Tuesday, 14 May 2024
พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค

‘พีระพันธุ์’ เคาะ!! ‘ค่าไฟฟ้าสีเขียว’ 4.55 บาท/หน่วย เปิดทางพลังงานสะอาด ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ

‘กระทรวงพลังงาน’ คาด ก.พ. เคาะราคาค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว คาดราคาเหมาะสม 4.55 บาทต่อหน่วย ปลดเงื่อนไขทางต่างชาติต้องการพลังงานสะอาด ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งแก้กฎหมายโรงงานผลิตไฟฟ้าโซลาร์หลังคาเกิน 1,000 หน่วยไม่ต้องขออนุญาต

(20 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ภายในไม่เกินเดือน ก.พ.2567 กระทรวงพลังงานจะประกาศอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว หลังจากที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศหลักเกณฑ์การให้บริการและการกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวไปแล้ว นับว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่มีความพร้อมในการจัดหา ‘ไฟฟ้าสีเขียว’ มีทั้งกระบวนการผลิต จัดหา และการรับรองไฟฟ้าสีเขียวเพื่อรองรับความต้องการพลังงานของธุรกิจ

นอกจากนี้ ยังรวมถึงบริษัทข้ามชาติ ที่ต้องการขยายการลงทุน หรือย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ทั้งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ขจัดอุปสรรคด้านการค้า การลงทุน จากมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ได้เป็นอย่างดี มั่นใจว่าจะมีไฟฟ้าสีเขียวในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ

ทั้งนี้ จึงมีโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามแผน PDP เพื่อเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในระบบอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยแบบที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสีเขียวจะไม่สามารถเจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้าสีเขียวจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในสัญญาบริการ และแบบที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถเจาะจงแหล่งที่มาได้

รับฟังความเห็นสาธารณะ ม.ค. นี้
เสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานกกพ.กล่าวว่า ตั้งแต่การประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าพลังสะอาดภายใต้โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 - 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง จำนวน 5,203 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดให้ผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้รับคัดเลือกจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) เข้าสู่ระบบกว่า 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ควบคู่ไปกับการออกแบบกำหนดหลักเกณฑ์การคิดอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียว และแนวทางการกำกับดูแลให้กระบวนการบริหารจัดการและรับรองแหล่งกำเนิดไฟฟ้าสีเขียวให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานสากล

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การคำนวณอัตราราคาเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว และพร้อมให้การไฟฟ้าให้บริการแล้ว และเตรียมที่จะเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในช่วงเดือนม.ค. 2567 นี้ โดยการประกาศโครงการ การจัดทำอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff: UGT) จะสามารถขยายโครงการนี้ให้ครอบคสุมความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าได้หลากหลายขึ้นและปรับปรุงข้อจำกัดต่าง ๆ

พลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์สูงสุด
ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 250 ล้านตันต่อปี โดย 100 ล้านตัน มาจากภาคการไฟฟ้า มีการตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2030 การปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงเหลือ 75 ล้านตัน และภายในปี 2080 จะมีการใช้พลังงานหมุนเวียน 80% โดยส่วนใหญ่มาจากโซลาร์เซลล์ ประมาณ 20,000 เมกะวัตต์

คมกฤชคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ กกพ. กล่าวว่า อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวเบื้องต้นที่คำนวณเพื่อจะนำมาเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะภายในเดือนม.ค. 2567 โดยคำนวณราคาค่าไฟไว้ที่ 4.55 บาทต่อหน่วย ที่น่าจะเป็นตัวเลขที่เหมาะสม มารับฟังความเห็นฯ โดยตัวเลขต่างๆ มีการรวบรวมจากค่าบริการของต่างประเทศที่ได้มีการประกาศใช้ไปแล้วด้วย

แก้กฎหมาย-ลดหย่อนภาษีโซลาร์หลังคา
ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเดินหน้าแก้ไขกฎหมายปลดล็อคให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจาก Solar Rooftop ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับ ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานอีกต่อไป ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างกระบวนการแก้ไขกฎกระทรวง คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี พ.ศ. 2567

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้เตรียมมาตรการบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) สำหรับหน่วยงานภาครัฐ และส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาสำหรับหน่วยงานรัฐ รวมทั้งเตรียมผลักดันมาตรการลดหย่อนภาษีประจำปี ส่งเสริม Solar Rooftop ในกลุ่มบ้านอาศัย วงเงินไม่เกิน 2 แสนบาท 10 กิโลวัตต์ เพื่อสนับสนุนคนใช้โซลาร์ 9 หมื่นครัวเรือนต่อปี เพื่อลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้า สำหรับประชาชนผู้ร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชน

63 ครอบครัว ‘แม่เมาะ’ เฮลั่น!! ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ช่วยได้ ประสาน กฟผ.เยียวยาเงินค่าที่ดินทำกิน 72 ล้านบาท 31 ม.ค.นี้

(27 ม.ค. 67) นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนและเข้าช่วยเหลือชาวบ้านพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เขตพื้นที่บ้านห้วยคิง 62 ครอบครัว และ ชาวบ้านเวียงหงศ์อีก 1 ครอบครัว รวม 63 ครอบครัว ที่มีความประสงค์จะรับเงินเยียวยาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

ทั้งนี้ เนื่องจากมีมติ ครม.ปี 2562 ที่ นร. 0505/15899 ลงวันที่ 2 พ.ค.2562 มีมติไม่ขัดข้องที่จะจ่ายเงินเยียวยยา ค่าที่ดินทำกิน 72 ล้านบาท (เป็นค่าที่ดิน สิ่งปลูกสร้างเต็มจำนวน)

