Saturday, 17 May 2025
Columnist

ยกเคส 'กวาง เดียร์ลอง' ยุติบทบาท Sex Creator ชี้ เป็นอุทาหรณ์ของคนที่ห้วงเวลาหนึ่งเคยหลงผิด

ลองย้ายประเทศแล้วไม่เวิร์ค ...ลองไปให้สุดก็รู้ว่า toxic...นี่แหละครับ บทเรียน ...

นี่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนที่เป็น ‘สามนิ้ว’ แนวคิด ‘woke’ ที่เคยอยาก ‘ย้ายประเทศ’ อยากทำ ‘sexcreator’ จนเป็นกระแส...ออกนอกลู่นอกทางไปก็ไม่น้อย ... จะได้เห็นถึงข้อเสีย ของสิ่ง ๆ นึง แล้วก็ถือว่า อาจจะได้ เด็กดื้อ ที่กลับตัวกลับใจขึ้น

โดยส่วนตัวสำหรับข้าพเจ้าแล้วก็ถือว่าเป็นบทเรียนการเมืองเช่นกัน ใครที่อยากได้อยากทำ ณ ช่วงเวลานึง อาจจะทำร้ายเราในอนาคตได้ การหลงผิดคิดว่าสังคมเรามันไม่น่าอยู่ อยากหนีไปต่างประเทศ กลายเป็นว่าได้เห็นความไม่สิวิไลของเขาเช่นกัน

นั่นแหละครับทุกที่ทุกแห่งจะมีดีมีเสียกันทั้งนั้นแหละ 

บ้านเมืองจะดีขึ้นได้ไม่ใช่เพราะว่าเมืองนอกเมืองนาใครดีกว่าใครหรอกครับ

มันอยู่ที่ว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมดีขึ้นแค่ไหน

ไม่มีใครทำร้ายอนาคตเราได้เท่ากับตัวเราเอง

เรื่องนี้ถือเสียว่าคน ๆ นึงที่เคยออกนอกลู่นอกทาง ได้กลับมาเดินในทางที่เหมาะควรและเป็นบทเรียนให้กับคนอื่นก็นับเป็นเรื่องที่ดี

เรื่องนี้น่าสนใจและหากมีความตั้งใจจริงที่เปลี่ยนแปลง ทำให้เห็นถึงนัยยะที่ดีของบ้านเมืองในหลายประเด็น...

ทำความรู้จัก ‘เดนนิส ลอว์’ ราชันย์สตั๊ดเหินหาวแห่ง ‘โอลด์แทรฟฟอร์ด’ หนึ่งในตำนาน ‘United Trinity’ คนสุดท้ายที่เพิ่งลาลับตลอดกาล

(19 ม.ค. 68) หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักในเกมฟุตบอล ต่อให้คุณไม่ใช่แฟนบอลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อย่างน้อยที่สุดคุณก็ต้องเคยได้ยินเรื่องเล่าขานถึงความเก่งกาจของชายผู้เป็นตำนานสุดยอดดาวยิงคนหนึ่งเท่าที่โลกใบนี้เคยมีมา ผู้เป็นเจ้าของลีลาถล่มประตูที่ดุดัน ถึงลูกถึงคน ทำประตูได้ทุกรูปแบบโดยเฉพาะท่าไม้ตายการกระโดดวอลเลย์ลูกกลางอากาศอย่างสวยงาม รวมไปถึงท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยการยกแขนขวาเหยียดตรงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า อันเป็นภาพคุ้นตาของแฟนบอลในยุค 60’s ต่อ 70’s และเป็นหนึ่งในสามประสาน ‘United Trinity’ ร่วมกับ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ จอร์จ เบส อดีตขุนพลเอกแห่งสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีมของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ นำความสำเร็จมาสู่สโมสรและวงการฟุตบอลอังกฤษอย่างถล่มทลาย สถิติมากมายได้ถูกสร้างขึ้นและคงอยู่อย่างยาวนาน บางสถิติก็ยังไม่ถูกทำลายลงไปได้จนถึงปัจจุบัน 

เนื่องในโอกาสการจากไปของเดนนิส ลอว์ ใดใด Digest ขอน้อมคารวะชายผู้เป็นตำนานท่านนี้ด้วยการบันทึกเรื่องราวของเขาไว้ ณ ที่นี้ครับ 

เดนนิส ลอว์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1940 ณ เมืองอเบอร์ดีน ประเทศสก็อตแลนด์ ในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่ฐานะไม่สู้ดีนัก โดยเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 7 คน และในความยากจนนี่เองที่เด็กน้อยเดนนิสได้ค้นพบความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลของตัวเองจากการเตะลูกฟุตบอลทำเองจากเศษผ้าเล่นกับบรรดาพี่น้องและเพื่อนฝูง และด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นของเดนนิส ทำให้เขาฉายแสงออกมาจากเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างชัดเจนและในไม่นานก็ถูกค้นพบโดยแมวมองจากสโมสรฟุตบอลอาชีพ ซึ่งทำให้เดนนิสได้มีโอกาสได้ไปทดสอบฝีเท้าและเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพด้วยอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น โดยสโมสรที่ค้นพบเดนนิสและเซ็นสัญญาอาชีพด้วยเป็นทีมแรกคือสโมสรฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ (อ่านมาถึงตรงนี้ ใครรู้สึกคุ้นๆชื่อสโมสรนี้ ใช่ครับ! นี่คือสโมสรที่หนึ่งในตำนานนักฟุตบอลชาวไทยอย่างพี่ซิโก้ เกียติศักดิ์ เสนาเมืองของเราเคยบินมาค้าแข้งด้วยเป็นเวลาสั้นๆนั่นเอง) ในเวลานั้นกุนซือของฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ได้แก่ บิลล์ แชงค์ลี่ ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาจะก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือระดับอภิมหาตำนานของสโมสรลิเวอร์พูลนั่นเอง ตลอด 4ปีที่ฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์นี่เองที่เดนนิสได้เริ่มเปล่งประกายความเป็นสุดยอดดาวยิงฟ้าประทานออกมา และทำให้ตัวเขากลายเป็นที่ต้องการของหลายๆสโมสรในอังกฤษ จนกระทั่งเขาได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้เป็นเวลาสั้นๆแค่ 1 ปีด้วยค่าตัวที่สูงที่สุดในเกาะอังกฤษ ณ เวลานั้นที่ 55,000 ปอนด์ ก่อนที่จะถูกสโมสรโตริโน่จากอิตาลีซื้อตัวไปด้วยค่าตัวสูงที่สุดเป็นสถิติโลกในเวลานั้นที่ 110,000 ปอนด์ และทำให้เดนนิสเป็นนักเตะจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ย้ายมาเล่นในภาคพื้นยุโรป แต่ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการปรับตัวหลายๆอย่างในสมัยนั้น ทำให้เดนนิสย้ายกลับมายังเกาะอังกฤษ และสโมสรที่ซื้อเขากลับมาด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกอีกเช่นกันที่ 115,000 ปอนด์ ก็คือสโมสรที่ส่งให้เขากลายเป็นตำนานไปตลอดกาลในเวลาต่อมาซึ่งก็คือสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั่นเอง

เดนนิสค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรวมแล้วทั้งหมด 11 ปี ตั้งแต่ปี 1962 ถึง 1973 ซึ่งตลอดระยะเวลานี้ เขาได้สร้างความสำเร็จและสถิติต่างๆฝากไว้อย่างมากมาย อาทิเช่น

1. สถิติยิงประตูให้สโมสรสูงที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 โดยลงเล่นทั้งหมดให้กับยูไนเต็ด 404 นัด ทำไปได้ทั้งหมด 237 ประตู 

2. ได้รับการขนานนามจากแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดว่าเป็น ‘ราชันย์แห่งเสตร็ทฟอร์ดเอ็นด์’ ซึ่งมีที่มาจากการฉลองการทำประตูของเดนนิสร่วมกับแฟนบอลฝั่งอัฒจันทร์ทีมเหย้าของสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดซึ่งเป็นภาพชินตาของแฟนบอลในยุคนั้น 

3. เดนนิสเป็นสมาชิกคนสำคัญที่นำถ้วยรางวัลมาสู่สโมสรมากมายได้แก่ แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 2 สมัย, แชมป์สโมสรยุโรป 1 สมัย (แม้ว่าจะไม่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ถือเป็นผู้มีความสำคัญในการพาทีมเข้าสู่นัดชิงได้สำเร็จ), แชมป์ FA Cup 1 สมัย

4. ในด้านรางวัลส่วนตัว เดนนิส ขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตนักฟุตบอลระหว่างเล่นให้ยูไนเต็ดด้วยการได้รับรางวัล Ballon D’Or หรือนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 1964 และเป็นนักเตะชาวสก็อตคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคงจะเป็นหนึ่งเดียวจากสก็อตแลนด์ไปอีกนานหรืออาจจะตลอดไป 

