Friday, 24 May 2024
เยอรมนี

9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 วันทลาย ‘กำแพงเบอร์ลิน’ สัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดยุคสงครามเย็น

วันนี้ เมื่อ 33 ปีก่อน รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเยอรมันตะวันออกเริ่มทะลายกำแพงเบอร์ลิน หลังสหภาพโซเวียตใช้ปิดกั้นเป็นเวลานานถึง 28 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เยอรมนีในฐานะผู้แพ้สงครามถูกแบ่งประเทศออกเป็น 4 ส่วนภายใต้การควบคุมของ 4 ประเทศผู้ชนะคือ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต หรือรัสเซียในปัจจุบัน

ต่อมา อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต ได้เกิดความแตกแยกทางอุดมการณ์ความคิด ทำให้ อังกฤษ สหรัฐ และฝรั่งเศสที่มีอุดมการณ์เสรีนิยมมาอยู่ฝั่งเดียวกัน และสหภาพโซเวียตที่มีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ต่อมาเกิดเป็นจุดเริ่มต้นสงครามเย็น เป็นผลให้มีการขีดเส้นแบ่งเยอรมนีออกเป็นสองส่วน คือ เยอรมันตะวันออกภายใต้อำนาจของโซเวียต และเยอรมันตะวันตกภายใต้อำนาจ 3 ประเทศ

กมธ.พัฒนาการเมือง เยือนเยอรมัน แลกเปลี่ยนมุมมองบ้านเมือง เพิ่มความร่วมมือการทำงานของ กมธ.สองประเทศ

กรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน เดินทางเยือนประเทศเยอรมันตามคำเชิญของตามคำเชิญของ มูลนิธิ Hanns Seidel Foundation Thailand เพื่อศึกษาแนวทางทำงานร่วมกัน ระหว่าง รัฐสภาไทย และ รัฐสภาเยอรมัน รวมถึงกลไกลการทำงานของทางคณะกรรมาธิการของทั้ง 2 ประเทศ

ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม พ.ศ. 2565 โดยระหว่างการเดินทางเยือนครั้งนี้ สมาชิกกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ มีกำหนดการเข้าพบปะหารือกับ คณะกรรมาธิการคำร้อง และ คณะกรรมาธิการเพื่อการปฏิรูปการเลือกตั้งและความทันสมัยของกิจการสภาผู้แทนราษฎรประจำสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี และ คณะกรรมาธิการคำร้องและการร้องทุกข์และคณะกรรมาธิการรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และกิจการรัฐสภา และ การบูรณาการประจำสภาแห่งมลรัฐบาวาเรีย

สารพัดข้ออ้าง!! 'เยอรมนี' อ้างเหตุภัยไซเบอร์ ขอเดินตามเกมสหรัฐฯ ร่วมแบนเทคโนโลยี 5G ของ Huawei และ ZTE

กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เมื่อสำนักข่าว Zeit Online ของเยอรมนีเปิดเผยว่า ทางรัฐบาลเยอรมนี ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี โอลาฟ ซอลซ์ มีแผนที่จะประกาศห้ามใช้อุปกรณ์เทคโนโลยี 5G ของบริษัทผู้ผลิต Huawei และ ZTE ของจีน ตามชาติพันธมิตรอย่าง สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น 

โดยได้อ้างมติที่พิจารณาร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย และหน่วยด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ของเยอรมนีที่หารือกันมานานหลายเดือน จนได้ข้อสรุปให้ระงับสัญญาการติดตั้งอุปกรณ์เครือข่ายเทคโนโลยี 5G สัญชาติจีน ด้วยเหตุผลด้านภัยคุกคามความมั่นคงทางไซเบอร์ และความปลอดภัยทางข้อมูลของผู้ใช้งาน 

แต่เหตุผลหลักคือ ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทสัญชาติจีนทั้ง 2 แห่งกับรัฐบาลปักกิ่ง ที่สร้างความไม่ไว้วางใจให้กับมหาอำนาจตะวันตก ที่มองว่าไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นเครือข่ายการคมนาคมยุคใหม่ในประเทศ

ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ตอบตกลงในการติดตั้งระบบเครือข่าย 5G ของบริษัทจีนในประเทศไปแล้วบางส่วน และหากรายงานข่าวของสื่อเยอรมันเป็นความจริง ก็จะครอบคลุมถึงระบบอุปกรณ์ที่ได้ติดตั้งไปแล้วด้วย ที่ต้องรื้อถอนออกไป ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้แก่รัฐบาลจีน

นายเซียง ลี่กัง ผู้อำนวยการสำนัก Information Consumption Alliance ในกรุงปักกิ่งกล่าวว่า จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีการยืนยันกับทางจีนว่าข่าวนี้เป็นจริงหรือไม่ แต่ถ้าเยอรมนียืนกรานที่จะแบนอุปกรณ์เทคโนโลยี 5G ของจีนจริง จะสร้างผลเสียให้เยอรมนีมากกว่า

เพราะจากข้อมูลของสำนักสำรวจ Strand Consult พบว่าบริษัทเทเลคอมของเยอรมันในคลื่นสัญญาณ 5G จากอุปกรณ์ของ Huawei แล้วถึง 59% แซงหน้าระบบเก่า 4G ที่ใช้อยู่ 57% ไปแล้ว 

และหากต้องรื้อถอนระบบที่ติดตั้งไปแล้วของบริษัทจีน เพื่อวางระบบใหม่หมด รัฐบาลเยอรมนีต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกหลายพันล้านยูโรโดยไม่จำเป็น และฟันธงได้เลยว่าไม่มีทางหาผู้รับเหมาประเทศไหนสามารถวางระบบได้ในราคาที่จีนเสนอให้แน่นอน 
 

ผู้นำเยอรมนี ชี้ ธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศยังแกร่ง แม้มีข่าว Deutsche bank จะกลายเป็นโดมิโน่รายต่อไป

ใครที่ตามข่าวในตลาดการเงินอย่างต่อเนื่องก็คงจะรู้ดีว่าตอนนี้ Deutsche Bank ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีกำลังถูกจับตามองจากนักลงทุนทั่วโลก หลังมีข่าวว่า Credit Default Swap (CDS) ได้พุ่งขึ้นทำระดับ New High ใหม่เหนือ 200 จุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ! โดย CDS จะพุ่งขึ้นเมื่อตลาดกังวลว่าบริษัทมีความเสี่ยงที่จะผิดชำระหนี้มากขึ้น ทำให้ตอนนี้มีแรง Panic ว่า Deutsche Bank จะกลายเป็นรายต่อไปหลังจาก SVB และ Credit Suisse หรือไม่ ?

(26 มี.ค.66) World Maker เผยว่า Olaf Scholz ผู้นำของเยอรมนีได้ออกมาประกาศชัดว่าธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศยังมีความแข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรอย่างดี! ทำให้ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะล้มเหมือนธนาคารอื่น ๆ ในก่อนหน้านี้ โดยเขาได้ปฏิเสธว่า Deutsche Bank มีสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกับ Credit Suisse จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

ความเห็นของเขาเป็นไปเช่นเดียวกับ Jerome Powell ประธาน FED รวมถึง Joe Biden ผู้นำสหรัฐฯ และ Christine Lagarde ประธานของ ECB ที่พยายามออกมาสร้างความมั่นใจให้กับตลาดว่าภาคธนาคารของชาติตะวันตกยังคงมีความแข็งแกร่ง ในขณะที่ธนาคารกลางประกาศชัดเจนว่าได้เตรียมพร้อมสำหรับการ “จัดหาสภาพคล่อง” ในระดับที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด

ทั้งนี้ ผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายกล่าวว่าวิกฤตครั้งนี้จะลุกลามไปใหญ่โตแน่นอน และทำให้เกิดการล่มสลายในระดับมหากาพย์ แต่ผู้ที่มองโลกในแง่ดีกล่าวว่าวิกฤตในครั้งนี้แตกต่างจากวิกฤตใหญ่ ๆ ในอดีตอย่างเช่น Great Depression ปี 1930 และวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ซึ่งครั้งนี้จะผ่านไปได้ไม่รุนแรงเช่นนั้น เพราะมีความแตกต่างกันหลายอย่างและระบบการเงินโลกก็ถูกพัฒนาไปมากแล้วจากในอดีต แม้ว่าอาจเกิดความเสียหายในบางส่วนแต่ก็จะไม่ใช่หายนะ 

