Sunday, 16 June 2024
เศรษฐา_ทวีสิน

‘ศาล รธน.’ รับคำร้องถอดนายกฯ ปมตั้ง ‘พิชิต’ นั่งรมต. มติ 5:4 ไม่สั่ง ‘นายกฯ เศรษฐา’ หยุดปฏิบัติหน้าที่

 

(23 พ.ค. 67) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 48 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีนายเศรษฐา ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งนายพิชิต ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายพิชิตเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่ง จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน

ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เนื่องจากศาลฯ พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 7 (4)และให้นายกรัฐมนตรียื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ ศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตามพ.ร.ป.ว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 54

ทั้งนี้ เสียงข้างน้อย 3 เสียงในประเด็นนี้ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ

ส่วนกรณีของนายพิชิตผู้ถูกร้องที่ 2 ได้มีคำร้องของนายพิชิต ลงวันที่ 23 พ.ค. 67แจ้งว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 67 นายพิชิต ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แล้ว ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (2) กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วย วิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 51 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1  มีคำสั่งไม่รับคำร้องเฉพาะส่วนของนายพิชิตไว้พิจารณาวินิจฉัย โดย 1 เสียงข้างน้อยได้แก่ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีขอให้นายเศรษฐาผู้ถูกร้องที่ 1 หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและ เอกสารประกอบคำร้อง ในชั้นนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ไม่สั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยตุลาการเสียงข้างน้อย ได้แก่ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายจิรนิติ หะวานนท์

สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ประกอบด้วย 
1.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 
2.ปัญญา อุดชาชน 
3.อุดม สิทธิวิรัชธรรม 
4.วิรุฬห์ แสงเทียน 
5.จิรนิติ หะวานนท์ 
6.นภดล เทพพิทักษ์ 
7.บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ 
8.อุดม รัฐอมฤต 
9.สุเมธ  รอยกุลเจริญ

ถอดรหัสมติสยิวกิ้ว 5 ต่อ 4 ยื้อลมหายใจ 'เศรษฐา' จับตาสถานการณ์ 29 พ.ค. ขีดชะตากรรมของแทร่

เป็นปรากฏการณ์ที่งดงามประการหนึ่งจากศาลรัฐธรรมนูญในการแถลงข่าวคำวินิจฉัยคดีสำคัญของบ้านเมืองนัดล่าสุด 23 พ.ค.2567 ที่ผ่านมา...กรณีคำร้องของกลุ่ม 40 สว.ให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่...

ที่ระบุว่างดงาม...ไม่ใช่เพราะ มติ 6 ต่อ 3 หรือ 8 ต่อ 1 หรือ 5 ต่อ 4 แต่ประการใด...หากแต่อยู่ที่เป็นครั้งแรกที่ในใบแถลงข่าวได้ระบุชื่อ ตุลาการเสียงข้างน้อยไว้ในทุกมติ ก็เลยทำให้สื่อมวลชนรู้เลยว่าเสียงข้างมากมีใครบ้าง...ไม่ต้องไปสืบเสาะเจาะข่าวได้มาถูกบ้างผิดบ้าง บางครั้งอาจทำให้ศาลท่านหงุดหงิด ก็เลยเปิดเผยไปเลย.. 

'เล็ก เลียบด่วน' ต้องขอแสดงความชื่นชมด้วยหัวใจ และขอเอ่ยนาม 9 ตุลาการศาล รธน.ชุดปัจจุบัน ให้ปรากฏไว้ ณ ที่นี่อีกครั้ง...

นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (ประธาน), นายปัญญา อุดชาชน, นายวิรุฬห์ แสงเทียน, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายจิรนิติ หะวานนท์, นายนภดล เทพพิทักษ์, นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์, นายอุดม รัฐอมฤต และ นายสุเมธ รอยกุลเจริญ

มาถอดรหัสมติวันที่ 23 พ.ค. กันสักเล็กน้อย...มติ 8 ต่อ 1 ไม่รับกรณีนายพิชิตนั้น ไม่ต้องพูดถึง เมื่อชิงลาออก ศาลท่านก็จำหน่ายไป...

