Saturday, 25 May 2024
เยอรมนี

‘เด็กหมาป่า’ เด็กกำพร้าเยอรมันที่ถูกลืม ผลพวงของสงครามโลกครั้งที่ 2 กับชะตากรรมอันโหดร้ายจากความหิว ความหนาว และการสูญเสียตัวตน

‘เด็กหมาป่า’ (Wolf children) เด็กกำพร้าเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

‘เด็กหมาป่า’ ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเด็กที่เคยอาศัยอยู่กับฝูงหมาป่าตามที่ปรากฏเป็นข่าวอย่างในอินเดีย แต่เป็นเรื่องราวของเด็กกำพร้าเร่ร่อนชาวเยอรมันและชาวเยอรมันเชื้อสายลิทัวเนีย ซึ่งมีอยู่ใน ‘ปรัสเซียตะวันออก’ (‘ปรัสเซีย’ คือชื่อเดิมของ ‘เยอรมนี’ ซึ่งในอดีตมีพื้นที่กว้างขวางกว่าในปัจจุบัน) เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เด็กหมาป่าส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังจากการอพยพของพลเมืองปรัสเซียตะวันออก เพื่อหลบหนีการบุกของ ‘กองทัพแดง’ (สหภาพโซเวียต) เมื่อต้นปี 1945 โดยหลายคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย จึงต้องไปอาศัยอยู่ในป่าของปรัสเซียตะวันออกหรือถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวชาวลิทัวเนีย

การรุกปรัสเซียตะวันออกของกองทัพแดงในช่วงปลายปี 1944 ถึงต้นปี 1945 ทำให้ประชาชนชาวเยอรมันทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กหลายล้านคนต้องอพยพหลบหนี แต่เมื่อผู้ใหญ่จำนวนมากเสียชีวิตหรือบาดเจ็บระหว่างการโจมตีด้วยระเบิด หรือความหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาวที่รุนแรงโดยไม่มีอาหารและที่พักพิง เด็กกำพร้าหลายพันคนจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และต้องหลบหนีเข้าไปในป่าโดยรอบ ถูกบังคับให้ดูแลตัวเองและต้องเผชิญกับการตอบโต้ที่รุนแรง หากถูกทหารโซเวียตจับได้ โดยเด็กโตมักพยายามรวบรวมพี่น้องไว้ด้วยกัน และเอาชีวิตรอดด้วยการค้นหาอาหารและที่พักพิง กลายเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งของพวกเขา

เด็กหมาป่าจำนวนมากเดินทางไปหาอาหารในป่าของลิทัวเนียที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งต่อมาเด็กส่วนหนึ่งได้รับการรับเลี้ยงโดยเกษตรกรชาวลิทัวเนียในชนบท และเรียกพวกเด็กหมาป่าเหล่านี้ว่า ‘Vokietukai’ (เยอรมันตัวน้อย) และมักจะแบ่งปันอาหารและที่พักให้พวกเด็กหมาป่า

เด็กหมาป่าเหล่านี้ส่วนใหญ่เดินทางไปกลับมาหลายครั้ง เพื่อหาอาหารให้แม่หรือพี่น้องที่ป่วย โดยเดินทางไปตามรางรถไฟ บางครั้งก็นั่งบนรถหรือระหว่างตู้รถไฟ และกระโดดลงก่อนถึงสถานีที่ควบคุมโดยโซเวียต หลังทศวรรษ 1990 เด็ก ๆ ถูกเรียกว่าเป็น ‘เด็กหมาป่า’ เพราะพวกเขาใช้ชีวิตเหมือนหมาป่าที่เดินเตร่อยู่ในป่า

เกษตรกรชาวลิทัวเนียที่ขายผลิตภัณฑ์ของตนในเมืองเล็ก ๆ ของปรัสเซียตะวันออกในปี 1946 ได้พากันมองหาเด็กหมาป่าเพื่อให้มาช่วยพวกเขาในการทำงานประจำวัน และด้วยเหตุนี้ เด็กหมาป่าจำนวนมากจึงหลั่งไหลไปยังภูมิภาคบอลติกตะวันออกเป็นประจำ เพื่อรับอาหารแลกกับแรงงานหรือข้าวของต่าง ๆ ที่พวกเขาสามารถหามาได้ เกษตรกรชาวลิทัวเนียรับเลี้ยงเด็กที่อายุน้อยบางส่วน และเด็กหลายคนก็อยู่ในฟาร์มที่ลิทัวเนียเป็นการถาวร ตามการประมาณการคร่าว ๆ มีเด็กเยอรมันราว 45,000 คนอาศัยอยู่ในลิทัวเนียในปี 1948 แต่ไม่ปรากฏสถิติที่แน่นอน

ชาวลิทัวเนียที่ช่วยเหลือเด็ก ๆ ชาวเยอรมันต้องพยายามซ่อนเด็ก ๆ จากทางการโซเวียต เพราะการรับเลี้ยงเด็กเยอรมันนั้นเสี่ยงต่อการถูกลงโทษอย่างรุนแรง หากถูกตรวจพบ โดยพวกเขาได้ทำการเปลี่ยนชื่อของเด็กชาวเยอรมันจำนวนมาก และหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1990 พวกเขาจึงสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ เด็กหมาป่ามากมายได้รับชื่อและนามสกุลใหม่และกลายเป็นชาวลิทัวเนียโดยไม่มีทางเลือก เนื่องจากถูกห้ามไม่ให้เลือกเป็นเยอรมัน ไม่มีรายงานเหตุการณ์ของเด็กหมาป่าในสื่อเลย และเหตุการณ์เหล่านี้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเมื่อปี 1990 หลังจากการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก

คำแถลงอย่างเป็นทางการของรัฐบาลโซเวียตและโปแลนด์ในขณะนั้นคือ “ไม่มีชาวเยอรมันในพื้นที่เหล่านี้ และนี่เป็นตำแหน่งอย่างเป็นทางการของพวกเขาตั้งแต่ต้นตาม ‘ข้อตกลงพ็อทซ์ดัม’ (Potsdam Declaration) ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488”

ต่อมา ‘Ruth Kibelka’ เด็กหมาป่าคนหนึ่งได้ทำการค้นคว้าและตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับ ‘Wolfkinder’ ซึ่งมีบันทึกทางประวัติศาสตร์บางส่วนที่เด็กหมาป่าหลายคนจากปรัสเซียตะวันออกได้มอบให้ โดยบรรยายว่า ครอบครัวของพวกเขาถูกกดดันโดยกองกำลังโซเวียตที่กำลังรุกคืบในขณะที่พวกเขาพยายามหลบหนี พวกเขาถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิดในปรัสเซียตะวันออก และพบว่าบ้านของพวกเขาถูกทำลายจนเสียหายหมด บางคนถูกไล่ออกจากบ้าน และบางคนก็เสียชีวิตจากความอดอยาก เจ็บป่วย และเป็นไข้ไทฟอยด์ เด็กกำพร้าต้องหาทางเอาชีวิตรอดจนกลายเป็นเด็กหมาป่า

เด็กหมาป่าหลายร้อยคนถูกค้นพบในลิทัวเนียหลังจากที่แยกตัวออกจากรัสเซีย ปัจจุบันมีเด็กหมาป่าเกือบ 100 คนที่ยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา เหล่าเด็กหมาป่าได้ต่อสู้เพื่อสัญชาติเยอรมันของพวกเขา โดยพวกเขามีสมาคมของตัวเอง แต่สำนักงานบริหารกลางภายในกระทรวงมหาดไทยของเยอรมนี ยึดถือแนวคิดที่ว่า “บุคคลที่ออกจากดินแดน ‘Königsberg’ (ปรัสเซียตะวันออกเดิม ปัจจุบันคือ ‘Kaliningrád’ ของรัสเซีย) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ได้สละสัญชาติเยอรมันของตนแล้ว”

นับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต บรรดาเด็กหมาป่าได้เดินทางไปค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขา เพื่อกลับคืนมาเป็นชาวเยอรมันอีกครั้ง สภากาชาดเยอรมันช่วยค้นหาและระบุสมาชิกในครอบครัวของเด็กหมาป่าที่ขาดการติดต่อระหว่างกัน นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ชะตากรรมของผู้สูญหายอีกประมาณ 200,000 คนได้รับการชี้แจงแล้ว แต่ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวเยอรมันที่ถูกจับเข้าคุกและเสียชีวิตยังคงไม่ได้รับการเปิดเผย ปัจจุบันรัฐบาลเยอรมันได้ให้ความสนใจและให้ความสนับสนุนในการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของเด็กหมาป่ามากขึ้น เพื่อให้คนเหล่านี้ได้รับสัญชาติเยอรมันกลับคืน

เด็กกำพร้าชาวญี่ปุ่นที่ถูกทิ้งไว้ในจีน : หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เด็กกำพร้าชาวญี่ปุ่นในประเทศจีนส่วนใหญ่ถูกครอบครัวชาวญี่ปุ่นทิ้งไว้ หลังจากการส่งชาวญี่ปุ่นออกจากหูหลู่เต่า ตามตัวเลขของรัฐบาลจีนเด็กชาวญี่ปุ่นประมาณ 4,000 คนถูกทิ้งไว้ข้างหลังในจีน หลังสงคราม เด็กชาวญี่ปุ่น 90% ในมองโกเลียในและจีนตะวันออกเฉียงเหนือ (แมนจูกัวในขณะนั้น) ถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวชาวจีนในชนบท

ในปี 1980 เด็กกำพร้าเริ่มเดินทางกลับไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพวกเขา แต่กลับต้องเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติ เนื่องจากพวกเขาขาดทักษะภาษาญี่ปุ่น และประสบปัญหาในการหางานที่มั่นคงทำ

ณ เดือนสิงหาคม 2004 มีเด็กกำพร้าญี่ปุ่นที่เติบโตในจีนจำนวน 2,476 คน ได้ตั้งถิ่นฐานในญี่ปุ่น ตามตัวเลขของกระทรวงแรงงานของญี่ปุ่น พวกเขาได้รับเงินรายเดือนจำนวน 20,000-30,000 เยนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ในปี 2003 มีเด็กกำพร้า 612 คนยื่นฟ้องรัฐบาลญี่ปุ่น โดยอ้างว่ารัฐบาลญี่ปุ่นต้องรับผิดชอบต่อการที่พวกเขาถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โจทก์แต่ละคนขอเงินจำนวน 33 ล้านเยน

