Saturday, 5 July 2025
สหรัฐอเมริกา

แกนนำ 'เทกซิต' เชื่อ!! 'เทกซัส' แยกตัวจากสหรัฐฯ อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ชี้!! ชนวนชายแดน อาจทำให้อีก 25 มลรัฐ ปลดแอกตัวเองตามมาติดๆ

แกนนำแบ่งแยกดินแดนเทกซัสรายหนึ่ง เชื่อว่าการแยกตัวออกจาก 'สหภาพ' (Union) ความเคลื่อนไหวที่ถูกเรียกขานว่า 'เทกซิต' (Texit) อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ท่ามกลางประเด็นข้อพิพาทระหว่างเกรก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐกับรัฐบาลกลาง เกี่ยวกับการควบคุมแนวชายแดนติดกับเม็กซิโก

(6 ก.พ.67) นิวยอร์กโพสต์ รายงาน คำกล่าวของ 'ดาเนียล มิลเลอร์' ประธานขบวนการชาตินิยมเทกซัส ระบุว่า "เราอยู่ในจุดที่เทกซิตอยู่ในความคิดของทุกคน ทั้งพวกคนที่สนับสนุนและพวกที่คัดค้าน โดยมีประเด็นชายแดนเป็นแรงเสริม เพื่อเพิ่มการตัดสินใจให้แก่เทกซัส และนั่นจะนำมาสู่การโหวตแบบมีผลผูกพัน เพื่อให้เทกซัสได้กลายเป็นประเทศเอกราชและปกครองตนเอง"

มิลเลอร์ ยังได้กล่าวยกย่อง นายเกร็ก แอบบอต ผู้ว่าการมลรัฐเทกซัส ที่ประกาศสิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐเทกซัส พร้อมเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ใดๆ ของรัฐบาลกลาง ด้วยจุดยืนการปฏิเสธรื้อถอนรั้วลวดหนามที่สร้างขึ้นตามแนวชายแดนติดกับเม็กซิโก แม้ศาลสูงสุดสหรัฐฯ จะตัดสินใจแล้วว่ามันไม่ชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นการสะท้อนถึงรัฐบาลกลางที่ล้มเหลวในการปกป้องเทกซัสจากการไหลบ่าพวกผู้อพยพลี้ภัยที่ข้ามชายแดนเข้ามา พร้อมเน้นย้ำทางรัฐเทกซัสมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการปกป้องตนเอง

ก่อนหน้านี้ แอบบอตต์ ระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตได้เปลี่ยนชายแดนทางใต้ของประเทศให้กลายเป็นจุดเสี่ยงต่อการอพยพย้ายถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมายแทนที่จะรักษากฎหมายและปกป้องชายแดน แต่กลับสนับสนุนการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่ชายแดนติดกับเม็กซิโก และผู้ก่อการร้ายเข้าสหรัฐฯ

แน่นอนว่าถ้อยแถลงของผู้ว่าการรัฐเทกซัส ถือเป็นการตั้งป้อมปฏิเสธคำสั่งจากรัฐบาลกลาง และท้าทายอำนาจของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมศุลกากรและป้องกันชายแดน และกระทรวงความมั่นคงของสหรัฐฯ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ มิลเลอร์ ได้สะท้อนความคิดเห็นแบบเดียวกันผ่านทาง podcast ของเขาเมื่อวันอังคารที่แล้วด้วยว่า "ทุกๆ ครั้งที่เทกซัสพยายามทำบางอย่างเพื่อคุ้มกันชายแดน รัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงหรือทำอย่างที่ผ่านมา เพื่อเตะถ่วงความพยายามของเทกซัส ให้มันไร้ผล ทั้งๆ ที่กระทรวงทหารและกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะของเทกซัส มีการปฏิบัติการในฐานะผู้ช่วยหน่วยลาดตระเวนชายแดน ซึ่งอยู่ภายใต้คำสั่งให้ปล่อยพวกเขา (ผู้อพยพ) ข้ามเข้ามา และพาพวกเขาขึ้นรถบัส-ขึ้นเครื่องบินและขึ้นเรือไปทุกหนทุกแห่งอยู่แล้ว"