ในช่วงปลายอาชีพเดนนิสได้ย้ายกลับไปเล่นกับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้อีกครั้งเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 1 ปี แต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นคือ เดนนิสเป็นผู้ยิงประตูชัยด้วยการตอกส้นให้แมนเชสเตอร์ซิตี้เอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ในนัดท้ายๆของฤดูกาล 1974 ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตกชั้นในปีนั้นในที่สุด ซึ่งเดนนิสก็ได้แสดงความเคารพอย่างสูงต่ออดีตสโมสรของเขาด้วยการไม่แสดงการดีใจและมีสีหน้าเสียใจหลังยิงประตูนั้นได้ซึ่งก็นับเป็นเหตุการณ์สุดคลาสสิคเหตุการณ์หนึ่งของโลกฟุตบอลมาจนถึงปัจจุบัน

ในด้านเกียรติประวัติกับทีมชาติสก็อตแลนด์นั้น เดนนิสลงสนามรับใช้ชาติไปทั้งหมด 55นัด โดยยิงไปได้ 30 ประตู รวมถึงการพาสก็อตแลนด์เข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ทั้งหมด 2 สมัย

ภายหลังจากแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 1974 เดนนิสก็ยังคงมีส่วนร่วมกับวงการฟุตบอลที่เขารักอย่างต่อเนื่องด้วยการรับตำแหน่งเป็นทูตฟุตบอลให้กับสโมสรที่เขาผูกพันที่สุดอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และออกงานการกุศลเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งและอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ 

เดนนิส ลอว์ จากไปอย่างสงบในคืนวันที่ 17 มกราคม 2025 ที่ผ่านมาด้วยวัย 84 ปีจากอาการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดสมอง โดยฝากผลงานและตำนานอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับโลกฟุตบอลและโดยเฉพาะแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฐานะ ‘United Trinity’ คนสุดท้าย โดยรูปปั้นของเดนนิสในท่าเหยียดแขนขวาขึ้นสุดพร้อมชี้นิ้วขึ้นสู่ท้องฟ้าอันเป็นท่าฉลองประตูประจำตัวอันคุ้นชินขนาบข้างด้วยสองสหายรักและเพื่อนร่วมทีมอย่างเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ตัน และ จอร์จ เบส หันหน้าเข้าสู่สนามเหย้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘โรงละครแห่งความฝัน’ จะคงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน รวมถึงความสามารถอันเป็นตำนานและคุณูปการต่างๆที่เดนนิส ลอว์สร้างขึ้นและฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลังก็จะถูกจดจำและกล่าวขานไปอีกนานแสนนานเช่นกัน 

ด้วยจิตคารวะ

จากชายขอบสู่เบอร์ 2 ทำเนียบขาว เตรียมก้าวสู่ผู้นำการเมืองอเมริกาคนต่อไป

(21 ม.ค. 68) ทำความรู้จัก JD Vance ชายผู้ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการและถูกคาดหมายว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองอเมริกาต่อจากทรัมป์

James David Vance หรือ J.D. Vance เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2527 ที่เมืองมิดเดิลทาวน์ รัฐโอไฮโอ แม้ว่าปัจจุบันจะอายุแค่ 40ปี แต่พี่แว๊นซ์ก็ถือว่าผ่านงานมาอย่างหลากหลายและโชกโชนพอสมควร อาทิเช่น
- ปี 2003 ถึง 2007 ได้เข้าร่วมกับนาวิกโยธินในตำแหน่งนักข่าวสายทหารรวมถึงผ่านการถูกส่งไปทำงานภาคสนามในสงครามอิรักมาแล้วถึง 6 เดือน 
- เคยทำงานเป็นทนายความด้านกฏหมายองค์กรอยู่ระยะสั้นๆก่อนผันตัวมาเป็นนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ท-อัพในเวลาต่อมา 
- เป็นผู้เขียนหนังสือขายดีติดอันดับเบสเซลเล่อร์ของนิวยอร์กไทมส์เรื่อง บันทึกความทรงจำ Hilbilly Elergy ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับภาพสะท้อนของคนอเมริกันผิวขาวชายขอบที่เติบโต ใช้ชีวิตและสร้างวัฒนธรรมของตนเองขึ้นในพื้นที่ห่างไกลความเจริญบริเวณเทือกเขาอัพพาลาเชียในอเมริกาเหนือซึ่งเป็นพื้นเพรากเหง้าที่พี่แว๊นซ์เติบโตขึ้นมาในวัยเด็กนั่นเอง หนังสือเล่มนี้ดังจนสุดยอดผู้กำกับหนังแห่งยุคคนหนึ่งอย่าง รอน ฮาวเวิร์ด (ดาวินชีโค้ด, อพอลโล 13) เอาไปสร้างเป็นหนังทาง Netflix มาแล้วในปี 2020
- ได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐโอไฮโอ
- ได้รับการแต่งตั้งจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ให้เป็นผู้ร่วมรณรงค์หาเสียงในฐานะว่าที่รองประธานาธิบดีจนชนะการเลือกตั้งร่วมกับทรัมป์และได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน

ในด้านการศึกษานั้นพี่แว๊นซ์ก็ถือว่าไม่ธรรมดาครับ จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอเสตทและมาจบปริญญาโทจากหนึ่งในโรงเรียนกฏหมายที่ถือว่าดีที่สุดในโลกอย่างมหาวิทยาลัยเยล 

ทางด้านครอบครัวนั้น พี่แว๊นซ์แต่งงานแล้วกับ อุชา ชิลูคูรี สาวอินเดีย-อเมริกันที่มีพ่อแม่เป็นชาวอินเดียอพยพและชาวฮินดู อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เยล ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน และเมื่อพี่แว๊นซ์ของเราขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเรียบร้อยแล้ว อุชาก็ได้กลายเป็นสตรีชาวฮินดูคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะคู่สมรสของรองประธานาธิบดีและแน่นอนว่าหากจับพลัดจับผลูเกิดอะไรขึ้นกับลุงทรัมป์ทำให้อยู่ไม่ครบเทอมและพี่แว๊นซ์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี อุชาก็จะขึ้นเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งชาวฮินดูคนแรกของชาวอเมริกันทันที 

พี่แว๊นซ์ถือว่ามีความเจนจัดทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน, การระดมทุนและการลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่อย่างสตาร์ท-อัพ และ ไอที รวมไปถึงนโยบายประชานิยมต่างๆที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนยากจน ซึ่งตัวของเขาเองนั้นก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนเรื่องการอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือชนชั้นแรงงาน, เป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนชายขอบกับวัฒนธรรมอเมริกันกระแสหลักในปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็มาจากรากเหง้าอดีตแบบคนชายขอบหรือที่เรียกว่า Hilbilly แห่งเทือกเขาอัพพาลาเชียที่พี่แว๊นซ์ได้ต่อสู้ฟันฝ่า ถีบตัวเองขึ้นมาจนประสบความสำเร็จได้นั่นเอง 

ทั้งนี้ทั้งนั้นนักวิเคราะห์การเมืองอเมริกันหลายสำนักได้แสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า เมื่อพี่แว๊นซ์ได้เข้าไปมีบทบาทในทำเนียบขาวแล้วลุงทรัมป์ “จัดให้” มีซีนที่ฉายแสงหรือให้มีจังหวะได้เฉิดฉายบ้างเป็นระยะๆ เขาก็น่าจะทำได้ดี ด้วยความที่เป็นคนออกสื่อแล้วไม่ตายไมค์ พูดจาฉะฉานชัดเจน แถมยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อย โอกาสที่จะมีอนาคตทางการเมืองสดใสยาวๆไป รวมถึงโอกาสที่จะมีโอกาสเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงตำแหน่ง “เบอร์หนึ่ง” เมื่อลุงทรัมป์หมดวาระลงในอีก 4 ปีข้างหน้าก็มีโอกาสไม่น้อยครับ

สุดแปลกใจผ่านไป 6 ปี ‘ประชากรเมียนมา’ ยังเท่าเดิม สวนทางตัวเลขทะลักเข้าไทยกว่า 10 ล้านคน บางส่วนรอลุ้นโอนสัญชาติ