นอกจากเด็กกำพร้าแล้ว ยังมีผู้หญิงชาวญี่ปุ่นส่วนหนึ่งก็ถูกทิ้งไว้ในจีนอีกด้วย ผู้หญิงญี่ปุ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ต่อมาได้แต่งงานกับชายชาวจีน และกลายเป็นที่รู้จักในนาม ‘ภรรยาที่ตกค้างในสงคราม’ เนื่องจากพวกเขามีลูกกับผู้ชายชาวจีน ผู้หญิงเหล่านี้จึงไม่ได้รับอนุญาตให้พาครอบครัวชาวจีนของพวกเธอ กลับมาอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นเหมือนผู้ชายญี่ปุ่นที่สามารถพาภรรยาต่างชาติกลับญี่ปุ่นพร้อมกับพวกเขาได้ ทำให้ส่วนใหญ่ยังคงต้องตกค้างอยู่ในจีน เนื่องจากญี่ปุ่นมีกฎหมายที่อนุญาตให้เฉพาะเด็กที่มีพ่อเป็นชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่จะสามารถขอสมัครเพื่อเป็นพลเมืองของญี่ปุ่นได้

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘เยอรมนี’ เปลี่ยนท่าทีถอยห่าง ‘อิสราเอล’ วอน!! ให้ปกป้องชีวิตพลเรือนปาเลสไตน์

(13 ธ.ค.66) ‘เยอรมนี’ หวังว่า ‘อิสราเอล’ จะปรับยุทธวิธีทางทหาร หาทางป้องกันความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับพลเรือนปาเลสไตน์ได้ดีกว่าเดิม” ความเห็นจากรัฐมนตรีต่างประเทศ ‘อันนาเลนา แบร์บ็อค’ (Annalena Charlotte Alma Baerbock) เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา 

คำพูดดังกล่าวถือเป็นการสะท้อนต่อการปรับเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อยของเบอร์ลิน จากเดิมจุดยืนที่ผ่านมา เยอรมนี ออกมาปกป้องอย่างหนักแน่นต่อสิทธิของอิสราเอล ในการป้องกันตนเอง นับตั้งแต่ถูกพวกนักรบฮามาสโจมตีนองเลือดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม โดยเน้นย้ำว่า พวกเขามีหน้าที่ยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอล เพื่อไถ่โทษต่อกรณีกระทำผิดในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (Holocaust) ซึ่งพบเห็นชาวยิวมากกว่า 6 ล้านคนถูกสังหารโดยนาซีเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนภายหลังรัฐบาลเยอรมนีก็ถูกกล่าวหาต่างๆ นานา ซึ่งในนั้นรวมถึงพลเรือนชาวยิวคนดังที่พำนักอยู่ในเยอรมนีเอง ต่อกรณีให้สัญญาณผิดๆ เปิดทางให้อิสราเอลปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ ซึ่งก่อวิกฤตด้านมนุษยธรรมในกาซาด้วย

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนตอนนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเยอรมนี ต่างหันมาส่งเสียงเน้นย้ำดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงความจำเป็นที่อิสราเอลต้องยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ ในการตอบโต้การโจมตีของพวกฮามาส แต่ส่วนใหญ่แล้วยังคงหลีกเลี่ยงวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาต่อพฤติกรรมต่างๆ นานาของอิสราเอลในฉนวนกาซา ดินแดนของปาเลสไตน์

โดยท่าทีที่ว่านี้ถือเป็นการเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว “เราคาดหมายอิสราเอล จะเปิดทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางตอนเหนือ เพื่อรับประกันว่าปฏิบัติการทางทหารของพวกเขา จะเจาะจงเป้าหมายมากกว่าเดิมและก่อความสูญเสียแก่พลเรือนน้อยลง" รัฐมนตรีเยอรมนีรายนี้กล่าวระหว่างแถลงข่าวในดูไบ รอบนอกการประชุมโลกร้อนของสหประชาชาติ

ทั้งนี้ พลเรือนส่วนใหญ่จากประชากรทั้งหมด 2.3 ล้านคนของกาซา ต้องหลบหนีออกจากบ้านพักอาศัย และพวกชาวบ้านบอกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ที่จะหาที่หลบภัยในฉนวน ที่มีพลเรือนพลุกพล่านแห่งนี้ ในขณะที่ความขัดแย้งหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ได้สังหารผู้คนในกาซาไปแล้วกว่า 18,000 ราย

ขณะที่ด้าน โอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยเรียกร้องให้ อิสราเอล เปิดทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เข้าสู่กาซาเพิ่มเติม และประณามการใช้ความรุนแรงของพวกผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวในเวสต์แบงก์ ในนั้นรวมถึงระหว่างที่เขาพูดคุยทางโทรศัพท์กับ เบนจามิน เนทันยาฮู เมื่อวันเสาร์ (9ธ.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่กระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี แสดงความยินดีในกรณีที่สหรัฐฯ กำหนดมาตรการคว่ำบาตรพวกผู้ตั้งถิ่นฐานอิสราเอลจำนวนหนึ่ง ต่อเหตุโจมตีชาวปาเลสไตน์ ในดินแดนยึดครองเวสต์แบงก์ และเรียกร้องให้อียู ทำการพิจารณาออกมาตรการคว่ำบาตรแบบเดียวกัน

‘4 ชาติยุโรป’ ยกระดับความปลอดภัยช่วง ‘คริสต์มาส-ปีใหม่’ หวั่น!! ภัยคุกคามจากก่อการร้าย หลังพบความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

หลายชาติในยุโรปตรึงมาตรการการรักษาความปลอดภัยเข้มในช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่ เนื่องจากหวั่นภัยก่อการร้าย หลังพบความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และเกิดเหตุทำร้ายชาวยุโรปในกรุงปารีสก่อนหน้านี้ 