นอกจากนี้ มิลเลอร์ ยังให้สัมภาษณ์กับนิวส์วีก โดยแสดงความมั่นใจด้วยว่า จะมีประชาชนมากขึ้นที่พร้อมลงคะแนน 'เห็นชอบ' ในการลงมติในคำถามที่ว่ารัฐแห่งนี้ควรแยกตัวออกไปหรือไม่? และเกี่ยวกับประเด็นชายแดนนี้ ก็อาจกระตุ้นให้รัฐอื่นๆ พิจารณาแยกตัวออกจากสหรัฐฯ เช่นกัน โดยอ้างถึงกรณีที่มีผู้ว่าการรัฐรีพับลิกัน 25 คน ได้ร่วมลงนามในหนังสือสนับสนุนแอบบอตต์

"มันหมายความว่าอย่างไรงั้นหรือ มันหมายความว่าเรากำลังพบเห็นการหมุนตัวออกไป ไม่ใช่แค่เทกซัส แต่รวมไปถึงรัฐอื่นๆ ในบรรดา 25 รัฐ" มิลเลอร์กล่าวและว่า "มันคือช่วงเวลาที่น่าสนใจในช่วงชีวิตของเรา และผมคิดว่าเรากำลังมุ่งหน้าสู่จุดหนึ่ง จุดที่อยู่เกินกว่าคำว่าวิกฤตรัฐธรรมนูญ"

‘ซาอุฯ’ เสียงแข็ง!! ไม่เปิดสัมพันธ์การทูตอิสราเอล  จนกว่าจะยอมให้มีการตั้ง ‘รัฐปาเลสไตน์’

(7 ก.พ.67) กระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียแถลงวันนี้ว่า รัฐบาลได้แสดงจุดยืนให้สหรัฐฯ ทราบแล้วว่าจะไม่เดินหน้าสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล จนกว่าจะมีการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ตามเส้นพรมแดนปี 1967 ที่มีเยรูซาเลมตะวันออกรวมอยู่ด้วย และจนกว่าอิสราเอลจะยุติความรุนแรงในฉนวนกาซา

คำแถลงจากกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียมีขึ้น หลังจากที่ จอห์น เคอร์บีย์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคาร (6 ก.พ.) ว่า รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้รับ ‘ฟีดแบคที่ดี’ จากทั้งซาอุดีอาระเบียและอิสราเอลเกี่ยวกับการพูดคุยเพื่อปรับความสัมพันธ์ทางการทูตสู่ระดับปกติ

ทางกระทรวงย้ำว่า ถ้อยแถลงที่ออกมานี้ก็เพื่อแสดงถึงจุดยืนที่หนักแน่นของซาอุดีอาระเบียในเรื่องปัญหาปาเลสไตน์ และเป็นการตอบโต้สิ่งที่ เคอร์บีย์ ออกมาพูดก่อนหน้า

แนวคิดในการผลักดันให้อิสราเอลและซาอุดีอาระเบียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเริ่มถูกนำมาหารืออย่างจริงจัง หลังจากริยาดไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านเมื่อเพื่อนบ้านในอ่าวเปอร์เซียอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และบาห์เรนหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอลในปี 2020

อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวที่เข้าถึงมุมมองของผู้นำริยาดเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2023 ว่า
สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่คร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาไปแล้วกว่า 20,000 คน ทำให้ซาอุดีอาระเบียตัดสินใจ ‘เบรก’ การเจรจากับอิสราเอลแบบไม่มีกำหนด

กองทัพอิสราเอลเริ่มเปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีฉนวนกาซาทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน หลังจากพวกฮามาสที่ปกครองกาซาบุกจู่โจมภาคใต้ของรัฐยิวเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ปีที่แล้ว และสังหารประชาชนไปราว 1,200 คน อีกทั้งยังจับพลเมืองอิสราเอลและต่างชาติไปเป็นตัวประกันอีก 253 คน

