Monday, 13 May 2024
โจไบเดน

อดีตแพทย์ทำเนียบขาว ฟัน!! ไบเดนอยู่ไม่ครบเทอม เนื่องจากความเสื่อมทางเชาวน์ปัญญา

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน คงไม่สามารถอยู่รอดในช่วงเวลาที่เหลือของวาระการดำรงตำแหน่งสมัยแรก เนื่องจากความเสื่อมทางเชาวน์ปัญญาของผู้นำรายนี้ไปไกลแล้ว รอนนี แจ็คสัน อดีตแพทย์ประจำทำเนียบขาวที่ผันตัวมาเป็นสมาชิกรัฐสภาจากรัฐเทกซัส เขียนคำทำนายบนทวิตเตอร์เมื่อวันพฤหัสบดี (14 ก.ค.) ที่ผ่านมา

แจ็คสัน อธิบายเพิ่มเติมว่า "กระบวนการการรับรู้ของไบเดน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนมานานหลายปีแล้ว" และบอกว่า "เขาไม่ควรเป็นประธานาธิบดีของเรา!" ส่วนอีกทวีตเรียกร้องให้ประธานาธิบดีวัย 79 ปี ลาออกจากตำแหน่ง

ทั้งนี้ แจ็คสัน ซึ่งดำรงตำแหน่งแพทย์ส่วนตัวของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เปิดเผยระหว่างให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ ด้วยว่า โอบามา ได้ส่งอีเมลฉบับหนึ่งถึงเขา และตำหนิเขาต่อกรณีที่ก่อข้อสงสัยเกี่ยวกับทักษะทางปัญญาของไบเดน

แม้ยอมรับว่า แจ็คสัน ทำงานให้เขาและครอบครัวด้วยดีเสมอมา และเรียกเขาว่าแพทย์ที่ดีและเพื่อนที่ดีเช่นกัน แต่อดีตประธานาธิดีโอบามา ตำหนิติเตียนแพทย์ที่ผันตัวเป็นสมาชิกรัฐสภารายนี้ ต่อกรณีกล่าวโจมตีแสกหน้าไบเดน แบบไม่ถนอมน้ำใจบนทวิตเตอร์

"มันไม่มีความเป็นอาชีพและไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ที่คุณเคยรับผิดชอบ" โอบามา ระบุ พร้อมบอกว่า "ข้อความบนทวิตเตอร์ ขาดความเคารพกับผมและเพื่อนๆ มากมายของคุณในรัฐบาลของเรา" และบอกว่าเขาคาดหมายในตัวของ แจ็คสัน มากกว่านี้

อย่างไรก็ตาม แจ็คสัน ยืนยันในความเห็นของเขาเกี่ยวกับสถานะทางจิตของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกแห่งว่า "ผมรู้ว่าเขามีความสามารถทางปัญญาลดลง สืบเนื่องจากอายุของเขา ตอนนี้สภาพจิตใจของเขาไม่เหมาะแล้ว" คุณหมอรายนี้กล่าวอ้าง "ลักษณะของการเดินงุ่มง่าม มองเหม่อจ้องไปในความว่างเปล่า" บ่งชี้ว่า ไบเดน ไม่ควรทำหน้าที่อีกต่อไป

'โจ ไบเดน' ปธน.สหรัฐฯ ติดโควิด หลังฉีดเข็มกระตุ้นแล้ว 2 เข็ม

(21 ก.ค. 65) แถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ มีผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นบวก เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น ในกรุงวอชิงตัน แต่มีอาการไม่มากนัก

ทั้งนี้ ไบเดน วัย 79 ปี ซึ่งได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว รวมถึงเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้วถึง 2 ครั้ง จะกักตัวอยู่ในทำเนียบขาว และปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ตามปกติ รวมถึงเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ ผ่านระบบโทรศัพท์ทางไกลและทาง ZOOM จนกว่าจะมีผลตรวจกลับมาเป็นลบ โดยในระหว่างนี้จะรับประทานยาแพ็กซ์โลวิด ซึ่งเป็นยาต้านเชื้อโควิด-19

ส่วนคนใกล้ชิดของประธานาธิบดีไบเดน ทั้งสมาชิกสภาคองเกรส และเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ได้รับแจ้งเรื่องนี้แล้ว และได้รับคำแนะนำให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อทันที ส่วนจิลล์ ไบเดน สตรีหมายเลขหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ที่รัฐแดลาแวร์ มีผลตรวจหาเชื้อเป็นลบ


