Tuesday, 1 July 2025
Columnist

เปิดประวัติ ว่าที่ประธานาธิบดี ‘Donald Trump’ ชีวิตส่วนตัว!! ในมุมที่ไม่มีใครเคยรู้

(9 พ.ย. 67) 10 ข้อเท็จจริงที่ใครอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับว่าที่ประธานาธิบดี Donald Trump

1. ชื่อเล่นวัยเด็ก : ในวัยเด็ก โดนัลด์ ทรัมป์ มีชื่อเล่นว่า ‘ดอนนี่; แม้ในปัจจุบันเขาจะไม่ค่อยถูกใครเรียกด้วยชื่อนี้แล้วก็ตาม 

2. ดาวบนฮอลลีวูดวอล์คออฟเฟม : บทบาทของเขาในรายการ The Apprentice และ Celebrity Apprentice ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและทำให้ภาพลักษณ์ของเขาที่ดูเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ จนทำให้ทรัมป์ได้รับดาวบนฮอลลีวูดวอล์คออฟเฟมในปี 2007 จากบทบาทในรายการ แต่ดาวของเขามักถูกทำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากนั้นแล้วทรัมป์เคยปรากฏตัวในภาพยนตร์และรายการทีวีหลายรายการในฐานะตัวเขาเอง การปรากฏตัวที่มีชื่อเสียงของเขารวมถึง Home Alone 2: Lost in New York, The Fresh Prince of Bel-Air, และ Sex and the City อีกด้วย

3. ทรัมป์และเกียรติยศในวงการมวยปล้ำ : ทรัมป์เคยปรากฏตัวใน WWE (เวิลด์เรสลิงเอนเตอร์เทนเมนต์) และขึ้นสังเวียนใน WrestleMania 23 ในปี 2007 เขา ‘ต่อสู้’ กับวินซ์ แม็กมาฮอน ซีอีโอของ WWE ในศึก ‘Battle of the Billionaires’ ซึ่งตัวแทนของทรัมป์เป็นผู้ชนะ ทำให้เขาโกนหัวแม็กมาฮอน

4. ความชอบในอาหารฟาสต์ฟู้ด : แม้จะมีความมั่งคั่ง แต่ทรัมป์กลับชอบรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น แมคโดนัลด์ เขาเคยบอกว่าเขาไว้ใจในอาหารเหล่านี้ เพราะมาตรฐานความสะอาดและความสม่ำเสมอของแบรนด์

5. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ : ทรัมป์ไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์เลยในชีวิต ซึ่งเป็นการให้เกียรติแก่เฟร็ด ทรัมป์ จูเนียร์ พี่ชายที่ต่อสู้กับการติดแอลกอฮอล์ก่อนที่จะเสียชีวิต

6. จบการศึกษาจากวอร์ตัน : ทรัมป์เรียนที่ Wharton School of Finance ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และจบการศึกษาในสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเขาย้ายไปที่นั่นหลังจากเรียนที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมเป็นเวลา 2 ปี เพราะ Wharton เป็นที่รู้จักในด้านชื่อเสียงที่แข็งแกร่งในหลักสูตรธุรกิจและการเงิน

7. ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมายาวนานที่สุด : ทรัมป์เคยคิดจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่ทศวรรษ 1980 หลังจากที่ใช้เวลาหลายสิบปีในการคิดสุดท้ายเขาลงสมัครอย่างเป็นทางการในปี 2016 และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 และทรัมป์เคยเปลี่ยนพรรคการเมืองหลายครั้ง เขาเคยเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เข้าร่วมพรรครีฟอร์มในปี 2000 แต่ถอนตัวออกไป และสุดท้ายเปลี่ยนมาอยู่กับพรรครีพับลิกันจนได้ลงสมัครและชนะการเลือกตั้งในปี 2016

8. ประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการทหารหรือการเมือง : ทรัมป์ทำลายสถิติด้วยการเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านทหารหรือการเมืองมาก่อน โดยพื้นฐานของเขาคือการเป็นนักธุรกิจและสื่อบันเทิง

9. ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสองครั้ง : ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสองครั้ง สภาผู้แทนราษฎรถอดถอนเขาครั้งแรกในปี 2019 และอีกครั้งในปี 2021 ทั้งสองครั้ง แต่วุฒิสภายกฟ้องเขา ทำให้เขาสามารถดำรงตำแหน่งได้จนครบวาระ

10. ความฝันในการเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล : ทรัมป์เคยพยายามเป็นเจ้าของทีม NFL โดยเขาเคยลงทุนในลีก USFL (ยูไนเต็ดสเตทฟุตบอลลีก) และหวังจะรวมลีกกับ NFL แต่ลีกดังกล่าวล้มเหลวก่อนที่จะเกิดขึ้น

‘วันคนโสด 11.11.‘ มหกรรมขายของออนไลน์แดนมังกร สู่แคมเปญใหญ่ที่ขยายไปเกือบทุกประเทศทั่วโลก

เทศกาล 11.11 หรือเทศกาลวันคนโสด วันที่ 11 พฤศจิกายน (11.11) เริ่มต้นขึ้นที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ในประเทศจีน โดยบริษัทได้พัฒนาจนกลายมาเป็นวันหยุดช้อปปิ้งระดับโลก ซึ่งเทียบได้กับกิจกรรมอย่าง Black Friday และ Cyber Monday ในสหรัฐอเมริกา เทศกาลนี้เริ่มจากกิจกรรมภายในประเทศและขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นทุกปี และเทศกาลนี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหนเราไปดูกันค่ะ

• ด้านตัวเลขยอดขายที่สูงลิ่ว
ในปี 2023 Alibaba และ JD.com สองยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีนรายงานการเติบโตของยอดขายในวันคนโสด 11.11 แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการก็ตาม เป็นปีที่สองติดต่อกันที่ทั้งสองบริษัทเลือกที่จะไม่เปิดเผยยอดขายในงานนี้ แต่ข้อมูลจาก Syntun ผู้ให้บริการด้านข้อมูลระบุว่า มูลค่าสินค้ารวม (GMV) บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลักๆ ในช่วงวันคนโสด 2023 เพิ่มขึ้น 2.08% เป็นประมาณ 1.14 ล้านล้านหยวน (หรือประมาณ 156.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) 

ส่วนในปี 2022 ยอดขายของ Alibaba เองสามารถทำยอดขายไปได้สูงถึง 84.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโตมากเมื่อเทียบกับยอดขายของ Prime Day ของ Amazon ที่ทำยอดขายไปได้เพียง 12.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

• ด้านการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นของแบรนด์ต่างประเทศ

ในปี 2023 Alibaba รายงานว่ามีแบรนด์จากทั่วโลกเข้าร่วมในวัน 11.11 กว่า 290,000 แบรนด์ โดยแบรนด์ระดับนานาชาติใหญ่ๆ อย่าง Apple, Nike และ L’Oreal ได้เสนอส่วนลดพิเศษ โดยแบรนด์จากสหรัฐฯ มีการเข้าร่วมสูงมาก โดยคิดเป็นประมาณ 15% ของยอดขายทั้งหมดในช่วง 11.11 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างพื้นฐานด้านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกสามารถเข้าถึงสินค้าต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

• ด้านผลกระทบต่อซัพพลายเชนและโลจิสติกส์

ความต้องการสูงสุดในวัน 11.11 กดดันให้ซัพพลายเชนและระบบโลจิสติกส์ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดย Cainiao ซึ่งเป็นฝ่ายโลจิสติกส์ของ Alibaba รายงานการจัดการพัสดุจำนวนมากในช่วงสองสัปดาห์หลังจากวัน 11.11 ในปี 2023 และนำเทคโนโลยีอัตโนมัติและ AI มาใช้เพื่อรับมือกับความต้องการสูงสุดนี้

• ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

ในปี 2023 ความสนใจของผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้น โดยการสำรวจของ Nielsen พบว่า 43% ของผู้ช้อปปิ้งในช่วงวัน 11.11 เลือกซื้อจากแบรนด์ที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

• ด้านการเข้าถึงทั่วโลกและการขยายตัว

แม้ 11.11 เริ่มต้นจากประเทศจีนแต่ได้กลายเป็นที่นิยมทั่วเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แพลตฟอร์ม Lazada รายงานว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 75% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับแรงหนุนจากประชากรที่อายุน้อยและการเติบโตของการช้อปปิ้งผ่านมือถือ

ด้านยุโรปเอง การช้อปปิ้งออนไลน์ในวัน 11.11 เติบโตขึ้น 18% ในปี 2023 เมื่อแพลตฟอร์มอย่าง AliExpress และร้านค้าท้องถิ่นเสนอข้อเสนอที่หลากหลาย ทำให้เป็นวันที่สำคัญในปฏิทินการช้อปปิ้งในช่วงเทศกาลนอกสหรัฐอเมริกาค่ะ

‘กบฏนักมวย’ ประวัติศาสตร์ที่คนจีนยากจะลืมเลือน เมื่อชาวรากหญ้าหาญกล้าลุกขึ้นต่อกรผู้รุกราน 8 ชาติ

วลีที่ว่า "ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ" มักจะเป็นจริงเสมอ ดังที่ปรากฏในบันทึกของประเทศนักล่าอาณานิคมตะวัตกที่ล่าเมืองขึ้นเพื่อดินแดนและทรัพยากรของอาณานิคมที่ตนครอบครอง เรื่องราวของ "‘กบฏนักมวย’ (Boxer Rebellion)" ก็เช่นเดียวกัน หากเราท่านได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของจีนที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดแล้ว จะพบว่า ข้อเท็จจริงคือ ‘กบฏนักมวย’ เป็นการต่อสู้ของชาวจีนผู้รักชาติกับพันธมิตร 8 ชาติที่รุกรานจีน อย่างที่เคยเขียนในหลายบทความให้ท่านผู้อ่านได้ทราบแล้วว่า การล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกและตะวันออกบางประเทศ คือ การปล้นแผ่นดินดี ๆ นั่นเอง ซึ่งเป็นการกระทำเยี่ยงเดียวกับโจรที่ชอบตามกฎหมายของประเทศแม่ของ ‘นักปล้น’ เหล่านั้น

‘กบฏนักมวย’ (Boxer Rebellion) หรือ “ศึกพันธมิตรแปดชาติ” เป็นการต่อต้านจักรวรรดินิยมและคริสต์ศาสนา ของชาวจีนซึ่งนำโดย "สมาคมอี้เหอถวน" ในศตวรรษที่ 19 ชาวต่างชาติได้เข้ามาค้าขายในประเทศจีนเป็นจำนวนมาก เมื่อนานเข้าก็เริ่มมีบทบาทและอิทธิพล มีการส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจีน ความวุ่นวายได้เริ่มขึ้นที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองชานตง อันเนื่องจากปัญหาที่ดินของวัดพุทธและโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มิชชันนารีได้ร้องเรียนว่า ที่ดินของวัดผืนหนึ่งเป็นของตนมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิคังซีแล้ว แต่ได้ถูกทิ้งร้างไปนาน ชาวบ้านในท้องถิ่นรู้สึกว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่เป็นธรรมกับตน เพราะเดิมเป็นวัดประจำหมู่บ้านแต่ต้องมาสร้างโบสถ์ในที่ดินของวัดแทนที่ จึงเกิดการจลาจลขึ้น โดยชาวบ้านได้จับมิชชันนารีเป็นตัวประกัน ทำลายโบสถ์นั้นและก่อการกบฏขึ้น ทั้งมีการจับกุมชาวอังกฤษในพื้นที่อีกด้วย 

ทหารจีนในกองทัพหลวงของรัฐบาลราชวงศ์ชิง

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการรวมกลุ่มของชาวจีนผู้รักชาติซึ่งเรียกว่า ‘กบฏนักมวย’ ขึ้น อันเป็นขบวนการของชนชั้นรากหญ้าซึ่งออกโจมตีและสังหารผู้ถือสัญชาติต่างประเทศ ทั้งชาวต่างประเทศที่เป็นหมอสอนศาสนา (มิชชันนารีชาวตะวันตก) และชาวจีนที่เป็นคริสต์ศาสนิก และเผาโบสถ์ ฯลฯ ทั่วทั้งภาคเหนือของประเทศจีน ตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2442-43 (ค.ศ. 1899 - 1900) โดยนักมวยจีนจะฝึกกังฟูด้วยเชื่อว่าจะสามารถต่อสู้กับผู้รุกรานจาก ยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นได้ ‘กบฏนักมวย’ได้ทำการลอบสังหาร และประณามชาวต่างชาติ โดยได้รับการสนับสนุนจากพระพันปีฉือสี่ (พระนางซูสีไทเฮา) ทั้งส่งกองทัพหลวงซึ่งมีกำลังราวหนึ่งแสนนาย ช่วยสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ หลังจาก ‘กบฏนักมวย’ ถูกปราบได้ไม่นานราชวงศ์ชิงก็ถูกโค่นล้ม 

Clemens von Ketteler บาทหลวงชาวเยอรมัน

หลังจากจีนแพ้สงครามจีน-ญี่ปุ่น จักรพรรดิกวางสูจึงทรงทำการปฏิรูปร้อยวัน ทำให้พระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) ทรงเข้ายึดพระราชอำนาจแล้วนำจักรพรรดิกวางสูขังไว้ และทรงร่วมมือกับ ‘กบฏนักมวย’ซึ่งมีความคิดอนุรักษนิยมเช่นเดียวกับพระนาง จนประมาณเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) ‘กบฏนักมวย’ได้ต่อสู้กับกองกำลังนานาชาติในเมืองเทียนจินและกรุงปักกิ่ง ทางสถานทูตสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย และญี่ปุ่น ที่อยู่ในสถานทูตในกรุงปักกิ่ง ได้นำกำลังมาปิดล้อมพระราชวังต้องห้าม การกระทำเช่นนี้ทำให้ ‘กบฏนักมวย’ จึงได้สังหาร Clemens von Ketteler บาทหลวงชาวเยอรมัน ในวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) วันต่อมาพระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) ทรงประกาศสงครามกับชาวต่างชาติเพื่อเป็นการต่อต้านอำนาจของชาวต่างชาติ แต่พวกข้าหลวงตามหัวเมืองกลับปฏิเสธการประกาศสงคราม ทั้งพวกปัญญาชนในเมืองเซี่ยงไฮ้ก็ยังได้ให้ความช่วยเหลือข้าหลวงในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนที่ต่อต้านการประกาศสงครามด้วย

สมาชิกของกลุ่มกบฎนักมวย ซึ่งมีทั้งหมดราว 300,000 คน

รัฐบาลของราชวงศ์ชิงและกองทัพสนับสนุนการปฏิบัติการของบรรดา ‘กบฏนักมวย’ ซึ่งมีราว 200,000 คน ทั้งยังยินยอมให้กองกำลัง’กบฏนักมวย’ ซึ่งนำโดยพลเอก หรง ลู่ (ขุนนางและรัฐบุรุษของจีนในยุคปลายราชวงศ์ชิง) เข้าปิดล้อมทูตานุทูตและพลเรือนต่างชาติซึ่งหลบภัยอยู่ในเขตค่ายพักของสถานอัครราชทูตต่างชาติในกรุงปักกิ่ง พันธมิตรกองทัพต่างชาติพยายามป้องกันค่ายดังกล่าวภายใต้คำสั่งของบาทหลวงชาวอังกฤษ เมื่อ’กบฏนักมวย’บุกเข้าไปในกรุงปักกิ่งได้สังหารชาวจีนที่เป็นคริสเตียนกว่าหนึ่งหมื่นคนและจับกุมชาวต่างชาติไปเป็นเชลยจำนวนมาก ข่าวการจลาจลจำนวนมากถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทั้งใน จีน ญี่ปุ่น ยุโรปและอเมริกา 