‘สหรัฐฯ’ ขยายขอบเขตความผิดไปถึงผู้ปกครอง ตั้งข้อหาฆาตกรรมแก่แม่ของเด็กก่อเหตุกราดยิง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘สหรัฐฯ’ คือประเทศที่เกิดเหตุ ‘กราดยิง’ ขึ้นบ่อยครั้ง จนแทบจะกลายเป็นภาพจำแล้วว่า ทุกครั้งที่มีข่าวกราดยิง หลายคนจะคิดว่าเกิดขึ้นที่สหรัฐฯ ไว้ก่อนเลย

แต่หากจะพูดถึงเหตุกราดยิงที่สร้างความช็อกให้กับสังคม หลายคนอาจนึกถึงเหตุกราดยิงโรงเรียนอ็อกซ์ฟอร์ดไฮสคูลในรัฐมิชิแกนเมื่อปี 2021 ซึ่งเด็กชายวัย 15 ปีรายหนึ่งเปิดฉากกราดยิงนักเรียนและครู จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 7 คน

สำหรับผู้เสียชีวิต 4 คนเป็นนักเรียนทั้งหมด ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นนักเรียน 6 คน และครู 1 คน

คดีนี้เป็นที่สนใจของสาธารณชน เพราะมีความพยายามที่จะเอาผิดพ่อและแม่ของเด็กชายผู้ก่อเหตุ คือ เจมส์ ครัมบลีย์ และเจนนิเฟอร์ ครับลีย์ ด้วย ฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา และมีการสอบสวนพยานหลักฐานมาโดยตลอด

เจนนิเฟอร์ถูกตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2021 แต่เธอปฏิเสธข้อกล่าวหา

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา คณะลูกขุน 12 คนซึ่งใช้พิจารณาคดีนานกว่า 10 ชั่วโมง ในที่สุดก็มีคำตัดสินให้ เจนนิเฟอร์ มารดาของผู้ก่อเหตุ มีความผิดในข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา 4 กระทง ถือเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ที่จะมีการเอาผิดพ่อแม่หรือผู้ปกครองของผู้ก่อเหตุ ให้ได้รับโทษฐานฆาตกรรมด้วย

ด้วยคำตัดสินนี้ เจนนิเฟอร์อาจถูกพิพากษารับโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี โดยการพิจารณาพิพากษาโทษของเธอจะมีขึ้นในวันที่ 9 เม.ย. 2024

ขณะนี้เธอถูกนำตัวกลับเข้าห้องขังอีกครั้ง โดนเธออยู่ในห้องขังนับตั้งแต่ถูกจับกุมไม่กี่วันหลังเหตุกราดยิง

คดีนี้ถือเป็นกลยุทธ์ทางกฎหมายที่ไม่ธรรมดาและแปลกใหม่ และแสดงถึงความพยายามที่จะขยายขอบเขตความผิดจากเหตุกราดยิงไม่ให้จบอยู่แค่ที่ตัวผู้ก่อเหตุเท่านั้น

แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้ปกครองจะต้องรับผิดต่อการกระทำของบุตรหลาน เช่น การปล่อยปละละเลยหรือข้อหาเกี่ยวกับอาวุธปืน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ปกครองของเด็กที่ก่อเหตุกราดยิงต้องรับผิดชอบโดยตรง

เครก ชิลลิง พ่อของ จัสติน ชิลลิง นักเรียนวัย 17 ปีที่เสียชีวิตจากเหตุที่อ็อกซ์ฟอร์ดไฮสคูล กล่าวว่า “มันเป็นสิ่งที่เรารอมานาน แต่แน่นอนว่ามันเป็นก้าวสำคัญในเรื่องของความรับผิดชอบ...มันเป็นเป้าหมายของเรามาโดยตลอด”

ด้าน เจมส์ พ่อของผู้ก่อเหตุ มีกำหนดขึ้นศาลในข้อหาเดียวกันนี้ในช่วงต้นเดือน มี.ค.