คำกล่าวของ Scholz เกิดขึ้นหลังจากหุ้น Deutsche Bank ร่วง -14% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก่อนจะฟื้นตัวปิดตลาดที่ -8.53% พร้อมกับ CDS ที่พุ่งทำ New High และปรับตัวลดลงหลังจากนั้น ซึ่งโดยรวมแล้ว Deutsche Bank สูญเสีย Market Cap ไปราว 1 ใน 5 (-20%) ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น (ไม่ต่างจากธนาคารอื่นๆ ใน Wall Street ที่สูญเสียมูลค่าไปเช่นกัน)

นั่นทำให้นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดจำนวนไม่น้อยยังไม่กล้าปักใจเชื่อคำกล่าวของกลุ่มผู้นำโลก แต่ก็ต้องบอกว่ามีนักวิเคราะห์บางคนที่มองในเชิงบวก ยกตัวอย่างเช่น Stuart Graham จาก Autonomous Research ที่ออกมากล่าวชัดเจนว่า Deutsche Bank จะไม่ใช่ Credit Suisse รายต่อไป

ขณะเดียวกันนี้ สถิติแสดงให้เห็นว่าลูกค้าแห่ถอนเงินอย่างน้อย -3.5 ล้านล้านบาทหรือ -1 แสนล้านดอลลาร์ออกจากธนาคารของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เกิดวิกฤต Bank Run ขึ้นมา ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นโดยรวมของตลาดเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับที่กองทุน Hedge Funds บางกลุ่มเริ่มเข้า Short Sell สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ ! โดยมองว่าตลาดนี้จะได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่จากวิกฤตธนาคาร

ทั้งนี้ Hedge Funds จำนวนไม่น้อยกำลัง Short Sell ผ่านทางด้านหุ้นและอนุพันธ์เครดิต (Credit Deriavtives) โดยหุ้นเกือบ 40% ของ iShares US Real Estate ETF กำลังถูก Short Sell อยู่ ณ ตอนนี้

วิกฤตธนาคารที่เกิดขึ้นถือเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการ Short Sell ในตลาดอสังหาฯ สูงขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดอสังหาฯ ก็เริ่มมีสัญญาณความตึงเครียดเกิดขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว อย่างที่ World Maker ได้เคยย้ำเตือนไปในหลายบทความที่ผ่านมา ว่านับตั้งแต่ดอกเบี้ย FED สูงขึ้น มันส่งผลให้ดอกเบี้ยบ้านสูงขึ้นตามไปด้วยในขณะที่ราคาบ้านเองก็อยู่ในระดับสูงลิ่วจนหลายคนเอื้อมไม่ถึงไปแล้ว

ดังนั้นเมื่อไปถึงจุดหนึ่งที่ตลาดตึงเครียดมาก ๆ ก็มีแนวโน้มที่ราคาอสังหาฯ จะร่วงลงได้ เนื่องจาก Demand หายไปเพราะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นพร้อมกับราคาในก่อนหน้านี้ จนทำให้การซื้อบ้านแพงหูฉี่จนหลายคนไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตลาดอสังหาฯ ณ ปัจจุบัน

ยิ่งเมื่อ FED ได้ทำ QT โดยการเทขายพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรจำนองบ้าน (Mortgage Backed Securities : MBS) มันก็ยิ่งทำให้ตลาดอสังหาฯ ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตธนาคาร ดังนั้นเมื่อมีวิกฤต SVB, Credit Suisse และความกังวลที่แพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง ทำให้แรง Panic ในอสังหาฯ พุ่งขึ้นไปอีกระดับพร้อมกันอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก-กลางในตลาด Real Estate อาจมีความเสี่ยงมากกว่าบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีงบการเงินแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับที่วิกฤตเกิดกับธนาคารขนาดเล็ก-กลาง แต่ยังไม่เกิดกับธนาคารขนาดใหญ่เพราะมีการกำกับดูแลที่เข้มงวดกว่า

ภาพรวมทั้งหมดนี้แสดงให้เราเห็นว่าในขณะที่เกิดสถานการณ์ปั่นป่วนที่หลายคนมองว่าเป็นวิกฤต แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่กำลังแสวงหาโอกาสในการทำกำไรท่ามกลางข่าวร้าย โดยถ้าซื้อแล้วไม่ได้กำไร พวกเขาก็เลือกที่จะ Short Sell แทน ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่าตลาดสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ เหล่านี้จะเคลื่อนตัวไปในทิศทางไหนต่อไปกันแน่ ? จะพังหรือพุ่ง ? จะรุ่งหรือร่วง ?