มติ 6 ต่อ 3 รับคำร้องไว้พิจารณา...3 เสียงที่ไม่รับคือ นายนครินทร์, นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ...

มติ 5 ต่อ 4 ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่...4 เสียงข้างน้อยที่เห็นว่าต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่คือ นายปัญญา, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายวิรุฬห์ และนายจิรนิติ...

คะแนน 5 ต่อ 4 นั้นเฉียดฉิว...2 เสียงที่ไหลไปรวมกับ 3 เสียงข้างน้อย (ที่ไม่รับ) คือ นายนภดล และนายบรรจงศักดิ์...ซึ่งอย่าเพิ่งไปเคลมว่า 2 ท่านนี้จะเห็นว่าเศรษฐาผิดหรือไม่ผิด...เป็นคนละประเด็น...แต่เอาเป็นว่าเสียงเดียวที่ทำให้นายกฯ ได้ทำหน้าที่ต่อไปในช่วงนี้นั้น มันได้ช่วยให้บ้านเมืองได้ลดร้อนรุ่มลงนิดหน่อย...

ประเด็นสำคัญสมมติถ้าศาลมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ให้เศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่แบบลุงตู่เมื่อปี 2565...เศรษฐาคงว้าวุ่นและดีไม่ดีอาจทรุดคาชั้น 24 ของโรงแรมที่โตเกียวก็เป็นได้...

ถามไถ่ราคาต่อรองในตอนนี้...เศรษฐารอดไม่รอด... 'เล็ก เลียบด่วน' ตอบแบบไม่กั๊กจากที่ประมวลความเห็นมา ณ ขณะนี้ 51 ไม่รอด 49 รอด...แต่ของแทร่เขาบอกต้องดูวันพุธที่ 29 พ.ค.ที่จะถึงเสียก่อน...

ถ้าวันที่ 29 พ.ค. อัยการสูงสุดสั่งฟ้องทักษิณ ชินวัตร ในคดีความผิดมาตรา 112 ชะตากรรมของเศรษฐาก็จะพลอยมืดมนอนธการไปด้วย แต่หากสั่งไม่ฟ้องก็พอจะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่ถ้าอัยการเลื่อนไปอีก...เศรษฐาก็คงอยู่ในอาการหน้ามืด หัวใจสั่นหวิวต่อไป...จนถึงเดือน ก.ค. หรือ ส.ค.

อนึ่ง มีการคาดหมายกันว่า หากที่สุดเศรษฐาต้องหลุดจากตำแหน่ง เกมเก้าอี้นายกฯ จะไหลข้าม แพทองธาร ชินวัตร, ชัยเกษม นิติสิริ 2 แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย ไปถึง 'อนุทิน ชาญวีรกูล' หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พรรคอันดับสองของพรรคร่วมรัฐบาล...ซึ่งเป็นบุคคลที่คนชื่อ 'ทักษิณ' กินยาทำใจแล้วพอรับได้...แบบไม่มีทางเลือก...

ส่วน 'นายกฯ บ้านป่ารอยต่อ' ที่ทีมงานอุตส่าห์ร่วมวงกับ 40 สว.ด้วยนั้น...ต้องขอแสดงความเสียใจ...อีกครั้ง

ประเด็นที่หวั่นใจกันก็คือคนอย่าง 'นายใหญ่' ที่กำลังเป็นเสือติดปีกในวันนี้ ใครก็หยุดท่านลำบาก...เกิดยาทำใจเอาไม่อยู่จะเป็นอย่างไร...

อ้าว!! ดูของจริงของแทร่วันที่ 29 พ.ค.กันดี ๆ ก็แล้วกัน...เสือจะโดนตัดปีกหรือไม่?

คิดทางขวาง 'เศรษฐา-พิชิต' ประชาธิปไตยแบบลิขิต แต่ 'ไม่ถูกใจ' ก็ใช้สิทธิ 'ตัดตอน' ประชาธิปไตยอยู่ตรงไหน

(27 พ.ค.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ' ระบุว่า...

