Saturday, 4 May 2024
ไต้หวัน

จีนเผยแพร่สารคดี ความพร้อมบุกโจมตีไต้หวัน ส่วนทหารประกาศกร้าว!! “พร้อมสละชีพ”

(9 ส.ค. 66) จีนเผยแพร่สารคดีใหม่ เกี่ยวกับการเตรียมพร้อมของกองทัพในการโจมตีไต้หวัน ในนั้นเป็นภาพที่บรรดากำลังพลประกาศกร้าวว่าพร้อมเสียสละชีพตนเองถ้าจำเป็น ความเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่ปักกิ่งเดินหน้าใช้โวหารดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ กับเกาะปกครองตนเองแห่งนี้

‘ไล่ล่าความฝัน’ เป็นซีรีย์ 8 ตอน ที่ออกอากาศโดยซีซีทีวี สื่อมวลชนแห่งรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในวาระครบรอบ 96 ปี ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA) โดยในสารคดีดังกล่าวมีภาพของการซ้อมรบทางทหารและข้อความจากบรรดาทหารหลายสิบนาย ซึ่งหลายคนแสดงถึงความตั้งใจพลีชีพตนเอง ในความเป็นไปได้ที่จะลงมือโจมตีไต้หวัน

จีน อ้างว่าไต้หวัน เกาะปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งของดินแดน และจำเป็นต้องรวมชาติ ผ่านการใช้กำลัง ถ้ามีความจำเป็น

สำนักข่าวเอพี ระบุว่าบ่อยครั้งที่สื่อมวลชนแห่งรัฐและกองทัพปลดแอกประชาชนจีน เผยแพร่เนื้อหาโฆษณาชวนเชื่อและคลิปวิดีโอการซ้อมรบทางทหาร พวกมันถูกใช้โหมกระพือความรักชาติในบรรดาชาวจีนและแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในกองทัพในการจัดการไต้หวัน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทเปกับสหรัฐฯ ทั้งนี้แม้อเมริกาไม่รับรองไต้หวันในฐานะประเทศอธิปไตยหนึ่งๆ แต่พวกเขาประกาศว่าจะช่วยเกาะแห่งนี้ปกป้องตนเอง ในกรณีที่ถูกรุกราน

เมื่อเดือนที่แล้ว ทำเนียบขาวแถลงจัดแพ็คเกจความช่วยเหลือด้านการทหารแก่ไต้หวัน มูลค่า 345 ล้านดอลลาร์ ความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเป็นการถอดบทเรียนจากความช่วยเหลือด้านการทหารที่สหรัฐฯมอบให้แก่ยูเครน และก็เป็นไปตามคาดที่มันเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดจากจีน

ในสารคดี ‘ไล่ล่าความฝัน’ ยังมีภาพของเหตุการณ์อื่นๆ ในนั้นรวมถึงการซ้อมรบที่มีชื่อว่า ‘ดาบประสาน’ (Joint Sword) ซึ่งเป็นการจำลองการโจมตีที่แม่นยำใส่ไต้หวัน โดยการซ้อมรบดังกล่าวเกิดขึ้นรอบๆเกาะไต้หวันในเดือนเมษายน ตามหลังประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ของไต้หวัน เดินทางเยือนสหรัฐฯ

บางส่วนของสารคดีชุดใหม่นี้ มีคำพูดของบรรดากำลังพลของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนจากหน่วยต่างๆ ที่ประกาศกร้าวว่าพร้อมสละชีพตนเอง ในความเป็นไปได้ที่จะลงมือโจมตีไต้หวัน

“ถ้าสงครามระเบิดขึ้นและสภาพแวดล้อมยุ่งยากเกินไปที่จะปลดชนวนทุ่นะเบิดในทะเลระหว่างสู้รบจริง เราจะใช้ร่างกายของเรา เคลียร์เส้นทางที่ปลอดภัยแก่กองกำลังยกพลขึ้นบกของเรา” เจ้า เฝิง กำลังพลจากหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกองทัพเรือแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีนกล่าว

หลี่ เผิง นักบินจากฝูงบินหนึ่งของกองทัพอากาศแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน กล่าวว่าเครื่องบินของเขาจะสาดขีปนาวุธพุ่งเข้าหาศัตรูจนกระทั่งลูกสุดท้าย “ถ้าในการสู้รบจริง ผมจะใช้กระสุนทั้งหมดที่มี”

ในสารคดีดังกล่าวยังปรากฏภาพของซานตง หนึ่งในเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำขอจีน กำลังล่องแปรขบวนร่วมกับเรือรบอื่นๆหลายลำ

กองทัพปลดแอกประชาชนจีน ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินซานตง ไปยังช่องแคบไต้หวัน ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพื่อข่มขวัญไต้หวัน นอกจากนี้แล้วฝูงบินของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ยังข้ามเส้นกลางของช่องแคบ ซึ่งใช้แบ่งเขตอย่างไม่เป็นทางการระหว่างจีนและไต้หวัน บ่อยครั้งขึ้นในช่วง 2 ปีหลังสุด โดยส่วนหนึ่งเป็นการตอบโต้การติดต่อประสานงานระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ ซึ่งโหมกระพือความไม่พอใจแก่ปักกิ่ง

‘ไต้หวัน’ อพยพประชาชนนับพัน หนีไต้ฝุ่น ‘ไห่ขุย’ พร้อมสั่งยกเลิกเที่ยวบิน ก่อนพายุจะขึ้นฝั่งวันนี้

(3 ก.ย.b66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ไต้หวันเตรียมที่จะรับมือกับพายุไต้ฝุ่นไห่ขุยที่คาดว่าจะพัดขึ้นฝั่งที่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะที่มีภูเขาจำนวนมากและมีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง ในช่วงบ่ายของวันนี้ (3 ก.ย.) ส่งผลให้บรรดาเที่ยวบินภายในประเทศถูกยกเลิกและได้อพยพประชาชนจำนวน 2,868 คน ทางตอนใต้และตะวันออกของเกาะไปยังที่ปลอดภัยแล้ว โดยคาดว่าพายุไต้ฝุ่นลูกดังกล่าวจะส่งผลให้มีฝนตกหนักและลมแรงในบริเวณตอนใต้และทิศตะวันออกของไต้หวัน

ประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ของไต้หวันได้กล่าวในการประชุมของเจ้าหน้าที่จัดการภัยพิบัติว่า พายุไต้ฝุ่นไห่ขุยจะเป็นไต้ฝุ่นลูกแรกในรอบ 4 ปี ที่พัดขึ้นฝั่งบนเกาะไต้หวันและเคลื่อนตัวผ่านพื้นที่เทือกเขาทางตอนกลางของเกาะ แถลงการณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีไช่ได้แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านหรือขึ้นไปบนภูเขา รวมถึงเลี่ยงการเดินทางไปยังชายฝั่ง ออกเดินเรือทำประมง หรือเล่นกีฬาทางน้ำ

นอกจากนั้นแล้ว ยังได้คำสั่งยกเลิกการเรียนการสอนและประกาศหยุดงานให้กับคนงานในเขตและเมืองต่างๆ ในบริเวณภาคตะวันออกและใต้ของเกาะไต้หวัน ขณะที่ UNI Air และ Mandarin Airlines ซึ่งเป็นสายการบินภายในประเทศหลักของไต้หวันได้สั่งยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดของวันนี้ เช่นเดียวกับบริการเรือข้ามฟากไปยังเกาะที่ตั้งอยู่รอบไต้หวันก็ถูกยกเลิกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินระหว่างประเทศได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นไห่ขุยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยมีเที่ยวบินระหว่างประเทศถูกยกเลิกเพียง 37 เที่ยวบินเท่านั้นในวันนี้ ด้านกองทัพของไต้หวันได้สั่งระดมกำลังทหารและอุปกรณ์เพื่อเตรียมรับมือกับน้ำท่วมและการอพยพประชาชนเช่นกัน

พายุไต้ฝุ่นไห่ขุยมีความรุนแรงน้อยกว่าพายุไต้ฝุ่นเซาลาที่เพิ่งพัดถล่มเกาะฮ่องกงและมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีนอยู่มาก คาดว่าไต้ฝุ่นไห่ขุยจะเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 1 หรือ 2 เท่านั้นเมื่อพัดขึ้นฝั่งที่เกาะไต้หวันโดยไต้ฝุ่นไห่ขุยมีความเร็วลมสูงสุดอยู่ที่ 137 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและมีลมกระโชกแรงสูงสุด 173 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

หลังเคลื่อนตัวผ่านทางตอนใต้ของไต้หวันแล้ว มีการพยากรณ์ว่าพายุไต้ฝุ่นไห่ขุยจะเคลื่อนตัวข้ามช่องแคบไต้หวันและมุ่งหน้าไปทางประเทศจีนอีกด้วย

‘BOI’ กางยอด 8 เดือน ไต้หวันแห่ลงทุนในไทย 3 หมื่นล้านบาท พร้อมยกเป็นฐานการผลิตด้านอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งออกทั่วโลก

เมื่อไม่นานมานี้ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นับเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของโลก และเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอให้ความสำคัญมาก เนื่องจากมีความเชื่อมโยงและเป็นฐานการพัฒนาที่สำคัญของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ ดิจิทัล อุปกรณ์การแพทย์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เป็นต้น 

ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลกขยายตัวอย่างมาก โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในแหล่งรองรับการลงทุนที่มีความโดดเด่น ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ระบบไฟฟ้ามีความเสถียร พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีความพร้อมรองรับการลงทุนได้อีกมาก บุคลากรมีทักษะและความเชี่ยวชาญในด้านอิเล็กทรอนิกส์ ซัปพลายเชนครบวงจร และภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนที่แข่งขันได้ ทำให้ผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก โดยเฉพาะจากไต้หวัน ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลก

โครงการลงทุนจากไต้หวันส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Board: PCB) คอมพิวเตอร์พกพา (Notebook) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่นำระบบเซ็นเซอร์ Internet of Things (IoT) หรือระบบสมองกลฝังตัว (Embedded System) มาใช้ เช่น ลำโพงอัจฉริยะ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ (Wearable Device) เป็นต้น 

ซึ่งบีโอไอได้มองเห็นถึงโอกาสและศักยภาพของไทยในการเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมดังกล่าว จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนจากไต้หวันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประสานงานนำสมาชิกสมาคมผู้ผลิต PCB รายใหญ่จากไต้หวัน เดินทางสำรวจพื้นที่เพื่อวางแผนการลงทุนในประเทศไทยอย่างเร่งด่วนในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ทำให้มีบริษัท PCB จากไต้หวัน ทยอยเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

“ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคมานานกว่า 40 ปี และได้พัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุนในกลุ่มชิ้นส่วนและวัตถุดิบต่าง ๆ จนแข็งแกร่งและครบวงจร ทั้งยังผ่านประสบการณ์ทำงานร่วมกับบริษัทระดับโลกมาแล้ว จึงมีศักยภาพที่จะต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำ เช่น การผลิตเวเฟอร์ และการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยไต้หวันเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ไทยจะดึงการลงทุน เนื่องจากเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก” นายนฤตม์ กล่าว

ปัจจุบันไต้หวันเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของโลก ครองส่วนแบ่งตลาดถึงกว่าร้อยละ 65 ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโลก โดยมีบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Corporation (TSMC) เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ สำหรับการผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) ซึ่งเป็นหัวใจของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ บริษัทไต้หวันก็เป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลก มีส่วนแบ่งในตลาดโลกร้อยละ 35 โดยปัจจุบันผู้ผลิต PCB ไต้หวัน 20 อันดับแรก ได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้ว 10 ราย เช่น WUS PCB, APEX, Dynamic Electronics, Gold Circuit, APCB เป็นต้น 