การบุกครั้งแรกภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย กองกำลังพันธมิตรแปดชาติประมาณ 2,000 คน ภายใต้การบัญชาการของนายพลเอ็ดเวิร์ด เซมอร์ ได้ส่งกำลังไปกรุงปักกิ่ง โดยการเดินทางจากท่าเรือต้ากูไปเมืองเทียนจินนั้นได้รับความร่วมมืออย่างดีจากข้าหลวงเมืองเทียนจินเป็นอย่างดี แต่การเดินทางจากเทียนจินไปกรุงปักกิ่งนั้นมีการตรวจตราชาวต่างชาติอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตามนายพลเซมอร์ก็สามารถนำทหารเดินเท้าเข้ากรุงปักกิ่งสำเร็จจนได้ แต่กองกำลังดังกล่าวถูกฝ่าย’กบฏนักมวย’ล้อม และทางรถไฟหลายสายถูกทำลาย ในที่สุดนายพลเซมอร์จึงตัดสินใจถอยกำลังกลับเมืองเทียนจินในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900)

การบุกครั้งที่สอง หลังจากนายพลเซมอร์ถอยทัพกลับเมืองเทียนจินแล้ว ทางกองกำลังนานาชาติจึงระดมกำลังทหารขึ้นมาใหม่ และในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1900 กองกำลังนานาชาติได้สร้างป้อมปราการขึ้นใกล้เมืองเทียนจินและท่าเรือต้ากูขึ้น ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) กองกำลังพันธมิตรแปดชาติ (อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลียของอังกฤษ อินเดียของอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรีย-ฮังการี อิตาลี และญี่ปุ่น) ประมาณ 51,755 นาย ภายใต้การบัญชาการของนายพลอัลเฟรด แกสลี  ประกอบด้วยกำลังจากญี่ปุ่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร  ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อิตาลี และออสเตรีย-ฮังการี ได้ยึดเข้ายึดเมืองเทียนจินในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) จากนั้นจึงยกกำลังจากเมืองเทียนจิน มายังกรุงปักกิ่ง และได้สู้รบกับกองทัพรัฐบาลของราชวงศ์ชิงหลายครั้งจนมีชัยชนะ สามารถปราบปราม’กบฏนักมวย’และเลิกการปิดล้อมได้เป็นผลสำเร็จ เชลยทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อย ในที่สุดกองกำลังพันธมิตรแปดชาติจึงเข้ายึดและปล้นกรุงปักกิ่ง ครั้งนั้นกองกำลังพันธมิตรแปดชาติมีกำลังราว 45,000 คน ที่สุดแล้ว รัฐบาลของราชวงศ์ชิงต้องยอมสงบศึกด้วยการทำพิธีสารนักมวยในปี พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901)

เมื่อกองทัพพันธมิตรแปดชาติบุกและยึดกรุงปักกิ่งเป็นผลสำเร็จเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) บทความวิจัยของ Kenneth Clark นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ ระบุว่า "หลังจากยึดกรุงปักกิ่งได้ ทหารจากกองทัพพันธมิตรแปดชาติก็ปล้นสะดมกรุงปักกิ่ง ทั้งยังปล้นชิงพระราชทรัพย์จากพระราชวังต้องห้าม ได้สมบัติจากจีนแล้วขนกลับไปยุโรปมากมาย" พระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) พร้อมด้วยจักรพรรดิกวางสู กษัตริย์จีน และเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่พากันหลบหนีจากพระราชวังต้องห้ามไปยังเมืองซีอานก่อนหน้าแล้ว และทรงส่งหลี่ หงจาง  ราชครู มาเจรจาสงบศึกกับกองทัพพันธมิตรแปดชาติในเวลาต่อมา ในระหว่างและภายหลังการจลาจล มีผู้คนซึ่งไม่ทราบจำนวนซึ่งเชื่อกันว่า เป็นพวกนักมวยถูกตัดศีรษะ เรื่องนี้นิยมนำมาทำเป็นภาพยนตร์สั้นในยุคแรก ๆ กันมาก แต่แม้มีภาพถ่ายยืนยัน พันธมิตรแปดชาติก็ยังคงปฏิเสธการกระทำดังกล่าวมาจนทุกวันนี้

จากบันทึกของนาวิกโยธินอเมริกันนายหนึ่งบันทึกว่า "เขาเห็นเหล่าทหารเยอรมันและรัสเซียเอาดาบปลายปืนแทงสตรีตายหลังจากข่มขืนกระทำชำเราพวกนาง" นอกจากนี้แล้วยังกล่าวกันว่า ในกรุงปักกิ่ง ‘ฝาน กั๋วเหลียง’ (Pierre-Marie-Alphonse Favier) มุขนายกชาวฝรั่งเศสออกประกาศซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 ถึง 26 สิงหาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) ว่า คริสต์ศาสนิกชนคาทอลิกสามารถลักทรัพย์ตามที่จำเป็นเพื่อประทังชีวิตก็ได้ และการลักเงิน 50 ตำลึงหรือต่ำกว่านั้น ไม่ต้องแจ้งและไม่ต้องใช้คืน แต่ตัวมุขนายกปฏิเสธเรื่องนี้
ความสูญเสีย 
- พันธมิตรแปดชาติ: ทหาร 2,500 นาย ชาวต่างชาติ 526 คน และชาวคริสต์จีนอีกนับหมื่นคน 
- จีน: กลุ่ม ‘กบฏนักมวย’ "ทั้งหมด" (ราว 200,000 คน)
- ทหารกองทัพรัฐบาลของราชวงศ์ชิง 20,000 นาย
* มีพลเรือนชาวจีนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ราว 20,000 คน

พิธีสารนักมวย (Boxer Protocol) หรือชื่ออย่างเป็นทางการในโลกตะวันตกว่า "พิธีสารสุดท้ายว่าด้วยการระงับความวุ่นวายระหว่างออสเตรีย-ฮังการี เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี บริเตนใหญ่ อิตาลี ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย สเปน สหรัฐ กับจีน ค.ศ. 1900 (Austria-Hungary, Belgium, France, Germany, Great Britain, Italy, Japan, Netherland, Russia, Spain, United States and China—Final Protocol for the Settlement of the Disturbances of 1900)" และชื่ออย่างเป็นทางการในประเทศจีนว่า" พิธีสารซินโฉ่ว" เป็นพิธีสารซึ่งลงลายมือชื่อกัน ณ วันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1901 ระหว่างจักรวรรดิชิง ในสมัยพระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) ฝ่ายหนึ่ง กับพันธมิตรแปดชาติ (ออสเตรีย-ฮังการี ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐ) เบลเยียม สเปน และเนเธอร์แลนด์ อีกฝ่ายหนึ่ง ภายหลังกองทัพพันธมิตรแปดชาติสามารถปราบ’กบฏนักมวย’ในประเทศจีนได้สำเร็จ โดยจีนถือว่า พิธีสารนี้เป็นหนึ่งในบรรดาสนธิสัญญาที่เอารัดเอาเปรียบ (Unequal treaties) โดยพระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) มีพระราชเสาวนีย์ตั้งเจ้าชายชิง ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดี (Prime Minister) และหลี่หงจาง ซึ่งเป็นราชครู (Grand Tutor) ให้เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการลงลายมือชื่อในพิธีสารนี้สำหรับจักรวรรดิชิง ส่วนฝ่ายพันธมิตรแปดชาติและพวกนั้นมี Bernardo de Cólogan y Cólogan และ Alfons Mumm von Schwarzenstein ลงลายมือชื่อในนามของสเปน Ernest Satow ในนามของบริเตนใหญ่ และ Komura Jutarō ในนามของญี่ปุ่น ตามลำดับ ใจความสำคัญเรียกร้องให้ผู้นำการก่อจลาจลที่จะได้รับลงโทษ และการชำระเงินเยียวยาแก่ประเทศที่ได้รับเสียหาย

ทหารของกองกำลังพันธมิตรแปดชาติ (อังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลียของอังกฤษ อินเดียของอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรีย-ฮังการี อิตาลี และญี่ปุ่น)

ผลจากการกระทำของประเทศตะวันตกเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จนทุกวันนี้จีนไม่ได้เชื่อถือหรือไว้วางใจชาติตะวันตกเลย แม้ว่า สภาพอาณานิคมในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไทยจะหมดไปนานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงทิ้งบาดแผล ปัญหา และความขัดแย้งอยู่จนบัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งของกลุ่มชนชาติต่าง ๆ ในเมียนมาร์ ความขัดแย้งในอินโดนีเซีย ปัญหาเขตแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ฯลฯ กรณีพิพาทมากมายหลายเรื่องในภูมิภาคนี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากผลพวงของชาติมหาอำนาจตะวันตกอดีตเจ้าอาณานิคมทั้งสิ้น ทั้งนี้ สังคมไทยในปัจจุบันเองได้มีความพยายามในการบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อนำมาใช้ปลุกปั่นให้เยาวชนหลงผิดคิดว่า การที่ไทยเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เป็นสาเหตุทำให้ประเทศล้าหลังมาถึงทุกวันนี้ คนไทยพูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ ระบบราชการก็ไม่ดี เช่นนี้แล้วเป็นประเทศอาณานิคมดีกว่า หลายคนเทิดทูนบูชาฝรั่งจนอยากให้ไทยเป็นอาณานิคมเลยทีเดียว หากแต่ได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ของประเทศอดีตอาณานิคมในภูมิภาคอาเซียนแล้ว จะพบว่า ลัทธิล่าอาณานิคมนั้น ประเทศเจ้าอาณานิคมเป็นผู้ได้เพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่ประเทศที่เป็นอาณานิคมแทบจะไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และรากเหง้าของตนเอง ทั้ง ๆ ที่ ความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมืองนั้น อยู่ที่การพัฒนาตนเองทั้งความคิดและพฤติกรรม ซึ่งจะทำให้คนในสังคมจะสามารถกำหนดอนาคตของชาติให้เป็นไปอย่างไรต่อไป

‘รัสเซีย’ เปิดตัว!! เครื่องบินรบรุ่นใหม่ ในงาน Airshow China 2024 เมืองจูไห่

งานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติแห่งประเทศจีน หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Airshow China หรือ Zhuhai Airshow เป็นนิทรรศการการค้าการบินและอวกาศที่สำคัญของจีน มีกำหนดจัดขึ้นทุกๆ สองปีในเมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 ถือเป็นงานแสดงทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน โดยปี ค.ศ. 2024 นี้ เป็นงานแสดงทางอากาศครั้งที่ 15 ซึ่งมีกำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-17 พฤศจิกายน 2567 นี้ โดยมีผู้ร่วมแสดงสินค้าจากต่างประเทศจาก 47 ประเทศ ราว 150 ราย โดยร่วมนำเสนอเครื่องบินทางทหารและพลเรือน เทคโนโลยีอวกาศ อาวุธ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และสงครามอิเล็กทรอนิกส์ โดยไฮไลต์สำคัญของงานนี้คือเครื่องบินรบจากฝั่งรัสเซีย 

โดยเมื่อวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา รัสเซียได้เปิดตัวเครื่องบินรบสเตลท์รุ่นที่ 5 รุ่นใหม่ซึ่งเป็น เครื่องบินความเร็วเหนือเสียงที่มีความคล่องตัวสูงรุ่น SU-57E [รุ่นส่งออก] ในงาน Airshow China 2024 ณ เมืองจูไห่ของจีน โดยเครื่องบินลำนี้ได้แสดงการบินผาดโผนโดยเซอร์เกย์ บ็อกดาน (Sergey Bogdan) นักบินทดสอบฝีมือดีชาวรัสเซีย ทั้งนี้เครื่องบินขับไล่หลายบทบาท Su-57 ได้รับการออกแบบมาให้หลบเลี่ยงเรดาร์และโจมตีเป้าหมายทางอากาศและภาคพื้นดินรวมถึงฐานป้องกันภัยทางอากาศ เครื่องบินดังกล่าวพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Sukhoi «Компания „Сухой“» โดยผสมผสานความสามารถในการพรางตัว ความคล่องตัวสูง การบินแบบซูเปอร์ครูซ ระบบอากาศยานแบบบูรณาการ และความจุในการบรรทุกขนาดใหญ่ โดยเครื่องบิน Su-57 ลำแรกเข้าประจำการในกองกำลังอวกาศของรัสเซีย ในปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้นายวาดิม บาเดคกา (Vadim Badekha) ซีอีโอของบริษัท United Aircraft Corporation (UAC) เผยว่า "เครื่องบิน Su-57 ถือเป็นเครื่องบินรุ่นที่ 5 ที่ดีที่สุดในโลก และด้วยคุณลักษณะหลายประการทำให้เครื่องบินรุ่นนี้ไม่มีใครเทียบได้" เขายังกล่าวเสริมว่า "เครื่องบินรุ่นนี้ได้รับความสนใจจากพันธมิตรระยะยาวเป็นเวลานานแล้ว" และ “มีหลายคนต่อคิวรอซื้อเครื่องบินรุ่นนี้อยู่” บริษัทรัสเทค (Rostec) ซึ่งเป็นบริษัทด้านการป้องกันประเทศของรัฐบาลรัสเซีย กล่าวถึงเครื่องบิน Su-57E ว่าเป็นดาวเด่นของงานนิทรรศการที่จัดขึ้นในประเทศจีน โดยระบุว่าเครื่องบินรุ่นนี้สามารถใช้กับอาวุธนำวิถีที่มีความแม่นยำสูงได้และอุปกรณ์ตรวจจับไม่สามารถตรวจจับได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางความขัดแย้งในยูเครน ในปี  ค.ศ. 2022 บริษัทรัสเทคได้ประกาศแผนที่จะเพิ่มการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 โดยระบุว่ากองทัพอากาศรัสเซียจะได้รับเครื่องบิน Su-57 ใหม่นี้

นอกจากเครื่องบินรบ Su-57 แล้ว หน่วยงานรัสอบารอนเอ็กพอร์ต (Rosoboronexport) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลรัสเซียที่ดูแลการค้าอาวุธระหว่างประเทศซึ่งเป็นผู้ร่วมจัดงานแสดงอาวุธร่วมของรัสเซียในงานนี้ยังจัดแสดงอาวุธ ยิงจากอากาศรุ่นล่าสุด เฮลิคอปเตอร์หลากหลายรุ่น และระบบป้องกันภัยทางอากาศอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีขีปนาวุธร่อน X-69 ซึ่งเป็นขีปนาวุธร่อน โจมตีจากอากาศสู่พื้นแบบสเตลท์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ รวมถึงขีปนาวุธนำวิถียิงจากอากาศ Grom-E1 ระเบิดทางอากาศที่แก้ไขแล้ว K08BE และระเบิดทางอากาศร่อนนำวิถี UPAB-1500B-E ในงานนี้ทางรัสเซียยังได้เปิดตัวเครื่องยนต์ AL51 รุ่นที่ 5 ที่ใช้ขับเคลื่อนเครื่องบิน Su-57 รุ่นใหม่อีกด้วย ซึ่งเป็นพระเอกของงาน โดยเครื่องยนต์ AL-51 ถือเป็นความสำเร็จด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศขั้นสูงที่สุดของรัสเซียที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 เช่น Su-57