ก่อนอื่นผมต้องขอเรียนชี้แจงก่อนนะครับ ว่าข้อเขียนของผมเกิดจากความคิดเห็นผมคนเดียว ไม่มีผู้ใดมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่ความเห็นทางกฎหมายเพราะผมไม่ใช่นักกฎหมาย เป็นการเขียนจากความรู้สึกของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งมีความสนใจในการเมืองของประเทศเรา 

กรณี 40 ส.ว.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการแต่งตั้ง ท่านพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีของท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีถูกต้องหรือไม่? ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่? ในความเห็นของผม ... ผมอยากกราบเรียนว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่แปลกที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง รักประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแบบสุดๆ แต่ไม่เคยไว้ใจนักการเมือง 

เมื่อมีอะไรไม่ถูกใจ ก็ไม่อดทนรอคอยขบวนการที่ถูกต้อง รอคอยเวลาตามวงรอบของการเลือกตั้ง ชอบการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทันใจ รักษาสิทธิตัวเอง แต่ไม่สนใจสิทธิคนอื่น 

สำหรับผมประชาธิปไตยควรเอาความเห็นส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่มีถูกผิด แพ้ชนะ ดำเนินการตามเสียงส่วนใหญ่โดยรบกวนสิทธิของเสียงส่วนน้อยเท่าที่จำเป็น เพื่อให้งานเดินหน้าไปได้ 

ในกรณีท่านพิชิต ชื่นบานนั้น ผมมีมุมมองที่แตกต่างอยู่ 2 ข้อ ข้อแรกคือ ระบบยุติธรรมและการลงโทษ เมื่อศาลพิพากษาและลงโทษแล้ว บุคคลนั้นๆ ได้รับโทษตามคำพิพากษาแล้ว ก็น่าจะเพียงพอ ถ้าเราต้องการลงโทษและแก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น ยกเว้นบุคคลนั้นๆ ศาลพิจารณาแล้วว่าเกินเยียวยาเป็นภัยสังคมจนไม่สามารถแก้ไขได้ ศาลก็จะมีคำพิพากษาและมาตรการตามกฎหมายที่เหมาะสมต่อไป 

ดังนั้นในการลงโทษเราควรให้เกียรติและเคารพศาล คำพิพากษาศาลควรถือเป็นที่สุด ไม่ควรมีบทลงโทษอื่นใดมาเพิ่มเติมอีก หากพิจารณาว่าบทลงโทษไม่เหมาะสม หนักหรือเบาอย่างไร ก็ไปแก้ไขกฎหมายในสภาฯ ต่อไป 

ข้อที่ 2 สิทธิทางการเมืองเป็นสิทธิพื้นฐานของบุคคลในระบอบประชาธิปไตย ในวันนี้ ผู้ที่ถูกตัดสินจำคุกมาแล้ว (ยกเว้นลหุโทษหรือโทษโดยประมาท) ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ยังดีที่ให้มีสิทธิลงคะแนนเสียงได้ เหมือนเป็นบุคคลให้หายใจได้ แต่ห้ามเคลื่อนไหวทำอะไร ... สิ่งเหล่านี้ควรแก้ไขหรือไม่? ก็คงแล้วแต่เสียงส่วนใหญ่จะพิจารณา 

ทว่า การเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองนั้น ในเมื่อเราเป็นประชาธิปไตย ทำไมไม่ให้สิทธินายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อสภาฯและประชาชน มีอิสระในการพิจารณาคัดสรร?