ไม่นานมานี้ พลเอก อาวุโส มินอ่องหล่าย ประกาศออกสื่อในที่ประชุมของ SAC ว่า ได้สำรวจสำมะโนประชากรเสร็จสิ้นแล้ว และประชากรทั้งหมดมีเพียง 51 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งก่อนของเมียนมาในปี 2019 พบว่าในปี 2019 ก็มีประชากรเพียง 51.4 ล้านคนเท่านั้น ที่น่าสนใจประการแรกคือ ประชากรไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา แต่เรื่องนี้พอเข้าใจได้ เพราะจากข้อมูลที่เอย่ามีในมือตอนนี้นับได้ว่าน่าจะชาวเมียนมาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ทั้งเข้ามาแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย รวมถึงพวกที่มาแบบถูกกฎหมายครึ่งเดียวอย่างเช่น ทำวีซ่ามาเรียนแต่ความจริงคือหนีมาอะไรแบบนี้

คำถามคือ คนที่อยู่นอกประเทศเหล่านี้ยังถือว่าเป็นคนสัญชาติเมียนมาไหม

เอย่าได้คำตอบว่าสำหรับคนที่อยู่ต่างประเทศอย่างถูกต้องไม่น่าเป็นห่วงเพราะคนเหล่านี้ได้มีการขึ้นทะเบียนในระบบแล้ว แต่สำหรับคนที่หนีออกไปนอกประเทศนั้น ที่หลายกระแสอ้างว่าคนกลุ่มดังกล่าวจะถูกยกเลิกสัญชาติ และกลายเป็นคนไร้สัญชาติในที่สุด

สุดท้ายคนเหล่านี้จะเป็นกลุ่มที่พยายามที่จะดิ้นรนเพื่อให้ได้สัญชาติในไทย และกลายเป็นปัญหาของประเทศไทยที่ต้องมาโอบอุ้มคนเหล่านี้ เอย่าก็ต้องถามว่ามันใช่เรื่องไหม  และประเทศไทยได้อะไรจากการให้สัญชาติคนเหล่านี้

ล่าสุดมีการเปลี่ยนเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ท่านทูตคนก่อนเคยเป็นผู้ช่วยทูตทหารที่ไทยก่อนจะไปใหญ่โตที่อเมริกาและกลับมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทูตครั้งนี้อาจจะมีนัยยะด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ เพราะท่านทูตคนเก่ารู้จักคุ้นเคยกับวิถีไทยเป็นอย่างดี ในขณะที่ท่านทูตคนใหม่นั้นดูทรงแล้วไม่เคยสัมผัสกับวิถีไทยมาก่อน 

เราคงต้องดูว่าการเปลี่ยนผ่านทูตครั้งนี้จะส่งผลอะไรกับเมืองไทยหรือไม่ แต่ดูแล้วเหมือนรัฐบาลไทยขณะนี้ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะก็ตั้งหน้ารับคนต่างด้าวให้ได้สัญชาติไทยถึงขนาดที่คุณเต้ อาชีวะ แฉว่ามีต่างด้าวบางคนที่เคยโดนขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศมาแล้วแต่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในไทยอย่างสะดวกสบายกับชื่อใหม่ จนน่าสงสัยว่าทั้งตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็ดี ฝ่ายปกครองก็ดีไม่มีการตรวจคนต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศกันเลยหรือไง

‘Casino’ สถานที่เล่นพนันถูกกฎหมายหากเกิดขึ้นจริง ‘ดี’ หรือ ‘ร้าย’ ต่อสังคมไทย สุดท้ายต้องพิจารณาในทุกมิติ

‘Casino’ กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่สังคมไทยกำลังพูดถึง หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (ENTERTAINMENT COMPLEX) โดยได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำไปปรับปรุงรายละเอียด ก่อนส่งต่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ซึ่งรัฐบาลได้ยืนยันว่า ‘ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร’ จะมีการอนุญาตให้เปิด ‘Casino’ ด้วย จะทำให้ประเทศเติบโตและมีตัวเลข GDP สูงขึ้นอย่างมาก และจะทำให้เกิดผลดีให้กับประเทศในอนาคต

‘Casino’ เป็นสถานที่สำหรับการพนัน มักสร้างขึ้นใกล้หรือรวมกับโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก เรือสำราญ หรือแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ‘Casino’ หลายแห่งยังเป็นที่รู้จักในสถานะสถานที่จัดงานบันเทิงแสดงสด อาทิ ละคร คอนเสิร์ต และกีฬา ฯลฯ ‘Casino’ แห่งแรกของยุโรปที่แม้จะไม่ได้เรียกว่า ‘Casino’ แต่มีลักษณะตรงตามคำจำกัดความในปัจจุบันคือ ‘Ridotto’ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ในปี 1638 โดยมติของที่ประขุมใหญ่แห่งสภาเมืองเวนิสเพื่อควบคุมการพนันในช่วงเทศกาลคาร์นิวัล บ่อนแห่งนี้ถูกปิดตัวลงในปี 1774 เนื่องจากสภาเมืองเวนิสได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กิจการของ ‘Ridotto’ ทำให้ประชาชนพลเมืองชาวเวนิสนั้นต่างพากันยากจนลง

ปัจจุบัน การพนันเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ทั่วโลกและมี ‘Casino’ อยู่ในเกือบทุกประเทศ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในการแข่งขัน ‘Casino’ มากที่สุดในโลก ตามข้อมูลของ WorldCasinoDirectory สหรัฐอเมริกามี ‘Casino’ ที่ได้รับอนุญาต 2,147 แห่งและโรงแรม ‘Casino’ 619 แห่งในเมืองการพนัน 920 เมือง ตามข้อมูลของสมาคมการพนันของอเมริกา ตลาดการพนันในสหรัฐอเมริกามีส่วนสนับสนุนต่อเศรษฐกิจเกือบ 261 พันล้านดอลลาร์ต่อปีและรองรับการจ้างงาน 1.8 พันล้านตำแหน่งทั่วประเทศ ตามหลังสหรัฐอเมริกา โรมาเนียเป็นผู้นำในการแข่งขันที่มี ‘Casino’ มากที่สุดในโลก โดยมี ‘Casino’ ทั้งหมด 454 แห่ง ตามมาด้วยสาธารณรัฐเช็ก สเปน และสหราชอาณาจักร โดยมี ‘Casino’ 423, 314 และ 309 แห่ง ตามลำดับ

ศูนย์กลางการพนันสองแห่งของโลกได้แก่ มาเก๊า และลาสเวกัส ‘มาเก๊า’ ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษของจีนเป็นสถานที่เดียวในประเทศจีนที่ ‘Casino’ ถูกกฎหมาย การพนันถูกกฎหมายมาตั้งแต่ทศวรรษ 1850 เมื่อ รัฐบาล โปรตุเกสประกาศให้กิจกรรมในอาณานิคมปกครองตนเองแห่งนี้ถูกกฎหมาย หลังจากการส่งมอบมาเก๊าจากโปรตุเกสให้จีน มาเก๊าและธุรกิจได้เติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2001 เมื่อรัฐบาลยุติการผูกขาดการพนันที่กินเวลานานสี่ทศวรรษของ Stanley Ho มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ด้วยการเข้ามาของ ‘Casino’ ต่างชาติขนาดใหญ่ จากลาสเวกัสและออสเตรเลีย ปัจจุบันมาเก๊าแซงหน้าลาสเวกัสในด้านรายได้จากการพนันในปี 2007 และตั้งแต่นั้นมา มาเก๊าก็เป็นที่รู้จักทั่วโลกในฐานะ 'เมืองหลวงแห่งการพนันของโลก' โดยทำรายได้จากการพนันสูงสุด แซงหน้าเมืองการพนันอื่น ๆ ไปอย่างมาก มาเก๊ามี ‘Casino’ 49 แห่ง และโรงแรม ‘Casino’ อีก 58 แห่ง สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่า รายได้ของ ‘Casino’ ในมาเก๊าพุ่งสูงขึ้น 366% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 1.93 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม 2023 ปัจจุบันการท่องเที่ยวเชิงการพนันเป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของมาเก๊าคิดเป็นประมาณ 50% ของเศรษฐกิจ โดยนักท่องเที่ยวเพื่อการพนันส่วนใหญ่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง

ลาสเวกัส มลรัฐเนวาดา เป็นเมืองที่มี ‘Casino’ มากที่สุดในโลก ข้อมูลจำนวน ‘Casino’ จาก WorldCasinoDirectory ระบุว่า ลาสเวกัสมี ‘Casino’ มากกว่า 170 แห่ง และโรงแรม ‘Casino’ อีกมากกว่า 90 แห่ง ในขณะที่มลรัฐเนวาดาโดยรวมมี ‘Casino’ ที่ได้รับอนุญาต 404 แห่ง และโรงแรม ‘Casino’ รวม 178 แห่งใน 45 เมืองของมลรัฐนี้ ตามรายงานของสมาคมการพนันของอเมริกา มลรัฐเนวาดามีรายได้จากการพนันเชิงพาณิชย์รายเดือน 1.15 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน 2023 เนวาดาจึงเป็นมลรัฐเดียวที่มีรายได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในขณะที่รายได้รายเดือนของมลรัฐอื่น ๆ ทั้งหมดในเดือนเดียวกันน้อยกว่า สำหรับ ลาสเวกัสและมาเก๊าจึงเป็นเพียงสองเมืองการพนัน (Casino city) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ‘Casino’ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากรอย่างแน่นอน โดย ‘Casino’ ในลาสเวกัสยุคเริ่มแรกนั้นถูกครอบงำและบงการโดยกลุ่มมาเฟียอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียน และ ‘Casino’ ในมาเก๊าถูกครอบงำและบงการโดยกลุ่มสามก๊ก (Macau Triads) ตามรายงานของตำรวจสหรัฐฯ ระบุว่า อาชญากรรมในพื้นที่ที่มี ‘Casino’ มักเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือสามเท่าภายในสามปีหลังจาก ‘Casino’ เปิดทำการ ในรายงานปี 2004 ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ นักวิจัยได้สัมภาษณ์ผู้ที่ถูกจับกุมในลาสเวกัสและเดส์โมนส์ และพบว่าเปอร์เซ็นต์ของนักพนันที่มีปัญหาหรือเป็นโรคในกลุ่มผู้ถูกจับกุมนั้นสูงกว่าประชากรทั่วไปถึงสามถึงห้าเท่า

ท่ามกลางความกังวลของคนในสังคมในเรื่องของ ‘Casino’ ซึ่งจะรวมอยู่ใน “ENTERTAINMENT COMPLEX” นั้น จะส่งผลอย่างไรต่อสังคมไทยโดยรวม จึงเป็นปัญหาและประเด็นพิจารณาที่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะต้อง พินิจ พิจารณา ไตร่ตรอง และใคร่ครวญ เป็นอย่างดีที่สุด ด้วยเพราะความจริงก็คือ ‘การพนัน’ นั้นเป็นข้อหนึ่งใน 'อบายมุข 6' หรือ วิถีชีวิต 6 อย่าง แห่งความโลภ และความหลงที่ทำให้เกิดความเสื่อม ความฉิบหายของชีวิต อันประกอบด้วย
1. ดื่มน้ำเมา (Addiction to intoxicants) คือ พฤติกรรมชอบดื่มสุราเป็นนิจ
2. เที่ยวกลางคืน (Roaming the streets at unseemly hours) คือ พฤติกรรมชอบเที่ยวกลางคืนเป็นนิจ
3. เที่ยวดูการละเล่น (Frequenting shows) คือ พฤติกรรมชอบเที่ยวดูการแสดงหรือการละเล่นเป็นนิจ
4. เล่นพนัน (Indulgence in gambling) คือ พฤติกรรมชอบ เล่นพนันเป็นนิจ
5. คบคนชั่วเป็นมิตร (Association with bad companions) คือ พฤติกรรมชอบคบหาคนพาลเป็นนิจ
6. เกียจคร้านการงาน (Habit of idleness) คือ พฤติกรรมชอบเกียจคร้านในการงานเป็นนิจ

แม้ว่า รัฐบาลและฝ่ายที่สนับสนุนจะได้หยิบยกประโยชน์มากมายจากการให้มี ‘Casino’ ใน ‘ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร’ แต่พิษภัยและโทษของการพนันนั้นมีมากมายได้แก่ การสูญเสียเงินหรือความเสียหายทางการเงินเป็นความเสียหายจากการพนันเป็นอันดับแรก เมื่อนึกถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการพนัน อย่างไรก็ตาม ยังมีอันตรายประเภทอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ที่ เล่นพนัน อันตรายเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อผู้ที่ เล่นพนันมากขึ้น เล่นพนันบ่อยขึ้น หรือมีลักษณะอื่น ๆ ที่ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่ออันตรายจากการพนันมากขึ้น ความเสี่ยงต่ออันตรายต่าง ๆ ในการ เล่นพนัน ได้แก่ :
1. ความเสียหายทางการเงิน การกัดเซาะการเก็บออม นำไปสู่การล้มละลาย
2. ความขัดแย้งในความสัมพันธ์ การละเลยความสัมพันธ์กับคนสำคัญ ลูก ๆ ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูง
3. ความทุกข์ทางอารมณ์หรือจิตใจจากการแยกตัวออกจากสังคมปกติ รู้สึกผิด เหงา และโดดเดี่ยว มีการรับรู้ที่ผิดเพี้ยน และอาจกลายเป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย
4. ประเด็นด้านสุขภาพ ระดับการดูแลตนเองลดลง การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้น นำไปสู่การใช้สารเสพติดผิดกฎหมาย

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีโอกาสที่จะป่วยด้วยโรคชนิดนี้อีกด้วย ‘โรคติดการพนัน’ (Pathological Gambling หรือ Gambling Disorder) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการ เล่นพนันที่ซ้ำซากและต่อเนื่อง แม้ว่าการพนันจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมายในหลายด้านของชีวิตก็ตาม ซึ่งบุคคลในทุกช่วงวัยอาจประสบปัญหาจากโรคติดการพนัน ผู้ที่ประสบปัญหาจากโรคติดการพนันจะมีปัญหาในการควบคุมจิตใจต่อการเล่นพนัน บุคคล ครอบครัว และสังคม ย่อมได้รับผลกระทบจากโรคติดการพนัน

ผู้ที่มีอาการติดการพนันอาจมีช่วงที่อาการทุเลาลง การพนันอาจดูไม่เป็นปัญหาในช่วงที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น โดยอายุที่น้อยกว่าและเพศชายอาจเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่อาการของโรคติดการพนันอาจเริ่มได้ในทุกช่วงอายุ ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเริ่ม เล่นพนันในช่วงอายุน้อยกว่าผู้หญิง แต่ผู้หญิงอาจพัฒนาไปสู่ปัญหาการพนันได้เร็วกว่ามาก บาดแผลทางจิตใจและความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม โดยเฉพาะในผู้หญิง อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงได้เช่นกัน รายได้ต่ำ การว่างงาน และความยากจนยังเชื่อมโยงกับโรคติดการพนันอีกด้วย ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนที่มีปัญหาติดการพนันได้รับการแสดงให้เห็นว่า มีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของโอกาสในการ เล่นพนัน

การรักษาโรคติดการพนัน บางคนสามารถเลิกเล่นพนันได้ด้วยตนเอง แต่หลายคนต้องการความช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาการพนันของตนเอง มีเพียง 1 ใน 10 คนที่มีอาการติดการพนันเท่านั้นที่เข้ารับการบำบัด การพนันส่งผลต่อผู้คนในรูปแบบต่าง ๆ การพนันสามารถเปลี่ยนส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับการได้รับรางวัลหรือความตื่นเต้นได้ การรักษาอาการผิดปกติจากการพนันสามารถช่วยย้อนกลับเส้นทางเหล่านี้ให้กลับมาทำงานตามปกติของสมองก่อนเริ่ม เล่นพนันได้ วิธีการที่แตกต่างกันอาจได้ผลดีกว่าสำหรับคนต่างกลุ่ม การบำบัดหลายประเภทถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอาการผิดปกติจากการพนัน รวมถึงการบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา การบำบัดแบบจิตวิเคราะห์ การบำบัดแบบกลุ่ม และการบำบัดครอบครัว

การให้คำปรึกษาสามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจในเรื่องของการเล่นพนัน และได้คิดว่า การเล่นพนันส่งผลต่อพวกเขาและครอบครัวอย่างไร นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้ผู้คนพิจารณาทางเลือกและแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย ปัจจุบันยังไม่มียาที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับรักษาอาการผิดปกติจากการเล่นพนัน ยาบางชนิดอาจช่วยรักษาอาการที่เกิดร่วมกัน เช่น ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน ๆ อาจมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวจากโรคติดการพนัน

ผลกระทบของ ‘Casino’ ต่อเมืองและชุมชนนั้น แม้จะมีทั้งผลดีและผลเสีย แต่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น บริบทเฉพาะของสถานที่ กฎระเบียบที่ใช้ และวิธีดำเนินงานของ ‘Casino’ ต่อไปนี้คือประเด็นสำคัญบางประการสำหรับทั้งผลดีและผลเสีย :

ประโยชน์ของ ‘Casino’
การเติบโตทางเศรษฐกิจ :
-​การสร้างงาน: ‘Casino’ มักสร้างงานจำนวนมาก ทั้งโดยตรง (เช่น ในอุตสาหกรรมเกม การบริการ) และโดยอ้อม (เช่น ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง การบำรุงรักษา และบริการในท้องถิ่น)

-​การท่องเที่ยว: ‘Casino’ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ ช่วยส่งเสริมธุรกิจในท้องถิ่น เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า
-​รายได้จากภาษี: เงินทุนสาธารณะ: ‘Casino’ มีส่วนสนับสนุนรายได้จากภาษีในท้องถิ่นและของรัฐ ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และการดูแลสุขภาพ