เมื่อรวมกับผู้ผลิต PCB จากประเทศอื่น เช่น จีน และญี่ปุ่น ที่เข้ามาลงทุนด้วย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นคลัสเตอร์ PCB ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ตามมาด้วยประเทศเวียดนามและมาเลเซีย สำหรับผู้ผลิต PCB รายใหญ่ที่เหลือ เป็นเป้าหมายสำคัญที่บีโอไอจะเร่งเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยบางรายได้ตอบรับและอยู่ระหว่างเตรียมการลงทุนในเร็ว ๆ นี้

“การเข้ามาลงทุนของกลุ่มผู้ผลิต PCB จากไต้หวันในรอบนี้ ถือเป็นคลื่นการลงทุนสำคัญ ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างเม็ดเงินจำนวนมากให้ประเทศเท่านั้น แต่จะช่วยยกระดับซัปพลายเชนในประเทศ เกิดการจ้างงานและการพัฒนาบุคลากรด้านอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรสมัยใหม่ รวมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยที่มีศักยภาพได้เข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ของโลก ผ่านกิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรมของบีโอไออีกด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม - สิงหาคม 2566) มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบริษัทไต้หวันในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวม 20 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท โดยเป็นการผลิต PCB 7 โครงการ เช่น บริษัท Gold Circuit Electronics, ITEQ Corporation, Taiwan Union Technology และเป็นการผลิตโน้ตบุ๊กให้กับ HP บริษัทคอมพิวเตอร์อันดับ 2 ของโลก จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ บริษัท QMB และ Inventec นอกจากนี้ ยังมีบริษัทรายใหญ่จากไต้หวันในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้เข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้แล้ว เช่น บริษัท Delta Electronics, Tatung, Cal-Comp, Techman, Chicony, Primax เป็นต้น

‘ไต้หวัน’ โวย!! พบเครื่องบิน 28 ลำของกองทัพจีน บินเข้ามาในเขตป้องกันทางอากาศของไต้หวัน

(14 ก.ย. 66) กระทรวงกลาโหมไต้หวัน แถลงว่า พบเครื่องบิน 28 ลำของกองทัพอากาศจีน อยู่ในเขตป้องกันทางอากาศของไต้หวันเมื่อเช้าวันที่ (13 กันยายน) ซึ่งเครื่องบินเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจีน เพื่อก่อกวนไต้หวัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไต้หวันออกมาระบุว่า จีนยกระดับการทำกิจกรรมทางทหารใกล้เกาะไต้หวันเพิ่มมากขึ้น และจีนแสวงหาการอ้างอธิปไตยเหนือไต้หวันมาตลอด แม้ไต้หวันปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่จีนมองว่า ไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่

กระทรวงกลาโหมไต้หวัน ระบุต่อไปว่า เมื่อเวลาประมาณ 06.00 ตามเวลาท้องถิ่น เครื่องบินรบจีนหลายสิบลำ รวมถึงเครื่องบินขับไล่ เจ-10 ได้บินเข้ามาทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเขตป้องกันทางอากาศของไต้หวัน

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินรบบางลำของจีน บินข้ามช่องแคบบาชิ เพื่อปฏิบัติการซ้อมรบร่วมกับเรือบรรทุกเครื่องบินซานตงในมหาสมุทรแปซิฟิก

อย่างไรก็ตาม กองกำลังไต้หวัน เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงส่งเครื่องบินขับไล่ปกป้องน่านฟ้า ซึ่งไต้หวันมักใช้วิธีส่งเครื่องบินขับไล่พิทักษ์น่านฟ้า เพื่อตอบโต้ที่เครื่องบินรบจีนรุกล้ำน่านฟ้า 
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันจันทร์ (11 กันยายน) กระทรวงกลาโหมไต้หวัน เปิดเผยว่า กองเรือรบจีนนำโดยเรือบรรทุกเครื่องบินซานตง ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อซ้อมรบ

เกาะศึกชิงดำ!! รถไฟฟ้าอีวีโปรเจกต์ X จากซัพพลายเออร์ไอโฟน 'ไทย' ลุ้น!! ชน 'อินเดีย' เบียดขึ้นแท่นปั้น EV 3 ที่นั่งป้อน 3 ประเทศ

(30 ต.ค. 66) เพจ 'BTimes' เผยว่า ฟ็อกซ์คอนน์จ่อผลิตรถอีวีขนาดเล็กส่งขายอินเดีย ญี่ปุ่น ไทย ปีละ 100,000 คัน ลุ้นตั้งโรงงานผลิตในไทย

เอ็มไอเอช คอนซอร์เตียม (MIH Consortium) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟ็อกซ์คอนน์ ซัพพลายเออร์รายยักษ์ใหญ่ผลิตไอโฟนจากไต้หวัน เปิดเผยว่า เตรียมผลิตและขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีขนาดเล็กใน 3 ประเทศของเอเชีย ได้แก่ อินเดีย, ญี่ปุ่น และไทย ด้วยเป้าหมายการขายปีละ 100,000 คันในตลาดทั้ง 3 ประเทศดังกล่าว

นายแจ็ค เฉิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ เอ็มไอเอช คอนซอร์เตียม กล่าวว่ารถอีวีขนาดเล็กอยู่ในโครงการชื่อว่า 'โปรเจกต์เอ็กซ์' โดยเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 3 ที่นั่ง แบตเตอรี่ไฟฟ้าสามารถเปลี่ยนสลับได้ ที่สำคัญ มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 2 ถึงระดับ 4 ซึ่งขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้งานของผู้ขับรถ สำหรับที่นั่งในรถอีวีขนาดเล็กรุ่นนี้ สามารถปรับเปลี่ยนได้เป็นทั้ง 2 ที่นั่ง และ 3 ที่นั่ง 