บอยโก้ นิโคลอฟ (Boyko Nikolov ) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการบินจาก BulgarianMilitary.com ให้ความเห็นเกี่ยวกับเครื่องยนต์ AL51 เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เครื่องยนต์นี้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องยนต์หลักเท่านั้นแต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของ Su-57 ในฐานะเครื่องบินขับไล่ที่ทรงพลัง คล่องแคล่ว และล่องหนได้ เป็นเครื่องบินที่ท้าทายอำนาจทางอากาศของชาติตะวันตก ในปัจจุบันได้ AL-51 ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิศวกรรมการบินของรัสเซียและทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในศักยภาพการปฏิบัติภารกิจโดยรวมของเครื่องบิน Su-57

เมื่อมองจากภายนอก เครื่องยนต์ AL-51 แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพการทำงานที่หลากหลาย โครงสร้างที่มีระบบภายนอกและท่อต่าง ๆ มากมาย แสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่จัดวางอย่างพิถีพิถันและเชื่อมโยงกัน ส่วนประกอบทุกชิ้นได้รับการออกแบบมาให้รับมือกับการจัดการความร้อนได้อย่างเหมาะสมที่สุด แรงขับ และประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ที่คาดว่าจะทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและภายใต้สภาวะกดดันสูง การออกแบบเครื่องยนต์สะท้อนถึงความสมดุลระหว่างกำลัง ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ ซึ่งแต่ละส่วนมีความจำเป็นต่อการตอบสนองความต้องการของการรบสมัยใหม่

คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของเครื่องยนต์ AL-51 ประการหนึ่ง คือความสามารถในการควบคุมทิศทางแรงขับ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้นักบินสามารถควบคุมเครื่องบินให้บินไปในทิศทางที่เกินขีดจำกัดของอากาศพลศาสตร์ทั่วไปได้ โดยเปลี่ยนทิศทางแรงขับที่เกิดจากเครื่องยนต์ คุณสมบัตินี้ทำให้ Su-57 มีข้อได้เปรียบที่ไม่มีใครเทียบได้ในการต่อสู้ทางอากาศ ช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ หลบหลีกขีปนาวุธ หลบการยิงของศัตรู และได้รับความได้เปรียบในตำแหน่งในการต่อสู้แบบประชิดตัว โดยการกำหนดทิศทางแรงขับของ AL-51 ถูกควบคุมโดยชุดการเชื่อมโยงไฮดรอลิกและกลไกที่มองเห็นได้รอบพื้นที่หัวฉีด แสดงให้เห็นถึงวิศวกรรมแม่นยำที่จำเป็นในการทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือภายใต้สภาวะอุณหภูมิสูงและความเค้นมหาศาล

เค้าโครงภายนอกของเครื่องยนต์ยังแสดงให้เห็นระบบระบายความร้อนและระบายความร้อนที่ซับซ้อนอีกด้วย ที่ระดับความสูงและความเร็วสูงเครื่องยนต์จะต้องเผชิญกับความเครียดจากความร้อนอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในโหมดการเผาไหม้ต่อเนื่อง ซึ่งอุณหภูมิอาจสูงเกินหลายพันองศาฟาเรนไฮต์ เครื่องยนต์ AL-51 ใช้วัสดุขั้นสูงและสารเคลือบทนความร้อนเพื่อทนต่ออุณหภูมิดังกล่าวร่วมกับเครือข่ายท่อระบายความร้อนและวาล์วที่ซับซ้อนซึ่งควบคุมอุณหภูมิภายใน ซึ่งระบบจัดการความร้อนนี้มีความจำเป็นต่อการรักษาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ตลอดอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับเครื่องบินรบสมัยใหม่ที่ต้องพร้อมสำหรับภารกิจหลายครั้ง โดยต้องบำรุงรักษาน้อยที่สุด AL-51 ซึ่งเป็นจุดเด่นของเครื่องยนต์รุ่นที่ 5 ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดสัญญาณอินฟราเรด [IR] ลง ซึ่งการลดการปล่อยอินฟราเรดถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับปฏิบัติการล่องหน เนื่องจากความร้อนเป็นหนึ่งในวิธีหลักที่เซ็นเซอร์ของศัตรูใช้ในการตรวจจับเครื่องบิน โดยการใช้วัสดุพิเศษและแผ่นกันความร้อน รวมถึงการปรับการไหลของไอเสียให้เหมาะสมผ่านระบบระบายความร้อนและการผสมภายใน AL-51 ช่วยลดสัญญาณความร้อนของ Su-57 ทำให้เครื่องบินมีความสามารถในการเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่มีการสู้รบซึ่งกองกำลังของศัตรูอาจใช้ขีปนาวุธติดตามอินฟราเรดขั้นสูง

โครงสร้างภายในของเครื่องยนต์ประกอบด้วยโลหะผสมที่มีความแข็งแรงสูงและวัสดุผสม ซึ่งช่วยให้เครื่องยนต์มีความทนทานในขณะที่ยังคงรักษาน้ำหนักให้เหมาะสมได้ โครงสร้างน้ำหนักเบาโดยไม่ลดทอนความแข็งแกร่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องยนต์รุ่นที่ 5 ช่วยให้ Su-57 ทำความเร็วได้สูงขึ้นและประหยัดเชื้อเพลิงได้มากขึ้น ซึ่งองค์ประกอบของ AL-51 จะช่วยลดน้ำหนักโดยรวมของเครื่องบิน ซึ่งหมายความว่าเครื่องบินสามารถบรรทุกเชื้อเพลิง อาวุธ หรืออุปกรณ์สำคัญอื่นๆ ได้มากขึ้นโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับภารกิจระยะไกล ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกปอนด์ล้วนมีความสำคัญในแง่ของการประหยัดเชื้อเพลิงและความจุของน้ำหนักบรรทุก

ข้อได้เปรียบที่สำคัญของ AL-51 คือ การผสมผสานรวมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนเครื่องบินที่ทันสมัยและระบบควบคุมเครื่องยนต์แบบดิจิทัล เครื่องยนต์ใช้หน่วยควบคุมดิจิทัลขั้นสูงซึ่งตรวจสอบพารามิเตอร์ต่างๆ เช่น การไหลของเชื้อเพลิง ปริมาณอากาศเข้า และอุณหภูมิไอเสียอย่างต่อเนื่อง

ระบบควบคุมแบบดิจิทัลนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ ทำให้เครื่องยนต์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพการบินที่เปลี่ยนแปลงได้ทันที ถือเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับนักบินที่ต้องการการควบคุมที่แม่นยำในสถานการณ์การสู้รบ นอกจากนี้ ระบบนี้ยังช่วยให้สามารถวินิจฉัยและบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ได้ ลดระยะเวลาหยุดทำงานและทำให้ Su-57 พร้อมสำหรับภารกิจ

อย่างไรก็ตามความซับซ้อนของ AL-51 ทำให้มีปัญหาบางประการ แม้ว่าเครือข่ายท่อและข้อต่อภายนอกที่หนาแน่นจะบ่งบอกถึงความซับซ้อนของเครื่องยนต์ แต่ก็ทำให้ต้องมีการบำรุงรักษามาก ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ห่างไกลหรือท้าทาย เครื่องยนต์เหล่านี้อาจต้องใช้อุปกรณ์สนับสนุนเฉพาะทางและบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งอาจจำกัดความสามารถในการใช้งานเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ที่เรียบง่ายกว่า

ในแง่ของการพรางตัว แม้ว่า AL-51 จะมีคุณสมบัติในการลดอินฟราเรดบางประการ แต่ก็อาจไม่ถึงระดับการลดอินฟราเรดที่พบในเครื่องยนต์รุ่นที่ห้าของตะวันตก เช่น F135 ที่ใช้ใน F-35 สิ่งนี้อาจทำให้ Su-57 ถูกตรวจจับได้ง่ายขึ้นในบางสถานการณ์ อย่างไรก็ตามปรัชญาการออกแบบของรัสเซียมักให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความทนทานมากกว่าความสามารถในการพรางตัวเพียงอย่างเดียว โดยสร้างสมดุลระหว่างความสามารถในการตรวจจับกับความคล่องตัวในการใช้งานที่แข็งแกร่ง

ส่วนประกอบที่โดดเด่นอย่างหนึ่งที่มองเห็นได้ใน AL-51 คือส่วนเผาไหม้ท้าย เครื่องยนต์เผาไหม้ท้ายช่วยเพิ่มแรงขับอย่างมาก ทำให้ Su-57 สามารถบินด้วยความเร็วเหนือเสียงได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องยนต์แบบดั้งเดิม ทำให้สามารถบินแบบ “ซูเปอร์ครูซ” ได้ ซูเปอร์ครูซเป็นคุณสมบัติเฉพาะของเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 เนื่องจากช่วยให้บินด้วยความเร็วสูงได้โดยไม่ต้องเสียเชื้อเพลิงจำนวนมากจากการใช้ระบบเผาไหม้ท้าย

แม้ว่า AL-51 จะทำได้เพียงบางส่วน แต่รายงานบางฉบับระบุว่าเครื่องยนต์อาจไม่ประหยัดเชื้อเพลิงเท่าเครื่องยนต์ในเครื่องบินบางรุ่นของชาติตะวันตก ซึ่งอาจจำกัดความทนทานในภารกิจบางรูปแบบ

นอกจากนี้ การออกแบบเครื่องยนต์ยังรวมถึงการทำงานซ้ำซ้อนเพื่อเพิ่มความทนทานในสถานการณ์การรบ ระบบควบคุมซ้ำซ้อนและส่วนประกอบที่ทนทานต่อความผิดพลาดหมายความว่าหากระบบใดระบบหนึ่งเสียหาย เครื่องยนต์จะยังคงทำงานต่อไป ทำให้เครื่องบินสามารถกลับฐานได้ คุณสมบัตินี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความอยู่รอดของเครื่องบินในสภาพแวดล้อมที่มีภัยคุกคามสูงซึ่งอาจเกิดความเสียหายได้

บทบาทของ AL-51 ในการเสริมศักยภาพการปฏิบัติการของ Su-57 นั้นไม่สามารถพูดเกินจริงได้ โดยเครื่องยนต์นี้รองรับความเก่งกาจของ Su-57 ในบทบาทต่างๆ ตั้งแต่ความเหนือกว่าทางอากาศและการสกัดกั้น ไปจนถึงการโจมตีภาคพื้นดินและการลาดตระเวน การผสมผสานระหว่างความเร็ว ความคล่องตัว และความสามารถในการพรางตัวของ Su-57 ทำให้ Su-57 สามารถตอบสนองภารกิจต่าง ๆ ได้หลากหลาย ซึ่งแต่ละอย่างต้องใช้คุณลักษณะเฉพาะที่ AL-51 มอบให้

โดยสรุปแล้ว เครื่องยนต์ AL-51 ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรบของ Su-57 อย่างมาก โดยทำให้ Su-57 เทียบเท่ากับเครื่องบินรบรุ่นล่าสุด แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น ความต้องการในการบำรุงรักษาที่สูงขึ้นและความสามารถในการตรวจจับอินฟราเรดที่สูงขึ้น แต่ก็มีคุณสมบัติด้านประสิทธิภาพอันทรงพลังที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัว ความเร็ว และความยืดหยุ่นในการปฏิบัติภารกิจของ Su-57

เครื่องยนต์ AL-51 ช่วยให้ Su-57 ปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพในน่านฟ้าที่มีการสู้รบ โดยมอบตัวเลือกการรบทางอากาศขั้นสูงให้กับกองทัพอากาศรัสเซีย ในขณะที่ Su-57 ยังคงพัฒนาต่อไป เทคโนโลยีในเครื่องยนต์ เช่น AL-51 ก็จะพัฒนาตามไปด้วย โดยสัญญาว่าจะมีความสามารถที่มากขึ้นสำหรับการปฏิบัติการทางอากาศของรัสเซียในอนาคต

การพัฒนาเครื่องยนต์ AL-51 สำหรับเครื่องบินขับไล่ Su-57 รุ่นที่ 5 ของรัสเซียเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายทางเทคนิคและทางการเงิน ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษปี 2000 เป็นต้นมา วิศวกรชาวรัสเซียต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายในการสร้างเครื่องยนต์ที่สามารถเร่งความเร็วได้เร็วและควบคุมแรงขับขั้นสูงได้ในขณะเดียวกันก็ต้องลดอินฟราเรดของเครื่องบินเพื่อความสามารถในการพรางตัว การบรรลุข้อกำหนดเหล่านี้ต้องใช้วัสดุทนอุณหภูมิสูงแบบใหม่และวิศวกรรมที่ล้ำสมัย ซึ่งทำได้ยากเนื่องจากงบประมาณของรัสเซียมีจำกัดและไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงบางอย่างได้ เส้นทางสู่การสร้าง AL-51 นั้นจึงดำเนินไปอย่างช้าๆ โดยระยะเวลาของเครื่องยนต์ขยายออกไปเนื่องจากวิศวกรต้องจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความทนทาน การจัดการความร้อน และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง

ข้อจำกัดทางการเงินเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากงบประมาณด้านการป้องกันประเทศของรัสเซียถูกขยายออกไปสำหรับโครงการอื่นๆ หลายโครงการ ทำให้เงินทุนสำหรับการพัฒนาเครื่องยนต์ AL-51 ไม่คงที่ โดยบางครั้งการพัฒนาก็ช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง ทำให้ความสามารถในการควบคุมแรงขับของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญต่อความคล่องตัวของเครื่องบิน Su-57 ก่อให้เกิดความท้าทายทางเทคนิคที่สำคัญ เนื่องจากรุ่นก่อนๆ ไม่สามารถทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือภายใต้สภาวะกดดันสูง

ปัญหาเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก เมื่อชาติตะวันตกคว่ำบาตร ทำให้การเข้าถึงวัสดุและอุปกรณ์เฉพาะทางมีจำกัด ส่งผลให้วิศวกรของรัสเซียต้องหาทางเลือกในประเทศ ซึ่งเพิ่มเวลาและความซับซ้อนให้กับโครงการ

ในช่วงปลายทศวรรษที่ 2010 ในที่สุด AL-51 ก็พร้อมสำหรับการผลิตในจำนวนจำกัด แม้ว่าจะยังคงเผชิญกับความท้าทายในการใช้งาน เช่น ความทนทานที่ลดลงและประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ลดลงเมื่อเทียบกับเครื่องบินของชาติตะวันตก แม้ว่าจะมีฟังก์ชันการทำงานและทรงพลัง แต่ AL-51 ก็สะท้อนถึงการประนีประนอมหลายประการอันเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและภูมิรัฐศาสตร์

ในปัจจุบันเครื่องยนต์ AL-51 ยังคงได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจากวิศวกรของรัสเซียที่พยายามจะลดช่องว่างด้านประสิทธิภาพกับคู่แข่งในระดับนานาชาติ โดยเครื่องยนต์ AL-51 ได้แสดงออกถึงความเพียรพยายามของรัสเซียในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านอวกาศในการสร้างเครื่องยนต์เครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ที่สามารถแข่งขันกับตะวันตกภายใต้เงื่อนไขที่ท้าทายได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่รับประกันต่อความมั่นคงของรัสเซียท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและตะวันตกทั้งในปัจจุบันและอนาคต 

‘ปูติน’ ลั่น!! ไม่ยอมให้ ‘ยูเครน’ มีอาวุธนิวเคลียร์ แม้นักวิชาการตะวันตก จะออกมาให้การสนับสนุน