การพัฒนาเมือง :
-​การฟื้นฟู: ในบางกรณี ‘Casino’ สามารถนำไปสู่การฟื้นฟูพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นและพื้นที่สาธารณะได้รับการปรับปรุง
-​เพิ่มตัวเลือกความบันเทิง: ​‘Casino’ มักเสนอตัวเลือกความบันเทิงต่าง ๆ รวมถึงการแสดง ร้านอาหาร และสถานบันเทิงยามค่ำคืน ซึ่งช่วยเสริมวัฒนธรรมของเมือง

อันตรายจาก ‘Casino’
-​การติดการพนัน: ปัญหาทางสังคม: การเข้าถึงการพนันที่มากขึ้นอาจนำไปสู่อัตราการติดการพนันที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อบุคคลและครอบครัว รวมถึงความล้มละลายทางการเงินและปัญหาสุขภาพจิต

-​อัตราการเกิดอาชญากรรม: อาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น: การศึกษาวิจัยบางกรณีชี้ให้เห็นว่า ‘Casino’ อาจนำไปสู่อัตราการเกิดอาชญากรรมที่สูงขึ้น รวมถึงการโจรกรรมและอาชญากรรมรุนแรง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพนัน
-​การอพยพทางเศรษฐกิจ: ธุรกิจในท้องถิ่น: แม้ว่า ‘Casino’ จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ แต่ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจในท้องถิ่นที่ไม่สามารถแข่งขันกับทรัพยากรและการตลาดของ ‘Casino’ ได้

-​ต้นทุนทางสังคม: ความตึงเครียดในชุมชน: ต้นทุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการติดการพนันและปัญหาที่เกี่ยวข้องอาจกดดันทรัพยากรของชุมชน รวมถึงการดูแลสุขภาพและบริการทางสังคม ความไม่เท่าเทียมกัน

-ผลกระทบที่ไม่สมส่วน: ผลกระทบเชิงลบของการพนันมักส่งผลกระทบต่อชุมชนที่มีรายได้น้อยอย่างไม่สมส่วน ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันและการแบ่งชั้นทางสังคมมากขึ้น

‘Casino’ จะมีประโยชน์หรือเป็นอันตรายต่อเมืองและชุมชนมากกว่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับว่าผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับการจัดการดีเพียงใด และผลกระทบเชิงลบได้รับการบรรเทาลงเพียงใด กฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพ โปรแกรมสนับสนุนชุมชน และโครงการการพนันอย่างรับผิดชอบมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มผลประโยชน์สูงสุด ในขณะที่ต้องลดภัยอันตรายต่าง ๆ ให้เหลือน้อยที่สุด ชุมชนแต่ละแห่งอาจได้รับผลกระทบเหล่านี้แตกต่างกันไป ดังนั้นบริบทในท้องถิ่นจึงมีความสำคัญในการประเมินผลกระทบโดยรวมของ ‘Casino’

ส่วนตัวผู้เขียน ขอน้อมฯ นำ ยึดตามพระราชดำริของล้นเกล้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งปรากฏในพระราชนิพนธ์ ‘ไกลบ้าน’ ด้วยทรงเห็นถึงภัยของการพนัน จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาถึง กรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยมีข้อความดังนี้

“จุฬาลงกรณ์ ปร. VITA NOBEL SAN REMO ถึงกรมดำรง ฉันได้ส่งของที่รลึกมอนติกาโล คือเหรียญร้อยแฟรงก์ที่เขาสำหรับเล่นเบี้ยกัน ๓ เหรียญ หม้อมูตรลงยา ๔ หม้อ ตุ้มหู้ไข่นกการเวก ๑ คู่ มาโดยบุกโปสต ขอให้ส่งให้เจ้าสายได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไร ๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเรา น่ากลัวอย่างยิ่ง จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเปนคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก ได้จดหมายเรื่องราวมาที่หญิงน้อย เมื่ออยากทราบก็ให้ขอดูเถิด สยามินทร์”

การเมืองโลกในมือ Elon Musk : ชายผู้สร้างระเบียบใหม่ด้วยวิสัยทัศน์แห่ง ‘Tony Stark’ สร้างนวัตกรรม!! การใช้เทคโนโลยี เพื่อเปลี่ยนแปลง เกมการเมืองระดับโลก

(26 ม.ค. 68) ในยุคที่ระเบียบโลกเดิมกำลังสั่นคลอน แนวคิดใหม่ที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี ความเป็นผู้นำ และการปรับโครงสร้างประชากรกำลังก้าวขึ้นมาแทนที่ ในศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ Elon Musk ผู้ถูกขนานนามว่า "Tony Stark ในชีวิตจริง" ด้วยความสามารถในการสร้างนวัตกรรม และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนแปลงเกมการเมืองระดับโลก

การเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก: จากเสรีนิยมสู่ประชานิยม

ยุคที่เสรีนิยมครองโลกกำลังถูกท้าทายจากแนวคิดประชานิยมและชาตินิยมที่กลับมามีบทบาทอีกครั้ง Musk ไม่ใช่แค่ผู้นำทางเทคโนโลยี แต่ยังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการเมืองของฝ่ายขวาในโลกตะวันตก เขาได้แสดงการสนับสนุนต่อ Donald Trump และความเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายขวาในยุโรป เช่น พรรค Alternative für Deutschland (AfD) ในเยอรมนี ผ่านการใช้แพลตฟอร์ม X (ชื่อเดิม Twitter) ซึ่ง Musk เป็นเจ้าของ

นอกจากนี้ Musk ยังใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวเพื่อสนับสนุน "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" ซึ่งช่วยให้เสียงของฝ่ายขวาโดดเด่นขึ้นในเวทีการเมืองโลก ขณะเดียวกัน แนวคิดนี้ยังเป็นตัวเร่งที่ทำให้แนวคิดเสรีนิยมดั้งเดิมเริ่มเสื่อมถอยลง

ประชากรศาสตร์: กุญแจสำคัญในระเบียบโลกใหม่

Musk เน้นว่าการแก้ปัญหาประชากรโลกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโลกตะวันตก ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน เขาสนับสนุนนโยบายที่กระตุ้นอัตราการเกิด เช่น การให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ครอบครัวที่มีลูก ขณะเดียวกัน Musk ยังเคยวิพากษ์แนวคิด "Woke Culture" ที่รวมถึงประเด็น LGBTQ+ ว่าอาจส่งผลทางอ้อมต่อการลดลงของอัตราการเกิด

แนวคิดของ Musk คือการผลักดันให้รัฐบาลส่งเสริมครอบครัวและสร้างโครงสร้างประชากรที่มั่นคง เพื่อสร้างรากฐานสำหรับอนาคตทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน

การรุกสู่ TikTok: ความขัดแย้งจีน-สหรัฐฯ และโอกาสของ Elon Musk

สถานการณ์ของ TikTok ในสหรัฐอเมริกาเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสื่อสังคมยอดนิยมที่มีเจ้าของคือ ByteDance บริษัทสัญชาติจีน ได้เผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกแบนในสหรัฐฯ เนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคง

ล่าสุด ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ได้กำหนดเส้นตายให้ ByteDance ต้องขายกิจการในสหรัฐฯ ภายในเดือนมกราคม 2025 หากไม่ปฏิบัติตาม TikTok จะถูกแบนจากตลาดอเมริกา ท่ามกลางสถานการณ์นี้ มีการคาดการณ์ว่า Elon Musk อาจเป็นผู้ซื้อ TikTok เพื่อหลีกเลี่ยงการแบน ข้อมูลจากรายงานยังระบุว่า จีนเองก็กำลังพิจารณาขายกิจการ TikTok ให้กับ Musk หรือบุคคลสำคัญอื่นๆ เช่น Larry Ellison เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแพลตฟอร์มในสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า Musk ได้มีการเสนอซื้อ TikTok แต่นี่คือสัญญาณชัดเจนถึงบทบาทของ Musk ในการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางเทคโนโลยีและการเมือง

เทคโนโลยี: เครื่องมือเปลี่ยนเกมการเมือง

นวัตกรรมที่ Musk สร้างขึ้น เช่น ดาวเทียม Starlink หรือโครงการยานอวกาศ SpaceX ไม่ได้มีแค่บทบาทด้านเทคโนโลยี แต่ยังส่งผลต่อการเมืองโลกโดยตรง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการใช้ Starlink ในสงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งช่วยให้การสื่อสารยังคงดำเนินต่อได้ในพื้นที่สงคราม

เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงศักยภาพของ Musk ในฐานะนักนวัตกรรม แต่ยังสะท้อนถึงความสามารถของเขาในการสร้างผลกระทบต่อระเบียบโลก