เฉิง กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาสรุปที่ตั้งฐานการผลิตรถอีวีขนาดเล็ก ซึ่งมีเพียง 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย เนื่องจากฟ็อกซ์คอนน์มีโรงงานอยู่แล้ว หรืออินเดีย เนื่องจากเอ็มไอเอช คอนซอร์เตียม มีหุ้นส่วนธุรกิจอยู่ในประเทศแล้ว 

ตั้งเป้าหมายผลิตปีละ 100,000 คัน เพื่อจำหน่ายในประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น และไทย โดยจะเริ่มเข้าสู่ตลาดใน 3 ประเทศนี้ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป แบ่งเป็น 50% หรือ 50,000 คัน ขายในอินเดีย ในไทยขาย 20-30% หรือ 20,000-30,000 คัน และในญี่ปุ่นอยู่ที่ 20% หรือราว 20,000 คัน 

เอ็มไอเอช คอนซอร์เตียม จะให้ใบอนุญาตเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของรถอีวีขนาด 3 ที่นั่งนี้กับบริษัทเอ็ม โมบิลิตี้ ซึ่งเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพในเครือกลุ่มบริษัทมหินทราในอินเดีย ดังนั้น บริษัทเอ็ม โมบิลิตี้ จะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายรถอีวีขนาดเล็กในทั้ง 3 ประเทศด้วย 

ทั้งนี้ ราคาของรถอีวีโปรเจกต์เอ็กซ์ ซึ่งมี 3 ที่นั่งนี้ ยังไม่ได้กำหนดชัดเจนออกมา แต่เป็นไปได้ที่จะมีราคาถึงคันละ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 740,000 บาท 

'สถานทูตจีน' ไม่พอใจสื่อไทยบางแห่ง  เสนอปมปลุกปั่นแยกไต้หวันเป็นอิสระ

เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.66) เฟซบุ๊ก 'Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย' ได้โพสต์ข้อความแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจ ที่สื่อสำนักหนึ่งของไทยได้ออกอากาศรายการสัมภาษณ์ 'อู๋เจาเซี่ย' ที่ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการแยกตัวเป็นอิสระของไต้หวัน ระบุว่า

เมื่อเร็วๆ นี้ มีสื่อไทยสื่อหนึ่งได้ออกอากาศรายการสัมภาษณ์ อู๋เจาเซี่ย คนที่คิดจะแบ่งแยกไต้หวันออกจากประเทศจีน อู๋ได้ปลุกปั่นคำพูดที่เหลวไหลเกี่ยวกับ 'การแยกตัวเป็นอิสระของไต้หวัน' ในการให้สัมภาษณ์ และโจมตีข้อเสนอที่รวมประเทศเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสันติของประเทศจีนอย่างร้ายแรง คำพูดที่ไร้สาระอย่างนี้ไม่คุ้มค่าที่จะหักล้าง ส่วนสื่อนี้ได้เสนอเวทีที่เผยแพร่คำพูดที่เหลวไหลให้แก่คนที่คิดจะแบ่งแยกไต้หวันออกจากประเทศจีน ซึ่งทำลายผลประโยชน์ของประเทศจีน และทำร้ายความรู้สึกของประชาชนจีน ฝ่ายจีนต้องแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำอย่างนี้อย่างรุนแรง

ไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งที่แบ่งแยกไม่ได้ของจีน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับของทั่วโลก การกระทำที่ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญในเรื่องที่เกี่ยวกับบูรณภาพแห่งดินแดนและการต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนของจีน ไม่ว่าเป็นการกระทำใดๆ ก็ตาม ล้วนตรงกันข้ามกับมิตรภาพระหว่างประชาชนของจีนและไทย การกระทำที่ทำร้ายประเทศอื่นๆ และประชาชนของประเทศอื่นๆ โดยใช้เสรีภาพของสื่อเป็นข้ออ้าง ไม่ว่าเป็นการกระทำใดๆ ก็ตาม ล้วนเป็นการใช้เสรีภาพของสื่ออย่างพร่ำเพรื่อ

เราหวังว่าสื่อที่เกี่ยวข้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของจีน แก้ไขการกระทำที่ผิดพลาด และไม่ให้เรื่องที่ทำร้ายความรู้สึกของประชาชนจีนเกิดขึ้นอีก

‘Hsiao Bi-khim’ ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งรอง ปธน.ไต้หวัน ปี 2024 สตรีผู้มีความตั้งมั่นอันแน่วแน่ในการนำพา ‘ไต้หวัน’ สู่ความรุ่งเรือง

‘Hsiao Bi-khim’ สตรีลูกครึ่งจีน (ไต้หวัน)-อเมริกัน 
ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีไต้หวัน ปี 2024

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ‘Hsiao Bi-khim’ หัวหน้าสำนักงานผู้แทนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป (ในช่วงสามปีที่ผ่านมา) ได้ทำหน้าที่เสมือนเป็นเอกอัครรัฐทูตไต้หวันประจำสหรัฐฯ โดยพฤตินัย (เนื่องจากสรัฐฯ รับรองสถานภาพของสาธารณรัฐประชาชนจีน จึงไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน) ได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการ ให้เป็นผู้สมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดีของ ‘พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า’ (DPP) ของ ‘Lai Ching-te’ ผู้สมัครในตำแหน่งประธานาธิบดีของการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน ปี 2024

Hsiao เกิดที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น มีบิดาเป็นชาวไต้หวัน คือ ‘Hsiao Tsing-fen’ อดีตประธานวิทยาลัยศาสนศาสตร์และเซมินารีไถหนาน และมารดาเป็นชาวอเมริกัน คือ ‘Peggy Cooley’ ครอบครัวของเธอนับถือศาสนาคริสต์ นิกายเพรสไบทีเรียน เธอเติบโตในเมืองไถหนาน ประเทศไต้หวัน โดยสามารถใช้ภาษาจีนกลาง ฮกเกี้ยน และภาษาอังกฤษ จากนั้น เธอได้ย้ายไปสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมมอนต์แคลร์ ในเมืองมอนต์แคลร์ มลรัฐนิวเจอร์ซีย์