(25 ธ.ค.66) ก่อนหน้านี้มีการรายงานว่า สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ส่งผลให้ยุโรปเสี่ยงภัยก่อการร้ายมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปก็ตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าวและได้หารือถึงการยกระดับการรักษาความปลอดภัย

ต่อมามติชนรายงานว่า ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย และสเปน เป็นหนึ่งในชาติยุโรปที่เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มข้นขึ้นรับช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ท่ามกลางความกังวลเรื่องภัยคุกคามจากการก่อการร้าย 

ที่ฝรั่งเศส นายเฌราลด์ ดาร์มาแนง รัฐมนตรีมหาดไทยโพสต์บน X เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม สั่งการให้ตำรวจและสารวัตรทหารเพิ่มการรักษาการณ์ตามโบสถ์ต่างๆ ทั่วประเทศ “เพื่อปกป้องชาวคริสเตียนที่จะมาร่วมเฉลิมฉลองคริสมาสต์ในเย็นวันนี้และเช้าวันพรุ่งนี้”

ขณะที่ทางการเยอรมนีได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้นบริเวณมหาวิหารเมืองโคโลญ โดยนายไมเคิล เอสเซอร์ ผู้บัญชาการตำรวจเมืองโคโลญจ์ แถลงว่า ตำรวจจะทำทุกอย่างเพื่อรับรองความปลอดภัย โดยผู้ที่เดินทางมายังโบสถ์ทุกคนจะถูกตำรวจค้นอย่างเข้มข้น

ทั้งนี้ ตำรวจพร้อมสุนัขดมกลิ่มได้ตรวจค้นหา หลังจากมีรายงานกลุ่มติดอาวุธอิสลามิกมีแผนที่จะก่อเหตุโจมตีโบสถ์ในช่วงวันคริสต์มาสอีฟ หรือช่วงปีใหม่

ที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ตำรวจได้เพิ่มการวางกำลังรักษาความปลอดภัยช่วงฉลองเทศกาลคริสต์ โดยตำรวจออสเตรีย ระบุว่า ในขณะที่ผู้ก่อการร้ายทั่วยุโรปเรียกร้องให้มีการโจมตีงานฉลองของชาวคริสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราววันที่ 24 ธันวาคม เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจึงได้เพิ่มมาตรการป้องกันที่สอดคล้องในพื้นที่สาธารณะในกรุงเวียนนาและรัฐต่างๆ

นอกจากนี้ มีรายงานว่า ตำรวจออสเตรียได้จับกุมผู้ต้องสงสัย 4 คน ที่ต้องสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกองกำลังรัฐอิสลามแห่งโคราซาน ซึ่งแตกหน่อมาจากกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง

ปิดตำนาน 'เบคเคนเบาเออร์' แข้งเทพแห่งเมืองเบียร์ในวัย 78 ผู้คว้าแชมป์บอลโลกในฐานะ 'นักเตะ-โค้ช' คนที่ 2 ของโลก

(9 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาครอบครัวเบ็คเคนเบาเออร์ เผยข้อความผ่าน ‘ดีพีเอ’ สำนักข่าวชื่อดัง ว่า “เรามีความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่จะประกาศให้ทราบว่า ฟรานซ์ เบคเคนเบาเออร์ เสียชีวิตลงแล้วด้วยอาการสงบ เมื่อวานนี้ (วันอาทิตย์) โดยมีสมาชิกครอบครัวอยู่ดูใจ และในช่วงเวลานี้ เราอยากขอร้องทุกท่านให้เราได้อยู่กับความเศร้าครั้งนี้ด้วยความสงบ และของดตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น”

สำหรับ ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ถูกยกย่องให้เป็นตำนานของวงการลูกหนังเยอรมนี ลงสนามให้อินทรีเหล็กไป 103 นัด เคยพาเยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย ในปี 1974 ในฐานะกัปตันทีม แชมป์ยูโรเปียน แชมเปียนชิพ หรือฟุตบอลยูโร 1 สมัย ในปี 1972 ก่อนจะแขวนสตั๊ดแล้วผันตัวมาเป็นกุนซือ พาเยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย ในปี 1990 กลายเป็นคนที่ 2 ของโลกที่คว้าแชมป์ทั้งในฐานะนักฟุตบอลและโค้ช ต่อจาก มาริโอ ซากัลโล ของบราซิล

ในส่วนของสโมสร ‘ไกเซอร์ฟรานซ์’ ลงสนามให้ ‘เสือใต้’ บาเยิร์น มิวนิค 582 นัด พาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ หรือยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มาครองถึง 3 สมัยติดต่อกัน ในช่วงระหว่างปี 1973/74, 1974/75 และ 1975/76 คว้าแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมนี 4 สมัย ก่อนโยกไปค้าแข้งกับ นิวยอร์ก คอสมอส ในสหรัฐฯ ร่วมทีมกับ เปเล ตำนานดาวเตะทีมชาติบราซิลผู้ล่วงลับ ย้ายมาฮัมบูร์กในช่วงสั้นๆ ก่อนไปแขวนสตั๊ดกับ นิวยอร์ก คอสมอส อีกครั้งในปี 1983

‘นายกฯ เศรษฐา’ เตรียมต้อนรับ ‘ปธน.เยอรมนี’ 24-26 ม.ค.นี้ หารือทวิภาคี ผลักดันความร่วมมือ 'ไทย-เยอรมนี' ในทุกมิติ

