Friday, 15 November 2024
AYAIRRAWADEE

สงครามแย่งชิงมวลชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ คือภารกิจสำคัญของผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัย หากต้องการให้มวลชนอยู่ภายใต้การปกครอง และตัวเองสามารถครองอำนาจไปได้ตลอด แม้กระทั่งผู้นำอย่าง ฮิตเลอร์ ก็ยังให้ความสำคัญกับการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อแย่งชิงมวลชนมาเป็นฝ่ายตัวเอง 

สมัยฮิตเลอร์ครองอำนาจ เขาได้มือขวาคู่ใจคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาคือรัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ นายโยเซฟ เกิบเบิลส์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดม การโฆษณาชวนเชื่อ และสร้างข่าวเท็จจำนวนมาก หรือที่เรียกว่า Fake News โดยนปัจจุบัน เขามีลักษณะเด่นคล้ายฮิตเลอร์ คือ เป็นนักพูดตัวยง เป็นนักแสดงบนเวที และเป็นนักเล่าเรื่องผู้ยอดเยี่ยม

ฮิตเลอร์ และมือขวาของเขาได้ร่วมกันสร้างหลักการง่ายๆ จนเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำโฆษณาชวนเชื่อแพร่หลายทั่วไปจนถึงปัจจุบัน ภายใต้หลักการง่ายๆ 7 วิธี ซึ่ง 7 วิธีนี้ ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน

'การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ' ภายหลังพรรคนาซีได้รุ่งเรืองอำนาจในปี ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์และเกิบเบิลส์ ได้เข้าควบคุมหนังสือพิมพ์ทั้งหมดในเยอรมนี เพื่อกำหนดข่าวให้อยู่ทิศทางเดียวกัน ไม่รวมถึงวิทยุกระจายเสียงที่อยู่ภายใต้รัฐบาลอยู่แล้ว และพวกเขาได้สร้างนักพูด นักปลุกระดมมวลชนหลายพันคนที่มีฝีปากจัดจ้าน ออกตระเวนไปพูดทั่วประเทศ ส่งเนื้อหาเพื่อทำให้ประชาชนชื่นชอบฮิตเลอร์ พรรคนาซี และความชอบธรรมในการรุกรานประเทศอื่นๆ

...'โกหกจนเป็นเรื่องจริง' !!

โยเซฟ เกิบเบิลส์ เคยกล่าวว่า “ยิ่งโกหกคำโตมากเท่าไร โกหกบ่อยๆ คนจะยิ่งเชื่อมากขึ้น” และ “การหลอกประชาชนจำนวนมากด้วยการพูดโกหกเรื่องใหญ่ๆ ง่ายยิ่งกว่าการโกหกเรื่องเล็กๆ”

“การตั้งฉายา” ตั้งฉายาฝ่ายตรงกันข้ามให้ชั่วร้ายเลวทรามหรือดูแย่ เพื่อให้คนหมู่มากรู้สึกรังเกียจและสร้างความเกลียดชังให้มากขึ้น

“พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก” เป็นการย้ำข้อความเดิมๆ ไปเรื่อยๆ ซ้ำๆจนคนฟังหรือผู้รับสารค่อยๆ ซึมและเชื่อไปเองในที่สุด ไม่ต่างจากการที่ค่ายเพลง เปิดเพลงที่ตั้งใจจะให้ฮิทติดอันดับทางสถานีวิทยุ เปิดไปเรื่อยๆ จนคนฟังชินหู แล้วเริ่มรู้สึกว่าเพลงเพราะ

“ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายอธรรม” ฮิตเลอร์พยายามสร้างภาพว่า ตัวเองเป็นสัตบุรุษ เป็นเสมือนพระเยซู ผู้ทรงคุณธรรม มีศีลธรรมอันดีงาม มาช่วยเหลือ ปกป้องชาวเยอรมันและป้ายสีว่าผู้ร้ายคนชั่วคือพวกยิว ที่เป็นพ่อค้าขูดรีด เอาเปรียบชาวอารยันมานาน และพวกคอมมิวนิสต์ที่มีความคิดชั่วร้ายในการปกครองประเทศ แม้กระทั่งก่อนการบุกประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเชคโกสโลวาเกียหรือโปแลนด์ ก็มีการปลุกระดมให้คนเยอรมันเข้าใจผิดว่า ชนชาติเหล่านั้นเป็นคนชั่ว ข่มเหงรังแกคนเยอรมันและชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้นๆ ทางรัฐบาลนาซีเลยต้องประกาศสงคราม