ที่มา: https://www.naewna.com/inter/668350

'ไบเดน' เคาะ 1.86 ล้านลบ. หนุนหนักผู้ผลิตชิปในประเทศ หวังสกัดผู้เล่นต่างชาติ คาดสะเทือนอุตฯ ชิปทั่วโลก

ไบเดน ลงนามร่างกฎหมายมูลค่า 52,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.86 ล้านล้านบาท เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ หรือ 'ชิป' ในประเทศ หวังให้ได้เปรียบด้านเทคโนโลยีในช่วงที่เผชิญการแข่งขันจากจีนมากขึ้น 

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ กล่าวในพิธีลงนามว่า กฎหมายชิปและวิทยาศาสตร์ (CHIPS and Science Act) เป็นการลงทุนในประเทศครั้งเดียวในชีวิตที่จะทำให้สหรัฐฯ ขึ้นเป็นผู้นำโลกอีกครั้งตลอดหลายทศวรรษหน้า 

กฎหมายฉบับนี้ ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนก่อน มีมาตรการจูงใจด้านการผลิตชิปมูลค่า 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.38 ล้านล้านบาท งบสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาชิปรวมทั้งพัฒนากำลังคน 13,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 467,700 ล้านบาท งบส่งเสริมกิจกรรมห่วงโซ่อุปทานและอื่น ๆ อีก 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 17,715 ล้านบาท และมาตรการลดหย่อนภาษีการลงทุน 25% ให้แก่การผลิตชิปและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

ทำเนียบขาว ระบุว่า การผ่านร่างกฎหมายนี้ช่วยกระตุ้นให้มีการลงทุนใหม่ ๆ ด้านชิป เช่น ไมครอนประกาศลงทุนผลิตชิปความจำมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น 10% 

ร่างกฎหมายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาวะขาดแคลนชิปเรื้อรังที่กระทบต่อการผลิตสินค้าหลากหลายอย่างตั้งแต่ยวดยาน อาวุธ เครื่องซักผ้า ไปจนถึงวิดีโอเกม จะลดหย่อนภาษีการลงทุน 25% ให้แก่โรงงานผลิตชิป และจะให้ทุนวิจัย 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 7 ล้านล้านบาท เป็นเวลา 10 ปี เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับจีน 

สมาชิกสภาสหรัฐฯ หลายคน เผยว่า ปกติแล้วจะไม่ผ่านร่างกฎหมายที่ให้เงินอุดหนุนมหาศาลแก่ภาคธุรกิจเช่นนี้ สาเหตุที่ให้ผ่านเพราะเห็นว่า จีนและสหภาพยุโรป หรือ EU ได้ให้มาตรการจูงใจจำนวนมากแก่บริษัทชิปของตนเอง นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศและปัญหาเรื่องห่วงโซ่อุปทานโลก 

ส่วนสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและหอการค้าระหว่างประเทศจีน แถลงว่า กฎหมายสหรัฐฯ จะกระทบต่อเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมชิปทั่วโลก เพราะส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับจีนและประเทศอื่นๆ ที่มีอุตสาหกรรมชิป ขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการเติบโตด้านนวัตกรรม 

เลือกตั้งปี 2020 ช่องโหว่ของประชาธิปไตยในสหรัฐฯ เมื่อ 'ทรัมป์' ปลุกระดมกองเชียร์ ด้วยคำอ้างว่า 'ถูกโกง'

ชาวไทยบางกลุ่มชื่นชมประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกามาก ถึงกับเอ่ยปากว่าอยากให้ประเทศไทยมีหลักการปกครองแบบเขา มาลองดูกันว่าประชาธิปไตยแบบสหรัฐฯ นี่ไปถึงไหนกันแล้ว