นางศิริวรรณ กล่าวว่า ขณะนี้เรื่องได้ดำเนินจาก กฟผ.ไปยัง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตามเลขที่หนังสือ กฟผ. s520A0/76526 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2566

จึงขอความอนุเคราะห์ได้นัดวัน เวลา เพื่อไปยื่นเรื่องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยมีนางศิริวรรณ และ ดร.นงค์เยาว์ อาทิตยานนท์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ เขต 3 ลำปาง เป็นผู้พาไปยื่นหนังสือดังกล่าว

นางศิริวรรณ กล่าวว่า ล่าสุด กฟผ.พร้อมที่จะเยียวยาเงินจำนวน 72 ล้านบาท ให้กับบุคคลในพื้นที่จำนวน 63 ราย และจะมีการมอบเช็คจำนวนเงินดังกล่าว ให้แก่ชาวบ้านในวันที่ 31 มกราคม 2567 นี้ เวลา 9.00 น.

วิชามาร!! ใช้คดี ‘ศรีสุวรรณ’ ทำลาย ‘พีระพันธุ์’ ขัดขวาง ‘รื้อโครงสร้างพลังงาน-แคนดิเดตนายกฯ’

จากกรณี ตำรวจ บก.ปปป. นำกำลังร่วมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. บุกจับกุมนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน นักเคลื่อนไหวชื่อดังที่บ้านในจังหวัดปทุมธานี พร้อมของกลางเงินสด 5 แสนบาท และจับกุมนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ กับ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อบ่ายวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา หลังทั้งหมดมีพฤติกรรมร่วมกัน ข่มขู่เรียกเงิน นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว 1.5 ล้านบาท แลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนผลิตด้านการปลูกข้าว และปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว หลังอ้างว่าพบพิรุธในทางทุจริต ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ล่าสุด วันนี้ (28 ม.ค. 67) ผู้ใช้ติ๊กต็อกช่องหนึ่ง ชื่อ ‘@dr.brahm_isara_inya’ หรือ ‘ดร.พราหมณ์อิศรา อินทร์ยา’ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า…

“ผมไม่เคยนึกชื่นชม ชื่นชอบ คุณศรีสุวรรณ จรรยา เป็นการส่วนตัวเลยนะครับ แอบยิ้ม แอบสะใจด้วยซ้ำ พอแกโดนจับคดีรีดไถเองเสียบ้าง แต่ว่าคดีนี้ มีบางประเด็นที่อยากจะชี้ชวนให้พี่น้องประชาชนมาช่วยกันคิดครับ

เพราะว่าคดีนี้ มีผู้ต้องหาร่วมอีก 2 คนคือ คุณเจ๋ง ดอกจิก กับ อดีตผู้สมัคร สส.หญิงของพรรคร่วมไทยสร้างชาติ ทั้ง 3 คนนี้ จะผิด จะถูกอย่างไร ก็ให้ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรมนะครับ แต่ถ้าพี่น้องทุกท่าน สังเกตดีๆ จะเห็นว่าคดีนี้มีความพยายามที่จะขยายผลความเสียหายให้ลามไปจนถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ และให้ลุกลามไปถึง ท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ เลยด้วยซ้ำ

ตัวผมนั้นไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่ได้มีส่วนได้ ส่วนเสียอะไรกับพรรคเค้าหรอกนะครับ แต่มองด้วยใจที่เป็นธรรม ผมเห็นว่าท่านรัฐมนตรีพีระพันธุ์ เป็นคนเก่ง เป็นคนดีคนหนึ่งเลย เรื่องคดีโฮปเวลล์ เรื่องเหมืองทองอัครา ท่านก็ช่วยสู้คดีให้พวกเราทุกคนจนชนะนะครับ

ช่วยทำให้ประเทศไทยประหยัดเงิน ไม่ต้องเสียค่าโง่ได้หลายหมื่นล้านบาท คุ้มค่าตัวจริงๆ จ้างเงินเดือน เดือนละแสนกว่าบาท แต่หาเงินให้ประเทศชาติได้แสนล้านบาท

แถมพอมาอยู่กระทรวงพลังงาน หากพี่น้องประชาชนที่ติดตามข่าวก็จะรู้ว่าราคาพลังงานของบ้านเรานั้น ค่าวัตถุดิบ ค่าดําเนินการ ค่าภาษี ค่านั่น ค่านี่บวกเข้ามาไม่รู้กี่สเต็ปครับ สุดท้ายหักภาระให้พวกเราเป็นคนจ่าย ให้ประชาชนเป็นฝ่ายแบกรับอยู่ข้างเดียว แบบนี้มันไม่แฟร์ครับ

แต่พอท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ เข้ามาบริหาร ท่านก็บอกว่าโครงสร้างแบบนี้มันแก้ไม่ได้แล้ว ต้อง ‘รื้อทําลาย สร้างใหม่’ อย่างเดียว

สิ่งนี้ส่งผลสั่นสะเทือนมหาศาลนะครับ หากท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ ทําสําเร็จ พวกเราประชาชนได้ประโยชน์แน่นอน เพราะค่าพลังงานจะถูกลง แต่คนที่เขากุมอํานาจในโครงสร้างนี้อยู่ ผู้ที่มีอํานาจเหนือกว่าอํานาจรัฐไทย เขาจะเป็นฝ่ายเสียหาย เขาจะเป็นฝ่ายที่เสียผลประโยชน์