“แบ่งแยกผู้คนเป็นฝ่ายต่างๆ ชัดเจน” เมื่อทำทั้ง 6 วิธีด้านบนไปแล้วก็ถึงเวลาในการที่จะบีบให้คนต้องเลือกข้างและด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาคงไม่มีใครที่อยากจะเลือกข้างเป็นผู้ร้ายและนั่นคือความสำเร็จของโมเดลโฆษณาชวนเชื่อของฮิตเลอร์

ออกพรรษาในเมียนมา 'เข้าวัดทำบุญ-ขอขมาผู้ใหญ่' รากเหง้าที่คงอยู่ แต่ดูเลือนลางห่างจากสังคมไทย

ในเดือนตุลาคมนี้เป็นเดือนที่มีวันสำคัญในเมียนมา ซึ่งก็คือ 'วันตะดิงจุด' (Thadingyut) หรือ วันออกพรรษา นั่นเอง ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 9 ตุลาคม ในขณะที่วันออกพรรษาของไทยคือ วันที่ 10 ตุลาคม  

เอย่าเชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามว่าทำไมวันพระพม่ากับวันพระไทยไม่ตรงกัน?

เหตุผลที่แท้จริงนั้นไม่แน่ชัด แต่เท่าที่เอย่าเคยได้ยินมา เนื่องจากเมียนมาและไทยอยู่คนละเส้นเวลา ทำให้การคำนวณวันตามจันทรคติไม่ตรงกันด้วย แต่บางข้อมูลบอกว่าพม่านั้นใช้การดูวันที่พระจันทร์เต็มดวงจริงไม่ได้คำนวนตามจันทรคติ ดังนั้นทำให้วันพระของพม่าไม่ตรงกับของไทยที่ใช้ระบบการคำนวนตามจันทรคติ ซึ่งทั้ง 2 แหล่งที่เอย่าได้ยินมาก็ถือว่ามีเหตุผลทั้งคู่ตามแต่ทุกท่านแล้วว่าจะเชื่อใคร

ย้อนกลับมาที่ วันตะดิงจุด หรือ วันออกพรรษาของคนเมียนมานั้น ตอนเช้าทุกคนจะเดินทางไปวัดทำบุญ ซึ่งสังเกตุได้ว่าตามเจดีย์ทุกที่ในวันนี้จะมีคนแน่นตลอดทั้งวัน และในยามค่ำจะมีการจุดเทียนหรือประทีบที่เจดีย์ และที่บ้านเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการต้อนรับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จกลับมาจากดาวดึงส์ โดยประเพณีการจุดดวงประทีปนี้ไม่ได้มีแค่ในเมียนมาเท่านั้น แต่มีในประเทศรอบข้างบ้านเราด้วยเช่น ลาว เป็นต้น

ในวันที่ 15 ค่ำเดือน 11 นี้ในเมียนมาไม่ได้มีตำนานพญานาคพ่นดวงไฟเหมือนที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขง แต่นอกจากการจุดดวงประทีปที่พื้นแล้ว หลายพื้นที่ก็มีการลอยประทีปบนอากาศเช่นกัน เช่น ในรัฐฉาน และบางแห่งก็ลอยดวงประทีปในน้ำเหมือนกับการลอยกระทงของบ้านเราก็มี

นอกจากกิจกรรมทางศาสนาแล้วในวันที่ถือว่าเป็นวันเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ วันนี้ยังเป็นวันที่ผู้น้อยไปเยี่ยมผู้หลักผู้ใหญ่และมีพิธีกรรมที่น่ารักอันหนึ่ง คือ พิธีขอขมา โดยพิธีนี้ผู้น้อยหรือผู้ที่มีอายุน้อยกว่าจะขอขมาผู้ที่มีอายุมากกว่าแลละผู้อาวุโสนอกจากจะอโหสิกรรมให้ในสิ่งที่ผู้น้อยทำผิด ทั้งมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม แล้วผู้ใหญ่บางที่ก็แจกเงิน แจกทองให้ผู้น้อยด้วย ซึ่งพิธีนี้นอกจากทำกันในบ้านแล้วยังกระทำกันในที่ทำงานด้วย