ทางด้าน FED และธนาคารกลางหลายแห่งเช่น ECB ล่าสุดยังคงตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยต่อไป โดยมองว่าทั้งระบบมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะรับแรงกดดันด้านสภาพคล่องในระยะสั้น แม้มีวิกฤตด้านการธนาคารเกิดขึ้นให้เห็นเป็นรอยร้าวของระบบจากความตึงเครียดทางการเงินที่ถูกยกระดับขึ้นมา 

'เยอรมนี' ปิดฉาก 3 โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์สุดท้าย ลดนำเข้าพลังงานฟอสซิล มุ่งสู่ยุคพลังงานสะอาด

(23 เม.ย.66) German Embassy Bangkok โดย สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนี กรุงเทพฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ปิดฉากยุคโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์สามแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในประเทศเยอรมนี ได้ปิดตัวลงแล้วเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการตามเป้าหมายการลดการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานนิวเคลียร์ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งอันที่จริงแล้ว สัดส่วนการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในเยอรมนีในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาก็ลดลงมาโดยตลอดจาก 22% เหลือต่ำกว่า 5% 

ชวนส่อง 4 เรื่อง ที่ทำให้ ‘เมืองไทย’ ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่สะดวกสบาย จนแซงหน้า ‘ประเทศเยอรมนี’

🔍 ชวนส่อง 4 เรื่อง ที่ทำให้ ‘เมืองไทย’ ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่สะดวกสบาย จนแซงหน้า ‘ประเทศเยอรมนี’ จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย!!

1.) การโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ ที่ประเทศไทยจะสามารถโอนเงินให้ผู้รับได้ทันที ในขณะที่ประเทศเยอรมนี ต้องรอประมาณ 1 อาทิตย์ หรืออาจนานกว่านั้น
2.) การขอบัตร ATM ใบใหม่ ที่ประเทศไทยสามารถทำเรื่องขอรับได้ทันที ในขณะที่ประเทศเยอรมนี ต้องรอประมาณ 1 อาทิตย์ หรืออาจนานกว่านั้น
3.) การขอซิมการ์ด ที่ประเทศไทยสามารถหาซื้อซิมการ์ดได้ทันที ในขณะที่ประเทศเยอรมนี ต้องรอประมาณ 1 อาทิตย์ หรืออาจนานกว่านั้น
4.) การรับชมช่องโทรทัศน์ของรัฐบาล ที่ประเทศไทยสามารถรับชมได้ฟรี ในขณะที่ประเทศเยอรมนี ต้องเสียเงินประมาณ 670 บาทต่อเดือน

สุดเศร้า ‘เจ้าของร้านอาหารไทย’ ในเบอร์ลิน ถูกฆาตกรรม คนไทยในเยอรมนี ร่วมอาลัย ตร.เร่งสืบสวนหาความจริง

(19 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพจ ‘พ่อบ้านเยอรมัน’ ได้เปิดเผยว่า พบศพคาดว่าเป็นหญิงไทย บริเวณใจกลาง Schöneberg ประเทศเยอรมนี ตำรวจกำลังเร่งสืบสวนอย่างเร่งด่วน

ทั้งยังเปิดเผยเพิ่มเติม โดยอ้างอิงเว็บไซต์ berlin.de ว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นประมาณเวลา 00.50 น. ที่บริเวณ Fuggerstr. ซึ่งหลายสำนักข่าวหลายสำนักรวมไปถึงคนไทยหลายท่านที่ Berlin ระบุว่าเป็นหญิงไทย แต่พ่อบ้านขอรอจากทางตำรวจแถลงอีกครั้งเพื่อความชัวร์ที่สุด

ในเบื้องต้นไม่ได้เป็นการเสียชีวิตด้วยสาเหตุตามธรรมชาติหรืออาการเจ็บป่วย แต่พ่อบ้านขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดถึงลักษณะของการเสียชีวิต เพราะเคารพถึงใจของญาติผู้เสียหาย