(23 ม.ค. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมให้การต้อนรับและหารือทวิภาคีกับ ดร.ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ (H.E. Dr. Frank-Walter Steinmeier) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในห้วงการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2567 ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะให้การต้อนรับประธานาธิบดีเยอรมนีฯ ภริยา และคณะ อย่างเป็นทางการ ในวันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดพบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีเยอรมนีฯ พร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน พร้อมทั้งร่วมหารือร่วมกับภาคเอกชนของเยอรมนี หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเยอรมนีฯ จะร่วมแถลงข่าว และภายหลังเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีเยอรมนีฯ และภริยา พร้อมด้วยคณะผู้แทนเยอรมนี

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเยือนในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับเยอรมนีให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยประธานาธิบดีเยอรมนีฯ พร้อมคณะ จะเดินทางไปศึกษาดูงานในหลายภาคส่วนที่มีศักยภาพของไทย อาทิ โรงงานผลิตรถยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำไฮบริด โครงการผลิตข้าวที่ยั่งยืนแบบครบวงจร อุทยานแห่งชาติผาแต้ม และพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน พลังงาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอาชีวศึกษา

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การเยือนในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสที่สำคัญของไทยและเยอรมนี ในการเสริมสร้างความเป็นพันธมิตร ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติให้มีความก้าวหน้า บนพื้นฐานของค่านิยมและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ตลอดจนส่งเสริมภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของไทยในเวทีระหว่างประเทศ” นายชัย กล่าว

อนึ่ง การเยือนในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ ประธานาธิบดีฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง และเป็นการเยือนประเทศไทยในระดับประธานาธิบดีของเยอรมนีเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี นับตั้งแต่การเยือนของประธานาธิบดีโยฮันเนส เรา เมื่อปี 2545 นอกจากนี้ การเยือนในครั้งนี้ ยังถือเป็นการต้อนรับผู้นำรัฐจากต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน

‘Intel’ เตรียมตั้งโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ในเยอรมนี ผลิตชิปขนาด 1.5 nm แม่นยำ-ก้าวหน้าที่สุดในโลก

(23 ม.ค. 67) Pat Gelsinger CEO ของ Intel ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่าโรงงานที่ Intel กำลังสร้างในเมือง Madeburg ประเทศเยอรมนี จะเป็นโรงงานที่มีกระบวนการผลิตชิปก้าวหน้าที่สุดในโลกเมื่อสร้างเสร็จ ผลิตชิปที่ความแม่นยำระดับ 1.5 นาโนเมตร ซึ่งไปไกลกว่ากระบวนการผลิตชิป 18A (sub-2nm) ของ Intel ที่เคยประกาศเอาไว้

Gelsinger ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของกระบวนการผลิตชิปยุคถัดจาก 18A ในตอนนี้ (เคยมีข่าวลือว่ามันจะเรียก 16A หรือ 14A) แต่ถ้าแผนการของอินเทลเป็นไปตามที่คิด โรงงานแห่งนี้จะทำให้ยุโรปกลายเป็นจุดผลิตชิปที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี

สิ่งสำคัญคือ Intel มุ่งมั่นที่จะนำการผลิตระดับแนวหน้ามาสู่ยุโรป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ปัจจุบัน Fab 34 ของ Intel ใกล้กับเมือง Leixlip ประเทศไอร์แลนด์ กำลังผลิตชิปบนเทคโนโลยีการประมวลผลระดับ 4 นาโนเมตรของ Intel และคาดว่าจะเริ่มสร้างโปรเซสเซอร์ระดับ 3 นาโนเมตรของ Intel ในไตรมาสต่อ ๆ ไป

แม้ว่าตอนนี้ Intel 4 และ Intel 3 จะเป็นโหนดที่ทันสมัยที่สุดของบริษัท แต่ก็ยังตามหลัง N3 (ระดับ 3 นาโนเมตร) ของ TSMC ในทางตรงกันข้าม Intel คาดหวังว่า 18A และผู้สืบทอดจะเป็นผู้นำอุตสาหกรรมต่อไป

ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เสียชีวิตบนเครื่อง  หลังไอ-มีเลือดออกจำนวนมาก จาก ‘ปาก-จมูก’

(11 ก.พ.67) จากเพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้โพสต์เนื้อหากรณี ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เสียชีวิตบนเครื่อง ด้วยอาการไอ มีเลือดออกจำนวนมากจากปากและจมูกเป็นลิตร จนกระเด็นเลอะที่นั่ง ผนัง และพื้นที่โดยรอบ

‘ลุฟท์ฮันซา’ (Lufthansa) เที่ยวบิน LH773 แอร์บัส A380 จากกรุงเทพฯ ไปมิวนิก ประเทศเยอรมนี โดยเที่ยวบินได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 23.40 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา

***จากคำบอกเล่าจากผู้เห็นเหตุการณ์ และนั่งใกล้ผู้โดยสาร (ชั้นประหยัดพรีเมียม)

“ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เดินทางมากับภรรยาชาวฟิลิปปินส์ โดยชายวัย 63 ปีรายนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะป่วย มีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก (Cold Sweats) และเขาหอบหายใจเร็วมาก” คู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลังและลูกเรือเล่า อีกทั้งพวกเขาได้สอบถามอาการจากภรรยาชาวฟิลิปปินส์ และได้คำตอบว่า “อาจเพราะเหนื่อยจากการเร่งรีบ เพื่อวิ่งมาขึ้นเครื่องบิน”