แล้วแบบนี้… จะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเริ่มกระบวนการในการทําลายท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ก่อน โดยขยายผลจากคดีของคุณศรีสุวรรณนี่แหละ”

ดร.พราหมณ์อิศรา ยังกล่าวต่ออีกว่า อีกประเด็นหนึ่งผู้ที่ติดตามข่าวก็จะรู้ว่านักวิเคราะห์มากมาย ฟันธงเลยว่า ถ้ารัฐบาลคุณเศรษฐาไปไม่รอด ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง มีการพลิกผันท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์นี่แหละ จะเป็นคนหนึ่งที่อาจมีสิทธิ์ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

“นี่ไม่ได้กล่าวหาใคร ไม่ได้ว่าคุณเศรษฐาหรือใครนะ แต่ธรรมชาติของนักการเมือง มันต้องอิจฉาริษยา ชิ่งเด่นกันอยู่แล้ว

มีความเป็นไปได้ไหม ที่จะดิสเครดิตทําลายภาพลักษณ์ของท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ โดยการใช้คดีของคุณศรีสุวรรณเป็นเครื่องมือ

และก็อย่างที่บอกว่าผมนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพรรคเขาหรอก แต่มองด้วยใจเป็นธรรมครับ” ดร.พราหมณ์อิศรา กล่าว

นอกจากนี้ ดร.พราหมณ์อิศรา ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ กําลังทํางานหนัก ท่านกําลังสู้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา และผลงานของท่านก็พิสูจน์ว่า ท่านลุยงานไหน งานนั้นก็สําเร็จ…

เพราะฉะนั้น มีความเป็นไปได้นะครับ ที่คนไม่หวังดีจะชิงลงมือทําลายท่านเสียก่อน ก่อนที่ท่านจะทําอะไรสําเร็จขึ้นมาได้

ผมอยากเรียกร้องแก่พี่น้องประชาชนครับ อย่าเพิ่งไปเชื่อกระแสข่าวลือ อย่าเพิ่งไปเชื่อสิ่งที่เขาปั่น เพื่อทําลายภาพลักษณ์ เพื่อทําลายภาพพจน์ของคนดีๆ เลยครับ เสียดายของครับ คนดีมีฝีมือควรถูกเก็บไว้ใช้งาน เก็บไว้ทําประโยชน์ให้บ้านเมืองดีกว่าครับ”

‘พีระพันธุ์’ ย้อนอดีต!! ปรับเกณฑ์ ‘กองทุนยุติธรรม’ ปลดทุกข์ 898 ครอบครัว หลังยุคหนึ่งคนทำมาหากินถูกโกงหนัก ต้อง 'ขึ้นศาล-จ้างทนาย' จนหมดตัว

(30 ม.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เล่าเหตุการณ์ในอดีต หลังตนหยิบยก ‘กองทุนยุติธรรม’ ขึ้นมาปรับนโยบายและหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อเดินหน้าช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อนจากการฟ้องร้องคดีความ โดยระบุว่า…

มีลูกน้องมารายงานผม เรื่องที่ไปพบชาวบ้าน จ.พิษณุโลกที่วัด แล้วเจอเหตุการณ์ชาวบ้าน 70 กว่าคน ไปขอยืมเงินพระแสนนึงเพื่อไปจ่ายค่าทนาย ซึ่งเขาได้บอกว่าชาวนากลุ่มนี้มีทั้งหมดประมาณ 71 ราย แต่วันนั้นพบ 70 ราย โดยที่หายไปหนึ่งรายเพราะเพิ่งผูกคอตาย ... จากการขายข้าวไปแล้วไม่ได้เงิน เพราะคนซื้อไม่จ่ายเงิน ซึ่งก็ต้องสู้คดีฟ้องกันไป

ฟ้องกันมา ประมาณ 10 ปีแล้ว คำถาม คือ แล้ว 10 ปีที่ผ่านมาชาวบ้านก็ยังต้องทํามาหากิน แต่ทํามาหากินแล้วได้เงินมา ก็ต้องเอาไปจ่ายค่าทนาย จนหมดตัว แต่ก็ต้องหาทางจ่ายอีก เพราะยังสู้คดีไม่หมด ซึ่งทำให้เขาต้องมายืมเงินวัดกัน โดย 71 ราย มียอดเงิน 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งในระบบราชการเงิน 2 ล้านกว่าบาททํางบประมาณแค่ขี้ผง แต่นี่ชีวิตคนตั้ง 70 กว่าคน ต้องอยู่กับเรื่องนี้มา 10 ปี คุณนึกถึงที่ว่าชาวบ้านชาวนาเขาอยู่กันมาได้ยังไง รอดมาได้ก็บุญแล้ว…

ดังนั้น ผมจึงมานั่งคิดว่าจะทํายังไงถึงช่วยเขาได้ จนนึกถึง ‘กองทุนยุติธรรม’ ที่มีอยู่ จึงเอามาปรับหลักเกณฑ์ ซึ่งตอนนั้นมีเงินอยู่ 70 ล้านบาท ไม่ได้ขยับอะไรเลย .... ผมจึงปรับนโยบาย ปรับแนวทางใหม่ และบอกให้เอาเงินก้อนนี้ลงไปช่วยชาวบ้าน ซึ่งก็ได้ใช้หลักเกณฑ์ตามกฎหมายแพ่ง โดยเอาเงินจากกองทุนยุติธรรมนี้ เอาไปให้เขาเลย 2 ล้านกว่าบาท เพื่อช่วยชีวิต 71 ครอบครัว 