(18 พ.ย. 67) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวจากทางฝากยูเครนว่าเจ้าหน้าที่บางคนในเคียฟของยูเครนกำลังคิดใคร่ครวญในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มาเพื่อต่อกรกับทางรัสเซีย สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มจากความเสี่ยงที่โดนัลด์ ทรัมป์ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯอาจยุติการสนับสนุนของวอชิงตันต่อยูเครน ส่งผลให้ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีต้องดิ้นรนหาทางออกในการป้องปรามรัสเซียด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้แนวโน้มของสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีกล่าวในเดือนตุลาคมว่าเขาได้บอกกับทรัมป์ระหว่างการประชุมเมื่อเดือนกันยายนที่นิวยอร์กว่ายูเครนจะเข้าร่วมกับ NATO หรือไม่ก็พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งเซเลนสกีอ้างว่าทรัมป์ได้ยินเขาแล้ว และกล่าวว่า ‘เป็นการตอบโต้ที่ยุติธรรม’ อย่างไรก็ตาม คำแถลงของเซเลนสกีทำให้เกิดการคาดเดาว่าโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของยูเครนจะเป็นไปได้จริงหรือไม่จากมุมมองทางเทคโนโลยีและการเมือง จากการที่ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนมาอย่างยาวนาน วันนี้ผมจะมาไขข้อสงสัยข้อนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน

หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ.1991 ยูเครนได้รับมรดกจากคลังแสงนิวเคลียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก อย่างไรก็ตามภายใต้บันทึกข้อตกลงบูดาเปสต์ปี ค.ศ. 1994 เคียฟยอมจำนนต่อตะวันตกโดยยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์ของตนเพื่อแลกกับการรับประกันความปลอดภัยจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและรัสเซีย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาบันทึกข้อตกลงบูดาเปสต์ถูกโจมตีเนื่องจากรัสเซียละเมิดโดยการรุกรานยูเครนอย่างเปิดเผยโดยที่สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรไม่สามารถรับประกันความมั่นคงของยูเครนได้ แม้ว่าพวกเขาได้จัดหาอาวุธจำนวนมหาศาลให้กับเคียฟ หลังจากการรุกรานเต็มรูปแบบของรัสเซียเริ่มขึ้นในต้นปี ค.ศ. 2022 ในทางการเมืองเคียฟจะต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างมากหากตัดสินใจผลิตอาวุธนิวเคลียร์เพื่อใช้เป็นเครื่องป้องปรามรัสเซีย โดยอาจต้องเผชิญหน้ากับการตอบโต้ครั้งใหญ่จากพันธมิตรตะวันตกที่กองทัพยูเครนต้องพึ่งพาอาวุธธรรมดาเพื่อต่อสู้กับการรุกรานเต็มรูปแบบของรัสเซียซึ่งขณะนี้เข้าสู่ปีที่สามแล้ว 

นักวิชาการตะวันตกหลายคนออกมาสนับสนุนยูเครนให้มีอาวุธนิวเคลียร์เพื่อป้องปรามการรุกรานจากรัสเซีย ยกตัวอย่างเช่น คลอส มาธีเซน (Claus Mathiesen) อาจารย์ประจำสถาบันกลาโหมแห่งเดนมาร์กและอดีตผู้ช่วยทูตทหารประจำยูเครน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “เห็นได้ชัดว่าอาวุธนิวเคลียร์ก่อนหน้านี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการป้องปราม แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเครื่องมือที่น่ารังเกียจ โดยรัสเซียยึดครองดินแดนยูเครนได้ประมาณ 100,000 ตารางกิโลเมตร และกำลังขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตียูเครน หากดินแดนเหล่านี้ถูกยึดไป ความเป็นไปได้ประการหนึ่งสำหรับยูเครน คือการตอบโต้การป้องปราม โดยการจัดหาอาวุธนิวเคลียร์ด้วยตัวเอง” ดร.เจนนี มาเทอร์ส (Jenny Mathers) อาจารย์ด้านการเมืองระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยอาเบอริสต์วิธในสหราชอาณาจักร กล่าวว่าเซเลนสกี "แสดงเหตุผลที่ดีว่าทำไมรัฐต่างๆ มากมายจึงพยายามแสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ ... เพราะอาวุธนิวเคลียร์ถูกมองว่าเป็นผู้รับประกันความปลอดภัยขั้นสูงสุดจากการโจมตีโดยตรงโดยรัฐที่มีอำนาจมากกว่า แม้ว่าอาวุธนิวเคลียร์จะมีประโยชน์เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในสนามรบ และไม่ได้ป้องกันรัฐที่ครอบครองอาวุธเหล่านั้นจากการพ่ายแพ้ทางทหารด้วยน้ำมือของฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์” เจริ ลาวิไคเนน (Jyri Lavikainen) ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์ที่สถาบันกิจการระหว่างประเทศแห่งฟินแลนด์ เชื่อว่า “ยูเครนจำเป็นต้องมีการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์เพื่อประกันความมั่นคงที่ยั่งยืน ...การตัดสินใจของรัสเซียที่จะโจมตียูเครนและใช้มาตรการบังคับทางนิวเคลียร์นับตั้งแต่วันแรกของการรุกราน ได้เผยให้เห็นถึงอันตรายของการถูกทิ้งไว้นอกร่มนิวเคลียร์ ...การป้องปรามด้วยนิวเคลียร์เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อตอบโต้การบังคับขู่เข็ญด้วยนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม อกาสที่ดีที่สุดสำหรับยูเครนที่จะได้รับผลประโยชน์จากการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์คือการเข้ารับเป็นสมาชิกของ NATO โดยเร็วที่สุด”

แม้ว่าในปัจจุบันยูเครนจะไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ไม่ใช่มือใหม่ในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ ในสมัยสหภาพโซเวียต โรงงานพิฟเดนมาช (Pivdenmash) ในเมืองดนีโปร (Dnipro) ของยูเครนผลิตขีปนาวุธที่สามารถบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ได้ในขณะที่โรงงานเคมีปรีดนิพรอฟสกี้ (Prydniprovsky Chemical Plant) ในเมืองคาเมียนสค์ (Kamianske) แคว้นดนีโปรเปตรอฟสค์เป็นหนึ่งในกระบวนการแปรรูปแร่ยูเรเนียมสำหรับโครงการนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียต โดยเป็นผู้เตรียมเยลโลว์เค้กซึ่งเป็นขั้นตอนกลางในการแปรรูปแร่ยูเรเนียม นอกจากนี้ยังมีแหล่งสะสมยูเรเนียมในโชฟติ โวดี (Zhovti Vody) ในแคว้นดนีโปรเปตรอฟสค์อีกด้วย ยูเครนยังมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สี่แห่งในแคว้นซาโปริซเซีย, ริฟเน, คเมลนีตสกี และแคว้นมิโคลายิฟ แม้ว่าปัจจุบันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในแคว้นซาโปริซเซียอยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย

คำถามที่ว่ายูเครนสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้หรือไม่นั้น ปัจจุบันยูเครนไม่ได้ผลิตขีปนาวุธนิวเคลียร์แต่มันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับเคียฟที่จะสร้างมันขึ้นมา โรเบิร์ต เคลลี่ (Robert Kelley) วิศวกรที่มีประสบการณ์มากกว่า 35 ปีในศูนย์อาวุธนิวเคลียร์ของกระทรวงพลังงานกล่าวว่า “เป็นไปได้ที่ยูเครนจะสร้างระเบิดฟิชชันยูเรเนียมแบบดั้งเดิมภายในห้าปี..มันค่อนข้างง่ายที่จะทำในศตวรรษที่ 21 การสร้างระเบิดฟิชชันพลูโทเนียมของยูเครนจะยากกว่า และมันจะยากต่อการซ่อนด้วย โดยจะใช้เวลาห้าถึง 10 ปีในการสร้างเครื่องปฏิกรณ์พลูโตเนียม” เขายังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ยูเครนอาจจะสามารถสร้างอุปกรณ์นิวเคลียร์ที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการพัฒนาใดๆ โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากประเทศอื่น สำหรับอาวุธนิวเคลียร์ที่ซับซ้อนกว่านี้ จะต้องซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียและผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ชาวยูเครนต่างยืนยันว่ายูเครนมีความสามารถในการผลิตระเบิดนิวเคลียร์ โดยเสริมว่าอาจต้องใช้เวลาหลายปี” เจริ ลาวิไคเนน (Jyri Lavikainen) กล่าวว่า“ยูเครนจะมีความรู้และทรัพยากรที่จะกลายเป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์อย่างแน่นอน หากยูเครนตัดสินใจทำเช่นนั้น”เทคโนโลยีที่ต้องการนั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับหลายประเทศ และแน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับยูเครน เนื่องจากเป็นที่ตั้งองค์ประกอบสำคัญของศูนย์อาวุธนิวเคลียร์ของโซเวียต ตอนที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต” “...ยูเครนสามารถพัฒนาทั้งหัวรบนิวเคลียร์และยานพาหนะบรรทุกได้ เนื่องจากมีอุตสาหกรรมทางทหาร แหล่งสะสมยูเรเนียม และภาคพลังงานนิวเคลียร์ที่จำเป็น” 

นิโคไล โซคอฟ (Nikolai Sokov) เจ้าหน้าที่อาวุโสของศูนย์การลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายแห่งกรุงเวียนนา (the Vienna Center for Disarmament and Non-Proliferation) ให้ความเห็นว่า สำหรับยูเครนการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ "ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้แต่จะต้องใช้เวลาหลายปี เงินจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะต้องได้รับการสนับสนุนจากภายนอก อย่างน้อยก็ในด้านอุปกรณ์"” “ยูเครนไม่มีความสามารถทางอุตสาหกรรมในการผลิตและบำรุงรักษาคลังแสงนิวเคลียร์ ไม่มีวัสดุฟิสไซล์ ความสามารถในการเสริมสมรรถนะ การผลิตพลูโตเนียม และองค์ประกอบส่วนใหญ่ที่นำไปใช้ในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์” ในขณะที่ลิวิว โฮโรวิตซ์ (Liviu Horovitz) ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องปรามนิวเคลียร์แห่งสถาบันกิจการระหว่างประเทศและความมั่นคงแห่งเยอรมนี (the German Institute for International and Security Affairs) กล่าวด้วยว่ายูเครนจะต้องเผชิญกับความท้าทายหากตัดสินใจสร้างระเบิดนิวเคลียร์ เพราะโครงการอาวุธนิวเคลียร์ดังกล่าวอาจมีต้นทุนหลายพันล้านดอลลาร์ โดยโครงการระเบิดนิวเคลียร์แบบดั้งเดิมที่สุดที่เน้นไปที่เครื่องหมุนเหวี่ยงยูเรเนียมอาจมีราคาประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ โครงการระเบิดพลูโตเนียมจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์)

ในขณะเดียวกันการโจมตีทางอากาศของรัสเซียเป็นภัยคุกคามต่อโรงงานนิวเคลียร์ของยูเครน รัสเซียซึ่งมีคลังแสงมากมายทั้งขีปนาวุธธรรมดาและขีปนาวุธแบบธรรมดา สามารถโจมตีโรงงานใดๆ ของยูเครนที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่ยูเครนจะสามารถดำเนินโครงการนี้สำเร็จได้ตราบใดที่สงครามยังดำเนินต่อไป โดยรัสเซียจะดำเนินการโจมตีสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธนิวเคลียร์โดยเร็วที่สุดเท่าที่สามารถระบุได้เพื่อขัดขวางโครงการนิวเคลียร์รวมถึงการก่อวินาศกรรมและการลอบสังหารด้วย ซึ่งคล้ายกับการขัดขวางโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชาวอิหร่าน 5 คน ระหว่างปีค.ศ. 2010 – 2020 โดยอิสราเอล

นอกจากนี้การสร้างระเบิดนิวเคลียร์อาจส่งผลกระทบทางการเมืองของยูเครน โดยยูเครนเป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และการถอนตัวออกจากสนธิสัญญาจะทำให้เกิดการตอบโต้จากทั้งสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรปของยูเครน สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์เป็นรากฐานสำคัญของนโยบายนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และพันธมิตรอื่นๆ ทุกรายของยูเครน โครงการอาวุธนิวเคลียร์จะเป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนชาวตะวันตกของยูเครน ดังนั้นพันธมิตรของยูเครนจึงมีแนวโน้มที่จะกดดันให้ยุติโครงการทันทีที่ถูกค้นพบ สหรัฐอเมริกา ตะวันตก และประชาคมระหว่างประเทศส่วนใหญ่จะต่อต้านยูเครนหรือรัฐอื่นๆ ที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์หากแสวงหาเพื่อครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และจะตอบโต้โดยการคว่ำบาตรยูเครนทั้งทางการฑูตและเศรษฐกิจเช่นเดียวกันกับกรณีของอิหร่าน 

นอกจากนี้นักวิเคราะห์ชาวตะวันตกยังมีแนวโน้มในการตีความการดำเนินโครงการนิวเคลียร์ของยูเครนว่าเป็นการยกระดับสงครามครั้งใหญ่ โดยมองว่าโครงการนิวเคลียร์ของยูเครนจะยิ่งนำไปสู่ความไม่มั่นคง และเพิ่มความเสี่ยงที่จะขยายสงครามไปสู่ระดับการทำลายล้างที่มากยิ่งขึ้น พันธมิตรตะวันตกอาจจะหยุดให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน หากยูเครนเริ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เพราะมันขัดต่อความคิดเห็นของสาธารณชนภายในประเทศ

มิคาอิล โปโดเลียกที่ปรึกษาระดับสูงของเซเลนสกีกล่าวอย่างชัดเจนว่าแม้จะติดอาวุธปรมาณู เคียฟก็ไม่สามารถขัดขวางรัสเซียได้ อาวุธนิวเคลียร์ในคลังแสงของยูเครนจะไม่มีอำนาจที่จะหยุดยั้งรัสเซีย ซึ่งมีข้อได้เปรียบทางการทหารอย่างท่วมท้น เขาโพสต์ลงบนทเลแกรมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา “...แม้ว่ายูเครนจะต้องสร้างอาวุธนิวเคลียร์ในอนาคตอันใกล้นี้ ..แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางจักรวรรดิรัสเซียที่มีคลังแสงนิวเคลียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกได้...” 