ทั้งนี้ คู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลัง ซึ่งเป็นฝ่ายหญิงนั้นเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพยาบาล ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซูริค เธอมองว่าอาการชายวัย 63 ไม่ดีขึ้น จึงแจ้งลูกเรือว่า เขาจำเป็นต้องได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างเร่งด่วน และผู้โดยสารคนอื่นๆ ยังพยายามให้ความช่วยเหลืออีกด้วย

กัปตันได้ประกาศหาแพทย์บนเที่ยวบิน ต่อมา แพทย์ชายชาวโปแลนด์วัยประมาณ 30 ปี (ภาษาอังกฤษไม่คล่อง) บนเครื่องบิน ได้มาดูอาการ โดยแพทย์ถามผู้ป่วยเพียงสั้นๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรและสัมผัสชีพจร จากนั้นแพทย์บอกว่า เขาโอเค เขาสบายดี 

จากนั้น ลูกเรือได้เสิร์ฟ ‘ชาคาโมมายล์’ (ชาดอกไม้) ให้ผู้ป่วย แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที เขากลับไอ และกระอักเลือดพุ่งออกมาใส่ถุงที่ภรรยาเตรียมไว้รองน้ำลาย จนมีเลือดไหลออกมาทั้
ทางปากและจมูก

ผู้โดยสารบนเครื่องที่เห็นเหตุการณ์ต่างกรีดร้อง และตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

จากคำบอกเล่าคู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลัง บอกว่าชายวัย 63 ปีรายนี้ เสียเลือดเป็นลิตร เลือดของเขาได้กระเด็นเลอะผนังเครื่องบินและบริเวณโดยรอบนั้น

ลูกเรือพยายามช่วยเหลือชายคนดังกล่าวด้วยการทำ CPR ประมาณ 30 นาที แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้…

ต่อมา กัปตันประกาศแจ้งการเสียชีวิตให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ทราบ ภายใต้บรรยากาศบนเที่ยวบินขณะนั้นที่เงียบสงัด

ลูกเรือได้นำร่างของชายวัย 63 ปี ไปเก็บไว้ในส่วนห้องครัวของเครื่องบิน และกัปตันได้นำเครื่องบินวนกลับกรุงเทพฯ ประเทศไทยในทันที

ข้อมูลเที่ยวบินระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าว ได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 23.50 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ. และเดินทางกลับถึงประเทศไทย เวลา 02.35  น. ของวันศุกร์ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา

***ผู้โดยสารคนอื่นๆ ร้องเรียนว่า พวกเขาต้องรอนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยไม่มีคำแนะนำใดๆ จากสายการบินลุฟท์ฮันซาเลย และต่อมาได้ถูกจองเที่ยวบินอื่นให้เดินทางไปยังเยอรมนี โดยต้องแวะพักที่ฮ่องกง

ด้านภรรยาชาวฟิลิปปินส์ของชายผู้เสียชีวิต ได้อยู่ที่สนามบินในกรุงเทพฯ เพื่อดำเนินการในเรื่องต่างๆ ต่อ เพียงลำพัง

อย่างไรก็ตาม ข่าวต้นทางไม่ได้เปิดเผยชื่อและอาการของโรคของผู้โดยสาร

ภาพจาก : Blick

‘ไมโครซอฟท์’ เดินหน้าขยายความเป็นผู้นำโลกด้านการแข่งขัน จ่อลงทุน 'โครงสร้างพื้นฐาน AI' ใน ‘เยอรมนี’ 1.24 แสนล้านบาท

(16 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เปิดเผยแผนการลงทุนระยะ 2 ปี มูลค่า 3.2 พันล้านยูโร (ราว 1.24 แสนล้านบาท) เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในเยอรมนี ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของไมโครซอฟท์ในประเทศนี้

ไมโครซอฟท์จะขยายภูมิภาคคลาวด์ที่มีอยู่ในแฟรงก์เฟิร์ต อัมไมน์ ของรัฐเฮสส์ และเพิ่มขีดความสามารถด้านคลาวด์ในนอร์ธ ไรน์-เวสต์ฟาเรีย มากกว่าสองเท่า ผ่านโครงสร้างพื้นฐานใหม่ พร้อมกับวางแผนฝึกอบรมทักษะทางดิจิทัลแก่ประชาชนในเยอรมนีมากกว่า 1.2 ล้านคนภายในสิ้นปี 2025

ด้าน แบรด สมิธ รองประธานและประธานของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า ไมโครซอฟท์อยากทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีได้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเดินหน้าขยายความเป็นผู้นำโลกในด้านความสามารถทางการแข่งขัน โดยความต้องการปัญญาประดิษฐ์เพิ่มขึ้นในภาคส่วนสำคัญอย่างการผลิต ยานยนต์ และเภสัชภัณฑ์

โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า การลงทุนมูลค่านับพันล้านยูโรของไมโครซอฟท์ถือเป็นข่าวดีมากสำหรับเยอรมนี โดยโครงการดังกล่าวสะท้อนว่าเยอรมนีมีทำเลที่ตั้งอันน่าดึงดูดใจและได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุน

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อสิ้นปี 2023 รัฐบาลเยอรมนีประกาศการลงทุนด้านการวิจัย พัฒนา และประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ มูลค่า 1.6 พันล้านยูโร (ราว 6.22 หมื่นล้านบาท) ภายในปี 2025
ไมโครซอฟท์เสริมว่าบริษัทเยอรมนีชื่อดังหลายแห่ง เช่น ซีเมนส์ ไบเออร์ และคอมเมิร์ซแบงก์ กำลังใช้งานแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ของไมโครซอฟท์แล้ว

