในพื้นที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาหนองแขม

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เปิดเผยว่า “OR ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยใช้จุดแข็งของเครือข่าย พีทีที สเตชั่น ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศในการยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ OR ในการขยายขอบเขตกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Health & Wellness

OR - สปสช. - คลินิก (Clicknic) จึงได้ร่วมกันเปิดให้บริการ ‘โอบอ้อมคลินิก’ คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ สาขาแรก ณ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาหนองแขม กรุงเทพมหานคร ที่มุ่งเน้นการให้บริการผู้ป่วยกลุ่มบัตรทองซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในประเทศ ให้สามารถรับบริการสาธารณสุขปฐมภูมิเพื่อรักษาการเจ็บป่วยเบื้องต้น อาการเจ็บป่วยไม่รุนแรงโดยให้บริการในรูปแบบ Omni-channel ผสมผสานรูปแบบ Offline และ Online อย่างครบวงจร โดยได้รับความร่วมมือจาก สปสช. ในการดูแลสิทธิในการเบิกจ่ายและเชื่อมต่อข้อมูลการเบิกจ่ายค่ารักษาของผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง และ Clicknic ซึ่งเป็นผู้นำด้านธุรกิจการให้บริการด้านการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) พร้อมทีมแพทย์คุณภาพที่พร้อมให้คำปรึกษาและให้บริการผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี”

‘โอบอ้อมคลินิก’ เปิดให้บริการวันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 8:00 - 17:00 น. โดยให้บริการทั้งผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยบัตรทองโดยพยาบาลวิชาชีพเพื่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน ให้สามารถรับบริการ การพยาบาลพื้นฐาน และบริการสร้างเสริมสุขภาพ (PP) เช่น บริการทำแผล บริการฝากครรภ์ การตรวจครรภ์ รับยาคุมกำเนิด รับถุงยางอนามัย รวมถึงคัดกรองและประเมินความเสี่ยงสุขภาพกายหรือสุขภาพจิต และการตรวจรักษาโรคเบื้องต้น 

โดยหากเกินศักยภาพของพยาบาลวิชาชีพยังสามารถเชื่อมต่อให้บริการพบแพทย์ทางไกลผ่านแอปพลิเคชั่น Clicknic สำหรับรักษาโรค 42 โรคหรืออาการพื้นฐาน เช่น ไข้ไม่ทราบสาเหตุ กล้ามเนื้ออักเสบ ตาแดงจากไวรัส วิงเวียน ท้องร่วง ลมพิษ และคออักเสบ เป็นต้น รวมถึงให้บริการกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ

ทั้งนี้ ‘โอบอ้อมคลินิก’ เน้นการให้บริการสาธารณสุขสำหรับบุคคลทั่วไปให้สามารถรับบริการสาธารณสุขปฐมภูมิเพื่อรักษาการเจ็บป่วยเบื้องต้น อาการเจ็บป่วยไม่รุนแรง การให้บริการการพยาบาล และบริการการสร้างเสริมป้องกันสุขภาพ (PP) โดยหากเกินขอบเขตการให้การรักษาของคลินิกพยาบาลและการผดุงครรภ์จะเชื่อมต่อการให้บริการ Telemedicine ในสถานพยาบาล ร่วมกับการประยุกต์เทคโนโลยีการพบแพทย์ทางไกล (Telemedicine & Health Care Platform) โดยมี Clicknic เป็นผู้ให้บริการด้านเวชกรรมผ่านระบบ Telemedicine การดำเนินการในสถานพยาบาลและการส่งยา 

เพื่อช่วยยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพ เพิ่มการเข้าถึงระบบสาธารณสุขให้แก่ชุมชนบุคคลทั่วไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางในการดำเนินธุรกิจของ OR ที่มุ่งสร้างคุณค่าและให้ความสำคัญกับการดูแลผู้คน ชุมชน และสังคม อีกทั้งยังสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ OR คือ ‘Empowering All toward Inclusive Growth’ หรือ ‘เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน’ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเติบโตอย่างเข้มแข็งยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top