ค่ำคืนอันแสนสยด เสียงกรีดร้องของทหารญี่ปุ่นนับพันใน ‘แรมรี’ เกาะสยองที่ถูกครองด้วยมัจจุราชน้ำเค็ม

วันนี้ AYA Documentary มีเรื่องสนุกที่หลายคนอาจจะเคยทราบมาแล้ว แต่อีกหลายคนก็ยังไม่เคยทราบมาเล่าสู่กันฟัง  

หากใครเคยอ่านตำนานงูยักษ์เมืองกาญจนบุรีของไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วคิดว่ามันคือเรื่องจริง เอย่าแค่จะบอกว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมา เพราะไม่มีหลักฐานการสืบค้นว่ามันคือเรื่องจริง แตกต่างจากเรื่องสยองขวัญที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันที่จะเล่าต่อจากนี้

เกาะแรมรี (Ramree Island) เป็นส่วนหนึ่งของเจาท์พิว (Kyauk Phyu) เป็นเกาะนอกชายฝั่งรัฐอาระกัน โดยเกาะมีคลองกว้างราว 150 เมตร กั้นแยกออกมาจากแผ่นดินใหญ่ มีพื้นที่เกาะ 1,350 ตารางกิโลเมตร 

ในปี พ.ศ.2485 ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นนำกำลังเข้ามาวางกำลังและยึดพื้นที่เกาะแห่งนี้ โดยมีทหารราว 1,000 นาย ซึ่งขณะนั้นกองทัพอังกฤษต้องการยึดพื้นที่แห่งนี้ เพื่อสร้างสนามบินสำหรับภารกิจส่งกำลังบำรุง จึงยกพลเข้าโจมตีทหารญี่ปุ่นเพื่อยึดเกาะแรมรีโดยใช้กองกำลังโอบตีจากทั้ง 2 ด้านเพื่อกดดันขับไล่ทหารญี่ปุ่นให้ออกจากที่มั่น 

ฝ่ายทหารญี่ปุ่นที่ฐานที่มั่นถูกระดมโจมตีอย่างหนักมีทางเดียว คือ ต้องถอยร่น ซึ่งทางเดียวที่จะหนีไปได้ คือลุยน้ำทะเลระดับหน้าอก เดินเข้าไปในป่าชายเลน เพื่อนำกำลังไปสมทบกับกำลังอีกส่วนหนึ่งที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเกาะ 

ดังนั้นทหารญี่ปุ่นตัดสินใจหนีลงน้ำ เข้าป่าพรุ 

และคืนของวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2488 จะเป็นคืนสยองที่ทุกคนต้องจดจำ เมื่อทหารเลือดซามูไรเกือบ 1,000 นายที่ไม่คุ้นกับภูมิประเทศบริเวณนั้นมาก่อน ถูกยุงในป่าพรุกัดขณะเข้าไปในพรุ จนต้องหนีตายเข้าไปในป่าชายเลนที่เต็มไปด้วยป่าโกงกาง อีกทั้งยังต้องเจอกับสัตว์มีพิษอีกจำนวนมากทั้งงูพิษ และหน่วยทหารของอังกฤษ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นทหารอินเดีย วางกำลังปิดล้อมพื้นที่ดังกล่าวแบบไม่ให้คลาดสายตา  

และในคืนนั้นทหารอังกฤษ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของทหารญี่ปุ่น ที่พยายามข้ามบึงในเวลากลางคืน ต้องตกเป็นอาหารของจระเข้น้ำเค็มที่ดักซุ่มรออยู่บริเวณนั้น  

ว่ากันว่า ‘นักล่าแห่งเกาะแรมรี ค่อยๆ ทำให้ทหารญี่ปุ่น ลับตาไปทีละคนๆ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายและเสียงปืนที่ยิงสะเปะสะปะในค่ำคืนเดือนมืด’  