ผลสำรวจจากบิตคอม (Bitkom) สมาคมดิจิทัล พบว่าชาวเยอรมนีส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าปัญญาประดิษฐ์จะเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างชัดเจนภายในไม่กี่ปีข้างหน้า และมีทัศนคติเปิดกว้างต่อปัญญาประดิษฐ์ในหลายด้าน ซึ่งรวมถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์

'เศรษฐา' เยือน!! 'เยอรมนี' ใต้อุณหภูมิ 2 องศา หยอดหวาน 'ผ้าขาวม้าร้อยเอ็ด' ช่วยให้อบอุ่น

(7 มี.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่าน X หรือทวิตเตอร์ ภายหลังเดินทางถึงสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระบุว่า “เดินทางถึงเยอรมันแล้วครับ ลงเครื่องมาอุณหภูมิอยู่ที่ 2 องศา ได้ผ้าขาวม้าสวย ๆ จากพี่น้องชาวร้อยเอ็ดนี่แหละครับช่วยให้อบอุ่น”

“วันนี้ผมมีภารกิจที่กรุงเบอร์ลินช่วงสั้น ๆ คือการเข้าร่วมงาน ITB Berlin 2024 งานแสดงสินค้าด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดในเดือนมีนาคมของทุกปี พร้อมพบผู้บริหารบริษัทเอกชนของเยอรมนี ก่อนจะเดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐฝรั่งเศสครับ” นายเศรษฐา ระบุ

‘Volkswagen’ พ่าย 'BYD' รถยนต์ขายดีในจีน แต่ยังครองแชมป์ 'แบรนด์รถยนต์ต่างชาติ’ ยอดนิยม

แม้ว่าปี 2023 ที่ผ่านมาจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ Volkswagen ไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในจีนแล้วก็ตาม และยังต้องสูญเสียตำแหน่งนี้ให้กับ BYD แบรนด์รถยนต์ของจีนเอง แต่ Volkswagen ก็ยังคงเป็นแบรนด์รถยนต์ต่างชาติอันดับหนึ่งของจีน โดยยอดขายทิ้งห่าง Toyota แบรนด์รถยนต์ต่างชาติอันดับสองถึงกว่า 500,000 คัน และหากรวมเอายอดขายของ Audi แบรนด์รถยนต์ต่างชาติในเครือของ Volkswagen แล้วยอดขายของสองแบรนด์รถยนต์จะพุ่งขึ้นเฉียดสามล้านคัน ยังไม่รวมแบรนด์รถยนต์อื่น ๆ ภายใต้ Volkswagen Group China อันได้แก่ Škoda , Bentley และ Lamborghini ซึ่งจะทำให้ยอดขายโดยรวมมากกว่าสามล้านคันเลยทีเดียว

28 มีนาคม 1937 'Gesellschaft zur Vorbereitung des Deutschen Volkswagens GmbH' ก่อตั้งขึ้นในประเทศเยอรมนี ต่อมาในวันที่ 16 กันยายน 1938 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น 'Volkswagenwerk GmbH' ปัจจุบัน Volkswagen เป็นบริษัทรถยนต์นานาชาติรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งผลิตและจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลก บริษัทเยอรมันแห่งนี้เป็นเจ้าของรถยนต์แบรนด์ดังระดับโลกหลายยี่ห้อ เช่น Audi, Skoda, Lamborghini, Bentley, Porsche, Bugatti, Seat และ Scania

ในจีน Volkswagen ดำเนินการภายใต้บริษัท Volkswagen Group China โดยตลาดรถยนต์จีนเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของ Volkswagen โดยคิดเป็นประมาณ 50% ของยอดขายทั่วโลกของ Volkswagen การดำเนินงานของ Volkswagen ในประเทศจีน ได้แก่ การผลิต การขาย และการบริการรถยนต์ทั้งคัน ชิ้นส่วนและส่วนประกอบ เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง และ จำหน่ายและบริการรถยนต์นำเข้า ยานพาหนะที่ผลิตในประเทศและนำเข้าของบริษัทจำหน่ายภายใต้ชื่อแบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศจีน โดย Volkswagen Group China เป็นบริษัทร่วมทุนระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด และประสบความสำเร็จมากที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน บริษัทเริ่มเข้ามาบุกเบิกในจีนตั้งแต่ช่วงต้นปี 1978 และเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ของจีนมายาวนานหลายทศวรรษ จีนเป็นตลาดเดียวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ Volkswagen 

การเข้าสู่ประเทศจีนของ Volkswagen เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 1985 เมื่อก่อตั้ง Shanghai Volkswagen โรงงานแห่งแรกในเซี่ยงไฮ้ เป็นบริษัทร่วมทุน โดยจีนและเยอรมนีต่างถือครองเงินลงทุนเริ่มแรกฝ่ายละครึ่ง ปัจจุบันเป็นฐานการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ภายใต้แบรนด์หลักสองแบรนด์ Volkswagen และ Skoda ครอบคลุม ตลาด A0, A, B และ SUV แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทผลิตรถยนต์ต่างประเทศรายอื่น อาทิ Santana Motor บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติสเปน และแน่นอนในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับคู่แข่งซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ท้องถิ่น เช่น BYD (ซึ่งสามารถแซงหน้า Volkswagen ได้แล้ว) Geely หรือ Changan ฯลฯ