การวางรากฐานระเบียบใหม่

Elon Musk ไม่ใช่แค่นักนวัตกรรม แต่เขาคือผู้วางแผนระเบียบโลกใหม่ที่เน้นการรวมพลังของประชากร เทคโนโลยี และการเมือง การสนับสนุนของเขาต่อแนวคิดประชานิยมและการท้าทายเสรีนิยมทำให้ระเบียบโลกเก่ากำลังถูกเขย่า ขณะเดียวกัน เขาได้สร้างภาพลักษณ์ของผู้นำที่ไม่เพียงแค่แก้ปัญหา แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกอย่างยั่งยืน

บทสรุป
Elon Musk ไม่ได้เป็นเพียง ‘Tony Stark’ ของโลกเทคโนโลยี แต่ยังเป็นสถาปนิกแห่งระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากแนวคิดที่เน้นการปรับโครงสร้างประชากร การเปลี่ยนสมดุลอำนาจทางการเมือง และการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง Musk กำลังเขียนอนาคตของโลกด้วยมือของเขาเอง

จากเศรษฐกิจพอเพียงของ ร.9 สู่ ‘ลากอม - สวีเดน บทเรียนแห่งความพอดีของโลกตะวันออกและตะวันตก

(27 ม.ค. 68) ในปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ชอบแอบอ้างแนวคิดสังคมนิยมของสวีเดนมาใช้เป็นเครื่องมือทางวาทกรรม โดยกล่าวหาว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นสิ่งที่ไม่ทันสมัยและไม่สามารถอยู่ร่วมกับสังคมยุคใหม่ได้ แต่สิ่งที่พวกเขาเลือกจะมองข้าม คือรากฐานสำคัญของสวีเดนเองที่สะท้อนความพอเพียงอย่างชัดเจนผ่านแนวคิด "ลากอม" (Lagom) ซึ่งสอดคล้องอย่างมากกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ลากอม : พื้นฐานของความสมดุลในสังคมสวีเดน
"ลากอม" เป็นวิถีชีวิตของชาวสวีเดนที่มุ่งเน้นความพอดีในทุกด้าน ไม่มากไป ไม่น้อยไป ซึ่งถือเป็นหัวใจของความสำเร็จในระบบสังคมนิยมของสวีเดนเอง แนวคิดนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการกระจายความมั่งคั่ง แต่ยังรวมถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมและสิ่งแวดล้อม

คำว่า "ลากอม" (Lagom) มีรากฐานทางภาษาศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยอธิบายว่าทำไมแนวคิดนี้จึงฝังรากลึกในชีวิตของชาวสวีเดนมาตั้งแต่โบราณ

รากของคำว่า "ลากอม" ต้นกำเนิดจากภาษาสวีเดนโบราณ คำว่า "ลากอม" มาจากคำว่า “laget om” ในภาษาสวีเดนยุคเก่า ซึ่งหมายถึง "รอบวง" หรือ "แบ่งปันในกลุ่ม" แนวคิดนี้เกิดจากประเพณีการแบ่งปันทรัพยากรในสังคมยุคก่อน เช่น เมื่อสมาชิกในชุมชนดื่มจากแก้วเดียวกัน ทุกคนจะต้องดื่มในปริมาณที่พอดี เพื่อให้ทุกคนในกลุ่มได้มีส่วนร่วมและได้รับอย่างเท่าเทียม

วิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรม ในอดีต สวีเดนเป็นสังคมเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติและทรัพยากรอย่างจำกัด การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ การใช้ชีวิตแบบ "ลากอม" จึงเกิดขึ้นจากความจำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น การเพาะปลูก การล่าสัตว์ และการเก็บเกี่ยวที่ต้องใช้วิจารณญาณและความพอดี

รากฐานทางจิตวิญญาณและศาสนา แนวคิด "ลากอม" ยังมีความเกี่ยวข้องกับแนวคิดทางศาสนาคริสต์ในยุโรปเหนือ ซึ่งสอนเรื่องการหลีกเลี่ยงความโลภ (Greed) และการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ชาวสวีเดนถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการสะสมทรัพย์สิน แต่คือการพอใจกับสิ่งที่ตนมี

การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ธรรมชาติที่รุนแรงในสวีเดน เช่น ฤดูหนาวอันยาวนาน ทำให้คนในอดีตต้องวางแผนการใช้ทรัพยากรและสร้างสมดุลในชีวิต การไม่ใช้เกินความจำเป็นเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย

ลากอม : รากฐานในวัฒนธรรมร่วมสมัย
ในยุคปัจจุบัน แนวคิดลากอมยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมสวีเดน โดยสะท้อนผ่านหลายด้านของชีวิต เช่น:

การออกแบบ (Design): สไตล์สแกนดิเนเวียนที่เรียบง่าย เน้นความพอดีและประโยชน์ใช้สอย
การทำงาน: วัฒนธรรมองค์กรในสวีเดนให้ความสำคัญกับการมีสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว
การบริโภค: การลดการใช้ทรัพยากรอย่างไม่จำเป็น และสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน
บทเรียนจากรากของลากอม สิ่งที่ลากอมสอนเราไม่ใช่แค่การใช้ชีวิตแบบพอประมาณ แต่ยังสอนเรื่อง การคำนึงถึงผู้อื่นและส่วนรวม ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของการสร้างสังคมที่สมดุลและยั่งยืน การแบ่งปัน การใช้ชีวิตอย่างมีสติ และการเคารพทรัพยากรธรรมชาติ เป็นหัวใจของแนวคิดที่ช่วยให้ชาวสวีเดนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

ดังนั้น "ลากอม" ไม่ใช่แค่คำพูดหรือแนวคิดในตำรา แต่คือการปฏิบัติจริงที่เชื่อมโยงระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อสร้างชีวิตที่สมดุลและยั่งยืนทั้งในระดับบุคคลและสังคมโดยรวม

ตัวอย่างของลากอมในชีวิตประจำวันของชาวสวีเดน ได้แก่:

การบริโภคอย่างยั่งยืน : ชาวสวีเดนมุ่งเน้นการซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและลดของเสีย
การทำงานสมดุลกับชีวิตส่วนตัว : มีการจัดเวลาเพื่อครอบครัวและสุขภาพจิต
ความรับผิดชอบต่อสังคม : ช่วยเหลือเพื่อนบ้านและสนับสนุนการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เศรษฐกิจพอเพียงและลากอม : เส้นทางที่มาบรรจบกัน
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีความคล้ายคลึงกับลากอมในหลายแง่มุม โดยเน้นการพึ่งพาตนเอง การวางแผนชีวิตที่ไม่เกินตัว และการสร้างความสมดุลในชีวิตและธรรมชาติ ความแตกต่างอยู่ที่เศรษฐกิจพอเพียงมีรากฐานจากสังคมเกษตรกรรมและการพัฒนาชุมชน ขณะที่ลากอมเน้นบริบทของสังคมเมืองที่พัฒนาแล้ว แต่ทั้งสองแนวคิดล้วนยึดหลักการเดียวกัน: ความพอดีเพื่อความยั่งยืน

คำเตือน : การบิดเบือนข้อเท็จจริง
สิ่งที่น่ากังวลคือ การที่บางกลุ่มพยายามแอบอ้างสวีเดนในแง่ของสังคมนิยม โดยบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อโจมตีเศรษฐกิจพอเพียง พวกเขาเลือกเน้นเฉพาะเรื่องของรัฐสวัสดิการ แต่กลับละเลยว่าความสำเร็จของสวีเดนนั้นมีรากฐานจากแนวคิดลากอมซึ่งส่งเสริมความพอเพียงในระดับปัจเจก

การละเลยลากอมในวาทกรรมนี้จึงเป็นการมองสวีเดนเพียงด้านเดียว โดยไม่เข้าใจว่าความยั่งยืนของประเทศนี้ไม่ได้มาจากการแจกจ่ายทรัพยากรเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนรู้จักพอประมาณในทุกด้าน

บทสรุป
การยกเอาสวีเดนเป็นตัวอย่างในเรื่องระบบสังคมนิยม จำเป็นต้องเข้าใจถึงรากฐานทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวสวีเดน ซึ่งสะท้อนผ่านแนวคิดลากอม แนวคิดนี้ไม่ได้ต่างจากเศรษฐกิจพอเพียงของไทยในแก่นแท้ หากเราเปิดใจเรียนรู้และมองสิ่งเหล่านี้อย่างสมดุล จะพบว่าทั้งสองแนวคิดล้วนชี้ให้เราเห็นถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างพอดีและรับผิดชอบ

"ความพอเพียงไม่ได้ถูกผูกขาดโดยชนชั้นหรือชาติใด แต่คือความจริงที่ทุกสังคมควรเรียนรู้และยึดถือร่วมกัน"