ค่ำคืนแห่งการหนีตาย ทหารจำนวนกว่า 500 คน ข้ามน้ำ ข้ามป่าพรุไปไม่ถึงฝั่ง ลูกหลานซามูไรเหล่านี้ไม่ได้ออกมาพ้นบึงเลยด้วยซ้ำ ส่วนทหารที่เหลือรอดมาได้ ก็ล้วนบาดเจ็บสาหัส แต่ยังมีชีวิต และยังคงสติพอจะหวนระลึกถึงความน่าสะพรึงกลัวของเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้ายที่ต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน

FATF ขึ้นบัญชีดำทางการเงินต่อรัฐบาลทหารเมียนมา ฤานี่จะเป็นสงครามตัดท่อน้ำเลี้ยงของประเทศตะวันตก

มีข่าวดัง เมื่อคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินสากล หรือ Financial Action Task Force: FATF ออกประกาศขึ้นบัญชีดำทางการเงินต่อรัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งประกาศดังกล่าวเหมือนคลื่นลูกใหญ่ที่กระทบกับผู้ประกอบการในเมียนมาอย่างจัง เพราะเกิดการกระทบกับระบบค่าเงินของเมียนมาในทันที 

โดยอัตราแลกเปลี่ยนในวันหลังประกาศของ FATF ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนดิ่งจาก 75 จ๊าดต่อบาท เป็น  93-95 จ๊าดต่อบาท ก่อนที่อัตราแลกเปลี่ยนจะคืนกลับมาอยู่ที่ประมาณ 90 จ๊าดต่อบาทในช่วงค่ำ ซึ่งถือว่าการกระทบครั้งนี้เป็นการกระทบทางการเงินไม่ต่างกับช่วงก่อนที่มีเรื่องดอลลาร์ในเมียนมาขาดตลาดจนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนพุ่งไปเป็น 100 จ๊าดต่อบาทมาแล้ว

แต่ก่อนอื่นรู้กันไหมว่า คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินสากล หรือ Financial Action Task Force: FATF เป็นใคร?

FATF เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐบาล จัดตั้งขึ้นโดยที่ประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศ G7 ปัจจุบันมีสมาชิก 39 ราย มีเครือข่ายความร่วมมือ 9 แห่ง ในทุกภูมิภาคของโลก โดยปัจจุบันมีประเทศที่เป็นสมาชิก FATF 37 ประเทศ ได้แก่...

อาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, บราซิล, แคนนาดา, จีน, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีช, ซาอุดีอาระเบีย, ฮ่องกง, ไอซ์แลนด์, อินเดีย, ไอร์แลนด์, อิสราเอล, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ลักแซมเบิร์ก, มาเลเซีย, เม็กซิโก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปรตุเกส, รัสเซีย, สิงคโปร์, แอฟริกาใต้, สเปน, สวีเดน, สวิสเซอร์แลนด์, ตุรเคีย, สหราชอาณาจักรอังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา โดยอินโดนีเซียเป็นประเทศร่วมสังเกตการณ์ ส่วนไทยเรานั้นเพิ่งได้รับมติ ครม. เห็นชอบให้สมัครเข้าร่วม FATF เมื่อมีนาคมที่ผ่านมา

ตามรายงานของ FATF ล่าสุดประกาศเมื่อ 22 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น เมียนมาเป็นประเทศที่ติดอันดับประเทศที่ FATF เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกและประเทศอื่นๆ ใช้มาตรการตอบโต้ เช่นเดียวกันกับ เกาหลีเหนือ และ อิหร่าน ในขณะที่ กัมพูชา และฟิลิปปินส์ ติดระดับ 3 คือเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างการติดตามความคืบหน้าในการปรับปรุงอย่างใกล้ชิดโดย FATF

