‘Casino’ กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่สังคมไทยกำลังพูดถึง หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (ENTERTAINMENT COMPLEX) โดยได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำไปปรับปรุงรายละเอียด ก่อนส่งต่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ซึ่งรัฐบาลได้ยืนยันว่า ‘ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร’ จะมีการอนุญาตให้เปิด ‘Casino’ ด้วย จะทำให้ประเทศเติบโตและมีตัวเลข GDP สูงขึ้นอย่างมาก และจะทำให้เกิดผลดีให้กับประเทศในอนาคต
‘Casino’ เป็นสถานที่สำหรับการพนัน มักสร้างขึ้นใกล้หรือรวมกับโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก เรือสำราญ หรือแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ‘Casino’ หลายแห่งยังเป็นที่รู้จักในสถานะสถานที่จัดงานบันเทิงแสดงสด อาทิ ละคร คอนเสิร์ต และกีฬา ฯลฯ ‘Casino’ แห่งแรกของยุโรปที่แม้จะไม่ได้เรียกว่า ‘Casino’ แต่มีลักษณะตรงตามคำจำกัดความในปัจจุบันคือ ‘Ridotto’ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ในปี 1638 โดยมติของที่ประขุมใหญ่แห่งสภาเมืองเวนิสเพื่อควบคุมการพนันในช่วงเทศกาลคาร์นิวัล บ่อนแห่งนี้ถูกปิดตัวลงในปี 1774 เนื่องจากสภาเมืองเวนิสได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กิจการของ ‘Ridotto’ ทำให้ประชาชนพลเมืองชาวเวนิสนั้นต่างพากันยากจนลง
ปัจจุบัน การพนันเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ทั่วโลกและมี ‘Casino’ อยู่ในเกือบทุกประเทศ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในการแข่งขัน ‘Casino’ มากที่สุดในโลก ตามข้อมูลของ WorldCasinoDirectory สหรัฐอเมริกามี ‘Casino’ ที่ได้รับอนุญาต 2,147 แห่งและโรงแรม ‘Casino’ 619 แห่งในเมืองการพนัน 920 เมือง ตามข้อมูลของสมาคมการพนันของอเมริกา ตลาดการพนันในสหรัฐอเมริกามีส่วนสนับสนุนต่อเศรษฐกิจเกือบ 261 พันล้านดอลลาร์ต่อปีและรองรับการจ้างงาน 1.8 พันล้านตำแหน่งทั่วประเทศ ตามหลังสหรัฐอเมริกา โรมาเนียเป็นผู้นำในการแข่งขันที่มี ‘Casino’ มากที่สุดในโลก โดยมี ‘Casino’ ทั้งหมด 454 แห่ง ตามมาด้วยสาธารณรัฐเช็ก สเปน และสหราชอาณาจักร โดยมี ‘Casino’ 423, 314 และ 309 แห่ง ตามลำดับ
ศูนย์กลางการพนันสองแห่งของโลกได้แก่ มาเก๊า และลาสเวกัส ‘มาเก๊า’ ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษของจีนเป็นสถานที่เดียวในประเทศจีนที่ ‘Casino’ ถูกกฎหมาย การพนันถูกกฎหมายมาตั้งแต่ทศวรรษ 1850 เมื่อ รัฐบาล โปรตุเกสประกาศให้กิจกรรมในอาณานิคมปกครองตนเองแห่งนี้ถูกกฎหมาย หลังจากการส่งมอบมาเก๊าจากโปรตุเกสให้จีน มาเก๊าและธุรกิจได้เติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2001 เมื่อรัฐบาลยุติการผูกขาดการพนันที่กินเวลานานสี่ทศวรรษของ Stanley Ho มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ด้วยการเข้ามาของ ‘Casino’ ต่างชาติขนาดใหญ่ จากลาสเวกัสและออสเตรเลีย ปัจจุบันมาเก๊าแซงหน้าลาสเวกัสในด้านรายได้จากการพนันในปี 2007 และตั้งแต่นั้นมา มาเก๊าก็เป็นที่รู้จักทั่วโลกในฐานะ 'เมืองหลวงแห่งการพนันของโลก' โดยทำรายได้จากการพนันสูงสุด แซงหน้าเมืองการพนันอื่น ๆ ไปอย่างมาก มาเก๊ามี ‘Casino’ 49 แห่ง และโรงแรม ‘Casino’ อีก 58 แห่ง สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่า รายได้ของ ‘Casino’ ในมาเก๊าพุ่งสูงขึ้น 366% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 1.93 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม 2023 ปัจจุบันการท่องเที่ยวเชิงการพนันเป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของมาเก๊าคิดเป็นประมาณ 50% ของเศรษฐกิจ โดยนักท่องเที่ยวเพื่อการพนันส่วนใหญ่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง
ลาสเวกัส มลรัฐเนวาดา เป็นเมืองที่มี ‘Casino’ มากที่สุดในโลก ข้อมูลจำนวน ‘Casino’ จาก WorldCasinoDirectory ระบุว่า ลาสเวกัสมี ‘Casino’ มากกว่า 170 แห่ง และโรงแรม ‘Casino’ อีกมากกว่า 90 แห่ง ในขณะที่มลรัฐเนวาดาโดยรวมมี ‘Casino’ ที่ได้รับอนุญาต 404 แห่ง และโรงแรม ‘Casino’ รวม 178 แห่งใน 45 เมืองของมลรัฐนี้ ตามรายงานของสมาคมการพนันของอเมริกา มลรัฐเนวาดามีรายได้จากการพนันเชิงพาณิชย์รายเดือน 1.15 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน 2023 เนวาดาจึงเป็นมลรัฐเดียวที่มีรายได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในขณะที่รายได้รายเดือนของมลรัฐอื่น ๆ ทั้งหมดในเดือนเดียวกันน้อยกว่า สำหรับ ลาสเวกัสและมาเก๊าจึงเป็นเพียงสองเมืองการพนัน (Casino city) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ‘Casino’ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากรอย่างแน่นอน โดย ‘Casino’ ในลาสเวกัสยุคเริ่มแรกนั้นถูกครอบงำและบงการโดยกลุ่มมาเฟียอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียน และ ‘Casino’ ในมาเก๊าถูกครอบงำและบงการโดยกลุ่มสามก๊ก (Macau Triads) ตามรายงานของตำรวจสหรัฐฯ ระบุว่า อาชญากรรมในพื้นที่ที่มี ‘Casino’ มักเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือสามเท่าภายในสามปีหลังจาก ‘Casino’ เปิดทำการ ในรายงานปี 2004 ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ นักวิจัยได้สัมภาษณ์ผู้ที่ถูกจับกุมในลาสเวกัสและเดส์โมนส์ และพบว่าเปอร์เซ็นต์ของนักพนันที่มีปัญหาหรือเป็นโรคในกลุ่มผู้ถูกจับกุมนั้นสูงกว่าประชากรทั่วไปถึงสามถึงห้าเท่า
ท่ามกลางความกังวลของคนในสังคมในเรื่องของ ‘Casino’ ซึ่งจะรวมอยู่ใน “ENTERTAINMENT COMPLEX” นั้น จะส่งผลอย่างไรต่อสังคมไทยโดยรวม จึงเป็นปัญหาและประเด็นพิจารณาที่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะต้อง พินิจ พิจารณา ไตร่ตรอง และใคร่ครวญ เป็นอย่างดีที่สุด ด้วยเพราะความจริงก็คือ ‘การพนัน’ นั้นเป็นข้อหนึ่งใน 'อบายมุข 6' หรือ วิถีชีวิต 6 อย่าง แห่งความโลภ และความหลงที่ทำให้เกิดความเสื่อม ความฉิบหายของชีวิต อันประกอบด้วย
1. ดื่มน้ำเมา (Addiction to intoxicants) คือ พฤติกรรมชอบดื่มสุราเป็นนิจ
2. เที่ยวกลางคืน (Roaming the streets at unseemly hours) คือ พฤติกรรมชอบเที่ยวกลางคืนเป็นนิจ
3. เที่ยวดูการละเล่น (Frequenting shows) คือ พฤติกรรมชอบเที่ยวดูการแสดงหรือการละเล่นเป็นนิจ
4. เล่นพนัน (Indulgence in gambling) คือ พฤติกรรมชอบ เล่นพนันเป็นนิจ
5. คบคนชั่วเป็นมิตร (Association with bad companions) คือ พฤติกรรมชอบคบหาคนพาลเป็นนิจ
6. เกียจคร้านการงาน (Habit of idleness) คือ พฤติกรรมชอบเกียจคร้านในการงานเป็นนิจ
แม้ว่า รัฐบาลและฝ่ายที่สนับสนุนจะได้หยิบยกประโยชน์มากมายจากการให้มี ‘Casino’ ใน ‘ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร’ แต่พิษภัยและโทษของการพนันนั้นมีมากมายได้แก่ การสูญเสียเงินหรือความเสียหายทางการเงินเป็นความเสียหายจากการพนันเป็นอันดับแรก เมื่อนึกถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการพนัน อย่างไรก็ตาม ยังมีอันตรายประเภทอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ที่ เล่นพนัน อันตรายเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อผู้ที่ เล่นพนันมากขึ้น เล่นพนันบ่อยขึ้น หรือมีลักษณะอื่น ๆ ที่ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่ออันตรายจากการพนันมากขึ้น ความเสี่ยงต่ออันตรายต่าง ๆ ในการ เล่นพนัน ได้แก่ :
1. ความเสียหายทางการเงิน การกัดเซาะการเก็บออม นำไปสู่การล้มละลาย
2. ความขัดแย้งในความสัมพันธ์ การละเลยความสัมพันธ์กับคนสำคัญ ลูก ๆ ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูง
3. ความทุกข์ทางอารมณ์หรือจิตใจจากการแยกตัวออกจากสังคมปกติ รู้สึกผิด เหงา และโดดเดี่ยว มีการรับรู้ที่ผิดเพี้ยน และอาจกลายเป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย
4. ประเด็นด้านสุขภาพ ระดับการดูแลตนเองลดลง การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้น นำไปสู่การใช้สารเสพติดผิดกฎหมาย
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีโอกาสที่จะป่วยด้วยโรคชนิดนี้อีกด้วย ‘โรคติดการพนัน’ (Pathological Gambling หรือ Gambling Disorder) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการ เล่นพนันที่ซ้ำซากและต่อเนื่อง แม้ว่าการพนันจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมายในหลายด้านของชีวิตก็ตาม ซึ่งบุคคลในทุกช่วงวัยอาจประสบปัญหาจากโรคติดการพนัน ผู้ที่ประสบปัญหาจากโรคติดการพนันจะมีปัญหาในการควบคุมจิตใจต่อการเล่นพนัน บุคคล ครอบครัว และสังคม ย่อมได้รับผลกระทบจากโรคติดการพนัน
ผู้ที่มีอาการติดการพนันอาจมีช่วงที่อาการทุเลาลง การพนันอาจดูไม่เป็นปัญหาในช่วงที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น โดยอายุที่น้อยกว่าและเพศชายอาจเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่อาการของโรคติดการพนันอาจเริ่มได้ในทุกช่วงอายุ ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเริ่ม เล่นพนันในช่วงอายุน้อยกว่าผู้หญิง แต่ผู้หญิงอาจพัฒนาไปสู่ปัญหาการพนันได้เร็วกว่ามาก บาดแผลทางจิตใจและความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม โดยเฉพาะในผู้หญิง อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงได้เช่นกัน รายได้ต่ำ การว่างงาน และความยากจนยังเชื่อมโยงกับโรคติดการพนันอีกด้วย ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนที่มีปัญหาติดการพนันได้รับการแสดงให้เห็นว่า มีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของโอกาสในการ เล่นพนัน
การรักษาโรคติดการพนัน บางคนสามารถเลิกเล่นพนันได้ด้วยตนเอง แต่หลายคนต้องการความช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาการพนันของตนเอง มีเพียง 1 ใน 10 คนที่มีอาการติดการพนันเท่านั้นที่เข้ารับการบำบัด การพนันส่งผลต่อผู้คนในรูปแบบต่าง ๆ การพนันสามารถเปลี่ยนส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับการได้รับรางวัลหรือความตื่นเต้นได้ การรักษาอาการผิดปกติจากการพนันสามารถช่วยย้อนกลับเส้นทางเหล่านี้ให้กลับมาทำงานตามปกติของสมองก่อนเริ่ม เล่นพนันได้ วิธีการที่แตกต่างกันอาจได้ผลดีกว่าสำหรับคนต่างกลุ่ม การบำบัดหลายประเภทถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอาการผิดปกติจากการพนัน รวมถึงการบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา การบำบัดแบบจิตวิเคราะห์ การบำบัดแบบกลุ่ม และการบำบัดครอบครัว
การให้คำปรึกษาสามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจในเรื่องของการเล่นพนัน และได้คิดว่า การเล่นพนันส่งผลต่อพวกเขาและครอบครัวอย่างไร นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้ผู้คนพิจารณาทางเลือกและแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย ปัจจุบันยังไม่มียาที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับรักษาอาการผิดปกติจากการเล่นพนัน ยาบางชนิดอาจช่วยรักษาอาการที่เกิดร่วมกัน เช่น ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน ๆ อาจมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวจากโรคติดการพนัน
ผลกระทบของ ‘Casino’ ต่อเมืองและชุมชนนั้น แม้จะมีทั้งผลดีและผลเสีย แต่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น บริบทเฉพาะของสถานที่ กฎระเบียบที่ใช้ และวิธีดำเนินงานของ ‘Casino’ ต่อไปนี้คือประเด็นสำคัญบางประการสำหรับทั้งผลดีและผลเสีย :
ประโยชน์ของ ‘Casino’
การเติบโตทางเศรษฐกิจ :