จมในละอองฝุ่นและหมอกควันพิษ ภาพสะท้อนจากอดีต ด้วยความคิดเอาแต่ได้

ในวันที่ผมนั่งพิมพ์เรื่องจริง เรื่องนี้อยู่ กรุงเทพฯ และหลาย ๆ จังหวัดในประเทศไทยคงพ้นจากวิกฤติฝุ่น PM2.5 กันไปบ้างแล้วหลังจากเผชิญหน้ากันมาเกือบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากอิทธิพลของลมกำลังแรงพัดมาจากด้านตะวันออกเฉียงเหนือทำให้อุณหภูมิลดลง และฝุ่นพิษถูกพัดไปทางด้านประเทศเมียนมา 

ในประวัติศาสตร์ โลกของเราได้เผชิญปรากฏการณ์จากละอองฝุ่นควันพิษมาแล้วหลายครั้ง โดยฝุ่นและควันพิษเหตุแรก ๆ นั้นเกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น บันทึกของชาวบาบิโลเนียนกว่า 2,500 ปี ระบุว่าพวกเขาเผาน้ำมันแทนไม้ ชาวจีนในช่วง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นชนชาติแรกที่ทำเหมืองถ่านหินและขุดบ่อก๊าซธรรมชาติ แต่ชาติที่ต้องเผชิญมหันตภัยจากฝุ่นพิษอย่างหนักหน่วงที่สุดชาติแรกในโลกคือ สหราชอาณาจักร 

ต้องยอมรับก่อนว่าในฤดูหนาวนั้นสหราชอาณาจักรค่อนข้างสาหัสพอสมควร การเผาเพื่อสร้างความอบอุ่นหรือประโยชน์ในด้านพลังงานอื่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็น จนกระทั่งพวกเขาได้มารู้จักถ่านหินซึ่งให้ความร้อนสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่น ๆ แต่ใช่ว่าในเบื้องแรกพวกเขาจะไม่ตระหนักถึงหมอกควันที่เกิดจากการเผาถ่านหิน เพราะมีบันทึกว่าในปี ค.ศ. 1272 ได้มีประกาศจากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ห้ามเผาถ่านหินเนื่องจากหมอกและควันที่เกิดขึ้นนั้นสร้างมลภาวะให้เกิดขึ้นกับชาวลอนดอน โดยคาดโทษถึงประหารชีวิต แต่นั่นก็ไม่สามารถควบคุมได้จริง เพราะประชาชนจำนวนมากไม่มีทางเลือกอื่น 

จนมาในศตวรรษที่ 19 สหราชอาณาจักร ได้กลายมาเป็นผู้ผลิตถ่านหินรายใหญ่ของโลก เพราะในการปฏิวัติอุตสาหกรรม ถ่านหินคือพลังงานปัจจัยหลักที่อยู่ในเกือบทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งการอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องจักรไอน้ำ เป็นแหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้า อยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชนไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาหาร เครื่องทำความร้อนในบ้าน ผสมกับภาพปกติของกรุงลอนดอนนั้นมักจะถูกหมอกปกคลุมทั่วเมืองเป็นที่คุ้นเคย ยิ่งอากาศหนาวเย็นลงเท่าไหร่ บ้านเรือนต่าง ๆ ก็โหมใช้ถ่านหินมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะการนำเอาถ่านหินคุณภาพต่ำมาใช้กันเป็นวงกว้าง ซึ่งถ่านหินเหล่านี้มีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ไดออกไซด์อยู่ในปริมาณสูง และยังมีคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ รวมไปถึงสารพิษต่างๆ เมื่อหมอกผสานกับละอองฝุ่นพิษจึงไม่เป็นที่สนใจหรือระแวดระวัง เพราะมันค่อย ๆ สะสมที่ละเล็กน้อยยังไม่เห็นเป็นภาพใหญ่อย่างชัดเจน อีกทั้งละอองฝุ่นและหมอกควันพิษตามปกติก็จะลอยไปในอากาศ ก่อนจะถูกลมพัดพาไปที่อื่น 

จนมาถึงในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1952 ลอนดอนในเวลานั้นต้องเผชิญกับภาวะความกดอากาศสูง 'anticyclone' ก่อให้เกิดความผกผันของอุณหภูมิ อากาศร้อนถูกดันขึ้นด้านบน แทนที่ด้วยอากาศเย็นที่ควบแน่นไอน้ำเกิดเป็นหมอก ปกคลุมกรุงลอนดอนเหมือนถูกครอบด้วยโดมขนาดใหญ่ ด้านบนก็ไม่มีลมพัด ทำให้อากาศและสารพิษต่างๆ ถูกกดกักไว้ ไม่สามารถลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าด้านบน ทำให้เกิดอนุภาคคงค้างอยู่ในอากาศผสมกับหมอกปกติเกิดเป็นหมอกฝุ่นพิษสีอมเหลืองที่เรียกว่า 'หมอกซุปถั่ว' (Pea-Soupers) ที่สร้างปัญหาทางระบบหายใจให้ผู้คนในลอนดอน อีกทั้งยังเกิดเป็นหมอกปกคลุมจนลดวิสัยทัศน์เหลือเพียงแค่การมองเห็นเพียงไม่กี่เมตร ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 9 ธันวาคม ค.ศ. 1952 เพียงแค่ 5 วัน แต่ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากถึง 12,000 คน เหตุการณ์นี้ได้ชื่อว่า 'Great Smog of London' ซึ่งส่งผลกระทบต่อสหราชอาณาจักรมาอีกหลายปี 

'Great Smog of London' เกิดขึ้นในยุคของนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) ว่ากันว่าก่อนจะเกิดเหตุ เอกสารรายงานที่เตือนถึงสถานการณ์ไม่ได้ถูกส่งถึงเชอร์ชิล แต่กลับถูกส่งไปยังผู้นำฝ่ายค้านโดยหนึ่งในทีมงานเลขาที่เปหนอนบ่อนไส้ของเชอร์ชิล เพื่อหวังจะใช้โจมตีเขาให้ลงจากตำแหน่ง ขณะนั้นเขาอายุ 78 ปีแล้ว แต่ยังกุมอำนาจการบริหารไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ การเอาสถานการณ์นี้มาใช้ลดแรงสนับสนุนจึงเป็นอาวุธสำคัญ เพื่อไม่ให้นายกรัฐมนตรีเฒ่าแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกทาง ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะนักการเมืองในสภา บุคลากรทางสาธารณสุข ประชาชนบางส่วน เริ่มตั้งคำถามซ้ำเติมด้วยการโจมตีของสื่อ และนักการเมืองฝั่งตรงข้าม ว่าตัวเขาน่าจะแก่จนทำให้เชื่องช้า เงอะงะ เกินกว่าจะมาแก้ไขสถานการณ์แล้วกระมัง 

แต่มีเรื่องเล่ากันว่าหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปอยู่หลายวัน เจ้าหน้าที่หลายคนของเชอร์ชิลได้หายหน้าไปจากบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง ซึ่งเขาได้ทราบว่าเจ้าหน้าที่หลายคนต้องไปโรงพยาบาลเนื่องจากป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ และบางคนได้ประสบอุบัติเหตุจากสภาพวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทีมเลขาของเขาที่ต้องเสียชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุ เขาจึงได้เดินทางไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง เพื่อไปให้เห็นกับตาว่าเจ้าฝุ่นพิษจากหมอกควันที่เขามองว่าธรรมดานั้นเป็นตัวการก่อให้เกิดมหันตภัยกับผู้คนจริงหรือไม่? 