ส่วนตัวของผู้ก่อเหตุ ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 17 ปี ได้รับสารภาพในข้อหาก่อการร้ายที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 กระทง ข้อหาฆาตกรรม 4 กระทง และอีก 19 กระทงที่เกี่ยวข้องกับเหตุกราดยิง และเมื่อปีที่แล้ว เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องรอลงอาญา

อัยการระบุว่า ที่เจนนิเฟอร์ต้องรับผิดชอบต่อเหตุกราดยิงนี้เพราะเธอ ‘ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง’ ในการมอบปืนให้กับลูกชายของเธอ ซึ่งในขณะนั้นอายุ 15 ปี และไม่ได้ให้คำแนะนำทางจิตที่เหมาะสมแม้ลูกชายของเธอจะแสดงสัญญาณอันตรายบางอย่างก็ตาม

คาเรน แม็กโดนัลด์ อัยการเขตโอ๊คแลนด์ กล่าวว่า “มันเป็นกรณีที่พบไม่บ่อยนักที่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงอันร้ายแรง...นั่นคือการทำอะไรไปโดยไม่คิด และเธอก็ทำสิ่งหนึ่งโดยไม่คิด ด้วยเหตุนี้จึงมีเด็กถึง 4 คนต้องเสียชีวิต”

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจำเลยแย้งว่าความผิดเป็นของคนอื่นต่างหาก เช่น สามีของเธอที่เก็บอาวุธปืนไว้อย่างไม่เหมาะสม หรือโรงเรียนที่ไม่แจ้งให้เธอทราบเกี่ยวกับปัญหาด้านพฤติกรรมของลูกชาย รวมถึงตัวลูกชายเองที่วางแผนและดำเนินการก่อเหตุด้วยตัวเขาเอง

แชนนอน สมิธ ทนายฝ่ายจำเลยกล่าวว่า คดีนี้จะทำให้ผู้ปกครองทั่วโลกเป็นอันตราย “พ่อแม่ทุกคนสามารถรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่ลูกทำได้จริง ๆ หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเหตุไม่คาดฝัน”

ด้านเจนนิเฟอร์ยืนหยัดในการปกป้องสิทธิของเธอเอง โดยเธอไม่ได้แสดงความเสียใจกับการกระทำของเธอ และบอกว่า “ฉันถามตัวเองว่าจะทำอะไรที่แตกต่างออกไปหรือไม่ และฉันคิดว่าคงจะไม่”

12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2352 วันเกิด ‘อับราฮัม ลินคอล์น’ มหาบุรุษแห่งดินแดนเสรีภาพ ผู้นำประเทศผ่านพ้น ‘สงครามกลางเมือง-การเลิกทาส’

12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2352 วันเกิด ‘อับราฮัม ลินคอล์น’ อดีตประธานาธิบดีและมหาบุรุษที่ชาวอเมริกันยกย่องนับถือ

‘อับราฮัม ลินคอล์น’ (Abraham Lincoln) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา และรัฐบุรุษชาวอเมริกัน ซึ่งเขาเกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2352 ผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่จดจำคือ การนำพาประเทศผ่านพ้น ‘สงครามกลางเมือง’ ระหว่างปี 2404-2408 ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญ ทางทหารและศีลธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ทำให้สามารถรักษาความเป็นสหภาพของสหรัฐอเมริกาเอาไว้ได้ นอกจากนี้ เขายังเป็นต้นแบบใน ‘การเลิกทาส’ นำไปสู่การสร้างความมั่นคงแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลกลาง ตลอดจนส่งเสริมเศรษฐกิจและการเงินให้ทันสมัย

‘อับราฮัม ลินคอล์น’ (Abraham Lincoln) ถูกลอบสังหารด้วยการยิงเข้าที่ศีรษะ โดย ‘จอห์น วิลค์ส บูธ’ ขณะกำลังชมการแสดงที่โรงละครฟอร์ด (Ford's Theatre) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2408

'ทรัมป์' ลั่น!! หากได้เป็นผู้นำอีกครั้ง  จะปล่อยรัสเซียขยี้ 'ชาตินาโต' ให้แหลก

(12 ก.พ.67) เพจ 'เดือดทะลักจุดแตก' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ตามคำมั่น คือ ชาติสมาชิก 'นาโต' ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 2% ของ GDP