สหรัฐอเมริกาได้มีการปกครองในระบบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) โดยเลือกตั้งประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่งบริหารประเทศสมัยละ 4 ปี และมีสิทธิ์ปกครอง 2 สมัยหรือ 8 ปี ถ้าได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีก คะแนนเสียงประชาชนไม่ใช่เป็นปัจจัยที่ตัดสินผลเลือกตั้งโดยตรง เนื่องจากสมัยที่ก่อตั้งระบบการปกครองการคมนาคมและการสื่อสารยังไม่เจริญ จึงมีการแต่งตั้งกลุ่มผู้แทน (Electoral College) มาลงคะแนนเสียงแทนประชาชน จำนวนของผู้แทนคะแนนเสียง (electors) แต่ละรัฐจะขึ้นกับจำนวนประชากร รัฐไหนมีประชากรมาก จำนวนผู้แทนก็จะมากตาม รวมแล้วทั้งประเทศมีผู้แทนเสียง 570 คน พรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันแบ่งกันคนละครึ่งในแต่ละรัฐ ถ้าจำนวนของผู้แทนเสียงของพรรคไหนถึง 270 ก่อน พรรคนั้นก็มีเสียงส่วนมากที่จะมีสิทธิ์เลือกประธานาธิบดี

ตั้งแต่ 'จอร์จ วอร์ชิงตัน' เข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกในปีค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) การเลือกตั้งได้ถูกปฎิบัติมาอย่างราบรื่น เนื่องจากเหล่าผู้แทนเสียงทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และผู้เข้าชิงตำแหน่งยอมรับผลโดยสดุดี การผลัดเปลี่ยนประธานาธิบดีมีแต่ความสงบและเคารพซึ่งกันและกัน แต่แล้วการเลือกตั้งในปี 2020 (พ.ศ. 2563) ก็เผยช่องโหว่ของประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา

ตั้งแต่ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ลงสมัครประธานาธิบดีในปี 2016 (พ.ศ. 2559) เขาได้ประกาศเป็นศัตรูกับเหล่าสื่อใหญ่ของประเทศ โดยกล่าวหาว่าพวกสื่อเสนอข่าวเท็จ (fake news) เกี่ยวกับเขา และโปรโมตสื่อที่สนับสนุนเขาว่าเป็นสื่อที่น่าเชื่อถือ ประชาชนที่ชอบทรัมป์จึงไม่เชื่อสื่อที่เคยเป็นหน่วยข้อมูลของประเทศ แต่ไปเสพสื่อที่เสนอข่าวเอาใจผู้นำของตนโดยไม่ใช้วิจารณญานแยกแยะข้อเท็จจริง จนกระทั่งถึงขั้นป่วยหรือตายเพราะไปดื่มน้ำยาซักผ้าขาวป้องกันโควิด เพราะในขณะที่ทรัมป์แถลงข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด เขาเอ่ยว่าน้ำยาซักผ้าขาวมีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อไวรัสได้ 

ไบเดนขู่ ‘สี จิ้นผิง’ ระวังหายนะจะมาเยือน หากคิดจะช่วยเหลือรัสเซีย

โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า เขาได้พูดคุยกับ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่กำลังตัดสินใจผิดพลาดอย่างมหันต์ที่คิดจะฝ่ามาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกเพื่อเข้าไปช่วยเหลือรัสเซีย

สถานีข่าวช่อง CBS ของสหรัฐฯ ได้ออกอากาศงานสัมภาษณ์ โจ ไบเดน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 65 ที่ผ่านมา โดย ไบเดน กล่าวว่า เขาได้มีโอกาสพูดคุยกับสี จิ้นผิง ผ่านทางโทรศัพท์เมื่อไม่นานมานี้ และได้บอกกับผู้นำจีนอย่างเด็ดขาดว่า หากจีนมั่นใจว่า นักธุรกิจชาวอเมริกัน และชาติพันธมิตรอื่นๆ ยังคิดที่จะไปลงทุนในจีนอยู่ หลังจากที่จีนยังคงเลือกที่จะช่วยเหลือคบค้ากับรัสเซีย และเพิกเฉยต่อมติคว่ำบาตรของพันธมิตรชาติตะวันตก ขอบอกเลยว่า ผู้นำจีนคิดผิดอย่างมหันต์ และ จีนจะต้องรับผลกระทบหนักอย่างแน่นอนจากความผิดพลาดของตัวเอง 