นับว่าการตัดสินไปโรงพยาบาลของเชอร์ชิลในครั้งนั้นได้ตอบคำถามให้กับเขา เพราะเขาได้ไปพบความโกลาหลของแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบทางตรงจากการสูดละอองฝุ่นพิษเข้าไป และผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากอุบัติเหตุ การปล้นจี้ ทำร้ายร่างกาย รวมไปถึงร่างของผู้เสียชีวิตที่มีอยู่จำนวนมาก จากภาพที่ประสบต่อหน้า ทำให้เขาตัดสินใจแถลงข่าวในทันที โดยเขาได้สั่งการให้เพิ่มงบประมาณและจำนวนบุคลากรภายในสถานพยาบาล ยุติการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อลดการปล่อยฝุ่นควันสู่อากาศชั่วคราว ปิดโรงเรียน และหยุดสถานประกอบการในบางส่วนเพื่อให้ลดการสูญเสีย 

อ่านกันเพลิน ๆ เหมือน วินสตัน เชอร์ชิล จะเป็นฮีโร่ ซึ่งในข้อมูลหลายชุดก็ไม่ได้ชี้ชัดว่านายกรัฐมนตรีของอังกฤษท่านนี้รู้หรือไม่รู้ถึงปัญหา ถ้าไม่รู้ก็น่าจะพิจารณาได้จากปัญหาอยู่ตรงหน้า แต่กลับเลือกที่จะเมินเฉยเพราะมองว่าสถานการณ์ไม่ได้รุนแรง ถ้ารู้ซึ่งผมเชื่อว่าคนระดับนี้เขาน่าจะรู้เรื่องของละอองฝุ่นและหมอกควันพิษมาตั้งแต่เริ่ม แต่กำลังดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหากไปแก้ไขแล้วแก้ไม่ถูกจุด แก้ไม่ได้ก็อาจจะทำให้เขากลายเป็นเป้าของนักการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งเอาสุขภาพของประชาชนมาเป็นตัวประกัน หรือถ้าสถานการณ์มันคลี่คลายไปก่อนที่เขาจะทำอะไร ก็เท่ากับไปสร้างปัญหากับเรื่องธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สรุปคือเมื่อเวลาสุกงอมจนได้ที่เขาก็เลยมาจัดการปัญหา ซึ่งปัญหาที่เขาจัดการคือเรื่องของ 'จิตใจ' ที่จัดการด้วยธรรมชาติไม่ได้ ไม่ใช่ 'ละอองฝุ่นและหมอกควันพิษ' ที่เขาน่าจะรู้แล้วว่า 'ลม' จะมาจัดการให้หายไป 

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้รัฐบาลอังกฤษได้ออกกฎหมาย Clean Air Act (1956) เพื่อควบคุมการปล่อยควันจากโรงงานอุตสาหกรรมและส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดขึ้น มีการกำหนดมาตรการควบคุมการใช้ถ่านหิน จำกัดการเผาถ่านหินในเขตเมือง ส่งเสริมการให้เกิดการใช้ก๊าซธรรมชาติและพลังงานทางเลือก แต่กระนั้นผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็สั่นคลอนเสถียรภาพด้านสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมของสหราชอาณาจักรมาอีกหลายปี

‘I love you to the moon and back’ ความหมายสุดลึกล้ำที่ซ่อนไว้ในหนังสือนิทาน

วลีนี้ถูกค้นพบจากหนังสือนิทานภาพ 'Guess how much I love you' เขียนโดย Sam McBratney และวาดภาพประกอบโดย Anita Jeram

นิทานเรื่องนี้ดำเนินเรื่องผ่านพ่อลูกกระต่ายคู่หนึ่ง โดยกระต่ายน้อยกับพ่อจะมีการเล่นอยู่อย่างหนึ่งระหว่างกัน คือการแข่งกันบอกรัก ลูกกระต่ายจะบอกรักพ่อไปเรื่อย ๆ แล้วพ่อกระต่ายก็จะตอบกลับด้วยประโยคเดียวกันแต่เพิ่มการลงท้ายให้รู้สึกมากกว่า 

มีอยู่คืนหนึ่งเมื่อกระต่ายน้อยและพ่อกำลังจะเข้านอน แต่ลูกกระต่ายยังไม่อยากนอน จึงชวนพ่อกระต่ายคุย และถามว่า “ทายซิ ทายซิ หนูรักพ่อมากแค่ไหน?” พ่อกระต่ายก็ทำเหมือนทุกทีด้วยการบอกรักลูกกระต่ายกลับ และก็เพิ่มการลงท้ายให้รู้สึกมากกว่าเหมือนเช่นทุกครั้ง ทั้งคู่บอกรักกันไปเรื่อย ๆ จนลูกกระต่ายเริ่มง่วง และก่อนที่จะเข้านอนนั้นก็ได้บอกกับพ่อว่า “หนูรักพ่อเท่ากับต้องเดินทางไปพระจันทร์เลย” พ่อกระต่ายจึงตอบกลับมาว่า “โอ้ มากขนาดนั้นเชียวหรือ นั่นไกลมากเลยนะ ถ้าอย่างนั้น สำหรับพ่อ พ่อก็รักลูกมากเท่ากับเดินทางไป-กลับพระจันทร์นั่นแหละ” หรือ “ I love you right up to the moon and back” ซึ่งก็กลายมาเป็น “I love you to the moon and back” นั่นเอง 

อีกทฤษฎีหนึ่งที่มีการคำนวณอย่างจริงจังก็คือ ใน 1วัน หัวใจของมนุษย์จะสามารถผลิตพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถบรรทุกได้ 20 ไมล์ ดังนั้นถ้ายึดตัวเลขนี้ใน 1 ปีหัวใจจะผลิตพลังงานคิดเป็นระยะทางได้ 7,300 ไมล์ หากมนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยที่ 70 ปี เท่ากับว่าในชั่วอายุขัยของคนคนหนึ่งหัวใจจะผลิตพลังงานได้สำหรับการเดินทางราว 511,000 ไมล์ การเดินทางไป-กลับดวงจันทร์เป็นระยะทาง 477,710 ไมล์ ดังนั้นการบอกใครสักคนด้วยประโยคนี้ก็อาจแปลได้ว่า เราจะรักคนๆนั้นจนหัวใจสูบฉีดพลังงานจนหมด หรือรักไปจนชั่วชีวิตนั่นเอง 

หากมีใครพูดประโยคนี้กับคุณแล้วคุณตอบกลับไปว่า “to the moon & never back” นั่นคือการตอบรับรักและสัญญาว่าจะไม่แยกจากกันนั่นเอง

ในหลวง เสด็จฯ เชียงใหม่ ทรงสืบสานประเพณีแห่งล้านนา สะท้อนสัมพันธ์แนบแน่นสถาบันพระมหากษัตริย์และเจ้านายฝ่ายเหนือ

รู้หรือไม่? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงสืบสานประเพณีแห่งล้านนา ในการเสด็จประพาสเชียงใหม่

การเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปยังจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2568 เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงการบริหารจัดการพระราชกิจและการสืบสานประเพณีสำคัญของชาติ ทั้งยังตอกย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และเจ้านายฝ่ายเหนือ

พิธีบายศรีทูลพระขวัญ: การแสดงออกถึงความจงรักภักดีของเจ้านายฝ่ายเหนือ

หนึ่งในจุดเด่นของการเสด็จฯ ครั้งนี้คือพิธีบายศรีทูลพระขวัญ ซึ่งถือเป็นประเพณีที่เจ้านายฝ่ายเหนือจัดขึ้นอย่างวิจิตรเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระมหากษัตริย์ พิธีนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของล้านนา แต่ยังแสดงถึงความจงรักภักดีและความผูกพันของเจ้านายฝ่ายเหนือที่มีต่อพระมหากษัตริย์ในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชาติ

พิธีบายศรีที่จัดขึ้นครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากเจ้านายฝ่ายเหนือซึ่งนำขบวนรำบายศรีด้วยความสง่างาม สื่อถึงบทบาทอันสำคัญของเจ้านายฝ่ายเหนือในฐานะผู้สืบทอดประเพณีและตัวแทนความภาคภูมิใจของล้านนา การรำบายศรีไม่เพียงเป็นการต้อนรับพระมหากษัตริย์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่สืบทอดจากอดีตถึงปัจจุบัน เจ้าวงศ์สักก์ ณ เชียงใหม่ ประมุขสายสกุล ณ เชียงใหม่ และเจ้าอาวรเทวี ณ ลำพูน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ผูกข้อพระหัตถ์ขวาและซ้ายในหลวงและพระราชินี

บทเรียนจากประวัติศาสตร์: ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และล้านนา
เหตุการณ์นี้ชวนให้นึกถึงการเสด็จประพาสเชียงใหม่ในอดีต เช่น รัชกาลที่ 7 เมื่อปี พ.ศ. 2469 ซึ่งพระองค์ได้รับการต้อนรับด้วยขบวนช้างจำนวน 80 เชือกที่ตกแต่งอย่างวิจิตร พร้อมการแสดงรำและดนตรีพื้นบ้านล้านนา เจ้านายฝ่ายเหนือในเวลานั้นได้มีบทบาทสำคัญในการต้อนรับและแสดงความจงรักภักดีแด่พระมหากษัตริย์แต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

ความสำคัญของการจัดการประเพณีที่ยั่งยืน การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการกิจกรรมและประเพณีอย่างยั่งยืน ไม่เพียงเพื่อธำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันล้ำค่าของล้านนา แต่ยังตอกย้ำถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างเจ้านายฝ่ายเหนือกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นของชาติ

ดังนั้น การเสด็จประพาสเชียงใหม่ครั้งนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสืบสานประเพณีและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่มีมายาวนาน ทั้งในด้านวัฒนธรรม ความจงรักภักดี และการบริหารจัดการกิจกรรมสำคัญของชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top