แน่นอนว่า ตรงนี้ก็จะถือเป็นภาระกระทรวงของแล้ว เพราะเป็นเงินหลวง เราจึงต้องจัดทนายความไปช่วยไปสู้คดีให้พวกเขา ภายใต้ข้อตกลงเมื่อชนะคดี ก็จะนำเงินมาทยอยคืน 

และเวลานี้ก็มีรายงานว่า ชาวบ้านทยอยคืนเงินจากการชนะคดีมาบ้างแล้ว 70 ครอบครัว เรียกได้ว่าเงินหลวงไม่ได้สูญเปล่า แต่ว่าให้ไปก่อน ชาวบ้านก็ได้เงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย ... เพราะเมื่อเราสู้คดี และชนะคดี ศาลก็ต้องสั่งให้คู่กรณีจ่ายดอกเบี้ยให้เราอยู่แล้ว

หลังปรากฏว่าพอข่าวนี้แพร่ออกไป ตอนนั้นจึงมีสถานีรายการอื่นเอาไปโปรโมต พอไปโปรโมตที่นี้มาใหญ่เลย จากเริ่มต้นที่พิษณุโลก กลายเป็นสิงห์บุรี, ชัยนาท, อ่างทอง ก็มากันหมด สรุปแล้วในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรียุติธรรมอยู่ ผมใช้กองทุนยุติธรรมกับนโยบายโครงการนี้ ไปช่วยเคสในลักษณะเดียวกันได้ 898 ครอบครัว ใช้เงินไปทั้งหมด 38 ล้านเอง แต่สามารถช่วยชีวิตคนได้ 898 ครอบครัว…

สิ่งนี้คือ การใช้อํานาจทางการบริหารเพื่อช่วยประชาชนอย่างแท้จริง ถ้าเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น หรือไม่ได้มีอํานาจนี้ เราก็ทําไม่ได้ แต่อีกสิ่งที่สำคัญกว่า คือ เรามีความตั้งใจบริหาร ตั้งใจที่จะช่วยเหลือ และใช้อํานาจนั้นเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองของประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ ถ้าใช่ มันทําได้ 

‘ดร.หิมาลัย’ รับลูก!! ‘พีระพันธุ์’ ขึ้น ‘ลำปาง’ รับหนังสือร้องขอความเป็นธรรม หลัง รพ.แห่งหนึ่ง วินิจฉัยโรคผิด สุดท้ายผู้ป่วยอาการทรุดจนเสียชีวิต

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 67 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) และคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงร้องเรียนร้องทุกข์ ได้เดินทางมาให้กำลังและรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจาก นายวัชระ บุรณะเครือ ประชาชนชาวตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง บุตรชาย ของนายณรงค์ บูรณะเครือ เป็นผู้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ซึ่งวินิจฉัยโรคผิดจนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

ทางด้าน ดร.หิมาลัย เปิดเผยว่า “ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ทราบเรื่องดังกล่าวจากการเผยแพร่ในโซเชียลต่างๆ จึงได้มอบให้ตนเอง ในฐานะคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงร้องเรียนร้องทุกข์ เดินทางมาให้กำลังใจพร้อมสอบถามข้อเท็จจริงในเบื้องต้น และรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมที่บ้านพักของนายบอล ลูกชายของผู้เสียชีวิต พร้อมเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว หลังจากนี้ ทาง ผอ.รพ.ลำปางก็ต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงทุกอย่าง ที่เกี่ยวข้องของการรักษาผู้ป่วยจนเสียชีวิต ว่าเกิดปัญหามาจากอะไร และจะมีการแสดงความรับผิดชอบกรณีนี้อย่างไร” ดร.หิมาลัย กล่าว

ด้านนายวัชระ ได้เปิดเผยว่า ตนเองได้ประสานขอความเป็นธรรมผ่าน ดร.นงค์เยาว์ อาทิตยานนท์ สถานียุติธรรมพรรครวมไทยสร้างชาติ จังหวัดลำปาง ให้ติดต่อขอยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี/คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงร้องเรียนร้องทุกข์ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ว่าวินิจฉัยโรคผิด ทำให้บิดาของตนเองคือ นายณรงค์ ผู้ป่วยและเสียชีวิต 

โดยนายวัชระ ได้ให้รายละเอียดว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น.ของวันที่ 8 ก.พ. 67 นายณรงค์  บิดาของตนซึ่งมีอายุ 60 ปี เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงทุรนทุราย หายใจติดขัด ตนจึงได้เรียกรถพยาบาลฉุกเฉินของหน่วยกู้ภัยมารับตัว และได้ส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว เมื่อไปถึงโรงพยาบาลฯ ได้มีเจ้าหน้าที่เวรเปลมารับตัวผู้ป่วย และได้ส่งตัวไปรอคิวตรวจที่ห้องกระดูกและข้อ จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ตนเองได้ไปสอบถามมารดาที่รอเฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน และถามว่าคนไข้ยังอยู่ที่จุดใด และได้ทราบว่าทางโรงพยาบาลส่งคนไข้ไปยังห้องตรวจตึกผู้ป่วยนอก ซึ่งเป็นห้องตรวจกระดูกและข้อ 

ตนเห็นว่ามันไม่ตรงกับอาการของผู้ป่วย และตนได้สังเกตเห็นว่าผู้ป่วยในขณะนั้นหายใจติดขัด ดิ้นทุรนทุรายหนักขึ้น ตนจึงได้รีบแจ้งกับเจ้าหน้าที่พยาบาลฯ ให้รีบนำบิดาของตนส่งไปยังห้องฉุกเฉินเป็นการด่วน พยาบาลให้ความเห็นว่าถ้ารอเจ้าหน้าที่เกรงว่าจะล่าช้า จึงให้ตนนำบิดาซึ่งเป็นผู้ป่วยไปส่งด้วยตนเอง ตนจึงได้นำบิดาไปส่งยังห้องฉุกเฉิน ในขณะนั้น คนไข้มีอาการชีพจรหยุดเต้นทีมแพทย์จึงรีบให้การรักษา และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยแพทย์ให้ความเห็นว่า ผู้ป่วยมีอาการเส้นเลือดโป่งพองในช่องท้องและแตก เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต

ตนและครอบครัวจึงได้รับศพนายณรงค์ฯ บิดาของตน ไปบำเพ็ญกุศล และได้ฌาปนกิจที่สุสานร่องสามดวงในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ตนและครอบครัวได้ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุของการเสียชีวิตของบิดาของตน น่าจะเกิดจากความล่าช้าในรักษามีการวินิจฉัยโรคผิดตั้งแต่ต้น ทำให้เสียเวลารักษาเกือบ 2 ชั่วโมง เนื่องจากการรักษาครั้งนี้ ตนและครอบครัวได้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเป็นเงินร่วม 600,000 บาท 

ดังนั้น ตนและญาติจึงได้มาร้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้โรงพยาบาลดังกล่าวออกมาแสดงความรับผิดชอบ และเป็นอุทาหรณ์เป็นกรณีตัวอย่าง ในการดูแลรักษาผู้ป่วย จะได้ไม่เกิดการสูญเสียเหมือนบิดาของตนเอง

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เกิดเหตุทางโรงพยาบาลดังกล่าว ยังไม่ได้ติดต่อเพื่อชี้แจงแต่อย่างใด

'พีระพันธุ์' หารือ 'ผู้ว่าฯ ยูนนาน' ยกระดับ 'ความสัมพันธ์-ร่วมมือ' ไปอีกขั้น เตรียมต่อยอด 'เศรษฐกิจ-พลังงานสะอาด-อุตสาหกรรมสีเขียว'

เมื่อวานนี้ (22 ก.พ. 67) ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายหวัง หยู่โป (H.E. Mr. Wang Yubo) รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิวนิสต์จีนประจำมณฑลยูนนาน ผู้ว่าการมณฑลยูนนาน และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำรัฐบาลมณฑลยูนนาน เข้าเยี่ยมคารวะ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

รองนายกรัฐมนตรีฯ ยินดีที่ได้พบผู้ว่าการมณฑลฯ อีกครั้ง ขอบคุณมณฑลยูนนานในความร่วมมือระหว่างกันที่ดีมาตลอด ซึ่งตั้งแต่จีนกลับมาเปิดประเทศในปี 2566 ได้มีคณะผู้แทนระดับสูงของไทยเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์และศึกษาดูงานที่มณฑลยูนนานอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่า หากทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกันในทุกด้าน ทั้งในเชิงภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนระดับประชาชน จะสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทวีความสัมพันธ์ระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้นต่อไป 

ด้านผู้ว่าการมณฑลฯ ยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสเยือนไทย การต้อนรับอย่างอบอุ่นจากไทย แสดงให้เห็นว่าไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างจีน-ไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเคารพและไว้วางใจร่วมกัน เอื้อประโยชน์แก่กันในทางเศรษฐกิจ เข้าใจซึ่งกันและกันในทางวัฒนธรรม ดังนั้น จีนและไทยจึงเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน ที่ได้หยั่งรากลึกลงในหัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการเยือนไทยของ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปี 2565 ที่ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีความหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ สอดคล้องกับที่ได้ประกาศแถลงร่วมว่าด้วยการดำเนินการเพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันไทย-จีน เพื่อนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ร่วมกัน

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ ที่สำคัญ ดังนี้

ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เห็นพ้องส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันผ่านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจีนพร้อมให้การสนับสนุนไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน โดยจีนจะส่งเสริมแถบเส้นทาง R3A ไทย - ลาว - จีน ต่อเนื่อง ถือเป็นเส้นทางสำคัญในการนำเข้า - ส่งออกสินค้าระหว่างไทยและจีน ซึ่งผู้ว่าการมณฑลฯ ชื่นชมว่า หลังจากการเปิดแถบเส้นทาง R3A แล้ว ได้ประหยัดเวลาขนส่งสินค้าและลดต้นทุนทางธุรกิจได้มาก โดยเมื่อปี 2566 มีจำนวนการนำเข้าสินค้ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ไทยพร้อมพัฒนา เส้นทางสายไหม (One Belt One Road) ให้ต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันส่งเสริมด้านการใช้พลังงานสะอาดในเส้นทางด้วย

ด้านการใช้พลังงานสะอาด เห็นพ้องที่จะผลักดันการใช้พลังงานสะอาด พลังงานสีเขียว ผ่านการแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยีของหน่วยงานที่ภาครัฐเกี่ยวข้องด้านพลังงาน โดยรองนายกรัฐมนตรีเห็นศักยภาพของมณฑลยูนนาน ที่มีการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) จำนวนมาก ซึ่งผู้ว่าการมณฑลฯ เห็นพ้องที่จะนำศักยภาพด้านการใช้พลังงานน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ของมณฑลยูนนานมาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกัน

ด้านความร่วมมือทางวิชาการ ทั้งสองพร้อมต่อยอดจากความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของไทยและมณฑลยูนนาน โดยผู้ว่าการมณฑลฯ ยินดีกับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและทางวิชาการ ซึ่งปัจจุบันมีนักศึกษาชาวไทยจำนวนกว่า 1,000 คน ศึกษาอยู่ ณ มณฑลยูนนาน