โจ ไบเดน กล่าวต่อไปว่า ที่โทรไปนี่ ไม่ได้แค่ไปขู่ แต่เป็นการเตือนให้จีนได้รู้ถึงผลที่จะตามมาหากยังไม่คิดที่จะสนใจมาตรการคว่ำบาตรของตะวันตก แต่ทั้งนี้ ไบเดน ยอมรับว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชี้ว่าจีนได้ส่งอาวุธ และทรัพยากรอื่นๆ ไปช่วยเหลือตามที่รัสเซียร้องขอ และไบเดนก็เชื่อมั่นว่า จีนยังต้องพึ่งพารายได้จากตลาดตะวันตกเป็นหลัก ดังนั้นจีนคงไม่ทำอะไรแตกแถวที่จะสร้างความหายนะให้กับเศรษฐกิจของตัวเอง

เศรษฐกิจรัสเซียได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลังจากที่รัสเซียนำทัพบุกยูเครนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ดังนั้นจีนจึงกลายเป็นตลาดสำคัญของรัสเซีย ทั้งการส่งออกน้ำมัน และสินค้าอื่นๆ โดยใช้เงินสกุลหยวน และระบบธุรกรรมการเงินของจีนในการซื้อขายได้ 

'ไบเดน' ประกาศการระบาดโควิดในสหรัฐฯ จบแล้ว!! แม้ยอดผู้เสียชีวิตยังพุ่งสูงเฉลี่ยวันละ 400 คน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ประกาศว่า การระบาดของโควิด-19 ยุติลงแล้วในสหรัฐฯ แต่เขาก็ยอมรับในการให้สัมภาษณ์รายการ 60 มินิตส์ (60 Minutes) ของซีบีเอสว่า "เรายังคงมีปัญหาอยู่ และยังมีงานต้องทำอีกมากเพื่อควบคุมโควิด แต่สถานการณ์กำลังดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ไม่มีใครต้องสวมหน้ากากอนามัยแล้ว สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดี"

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ในสหรัฐฯ ระบุว่า มีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโควิดเฉลี่ยมากกว่า 400 คนต่อวัน และในสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้เสียชีวิตจากโควิดในสหรัฐฯ มากกว่า 3,000 คน 

ด้านนายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อและภูมิแพ้แห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมาว่า อัตราการเสียชีวิตรายวันจากโควิดในสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง แต่ก็ยอมรับว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้น แต่ยังไม่ถึงจุดที่สามารถบอกได้ว่าเราอยู่ร่วมกับโควิดได้ พร้อมเตือนว่าสหรัฐฯ อาจพบโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ได้อีก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่จะถึงนี้

สหรัฐฯ-แคนาดา ส่งเรือรบล่องผ่านช่องแคบไต้หวัน หลัง 'ไบเดน' ประกาศจะปกป้องไต้หวัน หากจีนรุกราน

เรือรบสหรัฐฯ และแคนาดา ล่องผ่านช่องแคบไต้หวัน เมื่อวันอังคาร (20 ก.ย. 65) ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ประกาศกร้าวเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ว่าอเมริกาจะปกป้องพิทักษ์ไต้หวัน ในกรณีที่ถูกจีนโจมตี

ยูเอสเอส ฮิกกินส์ เรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถีชั้นอาร์เลห์เบิร์ค แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ดำเนินการล่องเรือผ่านช่องแคบไต้หวันตามปกติในวันอังคาร (20 ก.ย.) เรือเอกมาร์ค แลงฟอร์ด โฆษกกองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง

แลงฟอร์ดกล่าวต่อว่า เรือรบของสหรัฐฯ ทำการล่องเรือ ในความร่วมมือกับเอชเอ็มซีเอส แวนคูเวอร์ เรือฟริเกต ชั้นแฮลิแฟกซ์ แห่งกองทัพเรือแคนาดา พร้อมระบุว่า "เรือทั้ง 2 ลำล่องผ่านแนวกันชนหนึ่งในช่องแคบ ที่อยู่นอกทะเลอาณาเขตรัฐชายฝั่งใด ๆ การล่องเรือนี้แสดงให้เห็นถึงพันธสัญญาของสหรัฐฯ พันธมิตรและคู่หูของเรา ที่มีต่อแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง"

เจ้าหน้าที่กลาโหมรายหนึ่ง เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า นับตั้งแต่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวันในช่วงต้นเดือนสิงหาคม อเมริกาพพบเห็นเรือและเรือดำน้ำของกองทัพเรือจีนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก รอบ ๆไต้หวัน