Hsiao สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเอเชียตะวันออกศึกษาจากวิทยาลัย Oberlin และปริญญาโท สาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในสหรัฐอเมริกา

Hsiao เริ่มร่วมงานกับสำนักงานตัวแทนพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ในสหรัฐอเมริกา โดยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกิจกรรม เมื่อเดินทางกลับไต้หวัน Hsiao ก็กลายเป็นผู้อำนวยการฝ่ายกิจการระหว่างประเทศของพรรค และเป็นตัวแทนของพรรคในการประชุมระหว่างประเทศต่าง ๆ มานานกว่าทศวรรษ

หลังจากที่ ‘Chen Shui-bian’ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีนในปี 2000 Hsiao รับหน้าที่เป็นล่ามและที่ปรึกษาของเขามาเกือบสองปี โดยสถานะสองสัญชาติของเธอทั้งสหรัฐฯ และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในขณะที่เธอดำรงตำแหน่งในรัฐบาลกลายเป็นประเด็นทางการเมือง จึงทำให้เธอสละสัญชาติสหรัฐฯ ของเธอ ตามที่กฎหมายการจ้างงานข้ารัฐการพลเรือนของไต้หวันกำหนดไว้ในปี 2000

ในเดือนมกราคม ปี 2000 Hsiao ได้ประกาศความตั้งใจที่จะลงสมัครรับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติไต้หวัน (สภาหยวน) ในนามตัวแทนของพรรค DPP ในฐานะสมาชิกเสริมที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งในต่างประเทศ โดยอ้างถึงประสบการณ์ของเธอในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ต่อมาเธอได้รับเลือกในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติในเดือนธันวาคม ปี 2004 Hsiao ได้รับเลือกเข้าสู่สภานิติบัญญัติไต้หวันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอเป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งของไทเป ครอบคลุมเขตทางตอนเหนือของ Xinyi, Songshan, Nangang, Neihu, Shilin และ Beitou ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติ เธอดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ คณะกรรมาธิการโครงการต่าง ๆ และคณะกรรมาธิการวินัยของรัฐสภา

Hsiao ทำงานในประเด็นต่าง ๆ ในสภานิติบัญญัติไต้หวัน โดยเฉพาะสิทธิสตรี สิทธิของชาวต่างชาติในไต้หวัน และสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ Hsiao สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายสัญชาติ เพื่อให้บุคคลที่เกิดมาจากบิดามารดาที่มีสัญชาติไต้หวันอย่างน้อยหนึ่งคน สามารถมีสัญชาติไต้หวันได้โดยไม่คำนึงถึงอายุ และยังได้เสนอและสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายคนเข้าเมือง เพื่อต่อต้านการเลือกปฏิบัติและต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้สนับสนุนสิทธิสัตว์ โดยเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ และยังผลักดันให้มีการผ่านพระราชบัญญัติป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศในเดือนมกราคม ปี 2005 อีกด้วย

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2005 Hsiao เป็นตัวแทนของพรรค DPP ในการประชุมประจำปีของ ‘Liberal International’ ในกรุงโซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย ซึ่งในระหว่างนั้นเธอได้รับเลือกเป็นรองประธานของ Liberal International ด้วย Hsiao ได้กล่าวว่า เธอและตัวแทนของพรรค DPP คนอื่น ๆ ถูกติดตามตลอดการเยือนบัลแกเรีย โดยบุคคลสองคนที่สถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรุงโซเฟียส่งมา

ในเดือนเดียวกันนั้นเอง Hsiao ยังได้เริ่มรณรงค์เพื่อสนับสนุนให้แฟนเบสบอลชาวไต้หวัน เขียนอีเมลถึงทีม ‘New York Yankees’ เพื่อขอให้เก็บผู้เล่นชาวไต้หวัน ‘Chien-Ming Wang’ ไว้ในทีม

Hsiao เป็นหนึ่งในผู้ร่างกฎของพรรค DPP และตกเป็นเป้าหมายของผู้สนับสนุนพรรคบางคน ซึ่งระบุว่า “มีความภักดีไม่เพียงพอ” โดยมีรายการวิทยุที่สนับสนุนเอกราช พากย์เสียงเธอว่า ‘ไชนีสคิม’ ในเดือนมีนาคม ปี 2007 โดยกล่าวหาว่าเธอมีความใกล้ชิดกับอดีตฝ่ายปฏิรูปของพรรค DPP บางคน หลังจากได้รับการปกป้องโดยสมาชิกของพรรค DPP คนอื่น ๆ แต่ Hsiao ไม่ได้รับการเสนอชื่อให้ลงสมัครรับการเลือกตั้งใหม่โดยพรรค DPP ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติไต้หวัน ในเดือนมกราคม ปี 2008 ด้วยสาเหตุมาจากความขัดแย้งครั้งนั้น

Hsiao ออกจากสภานิติบัญญัติหยวน หลังจากวาระของเธอหมดลงในวันที่ 31 มกราคม 2008 เธอทำหน้าที่เป็นโฆษกของการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่พรรค DPP ไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้ง เธอยังเป็นรองประธานมูลนิธิแลกเปลี่ยน ‘ทิเบต-ไต้หวัน’ เป็นสมาชิกของคณะกรรมการมูลนิธิไต้หวันเพื่อประชาธิปไตย และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของสภาเสรีนิยมและเดโมแครตแห่งเอเชีย และสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมสตรีกีฬาแห่งไต้หวัน ตั้งแต่ปี 2010