หากผู้ที่เลือกมาไม่ดีไม่เป็นที่ถูกใจ ย่อมเป็นผลเสียต่อคะแนนเสียงของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเอง เพราะในระบอบประชาธิปไตย 'คะแนนเสียงสำคัญสุด...ใช่หรือไม่?' ในปัจจุบันการเลือกตั้ง คะแนนเสียงประชาชนนับหมื่นจะไม่มีความหมายเลย หากไม่สามารถผ่านความเห็นของ กกต.เพียงไม่กี่คนได้

แล้วเราจะมีศาลเอาไว้ทำไม? ถ้ามีองค์กรอื่นที่สามารถตัดสินข้างต้นเหมือนศาลได้ 

ดังนั้น หากบุคคลที่ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือที่ได้รับเลือกมาเป็นรัฐมนตรีนั้น กระทำผิดกฎหมาย ก็ต้องได้รับโทษ และหากการทำผิดกฎหมายนั้นเกี่ยวพันถึงใคร ผู้นั้นก็ต้องร่วมรับโทษด้วย โดยมี 'ศาล' เป็นผู้ตัดสิน

เฉกเช่นเดียวกันกับกรณีของท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีนั้น อย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น ตามหลักการในระบอบประชาธิปไตย ท่านควรมีอิสระในการเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งในกรณีนี้ ผมขอชื่นชมท่านในฐานะผู้นำ ที่เมื่อเลือกใช้งานใครแล้ว ก็กล้าที่จะไว้วางใจให้ทำงาน ... การปฏิบัติเช่นนี้ ผู้ที่ทำงานด้วยย่อมมีความมั่นใจและอบอุ่นใจในการทำงานให้ ผมขอยกย่องในภาวะผู้นำของท่าน

ความคิดของผม หากไม่ถูกใจท่านใด ผมก็ต้องกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ คิดอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น เป็นการซื่อสัตย์ต่อตนเอง แต่ก็พร้อมน้อมรับและปฏิบัติตามเสียงส่วนใหญ่ ขอได้โปรดเมตตาแนะนำ หากความคิดผมไม่ถูกต้อง เพื่อผมจะได้นำไปพัฒนาความคิดและองค์ความรู้ส่วนตัวต่อไป ขอขอบพระคุณทุกคำติและคำชมของทุกท่าน ด้วยความเคารพครับ

นายกฯ เซ็นตั้ง ‘วิษณุ' นั่งที่ปรึกษานายกฯ 'ด้านกฎหมาย-ระเบียบราชการ' คอยตรวจสอบกลั่นกรอง กม.ก่อนเข้าครม. - ให้คำปรึกษาทางกม.แก่นายกฯ

(30 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงาน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 204/2567 เรื่อง การแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ มีเนื้อหาสรุปว่า เพื่อให้การบริหารราชการ การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อให้คำปรึกษา เสนอความเห็น และประสานความร่วมมือกับหน่วยราชการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาศัยอำนาจตามมาตรา 11(6) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน สมควรแต่งตั้ง นายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ เพื่อให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)ในฐานะที่ปรึกษาของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

โดยมีหน้าที่และอำนาจ ตรวจสอบและกลั่นกรองร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีร่วมกับ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายหรือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.)ร้องขอ  ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นทางกฎหมายแก่นายกรัฐมนตรีตามที่มอบหมาย เชิญเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมหรือให้ข้อมูลรายละเอียดหรือจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานได้ตามที่เห็นสมควร ให้ข่าวสารในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนได้ตามความจำเป็น ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และ แต่งตั้งคณะทำงานหรืออนุกรรมการเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานได้ตามความจำเป็น

โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.)สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.)สนับสนุนการดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ถือว่านายวิษณุ มีอำนาจหน้าที่เทียบเท่ากับรองนายกรัฐมนตรี คนหนึ่ง

จับตา!! ระเบิดเวลา 3 ลูกใหญ่เบ้อเริ่ม วัดชะตา ‘เศรษฐา’ วัดใจ ‘นายใหญ่’

ต้องยอมรับว่าระยะนี้ แม้จะมีระเบิดเวลาทางการเมืองลูกใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มหลายลูก แต่นายกรัฐมนตรี  ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ก็ยังได้รับแรงใจอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะการทำงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย…