ตามเอกสารของสถาบัน think tank ของยูเครนซึ่งร่วมเขียนโดยโอเล็กซี ยิจฮัก (Oleksii Yizhak) เจ้าหน้าที่จากสถาบันการศึกษายุทธศาสตร์แห่งชาติของยูเครน เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถสร้างระเบิดปรมาณูที่ใช้พลูโทเนียมได้ภายในไม่กี่เดือน คล้ายกับระเบิดปรมาณูที่สหรัฐฯ ทิ้งที่นางาซากิในปี ค.ศ. 1945 โดยใช้พลูโทเนียมจากแท่งเครื่องปฏิกรณ์เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ใช้แล้ว เอกสารดังกล่าวซึ่งอ้างโดยหนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษ ระบุว่าเคียฟสามารถควบคุมเครื่องปฏิกรณ์ที่ปฏิบัติการได้ 9 เครื่องและสิ่งนี้จะทำให้ยูเครนสามารถเรียกพลูโตเนียมได้เจ็ดตัน ซึ่งสามารถสร้างหัวรบที่มีน้ำหนักทางยุทธวิธีหลายกิโลตัน ยูเครนสามารถใช้อาวุธดังกล่าวทำลายฐานทัพอากาศรัสเซียทั้งหมด หรือสถานที่ปฏิบัติงานนอกชายฝั่งทางทหาร อุตสาหกรรมหรือโลจิสติกส์” อย่างไรก็ตาม กีออร์จี้ ทีคี (Heorhii Tykhyi) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยูเครน ตอบโต้คำกล่าวอ้างที่ว่าเคียฟสามารถพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ได้ภายในไม่กี่เดือน “...เราไม่ได้ครอบครอง พัฒนา หรือตั้งใจที่จะรับอาวุธนิวเคลียร์ ยูเครนทำงานอย่างใกล้ชิดกับ IAEA และมีความโปร่งใสในการตรวจสอบ ซึ่งห้ามการใช้วัสดุนิวเคลียร์เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร” 

ท้ายที่สุดแล้วประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซียคงไม่ยอมให้ยูเครนมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง โดยเขากล่าว่า “การสร้างอาวุธนิวเคลียร์ในโลกสมัยใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องยาก ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มอสโกจะไม่ยอมให้ยูเครนมีอาวุธนิวเคลียร์” ความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามของยูเครนเพื่อให้ได้อาวุธนิวเคลียร์ไม่สามารถปกปิดได้และจะได้รับการตอบโต้ที่เหมาะสมจากรัสเซีย

‘กำแพงเบอร์ลิน’ แยกคนชาติเดียวเป็น 2 ประเทศ สัญลักษณ์แห่งจุดเริ่มต้นและจุดจบ ‘สงครามเย็น’

กำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall) การปิดกั้นเบอร์ลิน (Berlin Blockade) และปฏิบัติการขนส่งทางอากาศเพื่อเบอร์ลิน (Berlin Airlift) 

เรื่องราวทั้งสามเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันอันเนื่องมาจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งยุติลงในปี 1945 โดยเยอรมนีแกนนำหลักของฝ่ายอักษะ (Axis) เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทำให้ต้องถูกฝ่ายสัมพันธมิตร (Allied) แบ่งประเทศออกเป็น 4 ส่วน ตามสนธิสัญญาปอตสดัม (Treaty of Potsdam) โดยประเทศมหาอำนาจตะวันตก คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้ครอบครองดินแดนเยอรมนี 3 ส่วนร่วมกัน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งให้สหภาพโซเวียตยึดครอง เหตุการณ์นี้นำไปสู่การแบ่งแยกเยอรมนีเป็น 2 ประเทศ และแบ่งเบอร์ลินเป็น 2 ส่วนอย่างถาวร เป็น ‘วิกฤตการณ์เบอร์ลิน 1949’ ดินแดนเยอรมนี 3 ส่วน หรือเยอรมนีตะวันตกได้ตั้งเป็นประเทศ ชื่อว่า สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน (เยอรมนีตะวันตก) และสหภาพโซเวียตได้ตั้งเขตปกครองของตนในเยอรมนีตะวันออกเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน (เยอรมนีตะวันออก) เมื่อแบ่งประเทศแล้ว ชาวเยอรมันตะวันออกอพยพมาอยู่ในเขตตะวันตกเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา ทำให้โซเวียตต้องสร้างกำแพงยาวกว่า 27 ไมล์ กั้นกลางในปี 1961 จึงทำให้กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงเก่าของเยอรมนีต้องถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ถูกยึดครองโดยฝ่ายพันธมิตรตะวันตกเรียกว่า ‘เบอร์ลินตะวันตก’ และส่วนถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียตเรียกว่า ‘เบอร์ลินตะวันออก’

กำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall) กรุงเบอร์ลิน นครหลวงของเยอรมนีมีที่ตั้งอยู่ใจกลางประเทศเยอรมนีตะวันออก ดังนั้น เบอร์ลินฝั่งตะวันตก จึงถูกปิดล้อมด้วยพื้นที่ของเยอรมนีตะวันออกโดยรอบ ในระยะแรกนั้น การเดินทางเข้าออกระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและเบอร์ลินตะวันตกเป็นไปอย่างเสรี จนกระทั่งเมื่อเกิดการอพยพของชาวเยอรมันตะวันออกไปยังดินแดนของเยอรมนีตะวันตกเป็นจำนวนมาก เป็นสาเหตุให้รัฐบาลเยอรมนีตะวันออกต้องเร่งสร้างกำแพงเพื่อปิดกั้นการอพยพย้ายถิ่นของชาวเยอรมัน ตะวันออก วันที่ 13 สิงหาคม 1961 เป็นวันแรกที่มีการสร้างกำแพงเพื่อปิดล้อมกรุงเบอร์ลินตะวันตก และเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเย็น (Cold war)

กำแพงเบอร์ลิน ถูกใช้งานเป็นเวลา 28 ปี ในช่วงเวลานี้ มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและรูปแบบของกำแพงถึง 4 ครั้ง แต่ละครั้งจะเพิ่มความแข็งแรง และความสูงของกำแพงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันการหลบหนีของชาวเยอรมันตะวันออก เนื่องจากกำแพงกันระหว่างเยอรมนีตะวันออก และเยอรมนีตะวันตก มีจุดเปราะบางที่สุดที่กรุงเบอร์ลินนี่เอง กำแพงเบอร์ลินทั้ง 4 รุ่นมีพัฒนาการดังนี้

- กำแพงรุ่นที่ 1 เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 1961 เป็นแนวรั้วลวดหนาม เป็นแนวป้องกันชั่วคราวเพื่อป้องกันการอพยพของประชาชน เป็นกำแพงเบอร์ลินรุ่นที่มีอายุใช้งานสั้นที่สุด
- กำแพงรุ่นที่ 2 เป็นกำแพงก่ออิฐถือปูน ถูกสร้างขึ้นแทนกำแพงรั้วลวดหนามทันทีที่กำแพงรั้วลวดหนามเสร็จสมบูรณ์ แต่กำแพงก่ออิฐถือปูนนี้ก็ไม่แข็งแรงพอที่ปิดกั้นความปรารถนาในการแสวงหาเสรีภาพของประชาชน มีความพยายามในการหลบหนีด้วยการทำลายกำแพงเกิดขึ้นหลายครั้ง
- กำแพงรุ่นที่ 3 เป็นรั้วคอนกรีตสำเร็จรูป ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดความแข็งแรง และความสูงเพิ่มขึ้น
- กำแพงรุ่นที่ 4 ถูกสร้างในปี 1975 เป็นแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปขนาดกว้าง 1.2 เมตร สูง 3.6 เมตร จำนวนกว่า 45,000 แผ่นถูกต่อเป็นแนวรอบกรุงเบอร์ลินตะวันตกเชื่อมต่อด้วยท่อคอนกรีตที่ด้านบนกำแพง กำแพงรุ่นนี้ถูกใช้งานจนกระทั่งถึงการล่มสลายในปี 1989 และเป็นกำแพงเบอร์ลินที่ชิ้นส่วนถูกนำไปแสดงในพิพิธภัณฑ์ และสถานที่ต่าง ๆ ในปัจจุบัน ในการก่อสร้างกำแพงเบอร์ลินรุ่นที่ 4 ใช้งบประมาณสูงถึงกว่า 1,650 ล้านมาร์กในขณะนั้น 

ตำรวจเยอรมันตะวันออกนายหนึ่งขณะหนีจากเบอร์ลินตะวันออกด้วยการกระโดดข้ามลวดหนาม

ระหว่างที่กำแพงยังตั้งอยู่นั้น มีความพยายามหลบหนีข้ามเขตแดนราว 5,000 ครั้ง การลอบข้ามกำแพง เป็นความเสี่ยงที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต ด้วยรัฐบาลเยอรมนีตะวันออกมีกฎที่ว่าผู้หลบหนีจะถูกยิงทิ้งทันทีที่พบเห็น โดยมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างพยายามหลบหนีข้ามกำแพงนี้ราว 136-264 คน กำแพงเบอร์ลินถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของสงครามเย็น และเริ่มต้นถูกทำลายไปใน 1989 ขณะที่ มิฮาอิล กอร์บาชอฟ ประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียตในขณะนั้นได้ยินยอมให้เยอรมนีทั้งสองตัดสินใจอนาคตตนเอง โดยสหภาพโซเวียตจะไม่เข้าแทรกแซง ภายหลังจึงมีการรวมเยอรมนีเป็นประเทศเดียวกันอย่างเป็นทางการ เรียกว่า ‘สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี’

การปิดกั้นเบอร์ลิน (Berlin Blockade) ในขณะที่คณะผู้บริหารร่วมฝ่ายสัมพันธมิตร (สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส) ได้บริหารและทำการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในเยอรมันตะวันตก โดยที่สหภาพโซเวียตมุ่งเน้นการปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ในเยอรมันตะวันออก มีนาคม 1948 สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสดำเนินการปฏิรูปเงินตรา เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กลับมีผลทำให้สหภาพโซเวียตเสียหาย เพราะประชาชนในเยอรมนีตะวันออกต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงในเขตของตนตามนั้นบ้าง

วันที่ 12 มิถุนายน 1948 สหภาพโซเวียตได้ประกาศ 'ปิดปรับปรุง' ถนน Autobahn ซึ่งเป็นถนนจากเยอรมนีตะวันตกที่มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเบอร์ลิน อีกสามวันถัดมา การจราจรทางบกระหว่างเยอรมนีในส่วนยึดครองของโซเวียตกับส่วนอื่น ๆ ถูกตัดขาด และในวันที่ 21 มิถุนายน การจราจรทางน้ำสู่กรุงเบอร์ลินถูกตัดขาด วันที่ 24 มิถุนายน สหภาพโซเวียตประกาศว่าจะไม่มีรถไฟเข้าสู่กรุงเบอร์ลินอีกต่อไปเนื่องจาก 'ปัญหาทางเทคนิค' วันถัดมา สหภาพโซเวียตประกาศเลิกจัดส่งอาหารให้กรุงเบอร์ลินส่วนของประเทศมหาอำนาจตะวันตก แต่ฝ่ายตะวันตกก็ไม่ได้เจรจาต่อรองใด ๆ กับสหภาพโซเวียต

พลเอก Lucius D. Clay ผู้บัญชาการยึดครองเยอรมนีส่วนของสหรัฐอเมริกา รู้สึกว่า โซเวียตทำเป็นเสแสร้งว่าไม่ต้องการให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม เขายื่นข้อเสนอให้ส่งขบวนรถติดอาวุธจำนวนมากไปตามถนน Autobahn มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเบอร์ลินตะวันตกอย่างสันติ แต่อาจใช้อาวุธได้หากถูกขัดขวางหรือถูกโจมตี ซึ่งประธานาธิบดีทรูแมนเห็นว่า การกระทำนี้ "เสี่ยงเกินไปที่อาจจะทำให้ผลลัพธ์ที่รุนแรงตามมาในเดือนกรกฎาคม 1948 โซเวียตได้ปิดกั้นเส้นทางคมนาคมทางบกที่ผ่านไปยังเบอร์ลินตะวันตก ทำให้พันธมิตร 3 ชาติ ไม่สามารถส่งอาหารและสินค้าต่าง ๆ ไปยังเบอร์ลินตะวันตกได้ เพื่อบังคับให้มหาอำนาจตะวันตกละทิ้งเบอร์ลิน การปิดล้อมครั้งนี้ใช้เวลาเกือบ 1 ปี

ขณะนั้นกรุงเบอร์ลินมีอาหารที่จะทำให้ทั้งเมืองอยู่ได้อีก 35 วัน และมีถ่านหินที่จะใช้ได้อีก 45 วัน ทหารอเมริกันและทหารอังกฤษมีจำนวนน้อยกว่าทหารโซเวียตมาก เพราะการลดขนาดกองทัพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หากเกิดสงครามขึ้น ฝ่ายตะวันตกจะต้องสูญเสียกรุงเบอร์ลินให้โซเวียตอย่างแน่นอน ซึ่งพลเอก Clay กล่าวเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1948 ว่าจะไม่ยอมถอยออกจากเยอรมนีเด็ดขาด "แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรักษาตำแหน่งของเราในเบอร์ลินไว้ได้ แต่มันจะต้องไม่ถูกประเมินด้วยเหตุผลนั้น... เรามั่นใจว่าการอยู่ในเบอร์ลินของเรานั้นสำคัญต่อเกียรติยศของเราในเยอรมนีและในยุโรป ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย สิ่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งหมายของอเมริกาไปแล้ว"

ปฏิบัติการขนส่งทางอากาศเพื่อเบอร์ลิน (Berlin Airlift) ระยะเวลาตั้งแต่ 19 มิถุนายน 1948  –  23 พฤษภาคม 1949 ชาติพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ตัดสินใจใช้ปฏิบัติการขนส่งทางอากาศเพื่อช่วยให้เบอร์ลินอยู่รอด นักบินจาก สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแอฟริกาใต้ ได้ช่วยกันใช้เครื่องบินลำเลียงสิ่งของ เช่น อาหาร เสื้อผ้า และยารักษาโรคให้แก่ชาวเบอร์ลินตะวันตก ในแต่ละวันระหว่าง 3,475-12,941 ตัน รวมน้ำหนักตลอดภารกิจ 2,334,374 ตัน ซึ่งเกือบสองในสามเป็นถ่านหิน  รวม 278,228 เที่ยวบิน คิดเป็นระยะทางบินรวม 92ล้านไมล์ มีอุบัติเหตุเครื่องบินตก 25 ลำ ผู้เสียชีวิตรวม 101 นาย ซึ่งส่วนใหญ่การเสียชีวิตไม่เกี่ยวกับอุบัติเหตุทางอากาศ หลังจากการเจรจาอย่างเคร่งเครียดเป็นเวลาพอสมควร การปิดกั้นของโซเวียตได้สิ้นสุดลงภายในหนึ่งนาทีหลังเที่ยงคืนวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 สหรัฐฯ อังกฤษ และพันธมิตรสามารถขนส่งทางบกเข้าสู่กรุงเบอร์ลิน(ตะวันตก) ได้อีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้ ‘วิกฤตการณ์เบอร์ลิน’ เป็นผลทำให้สภาพเผชิญหน้ากันในสงครามเย็นทวีความตึงเครียดยิ่งขึ้น และมีการร่วมมือกันของกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันตกกับสหรัฐอเมริกา และประเทศเสรีประชาธิปไตย เพื่อขจัดการแทรกแซงและขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเป็นระบบ เช่น สหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกับประเทศโลกเสรีก่อตั้งองค์การความมั่นคงตามสนธิสัญญาทางทหาร เช่น องค์การนาโต้ องค์การซีโต้ องค์การนานารัฐอเมริกา ตลอดจน การตั้งฐานทัพของสหรัฐอเมริกา ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ไทย และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศทั่วโลก โดยปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีที่ตั้งทางทหารนอกประเทศราว 800 แห่ง และยังคงเป็นประเทศที่มีกำลังทหารอยู่ภายนอกประเทศมากที่สุดในโลก แม้ว่าสงครามเย็นจะสิ้นสุดลงพร้อมทั้งการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยผลจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตประเทศแกนนำหลักของลัทธิคอมมิวนิสต์แล้วก็ตาม

‘Munira Abdulla’ บุคคลที่ฟื้นจากโคม่านานที่สุดในโลก หลังประสบอุบัติเหตุทำหลับไหลกว่า 27 ปี