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตคือเจ้าของร้าน ‘Thai-Art’ ที่เบอร์ลิน โดยยังจับคนร้ายไม่ได้ ซึ่งร้านดังกล่าว เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยมาก

พร้อมกันนี้ยังได้แนบข่าวจากเว็บไซต์ bz-berlin ที่ระบุว่า ผู้เสียชีวิตเป็นหญิงวัย 61 ปี ได้รับบาดเจ็บที่คอ

ทั้งนี้ สำหรับผู้เสียชีวิตนั้น จะบำเพ็ญกุศล สวดพระอภิธรรม ที่วัดพุทธวิหาร กรุงเบอร์ลิน

โลกออนไลน์ ยังได้ร่วมกันแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ ‘คุณกุ้ง’ เจ้าของร้าน Thai-Art จำนวนมาก

‘จีน’ ฉุน!! ‘รมว.ตปท.เยอรมนี’ เรียก ‘สี จิ้นผิง’ ว่า “จอมเผด็จการ” ชี้ เป็นความคิดที่ไร้สาระ-ละเมิดศักดิ์ศรี-ยั่วยุทางการเมืองชัดเจน

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 66 ‘จีน’ ตำหนิ ‘อันนาเลนา แบร์บ็อค’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีอย่างดุเดือด หลังเรียกประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ เป็น ‘เผด็จการ’ โดยตราหน้าความคิดเห็นดังกล่าวว่าเป็น ‘การยั่วยุทางการเมืองอย่างเปิดเผย’ ที่ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง

ปักกิ่งคือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี แต่เยอรมนีเผยแพร่นโยบายใหม่ในเดือนกรกฎาคม ลดพึ่งพาและหันมาประชันขันแข่งกับจีนแน่วแน่กว่าเดิม หลังจากใช้เวลาถกเถียงกันภายในรัฐบาลมานานหลายปีเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ที่จะใช้กับจีน

แบร์บ็อค ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้เยอรมนีใช้แนวทางสายแข็งกร้าวยิ่งขึ้นกับจีน แสดงความคิดเห็นเรียก สี จิ้นผิง เป็นเผด็จการ ขณะให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐฯ

ในระหว่างให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสงครามยูเครน เธอบอกว่า “หากปูตินชนะในสงครามนี้ มันจะเป็นสัญญาณสำหรับพวกเผด็จการคนอื่นๆ ในโลกใบนี้ อย่างเช่น สี จิ้นผิง อย่างเช่นประธานาธิบดีจีน หรือไม่? ดังนั้น เพราะฉะนั้น ยูเครนจำเป็นต้องชนะในสงครามนี้”

จีนเคลื่อนไหวตอบโต้ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา บอกว่าพวกเขานั้น “ไม่พอใจอย่างมาก” และได้แสดงออกอย่างจริงจังไปถึงฝ่ายเยอรมนีผ่านช่องทางทางการทูตต่างๆ เรียบร้อยแล้ว

“ความคิดเห็นนี้ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง และล่วงละเมิดศักดิ์ศรีทางการเมืองของจีนอย่างร้ายแรง และเป็นการยั่วยุทางการเมืองอย่างเปิดเผย” เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวระหว่างแถลงสรุปประจำวัน

คณะรัฐมนตรีเยอรมนีให้การอนุมัติแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับจีน ซึ่งเป็นเอกสารความยาว 64 หน้า เมื่อเดือน ก.ค. โดยเน้นย้ำในแผนยุทธศาสตร์ว่า ต้องการรักษาความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนกับจีนต่อไป แต่ขณะเดียวกัน ต้องการลดการพึ่งพาจีนในภาคอุตสาหกรรมสำคัญ ด้วยการสร้างห่วงโซ่อุปทานให้หลากหลายขึ้น เพื่อเป้าหมายคือการลดความเสี่ยง มิใช่การตัดขาดจากห่วงโซ่เศรษฐกิจของจีนเสียทีเดียว

นโยบายใหม่เกี่ยวกับจีนของเยอรมนี เป็นการรักษาสมดุลระหว่าง 2 จุดยืนที่แตกต่างกันภายในรัฐบาลผสม โดยเรียกปักกิ่งเป็นทั้ง “คู่หู คู่แข่งขัน และคู่ปรับในเชิงระบบ”