แล้วถามว่าชาติสมาชิกทำตามนั้นหรือไม่ ก็ตามภาพถ้าสีแดง ๆ คือไม่ถึง 2% แต่ถ้าสีน้ำเงิน ๆ คือผ่าน 

แน่นอนว่าอเมริกาออกเยอะสุด (ภาพนี้เฉพาะฟากยุโรป ส่วนอเมริกาเหนือมีโน้ตไว้ข้างล่าง) 

คำถามคือทำไมอเมริกาต้องมาแบก นี่ไม่เคยมีใครตั้งแง่แบบนี้มาก่อน กระทั่ง โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี --- ถึงขั้นขู่จะเลิกควักกระเป๋าแล้วด้วยซ้ำ

พอเป็น โจ ไบเดน เรื่องนี้ก็เงียบไป เพราะไบเดนใช้ 'นาโต' เป็นเครื่องมือในการสร้างพล็อตให้ยูเครนเล่น และแล้วก็เกิดสงครามจนได้

ยังไงก็ตาม อย่าลืมว่ายุคทรัมป์ ไม่เกิดสงคราม (มีแต่สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี แต่ไม่ได้เป็น 'โปรดิวเซอร์' ให้เกิดสงครามที่รบกันแล้วเสียเลือดเนื้อจริง ๆ)

ทรัมป์ก็แค่เอะอะมะเทิ่งเรียกแขก ตามสไตล์ (แต่ทำจริงก็มีให้เห็นแล้วเหมือนกัน!)

มันไม่ได้แปลว่ารัสเซียจะบ้าจี้ แล้วทำอะไรทะเล่อทะล่า และน่าจะมองเป็นแง่ดีด้วยซ้ำ เพราะไอ้ที่ยูเครนซ่าส์จนรัสเซียต้องมาสั่งสอนก็ไม่ใช่เพราะ 'นาโต้' ให้ท้ายหรอกหรือ ... ? (ทั้ง ๆ ที่ยูเครน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เป็นสมาชิกเลยด้วยซ้ำ)

การที่อเมริกาออกหน้า ประกาศว่า ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ ฉันไม่ยุ่ง ยิ่งทำให้แต่ล่ะชาติสมาชิกระมัดระวังเนื้อระวังตัว ไม่บุ่มบ่ามเกินงาม

โอกาสเกิดสงครามก็ยากขึ้น

ย้ำว่า!! อย่าลืมว่ายุคทรัมป์ ไม่มีสงคราม

‘จนท.สหรัฐฯ’ ยัน!! มีผู้เสียชีวิตจาก ‘ฝีดาษอะแลสกา’ คาด!! ได้รับเชื้อจาก ‘แมวข่วน’ และอาจเป็นพาหะนำโรค

(14 ก.พ.67) เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอะแลสกา ของสหรัฐฯ รายงานว่าพบผู้ป่วยฝีดาษอะแลสกาเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าผู้เสียชีวิตรายนี้ (ไม่มีการเปิดเผยอายุที่แน่ชัด) ซึ่งมาจากคาบสมุทรคีนาย ทางตอนใต้ของรัฐอะแลสกา ได้รับการรักษาอาการป่วยในโรงพยาบาล หลังจากติดเชื้อฝีดาษอะแลสกา และเขาได้เสียชีวิตช่วงปลายเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ขณะที่มีรายงานว่าชายสูงอายุผู้นี้มีประวัติระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอีกด้วย

เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ระบุว่า ผู้เสียชีวิตอาศัยอยู่ตามลำพังในพื้นที่ป่าและรายงานว่าไม่มีการเดินทางและไม่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับใคร แต่มีรายงานว่า เขาเคยดูแลแมวจรจัดที่บ้านของเขา โดยแมวทดสอบไวรัสเป็นลบ แต่ก่อนหน้านี้แมวข่วนผู้เสียชีวิตบ่อยครั้ง แถลงการณ์ระบุ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่แมวอาจจะมีไวรัสติดอยู่ที่เล็บเมื่อมันข่วนผู้เสียชีวิต โดยพบว่า พบรอยขีดข่วนที่เห็นได้ชัดเจนใกล้บริเวณรักแร้ซึ่งเป็นจุดแรกที่ผู้เสียชีวิตแสดงอาการป่วยด้วย