ในช่วงเวลาใกล้กันก่อนการประกาศของ FATF กองทหาร KNU/KNLA ร่วมกับ PDF ยกพลถล่มค่ายทหารเมียนมาบริเวณก๊อกกาเร็ก ซึ่งส่งผลให้การค้าชายแดนเงียบสงัด ซึ่งถ้าเรามองว่าเหตุการณ์การโจมตีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ FATF ประกาศก็พอจะมองได้ เพราะช่วงที่ผ่านมาก็มีการทดสอบอาวุธของพวก PDF หลายที่ไม่ว่าจะในรัฐสะกายหรือที่ตรงเชิงเขาของพระธาตุอินทร์แขวนที่ทำให้ผู้แสวงบุญเสียชีวิตไปหลายคน  

แต่ในขณะเดียวกันที่การค้าชายแดนกำลังจะดีขึ้นการรบและการประกาศของ FATF ก็คือตัวที่ทำการค้าชายแดนให้หยุดชะงักไปอย่างทันที จากจุดนี้จึงมองว่าเป็นการวางแผนจากประเทศตะวันตกในการจะทำลายเศรษฐกิจของเมียนมาที่กำลังจะฟื้นตัวหรือไม่

รู้ทัน 'กฎหมายศาสนา' ในเมียนมา เรื่องอ่อนไหว ที่ไม่ควรล่วงเกิน

จากประเด็นล่าสุดที่เกิดขึ้นในเมียนมา คือมีคนนำตุ๊กตายางที่ชายหนุ่มกลัดมันซื้อมาเป็นเพื่อนคลายเหงามาทำเป็นองค์สักการะนัตสุรัสสตีและนัตสิริเทวีประดิษฐานไว้บริเวณด้านล่างของเจดีย์ชเวดากองทางทิศใต้ ซึ่งหากประดิษฐานไว้ที่อื่น เอย่าเชื่อว่าคงไม่มีประเด็นอะไร แต่เนื่องจากเป็นที่เจดีย์ชเวดากอง ดังนั้นดราม่าจึงเกิดขึ้น

ชาวโซเชียลของเมียนมาเริ่มมีการพูดถึงความไม่เหมาะสมในการนำตุ๊กตายางมาสวมชุดเป็นนัตมากขึ้นจนลามไปถึงเรื่องของเจ้าหน้าที่บริหารสถานที่เจดีย์ชเวดากองว่า ทำไมถึงยอมให้มีการนำหุ่นแบบนี้มาใช้เป็นนัตให้คนสักการะ (นัต: ผีบรรพบุรุษ ลักษณะกึ่งผีกึ่งเทวดาคล้ายเทพารักษ์)

แต่ความจริงเรื่องราวทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นขึ้นถ้าชายหนุ่มผู้บริจาคนัตนี้ให้เป็นองค์สักการะ ไม่โพสต์ใบเสร็จที่ระบุสเป็กของหุ่นว่า ตุ๊กตายางสูง...เซนติเมตร หน้าอกไซส์ใหญ่ 1 และหน้าอกไซส์ธรรมดา 1 ผมสี...ตาสี... ซึ่งแน่นอนเมื่อเขาโพสต์ลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์กและเปิดสถานะเป็นสาธารณะแบบนี้ จึงเป็นประเด็นทันที เพราะหากเขาไม่โพสต์ใบเสร็จใบนี้ ชาวเน็ตเมียนมาอาจจะคิดว่าเป็นตุ๊กตาทั่วไปไม่ใช่ตุ๊กตายางสำหรับใช้งานในเรื่องอย่างว่า

สุดท้ายกระทรวงกิจการศาสนาและวัฒนธรรมของเมียนมา จึงดำเนินคดีข้อหาดูหมิ่นพุทธศาสนาต่อผู้ที่นำตุ๊กตายางแต่งเป็นนัตไปให้ประชาชนกราบไหว้บูชาที่ลานจอดรถพระเจดีย์ชเวดากอง รวมถึงดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ผู้อนุญาตโดยพลการด้วย สรุปงานเข้าไปตาม ๆ กัน