แบร์บ็อค จากพรรคกรีนส์ ผลักดันให้ใช้แนวทางแข็งกร้าวกับจีน และให้ความสำคัญอย่างยิ่งในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ส่วน ‘โอลาฟ โชลซ์’ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี จากพรรคโซเชียล เดโมแครต สนับสนุนให้ใช้ท่าทีที่เป็นมิตรทางการค้ามากกว่า

9 เรื่องน่าเซ็งใน 'เยอรมนี' ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแบบนี้ จากประสบการณ์ 4 ปี ของคนไทยที่ไปอาศัยจริง

(26 ก.ย. 66) เจ้าของช่องยูทูบชื่อ ‘pattamai’ ได้โพสต์วิดีโอบอกเล่าประสบการณ์การใช้อยู่ที่เยอรมนีตลอด 4 ปี พร้อมระบุถึง ‘ข้อเสีย’ ที่ไม่ชอบในประเทศเยอรมนี ซึ่งได้เน้นย้ำอย่างยิ่งว่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเจอ ทั้งหมด 9 ข้อ ดังนี้…

ข้อ 1 ระบบการแพทย์ แม้ประเทศเยอรมนีจะโดดเด่นในเรื่องการแพทย์ หรือเทคโนโลยีด้านการแพทย์ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ ‘ระบบการแพทย์’ หรือ ‘สาธารณสุข’ ที่แม้ทุกคนจะมีประกันสุขภาพที่สามารถใช้รักษาอาการเจ็บป่วยได้ฟรี แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหนักมาก ๆ คือ การนัดพบแพทย์ เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ของเยอรมนีมีจำนวนน้อย ทำให้การนัดพบแพทย์ใช้เวลารอนาน บางครั้งอาการป่วยเล็กน้อยก็กลายเป็นอาการรุนแรง ปัญหานี้เกิดขึ้นกับทั้งคนเยอรมันและชาวต่างชาติที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้

ข้อ 2 วันอาทิตย์ที่เงียบเหงาในประเทศเยอรมนี คนที่ประเทศนี้จะให้ความสำคัญกับวันอาทิตย์มาก ๆ เพราะถือว่าเป็นหยุดและต้องใช้ชีวิตกับครอบครัว เป็นวันที่ทุกอย่างเงียบสงบจนดูเหงาหงอย และแน่นอนว่านี่คือปัญหา เพราะร้านค้า ห้าง ซูเปอร์มาร์เก็ต ทุก ๆ ที่ปิดหมด ซึ่งเรื่องนี้ไม่สอดรับกับโลกยุคปี 2023 ที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะหยุดวันอาทิตย์ หรือทำงานแค่จันทร์ถึงศุกร์ นี่จึงเป็นปัญหาที่มองเห็นได้ชัดเจน

ข้อ 3 กฎ ข้อห้าม ข้อบังคับถี่ยิบย่อยและละเอียดเกินไป ที่ประเทศเยอรมนีจะมีกฎแปลก ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่า มีกฎข้อนี้ทำไม ยกตัวอย่างเช่น การปั่นจักรยาน เขาจะมีกฎเลยว่า สามารถปั่นจักรยานได้ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง ตรงบริเวณไหนที่ต้องจูงจักรยาน เวลาไหนถึงจะขี่เล่นนี้ได้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การใช้ฟิตเนส ก็มีข้อบังคับเหมือนกัน เช่น หากจะว่ายน้ำก็จะมีกฎระบุว่าเวลากี่โมงถึงกี่โมงเป็นการว่ายน้ำออกกำลังกาย หรือช่วงไหนเป็นการว่ายน้ำชิว ๆ จะมีกฎแบบนี้เยอะมาก ซึ่งคนจำไม่ได้ แต่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่จะจริงจังมาก บางครั้งก็โดนปรับแบบงง ๆ 

ข้อ 4 สังคมเงินสด ที่เยอรมนียังนิยมใช้จ่ายเป็นเงินสด น้อยมาก ๆ ที่จะจ่ายด้วยบัตรหรือการสแกนจ่ายแบบที่ไทย ระบบ banking ที่นี่ช้ามาก ไม่ได้โอนปุ๊บเงินเข้าปั๊บ แต่ต้องรอ 1-2 วันกว่าเงินจะเข้า ซึ่งถือเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับคนที่ไม่มีเงินสด เพราะบางร้านไม่รับโอนจ่าย หรือบัตรเลย ซึ่งสังคมเงินสดนี้เกี่ยวโยงถึงการรักษาความเป็นส่วนตัวด้วย คนเยอรมันยังคงยึดถือเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า หากเราต้องการความสะดวกสบายในการชำระเงินผ่านระบบที่รวดเร็ว เราพร้อมที่จะแลกข้อมูลทางการเงินของเราหรือไม่?