เจ้าหน้าที่สาธารณสุข กล่าวว่า ยังไม่มีรายงานกรณีการแพร่เชื้อฝีดาษอะแลสกาจากคนสู่คน แต่แนะนำให้ผู้ที่มีอาการทางผิวหนังซึ่งอาจเกิดจากฝีดาษอะแลสกาใช้ผ้าพันแผลปิดบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ทางแพทย์ก็ยังได้แนะนำอีกว่า ประชาชนทุกคนควรล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการใช้เสื้อผ้าที่อาจสัมผัสกับผื่นแผล

‘จีน’ เตือน!! ‘สหรัฐฯ’ หยุดขายอาวุธให้ ‘ไต้หวัน’ ชี้!! เป็นการบ่อนทำลายอธิปไตย - ละเมิดหลัก ‘จีนเดียว’

เมื่อวานนี้ (22 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เหมาหนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กระตุ้นเตือนสหรัฐฯ หยุดจำหน่ายอาวุธและติดต่อสื่อสารทางทหารกับไต้หวัน

รายงานระบุว่าแถลงการณ์จากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ กล่าวถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ อนุมัติการจำหน่ายระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีขั้นสูง (TDL) มูลค่า 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.68 พันล้านบาท) แก่ไต้หวัน

เหมาแถลงข่าวต่อกรณีดังกล่าวว่าการที่สหรัฐฯ จำหน่ายอาวุธแก่ภูมิภาคไต้หวันของจีนได้ละเมิดหลักการจีนเดียวและข้อกำหนดของแถลงการณ์ร่วมจีน-สหรัฐฯ ทั้งสามฉบับอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะแถลงการณ์ร่วม 17 สิงหาคม 1982

“การจำหน่ายอาวุธดังกล่าวบ่อนทำลายอธิปไตยและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีน และส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ตลอดจนสันติภาพและเสถียรภาพทั่วช่องแคบไต้หวัน” เหมากล่าว พร้อมชี้ว่าจีนคัดค้านเรื่องนี้อย่างจริงจัง

เหมากล่าวว่าจีนกระตุ้นเตือนสหรัฐฯ ปฏิบัติตามหลักการจีนเดียวและแถลงการณ์ร่วมจีน-สหรัฐฯ ทั้งสามฉบับ หยุดจำหน่ายอาวุธและติดต่อสื่อสารทางทหารกับไต้หวัน รวมถึงหยุดสร้างปัจจัยอันอาจทบทวีความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน

“จีนจะดำเนินมาตรการคุ้มครองอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศอย่างแน่วแน่และมั่นคง” เหมากล่าวเสริม

'ก.ล.ต.สหรัฐฯ' สรุปคดีสามีรวยข้ามคืน 72 ล้านบาท เพราะแอบฟังภรรยาดีลลับซื้อหุ้น สุดท้ายตกงานทั้งคู่

(27 ก.พ.67) Business Tomorrow เผย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐฯ เผยคดีว่ามีชายชาวเท็กซัส ไทเลอร์ ลูดอน ทำเงินได้ 1.7 ล้านดอลลาร์ หรือ 72 ล้านบาท ด้วยซื้อขายหุ้นอย่างผิดกฎหมาย เหตุการณ์เกิดจากการแอบฟังการประชุมของภรรยากับเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงานในบริษัท BP บริษัทด้านพลังงานยักษ์ใหญ่อันดับ 3 ของโลก