ประเด็นศาสนาเป็นเหตุแบบนี้ นี่ไม่ใช่เคสแรกในเมียนมา หากสืบค้นไปแล้วในเมียนมามีกฎหมายประหลาด ๆ หลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่นเมื่อหลายปีก่อนมีชาวแคนาดาและชาวสเปนถูกเนรเทศออกจากเมียนมา เพราะสักรูปพระพุทธรูปบนร่างกาย อีกทั้งยังมีเคสอื่น ๆ อีกเช่น มีชาวต่างชาติตะโกนด่าเนื่องจากชุมชนใกล้โรงแรมมีกิจกรรมเทศนาตอนค่ำ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นทุกปีหลังฝน สุดท้ายชาวต่างชาติคนนั้นถูกจับและดำเนินคดี หรืออย่างอีกเคสหนึ่งเป็นไนท์คลับที่เอารูปพระพุทธรูปมาประดับสุดท้ายก็โดนตำรวจจับและปิดไปตามระเบียบ

จะเห็นได้ว่าประเด็นทางศาสนาเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากสำหรับคนเมียนมาถึงขั้นมีการตราเป็นกฎหมายสรุปคร่าว ๆ ว่า...

วิกฤตศรัทธาศาสนาพุทธในเมียนมา อนาคตที่ถูกชี้ชะตาโดยคนรุ่นใหม่

เมื่อไม่นานมานี้มีภาพหลุดออกมาว่อนอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับภาพพระสงฆ์ที่เหมือนจะกำลังเดินอยู่บนแคตวอร์ก จนสร้างความฮือฮาให้กับชาวเน็ตทั้งคนเมียนมาเอง ขณะที่คนต่างชาติ ก็ออกปากพูดเชิงดูหมิ่นว่า พระมาเดินแคตวอร์กอะไรทำนองนั้น  

เมื่อสืบค้นไป ก็พบว่าประเด็นนี้ มาจากมีคหบดีท่านหนึ่งจัดงานวันเกิดให้พระผู้ใหญ่ที่โรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่งในย่างกุ้ง จึงมีการเชิญพระหลายรูปมาร่วมงานในที่นี้ รวมถึงมีการนำรถหรูไปรับพระด้วย

แน่นอนว่า หลายคนมองถึงความไม่สมควรของพระที่ควรจะสมถะ แต่กลับถูกโยมสร้างให้เกิดในสิ่งที่เรียกว่า 'ผิดไปจากวินัยคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า' ด้วยหรือ ว่าแล้วหลายคนจึงได้เข้าไปกระหน่ำบูลลี่สิ่งที่เห็นเพียงแค่ภาพอย่างสะใจแบบเอาตายในเชิงดูหมิ่นพระสงฆ์ 

อันที่จริง ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระผู้ใหญ่โดนเช่นนี้!!

ช่วงก่อนหน้าที่ผ่านมา กรณี 'ครูบาบุญชุม' ครั้นเมื่อท่านออกจากวิปัสสนาจากถ้ำที่เมืองแกดในรัฐฉาน แล้วตัวท่านก็มีการแสดงท่าทาง อาการแปลกๆ และมีการถ่ายภาพไว้ และมีการโพสต์ลงสื่อออนไลน์ ทำให้คนหลายคนเข้ามาต่อว่า บูลลี่ไปถึงอาการที่เป็นอยู่ว่าท่านเสียจริตเอยหรืออื่นๆ อีกมากมาย

ที่เอย่าอยากจะบอก คือ อย่างไรก็ดี ศาสนาพุทธในเมียนมา ณ วันนี้ ยังคงแข็งแกร่ง เพราะพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ยังรักและศรัทธากับวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ 

แต่ในขณะเดียวกันจำนวนพุทธศาสนิกชนเมียนมาที่เอาใจออกห่างจากพุทธศาสนาก็มีเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นใหม่และคนชั้นกลาง ซึ่งคนเหล่านี้อาจจะเป็นกลุ่มที่ชี้ชะตาถึงความแข็งแกร่งของพุทธศาสนาในเมียนมาในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้าก็เป็นได้ 

จากนี้คงต้องมาดูถึงบริบทของศาสนาพุทธที่เปลี่ยนไปกันในอนาคตกันว่าจะเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า

พนันออนไลน์ ระบาด!! ไม่เว้นแม้ในเมียนมา ประเทศที่ปักธงเป็นสิ่งต้องห้ามและผิดกม.