แม้สหรัฐฯ เรียกมันว่าเป็นการล่องเรือตามปกติ แต่มันมีขึ้นหลังจาก ไบเดน ซ้ำเติมสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งเกี่ยวกับไต้หวัน ด้วยให้สัมภาษณ์กับรายการ 60 มินิตส์ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ว่าเขาจะใช้กองกำลังสหรัฐฯ ปกป้องเกาะแห่งนี้ หากว่าจีนพยายามรุกราน

ปักกิ่งอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือไต้หวัน เกาะที่มีประชากร 23 ล้านคน แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เคยควบคุมมันก็ตาม นอกจากนี้แล้วปักกิ่งยังกล่าวอ้างอำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตย และขอบเขตอำนาจศาลเหนือน่านน้ำต่าง ๆ ในช่องแคบไต้หวัน ภายใต้กฎหมายของจีน และจากการตีความของพวกเขาเองต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฏหมายทะเล (UNCLOS)

อย่างไรก็ตามกองทัพเรือสหรัฐฯ บอกว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของช่องแคบแห่งนี้อยู่ในน่านน้ำสากล โดยอ้างคำนิยามของ UNCLOS เกี่ยวกับน่านน้ำอาณาเขต ซึ่งครอบคลุมรัศมี 12 ไมล์ทะเล (22.2 กิโลเมตร) จากชายฝั่งประเทศหนึ่ง ๆ ทั้งนี้อเมริกาส่งเรือรบล่องผ่านช่องแคบแห่งนี้เป็นประจำ แต่หลายสิบครั้งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในรายการ '60 มินิตส์' ของเครือข่ายทีวีซีบีเอสของสหรัฐฯ ซึ่งนำมาแพร่ภาพออกอากาศในวันอาทิตย์ (18 ก.ย.) ที่ผ่านมา เมื่อเขาถกถามว่ากองกำลังสหรัฐฯ จะเข้าป้องกันเกาะแห่งนี้หรือไม่ ไบเดน ก็ตอบว่า “ครับ ถ้าในทางเป็นจริงแล้ว มีการโจมตีอย่างชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

เมื่อถูกซักไซ้ว่า เขาหมายความว่ามันจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาในยูเครนใช่ไหม โดยที่กองกำลังสหรัฐฯ ซึ่งก็คือชายและหญิงชาวอเมริกันจะเข้าพิทักษ์ป้องกันไต้หวันในกรณีที่จีนรุกรานหรือ ไบเดนก็ตอบว่า “ใช่”

เว็บไซต์ข่าวเอพี รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐจะไม่มาร่วมประชุมผู้นำเอเปคที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เนื่องจาก ‘นาโอมิ ไบเดน’ หลานสาวคนโตของประธานาธิบดีจะจัดงานแต่งงาน

เว็บไซต์ข่าวเอพี รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐจะไม่มาร่วมประชุมผู้นำเอเปคที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เนื่องจาก ‘นาโอมิ ไบเดน’ หลานสาวคนโตของประธานาธิบดีจะจัดงานแต่งงานกับนายปีเตอร์ นีล คู่หมั้น ที่ทำเนียบขาว ในวันที่ 19 พ.ย. ซึ่งตรงกับวันประชุมผู้นำเอเปคในกรุงเทพฯ ที่กำหนดจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 พ.ย.นี้

ขณะที่ ไทยพีบีเอสเวิลด์รายงานว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา จะไม่เดินทางมาเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายนนี้ เนื่องจากเหตุผลทางด้านครอบครัว

ทั้งนี้ ทำเนียบขาวเพิ่งมีการแจ้งเรื่องดังกล่าวให้กับสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทราบว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนสหรัฐในการเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวแทน โดยนางแฮร์ริสจะบินตรงมายังกรุงเทพฯเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเปคเป็นเวลา 2 วันดังกล่าว

ไทยพีบีเอสเวิลด์ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ไบเดนจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอด จี20 ที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซียระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน จากนั้นจะบินตรงกลับไปยังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยก่อนหน้านี้ผู้นำสหรัฐมีแผนที่จะเดินทางมายังกรุงเทพฯเป็นเวลา 1 วัน เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเปค

'ไบเดน' เรียกชื่อนายกฯ ใหม่อังกฤษผิด จาก 'ริชี ซูนัค' เป็น 'ราชี ซานุก'