SEC สหรัฐฯ กล่าวว่า ไทเลอร์ ลูดอน ได้ซื้อหุ้น TravelCenters of America Inc. โดยได้ล้างพอร์ตหุ้นตัวเองและบัญชีออมเพื่อเลี้ยงชีพเกษียณอายุแล้วในเดือน ก.พ. 2023 ต่อมา BP ประกาศว่าจะซื้อ TravelCenters of America ในระดับราคาหุ้นที่บวกพรีเมียม 74% ทำเอาไทเลอร์กลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืน

ต่อมามีการสืบสวนโดยพบว่า ภรรยาไทเลอร์เป็นผู้จัดการดูแลเกี่ยวกับการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว จึงเกิดสงสัยเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของสามี โดยไทเลอร์ยังมีพฤติกรรมแอบฟังภรรยาตอนเธอกำลังทำงานเกี่ยวกับข้อตกลงซื้อหุ้นด้วย 

ต่อมามีการฟ้องร้องใจความว่า ไทเลอร์คิดจะซื้อหุ้น TravelCenters หลังได้ทราบเกี่ยวกับข้อตกลงซื้อหุ้นจากภรรยาของเขาที่เป็นผู้จัดการดีล และเมื่อสามีสารภาพผิด ภรรยาก็ย้ายออกจากบ้านและฟ้องหย่าในเวลาต่อมา ซ้ำร้ายเธอยังถูกไล่ออกแม้จะไม่มีหลักฐานว่าเธอร่วมมือกับสามี 

ส่วนไทเลอร์ยอมรับข้อกล่าวหาจาก ก.ล.ต. และตัดสินใจไม่รับเงินที่ได้จากการทำธุรกรรม พร้อมจ่ายค่าปรับ 100,000 ดอลลาร์ หรือ 3 ล้านกว่าบาท และยินยอมถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้บริหารในบริษัทมหาชน ถูกห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่หรือผู้อำนวยการของบริษัทมหาชนเป็นเวลา 10 ปี โดยดีลซื้อหุ้น TravelCenters of America Inc. ของ BP มีมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.67 หมื่นล้านบาท

นาฬิกาข้อมือจากเหตุ ‘บอมบ์ฮิโรชิมา’ ถูกเคาะที่ 1.1 ลบ. ด้านสื่อญี่ปุ่น ติง!! ไม่ควรนำสิ่งมีคุณค่าเช่นนี้มาหากำไร

(27 ก.พ. 67) นาฬิกาข้อมือที่รอดจากอานุภาพทำลายล้างของระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ปี 1945 ถูกขายไปด้วยราคาสูงกว่า 31,000 ดอลลาร์ในการประมูลที่สหรัฐอเมริกา

เข็มของนาฬิกาข้อมือทองเหลืองเรือนนี้หยุดอยู่ที่เวลา 8.15 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 Enola Gay ของสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณู ‘Little Boy’ ลงสู่เมืองฮิโรชิมา

นาฬิกาเรือนนี้ถูกประมูลซื้อไปในราคา 31,113 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.1 ล้านบาท เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (22 ก.พ.) โดยผู้ที่ชนะการประมูลไม่ขอเปิดเผยตัวตน

ทั้งนี้ สถาบัน RR Auction ที่เมืองบอสตันซึ่งเป็นผู้จัดการประมูล ระบุว่า ผู้ที่ฝากขาย (consignor) นาฬิกาเรือนนี้อ้างว่ามันถูกพบโดยทหารอังกฤษที่เข้าไปตรวจสอบซากความเสียหายในเมืองฮิโรชิมา ก่อนจะถูกขายต่อให้ผู้ฝากขายผ่านเวทีประมูลสินค้าในอังกฤษเมื่อปี 2015

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นาฬิกาโบราณซึ่งมีคุณค่าสมควรถูกเก็บในพิพิธภัณฑ์เรือนนี้จะเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่เพียงแต่เตือนผู้คนให้ตระหนักถึงความสูญเสียจากสงครามเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการทำลายล้างที่มนุษยชาติจะต้องพยายามหลีกเลี่ยง” บ็อบบี ลิฟวิงสตัน รองประธานบริหาร RR Auction ให้สัมภาษณ์กับเอพี 