การเล่นการพนันของเมียนมาเป็นสิ่งต้องห้ามและผิดกฎหมายมาแต่ไหนแต่ไร แม้ในเมียนมาจะมีการได้รับอนุญาตให้เปิดคาสิโนตามชายแดน ซึ่งนั่นก็เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากผู้เล่นต่างชาติอย่างไทยหรือจีนนั่นเอง 

ขณะเดียวกันด้วยการเดินทางที่ยากลำบาก ทำให้คนรวยในเมียนมาที่อยากเล่นการพนันเลือก ก็จะเดินทางไปเล่นการพนันในต่างประเทศมากกว่าที่จะเลือกนั่งรถ 8-10 ชม. จาก ‘ย่างกุ้ง’ มา ‘เมียวดี’

ทว่า เมื่อยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟู หลายสิ่งหลายอย่างได้รับการพัฒนา รวมถึงการลงทุนด้านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งแม้มันจะนำมาซึ่งความสะดวกสบายของชาวเมียนมา แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้การพนันออนไลน์ในเมียนมาเติบโตขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจการพนันออนไลน์ที่เฟื่องฟูขึ้นเป็นดอกเห็ด

เปิดเหตุผลที่ ‘เมียนมา’ แห่ทะลักมาทำงานในไทย แม้ต้องเข้ามาแบบผิดกฎหมาย...ก็ยอม!!

ช่วงนี้เอย่าได้อ่านข่าวเรื่องการตรวจจับคนเมียนมาข้ามแดนอย่างผิดกฎหมายแทบจะเรียกได้ว่าทุกวัน

เหตุเพราะตอนนี้ คนเมียนมาส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นปัญญาชนหรือไม่ใช่ปัญญาชน ต่างก็มุ่งจะออกไปทำงานต่างประเทศ โดยไม่ได้สนใจว่าจะใช้วิธีที่ถูกต้องหรือผิดกฎหมาย 

ซึ่งปลายทางในการเดินทางผิดกฎหมายที่พบในข่าวฝั่งเมียนมามากที่สุดคือ ไทย รองลงมาคือ มาเลเซีย  

คำถาม คือ แล้วทำไมเป็นประเทศไทย ที่แรงงานเมียนมาอยากมามากที่สุด

วันนี้เอย่าจะนำข้อมูลที่ได้มาจากกลุ่มแรงงานที่เดินทางเข้าเมืองผิดกฎหมายในไทยมาให้ทราบกัน...

>> ประการแรกคือ ประเทศไทยนั้นมีเอเยนต์ที่คอยการข้ามแดนของพวกเขา เมื่อชาวเมียนมาเข้ามาแล้ว ก็จะไปวิ่งเต้นในการทำบัตรแรงงานต่างด้าวหรือที่เรียกกันว่าบัตรชมพูให้ด้วย 

ซึ่งนั่นจะทำให้แรงงานเมียนมาที่ข้ามมาได้แล้ว (ได้บัตรชมพู) ทุกอย่างก็จบพวกเขาสามารถทำงานได้เลยเพราะบริษัทหรือห้างร้านในไทยไม่ได้ตรวจสอบการเดินทางเข้ามาเพียงแต่ตรวจสอบเรื่องการมีบัตรชมพูหรือไม่เท่านั้นเอง

>> ประการต่อมา ในประเทศไทย ไม่ว่าคุณจะเข้าเมืองมาแบบใด ไม่ว่าจะมาแบบมีวีซ่าทำงาน หรือ ท่องเที่ยว หรือ แรงงานก็ตาม หากไปทำเรื่องที่สถานทูตเมียนมาก็สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้กับธนาคารที่มีการดีลกับสถานทูตไว้ ซึ่งนี่เป็นอภิสิทธิ์อีกอย่างหนึ่งให้แก่คนเมียนมา

กลับกันหากเป็นในประเทศอื่น การเดินทางเข้าเมืองแบบไม่ถูกต้อง หรือมาแบบท่องเที่ยว การจะเปิดบัญชีธนาคารนั้นจะยากมาก เนื่องจากตามกฎหมายในหลาย ๆ ประเทศไม่อนุญาตให้กระทำ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top