Hsiao ใช้เวลาหนึ่งทศวรรษในการเป็นตัวแทนของพรรค DPP ในเทศมณฑลฮัวเหลียน ซึ่งเป็นภูมิภาคอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนพรรคก๊กมินตั๋งอย่างเข้มแข็ง ในปีเดียวกันนั้น เธอพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อมด้วยคะแนนเสียงที่น้อยกว่าไม่มาก แต่ก็ยังถือว่าได้ทำลาย ‘คะแนนเสียงเหล็ก’ ของพรรคก๊กมินตั๋ง จากนั้นเธอก็ตั้งสำนักงานในฮัวเหลียน และเดินทางไปมาระหว่างไทเปและฮัวเหลียนทุกสัปดาห์

Hsiao กลับมาสู่สภานิติบัญญัติไต้หวันในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2012 โดยได้รับเลือกผ่านการเป็นตัวแทนตามสัดส่วนของบัญชีรายชื่อพรรค ในปี 2016 Hsiao สืบทอดตำแหน่งต่อจาก ‘Wang Ting-son’ ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติของเทศมณฑลฮัวเหลียน ในปี 2018 มีการจัดให้รณรงค์เพื่อต่อต้าน Hsiao เนื่องจากเธอได้รับการสนับสนุนอย่างมาก ในการทำให้การแต่งงานของคนเพศเดียวกันถูกต้องตามกฎหมาย

Hsiao ไม่ยอมแพ้ต่อความกดดัน และยังคงหาเสียงในฮัวเหลียนต่อ ในเดือนสิงหาคม 2019 เธอได้รับการเสนอชื่อจากพรรค DPP เพื่อลงสมัครรับตำแหน่ง สส.ต่อไปในเทศมณฑลฮัวเหลียน เธอเสียที่นั่งให้กับ ‘Fu Kun-chi’ ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติปี 2020

Hsiao ออกจากสภานิติบัญญัติไต้หวันเมื่อหมดวาระในปี 2020 และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของสภาความมั่นคงแห่งชาติในเดือนมีนาคม 2020 ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้นเอง Hsiao ได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของไต้หวัน (หัวหน้าสำนักงานผู้แทนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป) ประจำสหรัฐอเมริกา โดยเธอรับช่วงต่อจาก ‘Stanley Kao’ และเป็นสตรีคนแรกที่ได้รับบทบาทนี้

โดย Hsiao สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2020 Hsiao ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ‘Joe Biden’ ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวแทนของไต้หวันประจำสหรัฐฯ ได้เข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่สหรัฐฯ ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันเมื่อปี 1979 เธอยืนอยู่หน้ารัฐสภาสหรัฐฯ (The US Capitol) ในพิธีสาบานตน และกล่าวว่า “ประชาธิปไตยเป็นภาษากลางของเรา และเสรีภาพคือเป้าหมายร่วมกันของเรา”

ในเดือนพฤศจิกายน 2000 เดอะเจอร์นัลลิสต์ ซึ่งเป็นนิตยสารแท็บลอยด์ท้องถิ่นได้เสนอข่าวซึ่งอ้างอย่างผิด ๆ ว่า ได้ข่าวจากรองประธานาธิบดี ‘Annette Lu’ ว่า Hsiao มีความสัมพันธ์กับประธานาธิบดี ‘Chen Shui-bian’ ซึ่งไม่มีหลักฐานสนับสนุนการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จนี้ และรองประธานาธิบดี Annette Lu ได้ ฟ้องนิตยสารดังกล่าวในข้อหาหมิ่นประมาทในศาลแพ่ง จนในที่สุด นิตยสารก็ได้รับคำสั่งให้ขอโทษและแก้ไขประเด็นดังกล่าว โดยยอมรับว่าเป็นการสร้างเรื่องราวขึ้น

ในระหว่างอาชีพทางการเมืองของเธอ Hsiao และเพื่อนสมาชิกสภานิติบัญญัติ ‘Cheng Li-chun’ และ ‘Chiu Yi-ying’ ได้รับฉายาว่า ‘S.H.E ของ DPP’ Hsiao เป็นผู้สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิ LGBT ในไต้หวันมายาวนาน Hsiao เป็นคนรักแมว โดยเธอกล่าวในเดือนกรกฎาคม 2020 ว่า เธอวางแผนจะพาแมวทั้ง 4 ตัว ติดตามไปด้วยเมื่อเธอย้ายไปที่สหรัฐอเมริกา ในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้แทนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปของไต้หวันประจำประเทศนี้ ในฐานะทูตของไต้หวัน เธอกล่าวว่า เธอจะต่อสู้กับการทูตที่ถูกกล่าวหาว่าก้าวร้าวแบบ ‘นักรบหมาป่า’ ของจีน โดยใช้การทูตแบบ ‘นักรบแมว’ (cat warrior) ที่เป็นแบรนด์ของเธอเอง

ในวันที่ 17 สิงหาคม 2022 หลังจากการเยือนไต้หวันของ ‘Nancy Pelosi’ ประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ระหว่างวันที่ 2–3 สิงหาคม จีนได้ขึ้นบัญชีดำเจ้าหน้าที่ไต้หวัน 7 คน รวมทั้ง Hsiao เนื่องจากถูกกล่าวหาว่า ‘สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน’ โดยบัญชีดำสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าไปในจีนแผ่นดินใหญ่ และเขตบริหารพิเศษของฮ่องกง รวมถึงมาเก๊า และจำกัดไม่ให้ทำงานกับเจ้าหน้าที่จีนอีกด้วย หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของรัฐบาลจีน โกลบอลไทมส์ ตราหน้า Hsiao และเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 คนว่าเป็น ‘คนหัวแข็งที่แบ่งแยกดินแดน’