หนำซ้ำกรณีไปหา ‘ดร.วิษณุ เครืองาม’ ทาบทามมาเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ ได้สำเร็จ แม้กาลครั้งหนึ่งก่อนเลือกตั้งจะโพสต์ X จวก ‘ดร.วิษณุ’ ว่า “ไร้ยางอาย” ก็ตาม สื่อโซเชียลขุดมาแชร์ได้วันสองวันก็ผ่านไป

ว่ากันว่า...จังหวะเวลา ดวงชะตาของเศรษฐา ทวีสิน ค่อนข้างโชคดีเป็นพิเศษ เพราะ 

1) อยู่ในสถานการณ์การเมืองผสมขั้ว ภายใต้ ‘ดีลพิเศษ’
2) ลูกสาวนายห้างยังไม่พร้อมที่จะย่างก้าวมารับบทบาทที่เศรษฐาแสดงอยู่ 

อย่างไรก็ตาม...แม้เศรษฐาจะอยู่ในสถานะที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของนายใหญ่ หรือแม้กระทั่งฝั่งอนุรักษ์ที่ร่วมดีลพิเศษ แต่สถานการณ์ในขณะนี้ก็ใช่ว่า เศรษฐาจะปลอดภัยปลอดโปร่งโล่งแจ้ง ตรงข้ามยังมีระเบิดเวลาทางการเมือง ที่มองเห็น ๆ กันอยู่ในขณะนี้ 3 ลูกใหญ่

1) คดีคุณสมบัติที่อยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่าต้นเดือน ส.ค. น่าจะรู้ผลว่าหมู่หรือจ่า แม้ราคาต่อรองขณะนี้จะอยู่ในระดับ 51 ต่อ 49 เชื่อว่ารอดแบบเฉียดฉิว แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจ แม้จะมี ดร.วิษณุ  เครืองาม มาเป็นที่ปรึกษาใหญ่ก็ตาม...เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว บางที ‘ดุลพินิจ’ ก็ไม่อาจฝืน..!!

2) กรณีทักษิณ-การนิรโทษกรรม สองเรื่องนี้ดูเหมือนจะเดินทางมาบรรจบพบกันที่ ‘นิรโทษกรรมเหมาเข่ง’ กล่าวคือทักษิณ ชินวัตร ถูกอัยการสั่งฟ้องคดีความผิดมาตรา 112 วันที่ 18 มิ.ย. อัยการจะนำตัวส่งฟ้องศาล ซึ่งก็คงได้ประกันตัว…แต่ชีวิตจะเหมือนถูกพันธนาการล่ามโซ่...การนิรโทษกรรมคือการปลดโซ่ ซึ่ง สส.เพื่อไทยหลายคนเริ่มเคลื่อนแล้ว ให้ กมธ.วิสามัญฯ ที่ศึกษาเรื่องนี้รวมเข่งคดี 112 ไปรวมกับคดีชุมนุมการเมืองอื่น ๆ ด้วย...แต่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค รวมทั้งฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วย…

ประชุมกมธ.วิสามัญ วันที่ 6 มิ.ย.นี้ ก็จะเห็นแนวที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยดั้นเมฆจะเอาเหมาเข่งให้ได้ ก็สามารถทำได้โดยจับมือพรรคก้าวไกล เสียงเกินครึ่ง แต่บ้านเมืองอาจลุกเป็นไฟอีกครั้ง…เหมือนตอน ‘พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย’ ปี 2556-57 ที่จบลงด้วย ‘ลุงตู่’ เข้ามาขอเวลาไม่นานแต่อยู่ยาว 9 ปีหลังรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557

3) โครงการเติมเงิน ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท...โครงการนี้นับถอยหลังการแจกเงิน ดูกันตั้งแต่การพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 ที่จะตั้งงบ 1.72 แสนล้านบาท และใช้นวัตกรรมหมุนงบ 2567 มาใช้อีกไม่น้อยกว่า 1.75 แสนล้านบาท...และก้อนสุดท้ายเอามาจาก ธกส.