ด้านการท่องเที่ยวและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ทั้งสองฝ่ายยินดีกับการลงนามความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ ไปเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา โดยจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 1 มีนาคม 2567 ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่าย มีการไปมาหาสู่กันเพิ่มขึ้น โดยรองนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากมณฑลยูนนานและให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ขณะที่ผู้ว่าการมณฑลฯ เชื่อมั่นว่า จะเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ขยายโอกาสและฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ผลงานจาก 'ลุงตู่' ถึง 'พีระพันธุ์' พากระแสมวลชนคนไทยตีกลับ ความเจริญที่ผู้คนเริ่มโจษขาน อาจดับฝัน 'ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน'

(23 ก.พ. 67) จากช่องติ๊กต็อก @fhakram.chavit หรือ ‘คุณฟ้าคราม’ โพสต์คลิปวิดีโอแสดงความคิดเห็นต่อผลงานของ ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ที่ท่านได้ทำมาโดยตลอดระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรี ในมุมที่หลายคนอาจจะไม่รู้ข้อมูลมาก่อน ก่อนถึง ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ และคนอื่น ๆ ที่สามารถสานต่อโครงการเหล่านี้ได้ในอนาคต โดยระบุว่า…

ที่บอกว่าก้าวไกลทั้งแผ่นดินเนี่ย…ไม่ต้องไปกลัวหรอก ยังไงสีเหลืองก็ชนะ ซึ่งทุกคนจะไปกลัวอะไร ก็ในเมื่อขนาดช่วง ‘พิธาฟีเวอร์’ ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เลย และนับภาษาอะไรกับตอนนี้ ส่วนอันต่อมาคือช่วงก่อนนี้ ‘สีเหลือง’ ยังเป็น ‘พลังเงียบ’ อยู่เลย แต่ขอโทษนะพิธาฟีเวอร์ก็สู้ ‘ลุงตู่องคมนตรีฟีเวอร์’ ไม่ได้

แล้วเพิ่งช่วงหลังเลือกตั้งนี่เอง ที่ประชาชนเพิ่งรู้ในเรื่องของม.112 เกี่ยวกับเยาวชนทะลุวังหรือใครคิดยังไงกับสถาบัน เพราะฉะนั้นสถานการณ์ต่างกันมาก ต่อมาประเทศไทยเราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่ากัน สังคมอย่าไปให้ค่าเจเนอเรชันใหม่จนเยอะลิมิต เพราะวัยรุ่นที่ดีและสง่างามจริง ๆ ในหัวใจควรจะเป็นคนที่นอบน้อมกับผู้ใหญ่ รวมถึงเรื่องสถาบันด้วย เพราะว่าวัยรุ่นต้องมีความสํานึกรู้คุณกตัญญูกตเวทีในหัวใจ มันถึงจะสง่างาม และตอนนี้อินฟลูเอนเซอร์ฝั่งเหลืองเยอะมากและเยอะที่สุดแล้ว

นอกจากนี้ เดี๋ยวนี้เขายังมีการจัดโพลกันแบบกลัว ‘ท่านพีระพันธุ์’ กันแล้วนะ ถ้าเขาไม่กลัวเขาไม่ขัดขาหรอก อย่างโพลของ Line Today ที่ได้สร้างผลสำรวจคะแนนความนิยมของนักการเมืองที่คุณชื่นชอบ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ซึ่งคุณรู้ไหมว่าโพลนี้มีนักการเมืองแทบทุกคนเลยนะ อย่างอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร, พิธา, เศรษฐา, หมอชลน่าน, รัชนก ศรีนอก หรือ รังสิมันต์ โรม ก็มา แต่กลับไม่มีท่านพีระพันธุ์ โอ้โห…กลัวอะไรขนาดนั้นใจเย็น ๆ 

ถัดมายังมีอีกโพลกับหัวข้อ ‘ถ้าท่านต้องเลือกตั้งวันนี้จะเลือกพรรคใด’ ซึ่งมีให้ 2 พรรค ก็คือ เพื่อไทยและก้าวไกล แต่ของเพื่อไทยมีรูปอิโมจิหน้าตกใจประกอบ แต่ถ้าเป็นก้าวไกลก็เป็นหัวใจแทน และก็ไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติเช่นเดิม ก็คิดดูว่าจัดโพลแบบกลัวอะไร? 

ซึ่งอย่างที่เคยบอกไปว่าสามกีบหลาย ๆ คนเนี่ยไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วก็ชอบบอกว่าส้มทั้งแผ่นดินอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ต้องอะไรมากหรอก ความจริงคือความจริง ความดีคือความดี เดี๋ยวผู้คนเขาก็จะเห็นเอง อย่างเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ก็ต่างผุดผลงานลุงตู่ออกมาเพียบ แล้วผู้คนก็จะได้เห็นผลงานลุงตู่ที่ทะลุมิติ ทะลุมัลติเวิร์ส เรียกได้ว่าเป็น S Curve ของเมืองไทยเลยก็ได้