ในเดือนเมษายน 2022 Hsiao ถูกจีนคว่ำบาตรเป็นครั้งที่สอง ภายหลังการประชุมระหว่างประธานาธิบดี ‘Tsai Ing-wen’ แห่งไต้หวัน และ ‘Kevin McCarthy’ ประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา ในสหรัฐอเมริกา มาตรการคว่ำบาตรชุดที่สองยังรวมถึงการป้องกันไม่ให้นักลงทุน และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ถูกคว่ำบาตร ความร่วมมือกับองค์กรและบุคคลในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย

และวันที่ 20 พฤศจิกายน 2023 พรรค DPP ได้เสนอชื่อเธอให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน ปี 2024 โดยเธอได้ประกาศว่า “ฉัน Hsiao Bi-khim กลับมาแล้ว ฉันจะแบกรับความรับผิดชอบอันแน่วแน่ในการสนับสนุนไต้หวัน” หลังจากเดินทางกลับจากกรุงวอชิงตันไม่ถึงหนึ่งวัน ในงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ (20 พ.ย.) ที่ผ่านมา เพื่อเปิดตัวผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน ที่สำนักงานใหญ่หาเสียงของ Lai Ching-te ในกรุงไทเป

ด้วยบทบาทหน้าที่ของ Hsiao Bi-khim ที่ผ่านมา เชื่อว่า เธอสนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวันอย่างแน่นอน และมีความเป็นไปได้สูงที่เธอน่าจะเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรค DPP ต่อจาก Lai Ching-te ด้วย ซึ่งท้ายที่สุดจะสร้างความขุ่นเคืองใจอย่างมากมายแก่รัฐบาลปักกิ่ง

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘สหรัฐฯ’ ขายอุปกรณ์หนุน ‘ระบบสารสนเทศเชิงยุทธวิธี’ ให้ไต้หวัน มูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความมั่นคง-รับมือภัยคุกคาม 

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อนุมัติจำหน่ายอุปกรณ์สนับสนุนระบบสารสนเทศเชิงยุทธวิธี (tactical information systems) มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ให้แก่ไต้หวัน นับเป็นความช่วยเหลือด้านการป้องกันตนเอง ล่าสุดที่อเมริกามอบให้กับไทเป ตามข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

สหรัฐฯ มีข้อผูกพันทางกฎหมายที่จะต้องสนับสนุนให้ไต้หวันสามารถป้องกันตนเอง ซึ่งการขายอาวุธให้ไทเปในลักษณะนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ที่ยืนยันว่าไต้หวันเป็นดินแดนในอธิปไตยของตน

สำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา (Defense Security Cooperation Agency – DSCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดเพนตากอน ระบุว่า การจำหน่ายเครื่องมือในครั้งนี้ก็เพื่อคงไว้ซึ่งศักยภาพด้านการบัญชาการ ควบคุม สื่อสาร และคอมพิวเตอร์ หรือ C4 ของไต้หวันตามวงรอบอายุการใช้งาน

การสนับสนุนนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของไต้หวัน ‘ในการรับมือภัยคุกคามทั้งปัจจุบันและอนาคต ด้วยการเสริมความพร้อมด้านการปฏิบัติการ’ และคงไว้ซึ่งศักยภาพ C4 ที่ช่วยให้การส่งข้อมูลทางยุทธวิธีเป็นไปอย่างปลอดภัย

ด้านกระทรวงกลาโหมไต้หวันแถลงว่า ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ จะช่วยให้ไทเปสามารถคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของระบบบัญชาการและการควบคุมร่วม และเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในสนามรบ

“ปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์จีนที่เกิดขึ้นรอบเกาะไต้หวันอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อเรา” กระทรวงกลาโหมไต้หวันแถลง พร้อมกล่าวขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้ความช่วยเหลือ และเชื่อว่าการจำหน่ายยุทธภัณฑ์รอบนี้จะมีผลเสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน

ด้านทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวันระบุว่า ข้อตกลงขายอาวุธซึ่งถือเป็นครั้งที่ 12 แล้วภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ นั้นให้ความสำคัญยิ่งกับการสนับสนุนศักยภาพในการป้องกันตนเองของไต้หวัน

รัฐบาลไทเปยืนยันว่า อนาคตของไต้หวันต้องให้ชาวไต้หวันเท่านั้นเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งไต้หวันก็กำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและประธานาธิบดีในวันที่ 13 ม.ค. ปีหน้า ในความเคลื่อนไหวที่หลายฝ่ายจับตามองว่าน่าจะส่งผลกระทบไม่น้อยต่อความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่

สื่อสหรัฐฯ เผย ‘สี จิ้นผิง’ บอก ‘ไบเดน’ ปักกิ่งจะรวมไต้หวันเข้ากับจีนแน่นอน ไม่สนการแทรกแซงจากภายนอก และพวกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนไม่กี่คน

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 66 สำนักข่าว NBC News ของสหรัฐฯ อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวของเจ้าหน้าที่ ซึ่งระบุว่า ประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ ของจีน ได้กล่าวต่อหน้าประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ แห่งสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมาระหว่างการประชุมซัมมิตที่ซานฟรานซิสโก ว่า ปักกิ่งจะรวมไต้หวันเป็นหนึ่งเดียวกับจีนแผ่นดินใหญ่แน่นอน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำเมื่อไหร่

สี จิ้นผิง ยังกล่าวในที่ประชุมหารือซึ่งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐฯ และจีนนั่งอยู่ด้วยกว่า 10 คน ว่า รัฐบาลจีนต้องการที่จะรวมชาติกับไต้หวัน ‘ด้วยสันติวิธี’ มากกว่าใช้กำลัง

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 คน และอดีตเจ้าหน้าที่อีก 1 คน ซึ่งได้รับทราบเนื้อหาของการประชุม ยังบอกด้วยว่า สี จิ้นผิง อ้างถึงเรื่องที่นายพลระดับสูงของอเมริกาบางคนออกมาทำนาย ว่าเขามีแผนจะยึดไต้หวันภายในปี 2025 หรือ 2027 โดยเขายืนยันกับไบเดนว่า คนเหล่านั้นคาดการณ์ ‘ผิด’ เพราะเขายังไม่เคยกำหนดกรอบเวลาเรื่องนี้มาก่อน