วันนี้ทุกอย่างยังไม่เห็นรายละเอียดเพิ่มเติม...แต่พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง ‘ภูมิใจไทย’ และ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ พร้อมจะปฏิเสธ..ไม่เล่นด้วยทันทีหากผิดกฎหมาย...นับเป็นอะไรที่น่าหวาดเสียวตื่นเต้นยิ่ง..

อนึ่ง!! มีการสมมุติถ้าเศรษฐาหลุดจากตำแหน่งจริง ๆ ระหว่างนายห้างหรือนายใหญ่ต้องเสียสละ กินยาทัมใจให้ ‘เสี่ยหนู’ อนุทิน  ชาญวีรกูล แห่งค่ายสีน้ำเงินเป็นนายกฯ แทนลูกสาว กับเดินหน้าดันลูกสาวเป็นนายกฯ เอง หรือพลิกขั้วไปจับมือก้าวไกล นายห้างจะเลือกทางไหน...เขาเชื่อกันว่า นายห้างเลือกที่จะดันสูกสาวตัวเอง...

สวัสดี!!

'นายกฯ' ส่งไม้ต่อ 'สุริยะ' เตรียมพร้อมรับท่องเที่ยว ช่วงไตรมาส 4 ผุดเส้นทางรถไฟเที่ยวพิเศษ เจาะกลุ่มมุ่ง 'วัฒนธรรม-ธรรมชาติ'

(5 มิ.ย.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลัง หารือร่วมกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า หลังจากออกมาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวแล้ว ได้เตรียมพร้อมเรื่องการเดินทางต่อ โดยบ่ายวันเดียวกันนี้ มีการหารือหลายเรื่อง โดยเรื่องแรกหารือกับทั้งกระทรวงคมนาคม การท่าอากาศยานไทย (AOT), การบินไทย, เวียตเจ็ทแอร์ไลน์ และการรถไฟฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาส 4 ที่เป็นช่วง Low Season เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องบริหารทั้งจำนวนเครื่องบิน และเที่ยวบินให้เพียงพอ รวมไปถึงให้ทาง AOT เตรียมพร้อมรองรับสายการบิน ตลอดจนนักท่องเที่ยว นักเดินทางที่เพิ่มขึ้นด้วย

"ผมได้สั่งการให้การรถไฟฯ เพิ่มเส้นทางการเดินรถไฟใหม่ ๆ ตลอดจนจัดรถไฟเที่ยวพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางสายวัฒนธรรมของไทย หรือการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม เสน่ห์ของการเดินทางโดยรถไฟน่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อีกเยอะเลยครับ" นายกฯ กล่าว

‘นายกฯ เศรษฐา’ ต่อสายยินดี ‘นายกฯ โมดี’ ชนะเลือกตั้งสมัย 3 พร้อมกระชับสัมพันธ์ ‘ไทย-อินเดีย’ ผ่านการร่วมมือทางเศรษฐกิจ

(6 มิ.ย. 67) ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หารือทางโทรศัพท์กับนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย เพื่อแสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีอินเดียที่ชนะการเลือกตั้ง เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน และชื่นชมการทำงานของนายกรัฐมนตรีอินเดีย เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนชาวอินเดีย พร้อมยืนยันการทำงานร่วมกันเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างกัน 

สำหรับการเดินทางเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการภายในปีนี้ เพื่อเป็นโอกาสหารือกระชับความร่วมมือระหว่างกัน ตลอดจนความร่วมมือระหว่างภูมิภาค และความร่วมมือในกรอบ BIMSTEC และหวังว่าจะเป็นโอกาสให้ไทยและอินเดียได้ยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน

ด้านนายกฯ อินเดีย กล่าวว่าครั้งนี้ถือเป็นการหารือกับนายกรัฐมนตรีไทยครั้งแรก ขอแสดงความยินดีกับการรับตำแหน่งของนายกฯ ไทยเช่นกัน และเชื่อมั่นว่าไทยและอินเดีย จะคงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกัน 