ข้อ 5 อินเทอร์เน็ตที่เยอรมนีช้ามาก เนื่องจากโครงข่ายที่นี่ยังเป็นเคเบิล ไม่ใช่ไฟเบอร์ออปติก จึงทำให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เร็วแรงเหมือนที่ไทยหรือประเทศโซนเอเชีย แม้จะใช้โทรศัพท์ที่รองรับ 5G แต่ก็ไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตแบบรวดเร็วทันใจได้ ส่วนเรื่องไวไฟในที่สาธารณะก็น้อยและช้ามาก ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับยุคดิจิทัลในตอนนี้เลย

ข้อ 6 อาหารในเยอรมนีไม่อร่อย เนื่องจากวัตถุดิบที่เอามาทำอาหารไม่หลากหลาย รสชาติของอาหารไม่หลากหลายเหมือนไทยที่จะมีครบทุกรสชาติ แต่เยอรมนีจะมีแค่เค็ม จืด วนไปมาอยู่แบบนี้ แต่สิ่งที่อร่อยคือขนมปัง

ข้อ 7 รถไฟที่เยอรมนีมาเลท ช้า จริงอยู่ที่รถไฟเยอรมนีเคยเป็นรถไฟที่มาตรงเวลา แต่ปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ตอนนี้รถไฟมาช้า หรือบางทีก็ไม่มาเลย ต้องรอนานมาก ๆ 30 นาทีขึ้นไปก็เคยมีมาแล้ว ดังนั้นใครคิดว่ารถไฟที่นี่ตรงเวลาคือคิดผิด

ข้อ 8 ระบบราชการเยอรมนีช้ามาก เนื่องจากเยอรมนีไม่ค่อยใช้ระบบดิจิทัล หรืออินเทอร์เน็ตในการทำงาน ทุกอย่างจะผ่านการพิมพ์ในกระดาษทั้งหมด ทำให้การติดต่อกับภาครัฐช้าและใช้เวลานานมาก เช่น หากจะต่อวีซ่า ต้องนัดล่วงหน้า 3-4 เดือน หรือบางครั้งอาจจะต้องรอไปอีกเป็น 5-6 เดือนเลย

ข้อ 9 คบคนเยอรมันเป็นเพื่อนยากมาก ชาวต่างชาติที่มาอยู่เยอรมนีและหวังว่าจะมีเพื่อนเป็นคนเยอรมัน ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากคนเยอรมันเขามีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งคือเขาจะคบหรือสนิทอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิม ๆ เช่น เพื่อนที่เรียนมัธยมด้วยกัน คบกันนานมาก ๆ และไม่ค่อยเปิดรับเพื่อนใหม่ ๆ เข้ากลุ่ม ยิ่งเป็นชาวต่างชาติยิ่งยากเลย หลายคนที่มาอยู่ที่นี่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หาเพื่อนเยอรมนียากมาก เหมือนมีกำแพงคั่นตลอด ถึงแม้พวกเราจะคุย เล่น ปาร์ตี้กับเราปกติก็ตาม 

‘เยอรมนี’ แจงปม ‘ยูเครน’ ปฏิเสธรับรถถังรุ่นเก่าล้าสมัยที่ส่งไปให้ เหตุเพราะขาดช่างซ่อมชำนาญ เนื่องจากประเทศไม่มีสงครามมานาน