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เอ่ยชื่อ ริชี ซูนัค นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษผิดพลาดในวันจันทร์ (24 ต.ค.) ระหว่างแสดงความคิดเห็นกรณีที่เขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ เหตุเลอะเลือนล่าสุดที่พบเห็นบ่อยครั้งขึ้นของผู้นำสหรัฐฯ

ระหว่างกล่าวปราศรัยในวาระเทศกาลดิวาลี หรือเทศกาลแห่งแสงสว่างของอินเดีย ไบเดน ยกย่องการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรของ ซูนัค นักการเมืองเชื้อสายอินเดีย ว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสำคัญอย่างแท้จริง

"เราได้รับข่าวว่า ราชี ซานุก (Rashee Sanook) ตอนนี้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี" ผู้นำสหรัฐฯกล่าว "อย่างที่พี่น้องผมมักพูดว่า ไม่น่าเชื่อเลย"

ในวันอังคาร (25 ต.ค. 65) ซูนัค กล่าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ หลังเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 หลังจากพระองค์ทรงตอบรับการลาออกของอดีตนายกรัฐมนตรี ลิส ทรัสส์ อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ทรัสส์ มีเวลาอยู่ในตำแหน่งเพียงแค่ 44 วัน กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ครองตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

ซูนัค อดีตรัฐมนตรีคลังวัย 42 ปีและผู้จัดการกองทุนเฮลจ์ฟัน เป็นบุคคลผิวสีและชาวฮินดูรายแรกที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของสหราชอาณาจักร เขาคว้าชัยในศึกชิงตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษนิยมหลัง เพนนี มอร์ดันท์ คู่แข่งคนสำคัญ รวบรวมคะแนนเสียงจากบรรดาส.ส.ของพรรคอนุรักษ์นิยมได้ไม่มากพอ ในขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน อีกหนึ่งคู่แข่ง เลือกที่จะถอนตัวไปก่อนหน้านี้

ขณะที่ ไบเดน กำลังขบคิดว่าจะลงสมัครกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัยหรือไม่ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ตัวเขาเองกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์เหน็บแนมอย่างกว้างขวาง จากอาการหลงลืมต่างๆนานา ที่ตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายและสุขภาพจิตของเขา

ในวันจันทร์ (24 ต.ค. 65) เช่นกัน ไบเดน มีท่าทีเหมือนคนหลงทิศ เดินกลับอาคารหลักไม่ถูก หลังออกมาร่วมพิธีปลูกต้นไม้ที่สนามหญ้าทางทิศใต้ของทำเนียบขาว จนเจ้าหน้าที่ต้องชี้ทาง แนะให้เขาเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง

เมื่อเดือนที่แล้ว ไบเดน ก็เพิ่งแสดงอาการหลงและสับสน หลังจากเสร็จสิ้นการกล่าวสุนทรพจน์ในนิวยอร์ก

ประธานาธิบดีรายนี้ ซึ่งจะอายุครบ 80 ปีในเดือนหน้า หันรีหันขวางอยู่บนเวที ดูเหมือนกำลังมึนงงว่าจะลงจากเวทีอย่างไร ระหว่างนั้นพิธีกรได้กล่าวขอบคุณ ซึ่งดึงดูดความสนใจของ ไบเดน กลับไปยังพิธีการบนเวทีแทน

ในเดือนกันยายน ไบเดน สร้างความสับสนแก่สักขีพยานและเจ้าหน้าที่อีกครั้ง หลังจู่ๆเขาก็เดินออกจากโพเดียม ขณะกำลังกล่าวปราศรัยเกี่ยวกับหายนะภัยจากเฮอร์ริเคนเอียน ที่สำนักงานใหญ่ของสำนักงานจัดการภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลกลาง(FEMA)

เลอะเลือนขั้นสุด!! 'โจ ไบเดน' เรียกชื่อนายกฯ ใหม่อังกฤษผิด | THE STATES TIMES Y WORLD EP.14

เลอะเลือนขั้นสุด!!

'โจ ไบเดน' เรียกชื่อนายกฯ ใหม่อังกฤษผิด

จาก 'ริชี ซูนัค' เป็น 'ราชี ซานุก'

.

ไปรับชมความอ๊องได้ใน THE STATES TIMES Y World 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top