ทั้งนี้อินเดีย พร้อมให้การต้อนรับนายกฯ ในการเยือนอินเดีย และยินดีที่จะเข้าร่วมการประชุม BIMSTEC ในเดือนกันยายนนี้ที่ประเทศไทย และเชื่อว่าจะเป็นโอกาสพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน รวมถึงเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกัน

‘นายกฯ’ ควง ‘ชัชชาติ’ ล่องเรือตรวจ ‘คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู’ รับปาก!! ประสานสื่อต่างประเทศ แชะภาพโปรโมตมุม Unseen

(13 มิ.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประกอบด้วย นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร ตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โครงการ 10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข ‘คลองรอบกรุง (คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู)’ และตรวจติดตามความก้าวหน้าการจัดขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค และความก้าวหน้าในการประดับตกแต่งเรือพระที่นั่ง ณ กองบังคับการกองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงบริเวณสวนสาธารณะป้อมมหากาฬ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร รับฟังบรรยายสรุปโครงการพัฒนาคลองรอบกรุง (คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู) โดยสำนักการระบายน้ำ
ณ บริเวณท่าเทียบเรือสวนสาธารณะป้อมมหากาฬ จากนั้น นายกรัฐมนตรีล่องเรือตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการ 10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข (คลองโอ่งอ่าง)

โดยเดินทางจากท่าเทียบเรือสวนสาธารณะป้อมมหากาฬ ไปยังท่าเทียบเรือสะพานหัน (คลองโอ่งอ่าง) โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและกรุงเทพมหานครรายงานถึงความคืบหน้าในการดำเนินการซึ่งมีความคืบหน้าไปเกือบ 100% แล้วโดยเฉพาะช่วงเวลาเย็นและค่ำเมื่อมีการเปิดไฟประดับจะทำให้มีความสวยงามของคลองเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างดี 

ทั้งนี้ เมื่อเดินทางถึงท่าเทียบเรือสะพานหัน คลองโอ่งอ่าง นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมพื้นที่บริเวณสะพานหัน และพบปะกับผู้ค้าขายริมคลองโอ่งอ่าง โดยนายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงเรื่องของการค้าขายจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าบริเวณตลาดริมคลองโอ่งอ่าง 

ขณะที่ผู้นำชุมชนริมคลองโอ่งอ่างได้ขอให้ทางรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้คลองโอ่งอ่างกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากมีบางช่วงซบเซา อย่างไรก็ตามขณะนี้บรรยากาศเริ่มจะกลับมามีประชาชนและนักท่องเที่ยวทยอยกลับมาเดินเพิ่มมากขึ้น แต่ยังต้องการให้นายกและรัฐบาลช่วยผลักดันและประชาสัมพันธ์ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

ขณะที่นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทีมงาน ช่วยประสานให้ช่างภาพโดยเฉพาะสื่อต่างประเทศมาช่วยถ่ายภาพและนำเสนอ โดยเฉพาะมุมที่เป็น Unseen ของคลองโอ่งอ่างเพื่อเผยแพร่ไปยังทั่วโลกเนื่องจากบางมุม ที่เป็น Unseen ยังไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์เท่าที่ควรและยังไม่ได้ถูกเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก ให้เป็นที่รู้จักเพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง

ขณะเดียวกันปลัดกรุงเทพมหานครได้ขอให้นายกฯ รัฐมนตรี กลับมาเยี่ยมชมและล่องเรือเพื่อดูทัศนียภาพยามเย็นที่คลองโอ่งอ่างเพื่อดูถึงความสวยงาม อีกรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากช่วงเย็น-ค่ำ จะมีการประดับไฟในจุดต่าง ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะกลับมาอย่างแน่นอนพร้อมจะพาช่างภาพจากสื่อต่างประเทศมาเยี่ยมชมด้วย