“เข็มนาฬิกาเรือนนี้บอกเวลาที่ประวัติศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล” เขาเอ่ยเสริม

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการนำนาฬิกาเรือนนี้ออกประมูลขาย

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า องค์กร International Campaign to Abolish Nuclear Weapons ได้ออกมาคัดค้านการประมูลนาฬิกาเรือนนี้ โดยให้เหตุผลว่าการนำสิ่งประดิษฐ์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สูงเช่นนี้มาประมูลเพื่อหากำไรเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

‘อดีตอาจารย์’ บริจาคเงิน 3.5 หมื่นลบ. ให้วิทยาลัยการแพทย์ในนิวยอร์ก นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะได้เรียนฟรีจนจบหลักสูตร ไม่ต้องกู้ยืม-เป็นหนี้

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวที่กำลังเป็นที่ฮือฮาบนโลกโซเชียลของสหรัฐ เมื่อนาง รูธ กอตส์แมน วัย 93 ปี ได้ทิ้งมรดกหุ้นจากบริษัทโฮลดิงข้ามชาติยักษ์ใหญ่ของสามี บริจาคเงินให้วิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นจำนวนเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เรียนฟรีตลอดการศึกษา พร้อมระบุว่า ไม่อยากให้เป็นหนี้

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า นางรูธ กอตส์แมน ได้ประกาศมอบเงินบริจาคก้อนใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 3.5 หมื่นล้านบาทให้กับวิทยาลัยแพทยศาสตร์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในเขตบรองซ์ นครนิวยอร์ก

โดยเงินบริจาคทั้งหมดนี้นางกอตส์แมนให้กับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ของวิทยาลัย จะได้รับเงินค่าเล่าเรียนคืนสำหรับภาคการศึกษาฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ และเมื่อถึงเดือน ส.ค. 2567 นักเรียนแพทย์ทั้งรุ่นปัจจุบันและที่กำลังจะสมัครเข้ามา จะได้เรียนฟรีทุกคน และไม่ต้องต้องจ่ายค่าเล่าเรียนอีกต่อไป

สำหรับ นางกอตส์แมน ระบุว่า เงินบริจาคของเธอจะช่วยให้แพทย์จบใหม่สามารถเริ่มต้นประกอบวิชาชีพได้โดยไม่ต้องมีภาระหนี้สินจากค่าเล่าเรียนทางการแพทย์ ซึ่งเธอยังหวังว่า ทุนการศึกษานี้จะเปิดโอกาสการเรียนแพทย์ให้กว้างขึ้น โดยรวมถึงผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนที่สูงลิ่วได้

อย่างไรก็ตาม เศรษฐีนีใจบุญรายนี้ มีประวัติการทำงานยาวนานที่วิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียง โดยเริ่มงานในปี 2511 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายจิตวิทยาการศึกษา อีกทั้ง เธอยังเป็นสมาชิกคณะกรรมการอำนวยการของไอน์สไตน์มาอย่างยาวนาน และดำรงตำแหน่งประธานคนปัจจุบัน

ขณะเดียวกันทางด้านนายเดวิด กอตส์แมน ผู้เป็นสามีเป็นนักลงทุนรุ่นแรก ๆ ของบริษัทเบิร์กเชอร์ แฮทอะเวย์ หนึ่งในบริษัทโฮลดิงที่ บัฟเฟตต์ เป็นเจ้าของที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคทศวรรษที่ 1960 โดยเขายังเป็นเพื่อนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีระดับโลกผู้ร่ำรวยจากการลงทุนและเทรดหุ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ สำหรับค่าเล่าเรียนของวิทยาลัยการแพทย์แห่งนี้ เริ่มต้นที่ 59,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.11 ล้านบาทต่อคน ทำให้นักเรียนแพทย์จำนวนมาก ต้องกู้ยืมเงินเพื่อมาจ่ายค่าเล่าเรียน

โดยมีการประเมินว่า หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว นักเรียนแพทย์บางคนจะเป็นหนี้ทางการศึกษาไม่ต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 7.18 ล้านบาทเลยทีเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top