-การสร้างงาน: ‘Casino’ มักสร้างงานจำนวนมาก ทั้งโดยตรง (เช่น ในอุตสาหกรรมเกม การบริการ) และโดยอ้อม (เช่น ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง การบำรุงรักษา และบริการในท้องถิ่น)
-การท่องเที่ยว: ‘Casino’ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ ช่วยส่งเสริมธุรกิจในท้องถิ่น เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า
-รายได้จากภาษี: เงินทุนสาธารณะ: ‘Casino’ มีส่วนสนับสนุนรายได้จากภาษีในท้องถิ่นและของรัฐ ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และการดูแลสุขภาพ
การพัฒนาเมือง :
-การฟื้นฟู: ในบางกรณี ‘Casino’ สามารถนำไปสู่การฟื้นฟูพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นและพื้นที่สาธารณะได้รับการปรับปรุง
-เพิ่มตัวเลือกความบันเทิง: ‘Casino’ มักเสนอตัวเลือกความบันเทิงต่าง ๆ รวมถึงการแสดง ร้านอาหาร และสถานบันเทิงยามค่ำคืน ซึ่งช่วยเสริมวัฒนธรรมของเมือง
อันตรายจาก ‘Casino’
-การติดการพนัน: ปัญหาทางสังคม: การเข้าถึงการพนันที่มากขึ้นอาจนำไปสู่อัตราการติดการพนันที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อบุคคลและครอบครัว รวมถึงความล้มละลายทางการเงินและปัญหาสุขภาพจิต
-อัตราการเกิดอาชญากรรม: อาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น: การศึกษาวิจัยบางกรณีชี้ให้เห็นว่า ‘Casino’ อาจนำไปสู่อัตราการเกิดอาชญากรรมที่สูงขึ้น รวมถึงการโจรกรรมและอาชญากรรมรุนแรง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพนัน
-การอพยพทางเศรษฐกิจ: ธุรกิจในท้องถิ่น: แม้ว่า ‘Casino’ จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ แต่ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจในท้องถิ่นที่ไม่สามารถแข่งขันกับทรัพยากรและการตลาดของ ‘Casino’ ได้
-ต้นทุนทางสังคม: ความตึงเครียดในชุมชน: ต้นทุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการติดการพนันและปัญหาที่เกี่ยวข้องอาจกดดันทรัพยากรของชุมชน รวมถึงการดูแลสุขภาพและบริการทางสังคม ความไม่เท่าเทียมกัน
-ผลกระทบที่ไม่สมส่วน: ผลกระทบเชิงลบของการพนันมักส่งผลกระทบต่อชุมชนที่มีรายได้น้อยอย่างไม่สมส่วน ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันและการแบ่งชั้นทางสังคมมากขึ้น
‘Casino’ จะมีประโยชน์หรือเป็นอันตรายต่อเมืองและชุมชนมากกว่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับว่าผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับการจัดการดีเพียงใด และผลกระทบเชิงลบได้รับการบรรเทาลงเพียงใด กฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพ โปรแกรมสนับสนุนชุมชน และโครงการการพนันอย่างรับผิดชอบมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มผลประโยชน์สูงสุด ในขณะที่ต้องลดภัยอันตรายต่าง ๆ ให้เหลือน้อยที่สุด ชุมชนแต่ละแห่งอาจได้รับผลกระทบเหล่านี้แตกต่างกันไป ดังนั้นบริบทในท้องถิ่นจึงมีความสำคัญในการประเมินผลกระทบโดยรวมของ ‘Casino’
ส่วนตัวผู้เขียน ขอน้อมฯ นำ ยึดตามพระราชดำริของล้นเกล้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งปรากฏในพระราชนิพนธ์ ‘ไกลบ้าน’ ด้วยทรงเห็นถึงภัยของการพนัน จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาถึง กรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยมีข้อความดังนี้
“จุฬาลงกรณ์ ปร. VITA NOBEL SAN REMO ถึงกรมดำรง ฉันได้ส่งของที่รลึกมอนติกาโล คือเหรียญร้อยแฟรงก์ที่เขาสำหรับเล่นเบี้ยกัน ๓ เหรียญ หม้อมูตรลงยา ๔ หม้อ ตุ้มหู้ไข่นกการเวก ๑ คู่ มาโดยบุกโปสต ขอให้ส่งให้เจ้าสายได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไร ๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเรา น่ากลัวอย่างยิ่ง จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเปนคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก ได้จดหมายเรื่องราวมาที่หญิงน้อย เมื่ออยากทราบก็ให้ขอดูเถิด สยามินทร์”