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างเดินเยี่ยมชมและพบปะกับประชาชนริมคลองโอ่งอ่างได้มีชาวบ้านเข้ามาทักทายถ่ายรูปและมอบพวงมาลัยเพื่อเป็นกำลังใจให้กับนายกรัฐมนตรีตลอดเส้นทางก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะร่วมถ่ายรูปที่สะพานคลองโอ่งเป็นที่ระลึก

จากนั้น เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการ 10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข (คลองบางลำพู) โดยออกเดินทางจากท่าเทียบเรือสะพานหัน ไปยังท่าเทียบเรือบริเวณพิพิธภัณฑ์บางลำพู (คลองบางลำพู) เขตพระนคร โดยมีประชาชนสองฝั่งคลองได้ออกมาโบกไม้โบกมือต้อนรับและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านตะโกนทวงถามว่าเงินดิจิทัลของเราเมื่อไหร่จะได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรียิ้มรับพร้อมบอกว่า ‘ปลายปี’

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากขึ้นเรือ นายกรัฐมนตรีเดินเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บางลำพู โดยมัคคุเทศก์น้อยนำเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ และของดีจาก ชุมชนเขียงนิวาสไก่แจ้ โดยเฉพาะการปักดิ้นบนของที่ระลึก ก่อนออกเดินทางไปยังกองบังคับการ กองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

'นายกฯ' ลั่น!! ไม่สมควร หักค่าดูดส้วมทหารเกณฑ์ เชื่อ!! 'รมว.กลาโหม' รู้หน้าที่ว่าควรทำยังไงต่อไป

(13 มิ.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีมีการเผยแพร่เอกสารการหักค่าใช้จ่ายทหารเกณฑ์ใหม่ สังกัดกองพันทหารเกณฑ์เสนารักษ์ที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ที่มีการระบุค่าดูดส้วม จำนวน 500 บาท โดยนายกฯ ได้เห็นข่าวนี้เเล้วใช่หรือไม่ ว่า เมื่อสักครู่เห็นนิดหนึ่งจากทวิตเตอร์เอ็กซ์ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ตนเข้าใจว่านายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ก็คงจะมีการตรวจสอบ เพราะเรื่องนี้ไม่สมควรจะเกิดขึ้น และยอมรับไม่ได้

เมื่อถามว่า เงินของทหารเกณฑ์มีประเด็นที่ถูกหักออกไปเยอะ นายกฯ จะกำชับอย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนเชื่อว่าเขารู้หน้าที่อยู่แล้วว่าอะไรควร หรือไม่ควร

‘นายกฯ’ บันทึกรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ เล่าภารกิจใน-นอกประเทศ ออนแอร์เทปแรก 22 มิ.ย.นี้ ช่อง NBT2HD เวลา 08.00-08.30 น.

(14 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า สืบเนื่องที่รัฐบาลโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดจัดรายการนายกฯ พบประชาชน เบื้องต้นมีรายงานว่า จะใช้ชื่อรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ โดยจะออกอากาศในวันเสาร์ที่ 3 ของทุกเดือน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เริ่มเวลา 08.00 - 08.30 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่ง (NBT2HD) ซึ่งได้มีการบันทึกเทปแรกไว้แล้วเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมาที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายธีรัตถ์ รัตนเสวี อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการเทปแรก 

นอกจากนี้ยังได้มีการวางผู้ดำเนินรายการมาสลับกันทำหน้าที่ อาทิ ‘หมวย’ อริสรา กำธรเจริญ ผู้ประกาศข่าว, อั๋น ภูวนาท คุนผลิน พิธีกรชื่อดัง เป็นต้น

สำหรับรูปแบบรายการ นายกรัฐมนตรีจะเล่าสรุปภารกิจจากการลงพื้นที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อัปเดตผลการดำเนินงานของรัฐบาล ส่วนรายการครั้งต่อ ๆ ไป จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตามความเหมาะสมและสถานการณ์ เช่น การจัดรายการนอกสถานที่ระหว่างการลงพื้นที่ทั้งในและต่างประเทศ 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top