แม้ว่าตลาดรถยนต์ของจีนอยู่ในช่วงการเติบโตที่ลดลง สืบเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง และกำลังเริ่มฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตที่สูงของตลาดรถ SUV (Sport Utility Vehicle) ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์หลายราย ตั้งแต่ปี 2013 ถึง 2017 ยอดขายรถ SUV เติบโตอย่างรวดเร็วในจีน โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 27% ส่วนแบ่งของ SUV ในตลาดจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดขายรถยนต์ SUV รุ่น Teramont และ Phideon ของ Volkswagen สะท้อนถึงแนวโน้มสำคัญในตลาดรถยนต์จีน Teramont ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถยนต์ SUV ปัจจุบันรถยนต์จดทะเบียนใหม่ในจีนประมาณ 40% เป็นรถยนต์ SUV และตัวเลขดังกล่าวก็กำลังเพิ่มขึ้น เฉพาะแบรนด์ Volkswagen เพียงแบรนด์เดียวก็มีรถยนต์ SUV มากกว่า 10 รุ่นในตลาด SUV ภายในสิ้นปี 2020 ในปี 2018 มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่น Tharu, Tayron, Touareg และ T-Roc ในปี 2564 Volkswagen ได้ลงทุนมากกว่า 4.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มรถ SUV ให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้

ปัจจุบันจีนมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำเทรนด์ของโลกและเป็นตลาดด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60 ของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลกในปี 2018 และมียอดขายรถยนต์โดยสารระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าประมาณหนึ่งล้านคันในจีน โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 50% ในปี 2019 รัฐบาลจีนให้ความสนใจอย่างมากต่อรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ในปี 2020 ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยของยานพาหนะอยู่ที่ 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เพื่อพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น รัฐบาลจีนจึงกำหนดโควตารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้บริษัทผู้ผลิตในจีนที่ขายรถยนต์มากกว่า 30,000 คันในจีนต้องผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 10% 

Volkswagen กับตลาดรถยนต์สีเขียวของจีน โดย Volkswagen Anhui (ชื่อเดิม JAC-Volkswagen) เป็นการร่วมทุนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ระหว่าง JAC Motors กับ Volkswagen ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเหอเฟย มณฑลอานฮุย โดยเริ่มแรกเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้ แบรนด์ SEAT และต่อมาคือแบรนด์ Sehol ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Volkswagen Anhui หลังจากที่ Volkswagen เข้าถือหุ้นใหญ่ (75%) ในบริษัทในปี 2020 พร้อมกับถือหุ้น 50% ใน JAG (บริษัทแม่ของ JAC) ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของในข้อตกลงมูลค่าหนึ่งพันล้านยูโร บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้า โดยมีศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา e-Mobility ที่จะให้บริการแก่ Volkswagen Group ทั้งหมดในประเทศจีน Volkswagen กำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม MEB ของ Volkswagenโดยมีกำลังการผลิต 350,000 คันต่อปีภายใต้บริษัท ควบคู่ไปกับโรงงานระบบแบตเตอรี่ภายใต้บริษัท VW Anhui Components ที่ถือหุ้นทั้งหมด 

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2023 Volkswagen ได้ประกาศการลงทุนเพิ่มอีก 23.1 พันล้านหยวน (3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ใน Volkswagen Anhui ซึ่งประกอบด้วย 14.1 พันล้านหยวนสำหรับศูนย์วิจัยและพัฒนา และเกือบ 9.1 พันล้านหยวนในระยะแรกของฐานการผลิตในเหอเฟย ทั้งนี้ในเดือนเมษายน ปี 2023 Volkswagen ได้ประกาศการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านยูโร (1.1 พันล้านดอลลาร์) ในศูนย์กลางแห่งใหม่ของจีนที่เรียกว่า 100% TechCo เพื่อการพัฒนา นวัตกรรม และการจัดหารถยนต์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่ออย่างเต็มรูปแบบ โรงงานดังกล่าวจะตั้งอยู่ในเมืองเหอเฟย ใกล้กับ Volkswagen Anhui ด้วยจำนวนพนักงาน 2,000 คน โดย Volkswagen มีแผนที่จะผสานการวิจัยและพัฒนายานยนต์และส่วนประกอบเข้ากับการจัดซื้อ ซึ่งจะทำให้วงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่สั้นลงประมาณ 30% คาดว่าจะ "มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโมเดลแบรนด์ Volkswagen ในอนาคตที่จะเปิดตัวในปี 2567

หลายสิบปีมาแล้วที่ Volkswagen เป็นรถ Taxi ยอดนิยมในจีน

กลับมาดูบ้านเราแม้จะเป็นฐานการผลิตของรถยนต์มากมายหลายแบรนด์ทั้งค่ายตะวันตกและตะวันออก ทั้งมีโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศรองรับเป็นจำนวนมาก และแนวโน้มรถยนต์ของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากพลังงานสันปดาบมาเป็นพลังไฟฟ้าแล้ว แต่จนทุกวันนี้บ้านเราก็ยังไม่มีวี่แววที่จะได้เห็นแบรนด์รถยนต์แห่งชาติเลย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าที่สุดแล้วจะมีนักลงทุนชาวไทยได้คิดที่จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แบรนด์ไทยให้ได้ใช้กันในอนาคต
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top