Munira Abdulla บุคคลที่ฟื้นจากอาการโคม่านานที่สุดในโลก

เมื่อ Munira Abdulla หญิงชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์รู้สึกตัวเป็นครั้งสุดท้ายในปี 1991 ขณะนั้น George Bush (ผู้พ่อ) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตก็กำลังใกล้ที่จะล่มสลายเต็มที และเป็นปีที่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกยุติลง ขณะอายุ 32 ปี นาง Munira ชาวเมือง Al Ain ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งทำให้เธอหมดสติ และอยู่ในสภาพผักเกือบตลอดสามทศวรรษต่อมา โดยผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะหมดสติจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่มีอาการไม่รู้สึกตัวเต็มที่ ผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการตื่นตัว ตาปิด และไม่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม กลุ่มที่สองคือ กลุ่มที่รู้สึกตัวแต่ไม่มีอาการรู้ตัว ส่วนกลุ่มที่รู้สึกตัวน้อยมากอาจรวมถึงช่วงที่ผู้ป่วยตอบสนองบางอย่าง เช่น ขยับนิ้วเมื่อถูกถาม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกลุ่มที่สามนี้มักเรียกกันว่า ‘โคม่า’ (Comas) และ Munira ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่สามนี้

หลังจากประสบอุบัติเหตุ Munira ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และต่อมาก็ถูกส่งตัวไปยังกรุงลอนดอน ที่นั่น เธอถูกวินิจฉัยว่าอยู่ในอาการไม่ตอบสนอง แต่สามารถรับรู้ความเจ็บปวดได้ จากนั้นเธอถูกส่งตัวกลับไปที่เมืองอัลไอน์ ซึ่งเป็นเมืองในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่อยู่ติดชายแดนโอมาน ซึ่งเธออาศัยอยู่ และถูกย้ายไปยังสถานพยาบาลต่าง ๆ ตามแต่ความเห็นชอบของบริษัทประกันภัย และ NMC ProVita International Medical Centre เธออยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี (2011-2015) โดยต้องให้อาหารผ่านทางสายยางและยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอเข้ารับการกายภาพบำบัดเพื่อให้แน่ใจว่า กล้ามเนื้อของเธอจะไม่อ่อนแรงลงจากการขาดการเคลื่อนไหว

Munira Abdulla กับ Omar Webair ลูกชาย

ในปี 2017 ครอบครัวของ Munira Abdulla ได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนของมกุฏราชกุมารแห่งนครรัฐอาบูดาบี (the Crown Prince Court Abu Dhabi) เพื่อย้ายเธอไปทำการรักษายังประเทศเยอรมนี ซึ่งที่นั่น เธอได้เข้ารับการผ่าตัดหลายครั้งเพื่อแก้ไขกล้ามเนื้อแขนและขาที่สั้นลงอย่างมาก และเธอได้รับยาเพื่อให้อาการของเธอดีขึ้นที่ Schön โรงพยาบาลเอกชนในเมือง Bad Aibling ใกล้นครมิวนิก ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี ซึ่งแพทย์ได้ทำการรักษาภาวะแทรกซ้อนจากอาการเจ็บป่วยที่ยาวนานของ Munira ด้วยการใช้แนวทางแบบองค์รวมในการรักษา โดยใช้ “การกายภาพบำบัด ยา การผ่าตัด และการกระตุ้นประสาทสัมผัส” 

หลังจากผ่านไป 27 ปี เธอก็ได้ตื่นขึ้นมาในเดือนมิถุนายน ปี 2018 Omar Webair ลูกชายวัย 32 ปีของเธอ ซึ่งอายุเพียง 4 ขวบเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เล่าว่า ไม่กี่นาทีขณะเดินทางจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน รถของเขากับแม่นั่งก็ชนเข้ากับรถโรงเรียน ทำให้ Munira วัย 32 ปีในขณะนั้นได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง Omar ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของแม่ซึ่งพยายามกอดเขาไว้ก่อนที่ก่อนจะเกิดการชน ทำให้เขารอดชีวิตมาได้ โดยมีรอยฟกช้ำบริเวณศีรษะ “แม่ของผมนั่งอยู่ที่เบาะหลังกับผม เมื่อแม่เห็นว่ารถจะชน แม่ก็กอดผมไว้เพื่อปกป้องผมจากผลของแรงกระแทก” เขากล่าว “สำหรับผม เธอเปรียบเสมือนทองคำ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร เธอก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น” 

นพ. Friedemann Müller

นพ. Friedemann Müller ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท หัวหน้าแพทย์ประจำ Schön โรงพยาบาลเอกชนที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศเยอรมนี กล่าวว่า Munira อยู่ในภาวะหมดสติกลุ่มที่ 3 เขาบอกว่า มีเพียงไม่กี่กรณีที่เหมือนกับเธอ ที่ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวหลังจากหมดสติเป็นเวลานาน โดยสัญญาณที่บ่งบอกว่า Munira กำลังฟื้นตัวเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อปี 2017 เมื่อเธอเริ่มเรียกชื่อลูกชายของเธอ สองสามสัปดาห์ต่อมา เธอเริ่มท่องบทต่าง ๆ ในคัมภีร์อัลกุรอานที่เธอเคยเรียนรู้เมื่อหลายสิบปีก่อน “ตอนแรกเราเองก็ไม่เชื่อ” นพ. Müller กล่าว “แต่ในที่สุดก็ชัดเจนมากว่าเธอเรียกชื่อลูกชายของเธอ” นพ. Müller เองก็ไม่ได้คาดหวังว่า Munira จะฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้ เธอเข้ารับการรักษาอาการชักและกล้ามเนื้อบิดเบี้ยวที่คลินิกในประเทศเยอรมนี ซึ่งทำให้ร่างกายของเธอเคลื่อนไหวได้ยาก และทำให้เธอไม่สามารถนั่งรถเข็นได้อย่างปลอดภัย ส่วนหนึ่งของการรักษาคือ การติดตั้งอุปกรณ์ที่ส่งยาโดยตรงไปยังกระดูกสันหลังของเธอ ซึ่ง นพ. Müller กล่าวว่า ปัจจัยนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เธอฟื้นตัวได้

Schön โรงพยาบาลเอกชนในเมือง Bad Aibling ใกล้นครมิวนิก ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี

Terry Wallis ฟื้นจากโคม่านานถึง 19 ปี มีชีวิตอยู่อีก 19 ปี และเสียชีวิตในปี 2022

มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบกันดีว่าสามารถฟื้นตัวได้ในลักษณะเดียวกัน อาทิ Terry Wallis ชาวเมือง Ozark Mountains มลรัฐ Arkansas สหรัฐอเมริกา บาดเจ็บสาหัสและหมดสติเมื่อรถของเขาลื่นไถลลงจากสะพาน ในวันที่ 13 กรกฎาคม 1984 และหมดสตินานถึง 19 ปี การฟื้นตัวเมื่อ 11 มิถุนายน 2003 ของเขาค่อนข้างผิดปกติมาก จนนักวิทยาศาสตร์ใช้โอกาสนี้ในการศึกษาการทำงานของสมองเพื่อช่วยในการพิจารณาว่า ผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายทางสมองอย่างรุนแรงอย่างไรจึงจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกถึงสิทธิของบุคคลที่จะเลือกการมีชีวิตอยู่หรือตาย ด้วยการดูแลทางการแพทย์ในปัจจุบันผู้ป่วยบางรายอาจอยู่ในสภาวะที่หมดสติไปนานหลายทศวรรษ เช่นกรณีของ Aruna Shanbaug พยาบาลชาวอินเดีย อยู่ในสภาวะดังกล่าวเป็นเวลานานกว่า 40 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตในวัย 66 ปี ในปี 2015 เธออยู่ในสภาพผักถาวรหลังจากถูกรัดคอด้วยโซ่โลหะระหว่างที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ

Munira Abdulla ในวัย 65 ปีได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จนทุกวันนี้

ผู้ป่วยที่ฟื้นตัวจากภาวะที่รู้สึกตัวในระดับต่ำเป็นเวลานาน (ซึ่งพบได้บ่อยในช่วงไม่กี่ปีแรก) มีแนวโน้มที่จะมีความบกพร่องทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงและถาวร พวกเขายังคงต้องพึ่งพาผู้อื่นในการดูแลในแต่ละวัน และขาดความสามารถในการตัดสินใจที่สำคัญเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง พวกเขาอาจมีอาการมึนงง จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา และสามารถสนทนาได้เพียงเล็กน้อยเมื่อได้รับคำพูดกระตุ้น กรณีของ Munira Abdulla นั้น เกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ มีเพียงไม่กี่กรณีที่คนจะฟื้นคืนสติได้หลังจากผ่านไปหลายปี และแม้จะเป็นเช่นนั้น การฟื้นตัวก็ยังต้องยืดเยื้อต่อไป ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าโอกาสที่ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะหมดสติจะดีขึ้นจะเป็นอย่างไร ผู้ที่ฟื้นคืนสติส่วนใหญ่มักมีอาการพิการร้ายแรงเนื่องมาจากสมองได้รับความเสียหาย หลังจากเธอฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว สามารถตอบสนองได้ดี และมีความรู้สึกเจ็บปวดและสนทนาได้บ้างแล้ว เธอจึงได้เดินทางกลับมาที่นครรัฐอาบูดาบี ซึ่งเธอได้รับการกายภาพบำบัดและการฟื้นฟูเพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่แล้วเพื่อปรับปรุงท่าทางการนั่งของเธอและป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหดตัว และ Munira Abdulla ในวัย 65 ปีได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จนทุกวันนี้

ช่วงเวลามาตรฐานแห่งสยามประเทศ พระอัจฉริยภาพของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔

ในช่วงหลายวันก่อนเพื่อนผมคนหนึ่งได้ส่งคลิปซึ่งตัดมาจากภาพยนตร์เรื่อง “ทวิภพ” ปี ๒๕๔๗ นำแสดงโดย “รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง” และ “ฟลอเรนซ์ วนิดา เฟเวอร์” โดยฉากที่ตัดมานั้นคือการสนทนากันเรื่องของ “บางกอกมีนไทม์” (Bangkok Mean Time) ซึ่งกำหนดขึ้นจากการคำนวณของ “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๔ เพื่อใช้เป็นการนับเวลามาตรฐานของสยาม ซึ่งในข้อนี้พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพทางการด้านคำนวณ ทางดาราศาสตร์ และภูมิศาสตร์ของพระองค์ ซึ่งการคำนวณเหล่านี้เชื่อมโยงไปถึงการคำนวณปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่จะเกิดขึ้นที่ หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์ ที่ทรงคำนวณไว้ได้อย่างเที่ยงตรง แต่ “บางกอกมีนไทม์” (Bangkok Mean Time) คืออะไร ? และเชื่อมโยงไปสู่ GMT หรือ Greenwich Mean Time หรือไม่ อย่างไร ? ค่อย ๆ ไล่เรียงอ่านกันไปเพลิน ๆ นะครับ 

เบื้องแรกสยามเรานั้นมีการนับเวลากันเป็นโมงยาม มีอุปกรณ์ท้องถิ่นทำจากะลามะพร้าวเจาะแล้วนำไปลอยน้ำเรียกกันว่า “นาฬิเก” ซึ่งตัวโอ่งน้ำและตัวกะลาจะมีการวัดขนาดเพื่อให้อยู่ในเกณฑ์ เมื่อจะใช้ก็เติมน้ำให้ได้ตามาตรวัดแล้วนำ “นาฬิเก” ไปลอย พอนาฬิเกมีน้ำเข้าเต็มแล้วจมลงก็จะถือว่าเป็น ๑ ชั่วโมง “นาฬิกา” ถ้าวัดกันในกลางวันคนวัดก็จะตี “ฆ้อง” เราก็จะได้ยินเสียงดัง “โมง” และแน่นอน !!! เมื่อวัดกันตอนกลางคืนก็จะตี “กลอง” เราก็จะได้ยินว่า “ทุ่ม” ซึ่งก็เป็นที่มาของหน่วยเรียกเวลาแบบของไทยเรา ซึ่งยังไม่เป็นมาตรฐานมากนัก (หอกลองหน้าเป็นยังไงไปชมกันได้ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง ตรงข้ามวัดโพธิ์ ส่วนตัวกลองไปชมได้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๔ นั้น พระองค์ทรงเป็นนักศึกษาค้นคว้า ทรงสนพระทัยในด้านดาราศาสตร์ ทรงศึกษาตำราจากต่างประเทศทั้งจากฝั่งอังกฤษและอเมริกาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จนกระทั่งพระองค์ได้ทรงคำนวณการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างสุริยุปราคาได้ล่วงหน้าถึง ๒ ปี จากการคำนวณในครั้งนั้นทำให้พระองค์ได้ทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการ "สถาปนาเวลามาตรฐานประเทศไทย" โดยทรงวัดจุดเริ่มต้นจากตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษแล้วทรงวัดมาที่สยาม ทำไม ? ถึงต้องวัดจากกรีนิชประเทศอังกฤษ อันนี้มาจากตำราต่าง ๆ ที่ปรากฏในช่วงรัชสมัยของพระองค์นั้น เป็นตำราดาราศาสตร์ เพื่อการเดินเรือ (เนื่องจากเขาสังเกตดวงดาวในเวลาเดินเรือ) ทั้งตำราของอังกฤษเอง หรือจะเป็นตำราของอเมริกาก็ตาม จะอ้างอิงจากเมืองท่าของอังกฤษซึ่งถือว่าเป็นมหาอำนาจในขณะนั้น ในทุก ๆ ครั้งที่ผ่านหอนาฬิการิมท่าก็จะเทียบเวลา ไป - กลับ เข้า – ออก โดยทุกลำเรือมักจะมีนาฬิกาอยู่ ๒ เรือน คือเรือนใหญ่เป็นเวลาของกรีนิช เรือนเล็กเป็นเวลาที่ปรับตามท้องถิ่นของประเทศที่เดินทางไปติดต่อ ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ท่านทรงได้ศึกษาจนเข้าใจ ก่อนจะทรงคำนวณระยะห่างของชั่วโมงตามองศาที่เปลี่ยนไป จนได้เวลาของสยามที่ค่อนข้างแน่นอนตามที่พระองค์ได้ทรงอธิบายเอาไว้ใน “พระกระแสรับสั่งรัชกาลที่ ๔ เรื่องสุริยุปราคา เมื่อปีมะโรง พศ. ๒๔๑๑ ต้นฉบับของขุนวรจักรธรานุภาพ และตำราวัดพระอาทิตย์ของพระจอมเกล้า” ว่า 

"ลองติชูต" (Longitude) ๑๐๐ องศา ๓๐ ลิปดา ตะวันออก ห่างจาก "กรีนุวิศมินไตม์" (Greenich Mean Time ) อยู่ ๖ ชั่วโมง ๔๒ นาที 

แต่จริง ๆ แล้วนักวิชาการหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ นั้นพระองค์ไม่ได้วัดองศามาที่กรุงเทพ ฯ แต่เทียบวัดไปที่บริเวณจังหวัดเพชรบุรี (เขาวัง - พระนครคีรี) ไม่ใช่ที่กรุงเทพฯ เพราะการเทียบวัดครั้งนั้นเป็นไปเพื่อพยากรณ์การเกิดสุริยุปราคาเป็นหลัก ซึ่งตรงนี้ยังเป็นข้อถกเถียงที่อาจจะยังสรุปไม่เรียบร้อยนัก แต่อย่างไรก็ดี ณ เวลานั้น พระองค์ทรงให้กำเนิดเวลามาตรฐานประเทศไทย ก่อนนานาอารยประเทศ ๑๖ ปี 