เพราะที่ผ่านมาลุงตู่ได้สร้าง EEC : Eastern Economic Corridor ที่มีรถไฟฟ้าตัดผ่าน 3 สนามบินอย่าง ดอนเมือง, สุวรรณภูมิ แล้วก็ไปถึงอู่ตะเภาด้วย แล้วก็มีการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเพื่อรองรับเป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 3 ของประเทศไทย โดยทั้งหมดนี้สร้างมา 5 ปีแล้ว ซึ่งเสร็จปี 70 ซึ่งก็อีกแค่ 3 ปีเท่านั้น จากสนามบินดอนเมือง-บางอู่ตะเภา ใช้เวลาไม่ถึง 60 นาที โคตรสุดยอด นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องนั่นก็คือ ‘วังจันทร์วัลเลย์’ ที่กําลังจะยกระดับประเทศไทยของเราให้เป็น Smart City ซึ่งมันสุดยอดมาก มันคือ Smart Innovative แพลตฟอร์มดี ๆ นี่เอง และยังเป็นเมืองต้นแบบอัจฉริยะทางเทคโนโลยี ซึ่งในนั้นมีเรื่องของการวิจัย การพัฒนา การทดลอง พลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก หรือเกี่ยวกับเรื่องของหุ่นยนต์ (Robotics) ต่าง ๆ อย่างด้าน AI และยังสามารถรองรับกลุ่มผู้สูงอายุในการใช้เทคโนโลยีทําให้การเป็นอยู่ของผู้สูงอายุสบายขึ้น

อีกเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ เรื่องของการวิจัยพัฒนาอีวี เกี่ยวกับเรื่องของรถอีวี แบตเตอรี่ และมีโรงเรียนที่น่าเข้าไปมาก ๆ อย่าง ‘โรงเรียนกำเนิดวิทย์’ (kvis) ซึ่งเป็นโรงเรียนเกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยี โดยจะได้เรียนเกี่ยวกับพลังงานสะอาด เอไอ หุ่นยนต์ ทั้งนี้ EEC และ วังจันทร์วัลเลย์ ที่อยู่ในนั้น อยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของลุงตู่

กลับมาเรื่องรถไฟฟ้า 10 กว่าสายในกรุงเทพมหานคร และภาคอีสานความเจริญสุด ๆ กําลังจะไปถึงแล้ว เพราะลุงตู่ทําให้รถไฟฟ้าความเร็วสูงลากไปตั้งแต่ดอนเมือง สระบุรี อยุธยา อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย ส่วนภาคเหนือรถไฟฟ้าไปตั้งแต่ ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ลําปาง ลําพูน เชียงใหม่ ส่วนสายใต้ฝั่งท่องเที่ยวก็จะมี นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี หัวหิน ประจวบ ชุมพร สุราษฎร์ พัทลุง หาดใหญ่ นครศรีธรรมราช เยอะแยะไปหมด

นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมท่าเรือแหลมฉบังมาบตาพุด ท่าเรือน้ำลึก ให้ไทยเราเป็นจุดศูนย์กลางแห่งการส่งออกของโลก ซึ่งสิ่งที่เราจะได้ก็คือการเกิดงานและเงินให้กับลูกหลานของเราที่ต้องออกไปทํามาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัว และก็มีรายได้ต่อหัวที่สูงมากขึ้น รวมทั้งผู้สูงอายุจะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะจะใช้เทคโนโลยีนี้ผ่านการควบคุมจากสมาร์ทโฟนได้ และจะมีรายได้เข้าประเทศมหาศาล…ซึ่ง ‘แลนด์บริดจ์’ จะดูเล็กไปเลย เพราะว่าไทยกําลังจะเป็น Spider Web ซึ่งก็คือใยแมงมุมของด้านการคมนาคม ที่เชื่อมโยงกันทั่วทั้งประเทศ จนทะลุไปถึงประเทศจีน ทั้งนี้ EEC ได้เสร็จไปแล้วเฟสแรก มีเงินเข้ากระเป๋าประเทศไปแล้ว 80- 90%

ทั้งนี้ ในวังจันทร์วัลเลย์ พัฒนากลุ่มอวกาศ มีดาวเทียมดวงแรกของประเทศไทยซึ่งก็คือ THEOS 2 ซึ่งคุณเศรษฐาก็ออกมาพูดว่าไทยเราจะเป็นจุดศูนย์กลางของโลก แล้วก็ตื่นเต้นมากเกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาอีวี หรือภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจริง ๆ มันเจริญมามากแล้วคุณเศรษฐาก็รู้ แต่เป็นผลงานลุงตู่นะ คุณต้องให้เครดิตมาก ๆ หน่อย แล้วก็ค่อย ๆ สานต่อไป ซึ่งไม่สานต่อไม่ได้เพราะมันอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี…

นอกจากนี้ยังมี โครงการเรื่องเครื่องกําเนิดแสง, เมืองนวัตกรรมอาหาร, เมืองนวัตกรรมการบินและอวกาศ, การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อชุมชน, มีเงินสํารอง, มีทองสํารอง, แอปกระเป๋าตังค์ที่เยียวยาฟื้นฟูในช่วงโควิด-19 เป็นต้น และด้วยทั้งหมดนี่คือการหาเงินเข้าประเทศอย่างแท้จริง รวมถึงในอนาคตที่กำลังจะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในด้านการคมนาคมและการท่องเที่ยวของโลก 

แต่ต่างจากนโยบายของพรรคก้าวไกล ซึ่งเรือธงของเขาก็คือ ‘รัฐสวัสดิการ’ ตั้งแต่เกิดยันเสียชีวิต คำถามคือ เอาเงินมาจากไหน? ต้องกู้ไหม? แค่เงินของผู้สูงอายุก็หลายแสนล้านแล้ว และจะให้จะแจกตั้งแต่เกิดยันเสียชีวิตเลยเหรอ ฟังดูแล้วมันก็เคลิ้ม ๆ นะ แต่ว่าประเทศพังแน่…แล้วหาเงินเข้าประเทศยังไง จะไปตัดรถตัดทอนความมั่นคงก็ระวังประเทศมันจะพังเอา และจะมาแก้ไขม. 112 อีก ซึ่งไม่ได้เลยนะ เพราะความมั่นคงของใครที่เขามาลงทุน ก็เพราะพระมหากษัตริย์ ทําให้ไทยเรามีความมั่นคง ไม่โดนแทรกแซงจากต่างชาติ 