แหล่งข่าวเผยด้วยว่า เจ้าหน้าที่จีนยังร้องขอก่อนการประชุมให้ ไบเดน ออกแถลงการณ์ต่อสาธารณชนภายหลังการประชุมว่า “สหรัฐฯ สนับสนุนเป้าหมายของจีน ในการรวมชาติกับไต้หวันอย่างสันติ และไม่สนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน” ทว่าทำเนียบขาวปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้

โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้

คำเตือนที่ สี จิ้นผิง กล่าวกับ ไบเดน เป็นการส่วนตัวนั้น แม้จะไม่แตกต่างจากสิ่งที่ผู้นำจีนเคยพูดต่อสาธารณชนมาแล้วหลายครั้ง เรื่องการรวมชาติกับไต้หวัน แต่ก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เห็นว่าไม่ธรรมดา เพราะมีขึ้นในช่วงที่จีนหันมาใช้นโยบายก้าวร้าวกับไทเปมากขึ้น อีกทั้งไต้หวันจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน ม.ค. ปี 2024 ด้วย

หลังจากที่เรื่องนี้ถูกตีแผ่ออกมาในช่วงแรกๆ ‘สว.ลินด์เซย์ เกรแฮม’ จากพรรครีพับลิกัน ถึงขั้นออกคำแถลงเรียกร้องให้สมาชิกพรรครีพับลิกัน และเดโมแครตร่วมมือกันป้องปรามจีน

“เรื่องที่รายงานนี้มันยิ่งกว่าน่ากังวล” เกรแฮม กล่าว “ผมจะร่วมมือกับ สว.ทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตเพื่อทำ 2 เรื่องให้เร็วที่สุด หนึ่งคือมอบการสนับสนุนด้านความมั่นคงให้ไต้หวัน และสองคือจัดทำร่างมาตรการคว่ำบาตรเพื่อลงโทษจีน หากพวกเขาเริ่มลงมือยึดเกาะไต้หวัน”

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งทราบรายละเอียดการหารือระบุว่า คำพูดของ สี จิ้นผิง แม้ตรงไปตรงมาก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นไปในเชิงยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ

“สำนวนภาษาของเขาไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่เคยพูดมาแล้ว เขาจริงจังเรื่องไต้หวันเสมอ และมีจุดยืนแข็งกร้าวเรื่องนี้มาโดยตลอด” เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งบอก

ระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อปีที่แล้ว สี จิ้นผิง ประกาศชัดเจนว่าจีนจะส่งทหารบุกไต้หวัน หากไทเปกล้าประกาศเอกราชโดยมีต่างชาติให้การสนับสนุน พร้อมย้ำว่าคำขู่ใช้กำลังของจีนนั้นมุ่งป้องปราม “การแทรกแซงจากขั้วอำนาจภายนอก และพวกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนไม่กี่คน” ที่ต้องการให้ไต้หวันเป็นประเทศอิสระ
 

‘หนุ่มไต้หวัน’ จับของขวัญปีใหม่ ลุ้น!! นึกว่าจะได้พัดลมไฟฟ้า Dyson เฉลย!! เป็นนมผง-ช็อกโกแลต ทำชาวเน็ตขำก๊ากกับไอเดียสุดบรรเจิด

(28 ธ.ค. 66) ในช่วงสิ้นปีของทุกปีผู้คนจำนวนมากจะรวมตัวกับญาติ เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานในช่วงคริสต์มาสหรือวันส่งท้ายปีเก่าเพื่อสังสรรค์ปาร์ตี้สนุกสนานในธีมต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงหลาย ๆ คนมีการแลกเปลี่ยนของขวัญกันอีกด้วย บางคนก็ได้ของขวัญสุดหรู บางคนได้ของใช้ แต่บางคนได้ของขวัญสุดขำ

ดังเรื่องราวที่เป็นกระแสไวรัลในเฟซบุ๊กทางกลุ่มนิรนามในไต้หวัน เผยว่าชายในภาพจับฉลากได้ของขวัญห่อด้วยถุงพลาสติกสีดำรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับพัดลมไฟฟ้าของ Dyson มาก โดยไม่คาดคิดหลังจากแกะถุงดำออกต่างพากันขำกรามค้าง

โดยระบุว่า “หลังจากทานอาหารเสร็จ แผนกก็มีการแลกของขวัญกัน ธีมคือของที่ Costco เพื่อนร่วมงานได้รับของขวัญที่หัวหน้างานเตรียมไว้ ทุกคนตื่นเต้นมาก นึกว่าพัดลม Dyson แต่หลังจากเปิดดูเป็นนมผงและช็อกโกแลต 1 พวง ผู้ชมทั้งหมดพากันหัวเราะ คล้ายมากจริง ๆ ได้ไอเดียมาจากไหน ประทับใจมาก ทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์มาก”

พร้อมทั้งโพสต์ภาพความจริงของของขวัญว่าสิ่งที่อยู่ข้างใน คือ นมผงกระป๋องหนึ่งและช็อกโกแลตจำนวนหนึ่ง ซึ่งผู้ให้ถูกจงใจรวมเข้าด้วยกันเป็นรูปทรงของพัดลมไฟฟ้า

ภาพถ่ายดังกล่าวจุดประกายให้เกิดการพูดคุยอย่างดุเดือดในหมู่ชาวเน็ต “ช็อกโกแลตอร่อย เอามาผสมทำนมช็อกโกแลต”, “นึกว่าเป็นกระเช้าดอกไม้”, “แค่แพ็คกระป๋องนั้นก็นึกว่าจะกระโดดข้ามแล้ว”, “หน้าเหมือนไดสันจริง ๆ”, “หัวเราะแล้วหัวเราะอีก น้ำตาจะไหล”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top