จากการกำหนดเวลาดังกล่าวจึงเป็นเหตุสำคัญที่พระองค์ทรงมีรับสั่งให้สร้างหอนาฬิกาขึ้น ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “พระที่นั่งภูวดลทัศไนย” ขึ้นทางด้านเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม (เดิม) ตรงพุทธนิเวศน์ ในเขตพระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งองค์นี้เป็นตึกสูง ๕ ชั้น ชั้นบนสุดติดตั้งนาฬิกาขนาดใหญ่ทั้ง ๔ ด้าน มีพระราชประสงค์ให้ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวง เพื่อทำหน้าที่บอกและรักษาเวลามาตรฐาน นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงกำหนดให้เส้นแวง ๑๐๐ องศา ๒๙ ลิปดา ๕๐ พิลิปดาตะวันออก เป็นเส้นแวงหลักผ่านพระที่นั่งภูวดลทัศไนย 

ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้มีเจ้าหน้าที่รักษาเวลามาตรฐาน ประจำหอนาฬิกาหลวง ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งงานทางวิทยาศาสตร์ไทยชุดแรกอันได้แก่ เจ้าหน้าที่เทียบเวลากลางวันจากดวงอาทิตย์ คือ ‘พันทิวาทิตย์’ และเจ้าหน้าที่เทียบเวลากลางคืนจากดวงจันทร์ คือ ‘พันพินิตจันทรา’ คอยสังเกตและบันทึกการเคลื่อนที่ผ่านของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่เส้นเมอริเดียนของ“พระที่นั่งภูวดลทัศไนย” สำหรับพระที่นั่งภูวดลทัศไนยนั้นต่อมาถูกรื้อลงในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อสร้างทิมดาบใหม่

นอกจากนี้รัชกาลที่ ๔ พระองค์ยังได้ทรงสังเกตดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ามานานหลายปี ทรงพบว่า การขึ้น-ตก และแนวการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ในเดือนต่าง ๆ นั้น แตกต่างกัน ทำให้ที่หอนาฬิกาหลวงจึงมีการคำนวณทางดาราศาสตร์เป็นรายวันทุกๆ วัน เพื่อตั้งปรับเวลาที่หอนาฬิกาหลวงตามที่ได้คำนวณไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เป็น เวลามาตรฐานกรุงเทพปานกลาง หรือที่เรียกว่า “บางกอกมีนไทม์” (Bangkok mean time) นั่นเอง

นอกจาก “พระที่นั่งภูวดลทัศไนย” รัชกาลที่ ๔ ยังโปรดเกล้าฯ ให้ “พระบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม” ทรงออกแบบสร้างหอนาฬิกาตรงมุขเด็จของพระที่นั่งจักรีอีกแห่งหนึ่ง แต่มิได้ระบุชื่อและปีที่สร้าง แต่เชื่อว่าพระองค์มีพระราชประสงค์จะให้ชาวเรือขึ้นล่องแม่น้ำเจ้าพระยามองเห็น และเทียบเวลาเดินเรือได้สะดวก ซึ่งพระองค์มีพระราชดำริเกี่ยวกับการสถาปนาระบบเวลามาตรฐาน ไว้ในบันทึกการประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ไว้ว่า

"...จะเป็นเหตุให้เขาหัวเราะเยาะเย้ยได้ว่าเมืองเรา ใช้เครื่องมือนับทุ่มโมง เวลาหยาบคายนักไม่สมควรเลย เพราะเหตุฉะนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพินิจพิจารณาตรวจตราคำนวณความดำเนินพระอาทิตย์ ให้ฤดูทั้งปวงสอบกับนาฬิกา ที่ดีมาหลายปีทรงทราบถ้วนถี่ทุกประการ แจ้งในพระราชหฤทัยแล้ว..."

ภายหลังใน พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้มีการประชุมสภาสากลอุทกนิยม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อแบ่งภาคเวลา โดยกำหนดให้ตำบลกรีนิช เป็นจุดแรกของการกำเนิดเวลา ประเทศไทยจึงได้มีการกำหนดเวลามาตรฐานใหม่ จากเส้นแวงที่ ๑๐๐ ตะวันออก ซึ่งพาดผ่านพระบรมมหาราชวัง มาเป็นเส้นแวงที่ ๑๐๕ องศาตะวันออก จังหวัดอุบลราชธานี โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ใช้อัตราเวลาทั่วราชอาณาจักรไทย เป็น ๗ ชั่วโมงก่อนเวลาที่กรีนิชตั้งแต่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ นับตั้งแต่นั้น

“บางกอกมีนไทม์” (Bangkok mean time) เวลามาตรฐานของกรุงเทพฯ ที่เทียบจากมาตรฐานเวลาสากลของโลกที่ตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษ โดยวัดมุมในแผนที่ออกมาจากเมืองกรีนิชถึงกรุงเทพฯ ได้ที่ประมาณ ๑๐๐ องศา ๓๐ ลิปดา

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงคำนวณไว้ตั้งแต่ในปลายรัชสมัยของพระองค์คือ พ.ศ. ๒๔๑๑ ความแม่นยำของการคำนวณนี้ รวมไปถึงการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์นั้น ล้วนตรงตามเวลาที่พระองค์ท่านคำนวณไว้ทุกประการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านโดยแท้ 

หากวันนี้ท่านอยากจะเห็นหน้าตาของหอนาฬิกาที่ใกล้เคียงกับสมัยที่แรกสร้างนั้นท่านสามารถไปชมได้ที่ “หอนาฬิกาหลวงจำลอง” แถวถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง ตรงข้ามกับวัดโพธิ์ ซึ่งตัวนาฬิกาเดิมที่รื้อถอนลงในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงกลาโหม ส่วนหอนาฬิกาหลวงจำลองนั้นสร้างขึ้นในวาระสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี โดยยังคงรูปแบบเดิมไว้ แต่ย้ายตำแหน่งมาตั้งเคียงอยู่กับหอกลองที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดออกแบบโดย ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา สถาปนิกระดับตำนาน ผู้เป็นโหลนของ “กรมขุนราชสีหวิกรม” ผู้สร้างหอนาฬิกาหลังเดิมในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั่นเอง

ญี่ปุ่นในมุมสีเทา!! โตเกียว...ศูนย์กลางแห่งใหม่ธุรกิจบริการทางเพศในเอเชีย ‘ความฟุ้งเฟ้อ – ยากจน’ ผลักดันเด็กสาวเข้าสู่วังวนค้ากาม

โตเกียว...ศูนย์กลางแห่งใหม่ของธุรกิจบริการทางเพศในทวีปเอเชีย

ธุรกิจบริการทางเพศเป็นหนึ่งในธุรกิจการค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตามบันทึกของชาวสุเมเรียนที่ย้อนกลับไปถึงประมาณ 2,400 ปีก่อนคริสต์ศักราช ได้กล่าวถึงการค้าประเวณีว่าเป็นอาชีพที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งบรรยายถึงซ่องโสเภณีภายในวิหารแห่งเทพีอิชทาร์ที่ดำเนินการโดยนักบวชชาวสุเมเรียนในเมืองอูรุกของดินแดนสุเมเรียน (ปัจจุบันคือภูมิภาคตะวันออกกลาง) สำหรับญี่ปุ่นแล้ว ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 นักเดินทางชาวจีน เกาหลี และชาวตะวันออกไกลอื่น ๆ ได้เริ่มแวะเวียนไปยังซ่องโสเภณีในญี่ปุ่น วิถีปฏิบัตินี้ยังคงดำเนินต่อไปในหมู่นักเดินทางจากภูมิภาคตะวันตกซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าชาวยุโรป โดยเริ่มจากชาวโปรตุเกสในศตวรรษที่ 16 ซึ่งมักมาพร้อมกับลูกเรือจากเอเชียใต้และลูกเรือชาวแอฟริกันมักจะค้าทาสกามจากญี่ปุ่น โดยพวกเขาจะจับเอาหญิงสาวชาวญี่ปุ่นซึ่งแรกเริ่มถูกใช้เป็นทาสทางเพศบนเรือ หรือพาไปที่มาเก๊าและอาณานิคมโปรตุเกสอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทวีปอเมริกา และอินเดีย อย่างเช่น เมืองกัว อาณานิคมของโปรตุเกสในอินเดีย ซึ่งมีชุมชนทาสและพ่อค้าชาวญี่ปุ่นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และ 17 ต่อมาบริษัทอินเดียตะวันออกของ ยุโรป รวมถึงบริษัทของชาวดัตช์และอังกฤษก็เริ่มนำเอาหญิงสาวชาวญี่ปุ่นมาค้าประเวณีเช่นกัน

ภาพของ ‘โออิรัน’ กำลังเตรียมตัวรับลูกค้า

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 มีการค้าประเวณีชายและหญิงอย่างแพร่หลายในเมืองเกียวโต เอโดะ(ปัจจุบันคือกรุงโตเกียว) และโอซากะ ในญี่ปุ่น ‘โออิรัน’ เป็นโสเภณีในญี่ปุ่นในช่วงยุคเอโดะ โออิรันถือเป็นประเภทหนึ่งของยูโจ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ผู้หญิงแห่งความสุข’ หรือ ‘โสเภณี’ ในบรรดาโออิรันแล้ว ‘ทายู’ ถือเป็นโสเภณีที่มีชั้นสูงสุดที่บริการได้เฉพาะชายที่มีฐานะร่ำรวยที่สุดเท่านั้น โออิรันจะถูกฝึกฝนในด้านศิลปะการร่ายรำ ดนตรี บทกวี และการเขียนอักษรวิจิตร รวมถึงบริการทางเพศเพื่อให้ความบันเทิงแก่ลูกค้า และการศึกษาถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสนทนาที่ซับซ้อน นอกเหนือจากการให้ความสุขแล้ว ศิลปะและแฟชั่นของพวกเธอมักจะกลายเป็นกระแสในหมู่หญิงญี่ปุ่นที่มีฐานะร่ำรวย ในปี ค.ศ. 1761 ‘โออิรัน’ คนสุดท้ายที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ ‘คารายูกิซัง’ แปลว่า ‘หญิงสาวที่ไปทำงานต่างประเทศ’ เป็นหญิงญี่ปุ่นที่เดินทางหรือถูกนำไปค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แมนจูเรีย ไซบีเรีย และบางครั้งไปไกลถึงซานฟรานซิสโก (ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 และครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20) เพื่อทำงานเป็นโสเภณี หญิงบริการ และเกอิชา ในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 มีเครือข่ายโสเภณีญี่ปุ่นที่ถูกนำมาค้ามนุษย์อยู่ทั่วภูมิภาคเอเชียในประเทศต่าง ๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ และอินเดีย ในยุคที่อังกฤษปกครองซึ่งในขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ ‘การค้าทาสผิวเหลือง’

หญิงขายบริการในสวนสาธารณะโอคุโบะ

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามและถูกยึดครองโดยกองกำลังสัมพันธมิตร อาชีพการให้บริการทางเพศกลับมาเฟื่องฟูจนกระทั่งทศตวรรษ 1970 เมื่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นกลับมารุ่งเรือง อาชีพการให้บริการทางเพศในญี่ปุ่นจึงค่อย ๆ ลดลง ในช่วงยุคปีทองของเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นชายชาวญี่ปุ่นมักจะออกเดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อแสวงหาบริการทางเพศกับหญิงสาวในประเทศยากจน แต่ในปัจจุบัน สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อผู้ชายต่างชาติแห่กันมาที่กรุงโตเกียวเพื่อแสวงหา  “บริการทางเพศ” ในญี่ปุ่นแทน ทั้งนี้การที่อาชีพการให้บริการทางเพศกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งหนึ่งสืบเนื่องมาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงและความยากจนในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น

ลูกค้ากำลังพูดคุยกับหญิงขายบริการในย่านคาบูกิโจ

โยชิฮิเดะ ทานากะ เลขาธิการสภาประสานงานปกป้องเยาวชน (Seiboren) ได้เล่าบริบทในปัจจุบันที่เป็นอยู่อันน่าหดหู่ใจในรายการ This Week in Asia ว่า “ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศยากจน” ใกล้ ๆ กันนั้น ในสวนสาธารณะที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการค้าประเวณีในเมือง มีหญิงสาวมารอรับลูกค้าก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเสียด้วยซ้ำ องค์กรของทานากะสังเกตเห็นว่ามีชาวต่างชาติจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มาที่สวนสาธารณะในทันทีที่ข้อจำกัดการเดินทางในยุคการระบาดถูกยกเลิก “ตอนนี้เราเห็นชายชาวต่างชาติมากขึ้น” เขากล่าว “พวกเขามาจากหลายประเทศ มีทั้ง ผิวขาว เอเชีย ผิวดำ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนจีน” ทานากะกล่าวว่า การหลั่งไหลดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับการที่วัยรุ่นและผู้หญิงวัยยี่สิบต้น ๆ หันไปค้าบริการทางเพศเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง นอกจากนี้ ความรุนแรงยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจอีกด้วย “สถานการณ์แย่ลงเรื่อย ๆ แย่ลงมาก” เขากล่าวพร้อมส่ายหัว “ที่นี่...มีเด็ก ๆ มากขึ้น และความรุนแรงก็มากขึ้นด้วย แต่หน่วยงานของเราทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าที่เราได้ทำอยู่แล้ว” ความหงุดหงิดของทานากะนั้นสามารถสัมผัสได้ ในขณะที่เขานึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนยาวนานกว่าทศวรรษของเขาเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่อพยพมาอยู่ในย่านคาบูกิโจอันเลื่องชื่อของเมืองโตเกียว ซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วย บาร์ โรงแรมสำหรับคู่รัก และคลับโฮสต์ซึ่งผู้ที่เปราะบางมักตกเป็นเหยื่อ

แฟชั่นแนว โกธิคโลลิต้า (Gothic Lolita หรือ Goth Loli) *ภาพไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในบทความ

หนึ่งในนั้นก็คือ Rao (ชื่อสมมติ) เด็กสาวญี่ปุ่นวัย 19 ปีที่รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโรงเรียนมัธยมที่จังหวัดคานากาวะได้ จึงตัดสินใจมาย่านคาบูกิโจ ซึ่งเธอหวังว่าจะได้งานในร้านกาแฟ แต่กลับพบว่าค่าใช้จ่ายมากมายจนเกินกำลัง “ฉันเป็นหนี้เจ้าของบ้านเป็นจำนวนมาก ดังนั้นตั้งแต่เดือนเมษายน ฉันจึงไปที่สวนสาธารณะ” เธอกล่าวโดยใช้สำนวนอุปมาสำหรับการยืนอยู่บนถนนแคบ ๆ รอบ ๆ สวนสาธารณะโอคุโบะ เพื่อรอให้ชายที่ที่เป็นลูกค้าเข้ามาหา “ฉันต้องการเงินไปใช้หนี้ และอยากซื้อของดี ๆ เช่นเสื้อผ้า” Rao กล่าวด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ของเธอ และไว้ทรงผมบ็อบเก๋ไก๋และมีสไตล์สำหรับแฟชั่นแนว โกธิคโลลิต้า (Gothic Lolita หรือ Goth Loli) หรือเรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า ‘Gosurori’ 

ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Papa katsu ซึ่งหมายถึงชายสูงอายุที่เลี้ยงดูเด็กสาว