(27 ก.ย. 66) สำนักข่าวอาร์ทีนิวส์/ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า อาวุธบางส่วนที่เบอร์ลินมอบให้แก่เคียฟ ส่วนหนึ่งในการมอบความช่วยเหลือยูเครนสู้รบกับรัสเซีย อยู่ในสภาพที่แย่ๆ หรือไม่ก็เก่าเก็บล้าสมัย จากการยอมรับของ ‘อันนาเลนา แบร์บ็อค’ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (25 ก.ย.) แบร์บ็อค ยอมรับว่าอาวุธที่ส่งมอบแก่ยูเครนนั้นมีประเด็นปัญหาทางเทคนิคสำคัญๆ และบอกด้วยว่าความพยายามจัดหาอาวุธป้อนแก่เคียฟนั้นยังประสบปัญหาล่าช้าต่างๆ อีกต่างหาก

แบร์บ็อค ยอมรับว่ายูเครนจะไม่ได้รับประโยชน์จากคำสัญญาจัดหาอาวุธ เนื่องจากยังคงดำเนินการไม่ลุล่วง หรือไม่ก็ยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ส่งมอบไปนั้นไม่สามารถใช้งานได้ “ระบบของเราบางส่วนเป็นรุ่นที่เก่ามากๆ และเราเคยบอกตั้งแต่ตอนแรกว่าบางส่วนใช้งานไม่ได้” เธอกล่าว พร้อมอธิบายว่าประเด็นปัญหาดังกล่าวมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า เยอรมนีไม่ได้สู้รบในสงครามหลักๆ หนึ่งใดมานานหลายทศวรรษแล้ว

“ครั้งที่เราส่งมอบบางอย่าง มันจำเป็นต้องใช้งานได้ในภาคสนาม” เธอเน้นย้ำ พร้อมระบุว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมเยอรมนีถึงไม่มอบขีปนาวุธพิสัยไกล Taurus แก่ยูเครน อาวุธที่เธอให้คำจำกัดความว่าล้ำสมัยอย่างที่สุด “มันคืออาวุธใหม่ที่สุดที่เรามี ดังนั้น เราจำเป็นต้องชัดเจนทุกรายละเอียด วิธีการทำงานของมัน ใครที่สามารถใช้งานมันได้ ใช่ มันต้องใช้เวลาสักพัก แต่ครั้งที่เราส่งมอบมัน มันจำเป็นต้องทำงานอย่างได้ผล” เธอกล่าว พร้อมบอกว่าจะใช้การพิจารณาแบบเดียวกันกับอาวุธอื่นๆ ที่ผลิตโดยเยอรมนี

ยูเครนร้องขอขีปนาวุธ Taurus นานหลายเดือนแล้ว ในขณะที่มันมีพิสัยทำการ 500 กิโลเมตรและบรรทุกหัวรบหนัก 500 กิโลกรัม อย่างไรก็ตาม แม้สื่อมวลชนรายงานว่า เยอรมนีกำลังวางรอบการทำงานสำหรับการส่งมอบ แต่แบร์บ็อคแสดงความคิดเห็นอย่างระมัดระวังเมื่อช่วงกลางเดือน ว่า การส่งมอบคงจะยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะว่า “จำเป็นต้องทำงานในทุกรายละเอียดก่อนหน้านั้นเสียก่อน”

เยอรมนีลังเลที่จะจัดหาขีปนาวุธแก่ยูเครน เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลาย หากว่าเคียฟใช้มันโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หนังสือพิมพ์ Der Spiege รายงานอ้างแหล่งข่าววงในระบุว่า ยูเครน ปฏิเสธที่จะรับรถถังรุ่นเก่าล้าสมัย เลพเพิร์ด 1 จำนวน 10 คัน เนื่องจากพวกมันอยู่ในสภาพขาดการบำรุงรักษา ในรายงานข่าวบอกด้วยว่า พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนแจ้งกับฝ่ายเยอรมนี ว่ารถถังเหล่านั้น ซึ่งเดินทางถึงโปแลนด์แล้ว จำเป็นต้องผ่านการซ่อมบำรุงเสียก่อน แล้วถึงจะสามารถส่งเข้าประจำการในแนวหน้า ทว่าพวกเขาไม่มีทั้งบุคลากรซ่อมบำรุงและอะไหล่ที่จะทำเช่นนั้น

รัสเซียกล่าวเตือนตะวันตกซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อการจัดหาอาวุธป้อนแก่ยูเครน โดยชี้ว่ามันรังแต่จะทำให้ความขัดแย้งลากยาว โดยไม่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในท้ายที่สุดใดๆ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top