นอกจากนั้นแล้วเธอยังใช้เงินเพื่อไปเที่ยวโฮสต์ที่เธอชื่นชอบที่คลับในท้องถิ่นทุก ๆ สองสามวัน เธอยังลองทำสิ่งที่เรียกว่า Papa katsu ซึ่งเป็นการหา Sugar daddy เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของเธอ เธอเล่าถึงงานของเธออย่างไม่ใส่ใจ โดยบอกราคาค่าห้องในโรงแรมแบบชั่วโมงละ 15,000 เยนถึง 30,000 เยน (100-200 ดอลลาร์สหรัฐ) เหมือนกับรายการอาหาร ในวันธรรมดาเธอจะได้ลูกค้าประมาณ 5 คน ส่วนในวันหยุดสุดสัปดาห์จำนวนลูกค้าอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า Rao เพิ่งทำแท้งเป็นครั้งที่สอง ซึ่งเป็นความจริงอันเลวร้ายของวิถีชีวิตของเธอ เธอเล่าว่า “มีผู้ชายหลายประเภทที่มาที่สวนสาธารณะโอคุโบะ แต่ฉันคิดว่าประมาณครึ่งหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ” เธอกล่าวเสริมว่า “ฉันเคยคุยกับผู้หญิงที่อยู่ที่นี่มานานกว่า และพวกเธอก็บอกว่ามันแตกต่างออกไป เดิมทีที่นี่มีแต่ผู้ชายญี่ปุ่น แต่ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นสถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงไปแล้ว” Rao เล่าถึง “ชายชาวอังกฤษคนหนึ่ง” ที่เป็นลูกค้าประจำ รวมถึงลูกค้าจาก ไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ และฮ่องกง “ฉันเป็นที่นิยมเพราะรูปลักษณ์ภายนอก ดังนั้นฉันจึงยุ่งอยู่เสมอ” เธอบอก 

ลูกค้าสูงวัยกำลังพูดคุยกับหญิงขายบริการในย่านคาบูกิโจ

แต่ความเสี่ยงนั้นมีอยู่ตลอดเวลา “เพื่อนของฉันคนหนึ่งถูกชายชาวจีนทำร้ายบนถนนเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน” Rao กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่แฝงไปด้วยความกลัว “พวกเขากำลังคุยกันเรื่องราคา แล้วจู่ ๆ เขาก็โกรธและเตะเธอ หัวของเธอไปกระแทกกับอะไรบางอย่างและได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก แต่จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังโชคดี” ทานากะยืนยันประสบการณ์ของ Rao เมื่อเธอโทรหาเขาหลังจากเพื่อนของเธอถูกทำร้าย เขาก็รีบไปช่วยและพาหญิงรายนั้นที่ได้รับบาดเจ็บไปโรงพยาบาล เขาบอกว่า เธอโกรธและต้องการแจ้งความกับตำรวจอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อถึงเวลาต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ทำร้าย ตำรวจกลับสนใจที่จะตั้งข้อหาว่า เธอเป็นโสเภณีมากกว่าที่จะแสวงหาความยุติธรรมให้กับการบาดเจ็บของเธอ เมื่อเผชิญกับความจริงที่ว่าการแจ้งความอาจนำไปสู่การจับกุมเธอเอง เธอจึงถอนคำร้องทุกข์

หญิงขายบริการในสวนสาธารณะโอคุโบะ

“เป็นแบบนั้นเสมอ” ทานากะกล่าวด้วยความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด “สาว ๆ ถูกทำร้ายเพราะลูกค้ารู้ว่าพวกเธอจะไม่ไปแจ้งตำรวจ … ผู้ชายรู้เรื่องนี้ พวกเขาจึงคิดว่า ตัวเองทำอะไรก็ได้” ทานากะยังคงมองโลกในแง่ดีอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับอนาคตของ Rao แม้ว่าเขาจะตระหนักดีว่า งานของเธอจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและร่างกายของเธอ ซึ่งเขาเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หญิงสาวที่ไปหาลูกค้าสวนสาธารณะโอคุโบะเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ผ่านประสบการณ์นี้มาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและรัฐบาลต่างพากันเพิกเฉย ทานากะเกรงว่า ชีวิตเยาวชนที่ติดอยู่ในวังวนแห่งความสิ้นหวังและการถูกเอารัดเอาเปรียบจะเลวร้ายลงไปอีก ในขณะที่ทั้งโลกต่างคอยเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ “ผมคิดว่า ในไม่ช้าจะมีใครซักคนถูกฆ่าตาย” เขากล่าว “มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีใครสนใจหญิงพวกนี้เลย การที่ใครสักคนถูกลูกค้าฆ่าตายอาจทำให้พวกเขาสนใจได้ครู่ใหญ่ แต่ผมคาดว่า หลังจากไม่นานพวกเขาก็จะลืมเรื่องนี้ได้อีกครั้ง”

ลูกค้าสูงวัยกำลังพูดคุยกับหญิงขายบริการในย่านคาบูกิโจ

คาซูโนริ ยามาโนอิ สมาชิกรัฐสภาจากพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักของประเทศได้เรียกร้องให้มีการควบคุมการค้าบริการทางเพศ โดยเขากล่าวว่า “ความจริงก็คือ ญี่ปุ่นได้กลายเป็นประเทศที่ผู้ชายต่างชาติสามารถหาหญิงสาวและซื้อบริการทางเพศได้” ยามาโนอิกล่าวว่า นี่ไม่ใช่เพียงปัญหาภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายต่อการรับรู้ที่มีต่อสตรีญี่ปุ่นในชุมชนระหว่างประเทศอีกด้วย ตามรายงานของกรมตำรวจนครบาล (MPD) ระบุว่า หญิงที่ถูกจับกุมขณะทำงานบนท้องถนนในปี 2023 ประมาณ 43% กล่าวว่าพวกเธอเริ่มขายบริการเพื่อจ่ายเงินให้กับคลับโฮสต์และศิลปินชายใต้ดิน โดยประมาณ 80% ของผู้ถูกจับกุมอยู่ในวัย 20 ปี ในขณะที่ 3 คนมีอายุ 19 ปีหรือน้อยกว่า จากข้อมูลของยูอิจิ โฮโจ ตัวแทนของสมาคมโฮสต์คลับแห่งประเทศญี่ปุ่น ระบุว่ามีโฮสต์คลับประมาณ 240 ถึง 260 แห่งในพื้นที่คาบูกิโจ ราคาเฉลี่ยต่อครั้งอยู่ที่ประมาณ 20,000 เยน โดยพนักงานบางคนมีโควตาที่ต้องจ่ายเป็นรายวันเพื่อจ่ายคืนให้กับโฮสต์คลับ

หญิงขายบริการในสวนสาธารณะโอคุโบะ

ผู้ให้บริการทางเพศมีความเสี่ยงไม่เพียงแต่ต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายร่างกายและถูกกรรโชกทรัพย์อีกด้วย ในญี่ปุ่น การซื้อและขายบริการทางเพศเพื่อเงินถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่การห้ามจำกัดเฉพาะการสอดใส่เท่านั้น กฎหมายต่อต้านการค้าประเวณีกำหนดโทษทางอาญาคือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 10,000 เยน แต่สำหรับผู้ขายบริการเท่านั้น (ฝ่ายหญิง) ไม่ใช่ผู้ซื้อบริการ (ฝ่ายชาย) แม้ว่าตำรวจนครบาลแห่งกรุงโตเกียวจะให้คำมั่นว่า จะดำเนินคดีสำหรับการกระทำรุนแรง แต่ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่า ตำรวจให้ความสำคัญกับการปราบปรามการค้าประเวณีบนท้องถนน มากกว่าความรุนแรงต่อหญิงสาวเหล่านั้น

‘เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ’ รมต.ต่างประเทศรัสเซีย เผยกับ ‘นักข่าวอเมริกัน’ เงื่อนไขที่สำคัญที่สุด 4 ประการในการยุติ!! สงครามยูเครน

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2024 มีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ระหว่างนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียกับนายทัคเกอร์ คาร์ลสันนักข่าวชาวอเมริกัน ที่เคยสัมภาษณ์ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ที่ผ่านมาโดยได้พูดคุยกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเกี่ยวกับสาเหตุของการเริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนและความสัมพันธ์กับตะวันตก ครั้งนี้นักข่าวชาวอเมริกันรายนี้เดินทางกลับมายังมอสโกเพื่อพูดคุยกับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย การสัมภาษณ์ของนายทัคเกอร์ คาร์ลสันครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่การทูตเกี่ยวกับการหยุดยิงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นนับตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งและในขณะที่รัสเซียยังคงเดินหน้าในสนามรบทางตะวันออกของยูเครน การสัมภาษณ์ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ภายใน 3 ชั่วโมง มีผู้เข้าชมเกือบ 2.3 ล้านครั้ง โดยรัฐมนตรีเซอร์เกย์ ลาฟรอฟได้ตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งในยูเครน และเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดสำหรับประเทศรัสเซียในการยุติปัญหานี้ โดยสามารถสรุปประเด็นการสัมภาษณ์ดังกล่าวที่สำคัญได้ 4 ประเด็น ดังนี้

ประเด็นแรก ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐอเมริกา
- รัสเซียต้องการมีความสัมพันธ์ตามปกติกับทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศที่ยิ่งใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแสดงความเคารพต่อชาวอเมริกันและความสำเร็จของพวกเขาหลายครั้ง เราไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมรัสเซียและสหรัฐอเมริกาจึงไม่สามารถร่วมมือกันได้
- สำหรับมอสโกสิ่งสำคัญคือการหลีกเลี่ยงสงครามกับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสงครามอาจลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ได้
- โดนัลด์ ทรัมป์เป็นมิตร แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะโปรรัสเซีย
- สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครนถูกเรียกว่าสงครามลูกผสม ยูเครนจะไม่สามารถทำสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ด้วยอาวุธสมัยใหม่ที่มีพิสัยไกลได้เลยหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ซึ่งมีบทบาทอย่างแข็งขันในการจัดหาอาวุธให้กับทางเคียฟ 
โดยเขากล่าวว่า “ผมจะไม่พูดว่าในวันนี้รัสเซียและสหรัฐอเมริกากำลังทำสงครามกัน เราไม่ได้ทำสงครามอย่างเป็นทางการ และนี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราอยากจะมีความสัมพันธ์ตามปกติกับทุกประเทศ”

ประเด็นที่สอง ความเสี่ยงจากสงครามนิวเคลียร์
- ทางการรัสเซียมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สงครามนิวเคลียร์จะลุกลาม
- หลักคำสอนทางทหารของเรากล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงสงครามนิวเคลียร์
- แนวคิดของชาติตะวันตกที่มองว่ารัสเซียไม่มี ‘เส้นแดง’ นั้นถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรง หลายครั้งที่ตะวันตกประกาศเส้นแดงเองและเปลี่ยนเส้นแดงนั้นไปมา โดยเขากล่าวว่า “นี่เป็นเกมที่อันตรายมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทางตะวันตกมีการเรียกร้องภายในเพนตากอนและ NATO ให้ชิงโจมตีก่อนโดยมองว่าการโจมตีเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด รวมถึงการโจมตีด้วยนิวเคลียร์อย่างจำกัด ซึ่งเป็นการก่อให้เกิดหายนะที่เราไม่ต้องการ

ประเด็นที่สาม การทดสอบขีปนาวุธ ‘Oreshnik’
- รัสเซียไม่ต้องการให้สถานการณ์เลวร้ายลง แต่เนื่องจากขีปนาวุธ ATACMS และอาวุธระยะไกลอื่น ๆ ถูกใช้กับแผ่นดินรัสเซีย ทางการรัสเซียหวังว่าการทดสอบขีปนาวุธ 'โอเรชนิก' จะเป็นการส่งสัญญาณไปยังสหรัฐฯ เพื่อให้ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง
- รัสเซียจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของตน สหรัฐอเมริกาและผู้ที่จัดหาอาวุธพิสัยไกลให้กับเคียฟต้องเข้าใจว่าเราจะพร้อมที่จะใช้วิธีการใด ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาติตะวันตกประสบความสำเร็จในการสร้าง ‘ความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์’ ให้กับเรา 

ประเด็นสุดท้าย ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน
- เราไม่ได้เริ่มสงคราม ในทางตรงกันข้าม เราได้เปิดปฏิบัติการพิเศษทางทหารเพื่อยุติสงครามที่ระบอบการปกครองของเคียฟได้ปลดปล่อยต่อประชาชนใน Donbass ซึ่งสิทธิมนุษยชนของประชากรรัสเซียและที่พูดภาษารัสเซียในยูเครนถูกละเมิดอย่างร้ายแรงรัสเซียเริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารเพื่อยุติสงครามที่ระบอบเคียฟกำลังดำเนินการกับประชาชนของตนเองในพื้นที่ดอนบาส 
- ชาวตะวันตกกำลังต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจของตนในโลก แต่เรากำลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ด้านความปลอดภัยที่ถูกต้องตามกฎหมายและต่อสู้เพื่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนเหล่านี้
- เราไม่มีเจตนาที่จะทำลายชาวยูเครน พวกเขาเป็นพี่น้องกันกับชาวรัสเซีย
- รัสเซียเรียกร้องหลายครั้งในปี 2014 และ 2017 ให้ในระดับข้อตกลงอนุญาตให้บางส่วนของ Donbass และ Novorossiya พูดและเรียนเป็นภาษารัสเซียได้ ประการแรกมีข้อตกลงมินสค์ซึ่งกำหนดไว้เพื่อบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครนยกเว้นไครเมียแต่ข้อตกลงเหล่านี้ถูกทำลายตั้งแต่เริ่มแรก และเราถูกบังคับให้เปิดปฏิบัติการพิเศษทางทหาร จากนั้นข้อตกลงอิสตันบูลในปี 2022 พูดถึงการที่ยูเครนไม่เข้าสู่ NATO เพื่อแลกกับการรับประกันความปลอดภัย แต่ถูกล้มหลังจากการมาถึงของนายบอริส จอห์นสันนายกรัฐมนตรีอังกฤษ 
- อย่าคิดว่ารัสเซียและสหรัฐฯ กำลังตัดสินใจประเด็นของยูเครนแทนทุกคนเพราะนี่ไม่ใช่สไตล์ของมอสโก
- เมืองหลวงบางแห่งเบื่อหน่ายกับความขัดแย้งในยูเครน มีการพูดคุยกันว่าสหรัฐฯ ต้องการปล่อยให้เรื่องนี้ตกเป็นหน้าที่ของยุโรป
- รัสเซียพร้อมสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ แต่ต้องการการเจรจาอย่างสันติ โดยตั้งใจที่จะดำเนินการเจรจาตามหลักการที่ตกลงกันในอิสตันบูล และต้องคำนึงถึงพื้นฐานความเป็นจริงที่ว่าขณะนี้มีสาธารณรัฐใหม่สี่แห่งในรัสเซีย แต่ข้อตกลงเหล่านี้ถูกตะวันตกปฏิเสธ

โดยรัฐมนตรีเซอร์เกย์ ลาฟรอฟกล่าวว่า ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีสั่งห้ามการเจรจากับรัสเซีย และทางรัสเซียก็พร้อมสำหรับการเจรจา หากคำนึงถึงความสมดุลทางผลประโยชน์ 

ซึ่งทั้ง 4 ประเด็น ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถึงท่าทีและการส่งสัญญาณของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียต่อทางสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกผ่านทางนายทัคเกอร์ คาร์ลสันซึ่งผู้กำหนดนโยบายจากชาติตะวันตกจำเป็นจะต้องศึกษาและถอดความหมายจากการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top