ดังนั้น อย่าไปโดนใครกล่อมเรื่องประชาธิปไตย มันไม่ได้ดีไปซะทั้งหมดทุกอย่าง มันพังกันมาแล้วก็หลายประเทศ อย่าปล่อยให้ประชาธิปไตยมันครอบงําสมองเราขนาดนั้น ดูที่ข้อเท็จจริงและความเป็นจริง ว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นคนทําจริงเราเห็นอยู่ดี เขาไม่ได้คิดแต่พูด แต่เขาจะทําให้เราเห็น…

ต่อมาคําถาม ‘ถ้าดีขนาดนี้แล้วทําไมคนไม่เลือก?’ สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด คุณคิดว่ามีคนรู้เรื่องแบบผมสักกี่คน ซึ่งหลาย ๆ คนไม่รู้เรื่องนี้เลย ดังนั้นคุณไม่ควรถามผมเลยนะว่าทําไมดีแล้วคนไม่เลือก ซึ่งคําตอบมันมีอยู่แล้ว ก็ถ้ามันดีแล้วคุณไม่เลือกก็แปลว่าคุณ (โดนหลอกแล้ว) … ซึ่งอาจจะไม่มากนัก แต่เปลี่ยนใจกันได้ไม่เป็นไร หลงผิดไปยินดีกลับมาสู้ด้วยกันใหม่ ยินดีเสมอ…

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้การใช้ชีวิตก็ดีขึ้น เพราะมีคมนาคมที่ทำให้เราเดินทางไปทำงานสะดวก จึงอยากให้ทุกคนลองปรับตัวกันบ้าง ไปทำงานกันบ้าง หรือใครที่รู้สึกว่าปรับตัวในโลกดิจิทัลมันยากและปรับไม่ทัน อันนี้ผมเข้าใจ แต่พวกที่ด่าอย่างเดียวเลยว่าไม่มีเงิน เศรษฐกิจแย่ ประเทศชาติแย่ ระบบแย่ อยากจะเปลี่ยนแปลงและให้ประเทศมันดีขึ้นกว่านี้ คำถามคือประเทศมันยังไม่ดีพออีกหรอทุกวันนี้… ‘ลุงตู่’ ท่านทำ S Curve สร้างไว้ให้ขนาดนี้ คุณไม่คิดจะพัฒนาและปรับตัวเลย คุณจะรอแต่รัฐสวัสดิการและขอเงินอย่างเดียว แล้วคุณจ่ายภาษีกันเท่าไหร่…อย่างสวิตเซอร์แลนด์, เนเธอร์แลนด์, ไอซ์แลนด์, เยอรมัน เขาจ่ายภาษีกันประมาณ 40-50% เลย จะเอาประชานิยมที่เขาแจกอย่างเดียว จะให้รอเอาเงินมาให้ เอาสวัสดิการดี ๆ มาให้ แต่ต้องมากู้สาธารณะ ทีนี้ลุงตู่กู้มาล้นเพดาน แถมเงินทุกบาททุกสตางค์ของที่กู้มา มันก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบที่ได้พูดไป เพื่อให้พวกคุณไง ด่าเช้าด่าเย็นแต่ก็ใช้ถนน ด่าว่า 8 ปีไม่ทําอะไรเลย แต่ก็ใช้รถไฟฟ้า เรียกร้องจะเอาวัคซีนที่ดีที่สุดอย่างไฟเซอร์ โมเดอร์นา แล้วตอนนี้เป็นไงเสียชีวิตกันเป็นแถบ… ดังนั้นลุงตู่ไม่ใช่เทพที่ไหน ไม่ใช่คนเลวจากการรัฐประหาร แต่เป็นคนดีที่ตั้งใจทําผลงานสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และสร้าง S Curve ให้กับประเทศไทยได้อย่างน่ามหัศจรรย์

แล้วล่าสุดท่านพีระพันธุ์คุยกับผู้ว่าการมณฑลยูนนานของจีน สร้างสัมพันธไมตรีอันดี ซึ่งความพีกก็คือเขาก็มาคุยกันเรื่องของการพัฒนาต่อยอดเศรษฐกิจ พวกโครงสร้างพื้นฐานที่มันเชื่อมกันพลังงานสะอาด พลังงานสีเขียว และก็อุตสาหกรรมสีเขียว แล้วก็แลกเปลี่ยนความรู้ด้านพลังงาน รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน นี่แหละ…มันเป็นความสําเร็จทั้งหมดแล้วมาเชื่อมโยงกันได้ดีมาก สุดท้าย…สีเหลืองคนละไม้คนละมือ จะไม่ชนะได้ยังไงโครงการดี ๆ ขนาดนี้ สู้ไปด้วยกัน…

'พีระพันธุ์' จี้!! แหล่งก๊าซเอราวัณให้ขุดได้ตามเป้า ตัวแปรสำคัญช่วยคงค่าไฟงวดหน้าไม่สูงกว่าเดิม 

(27 ก.พ.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้กล่าวถึงอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2567 ว่า ตนเองไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้เพราะเป็นห่วงพี่น้องประชาชนตลอดเวลา ทั้งนี้หลังจากที่ตนและผู้บริหารกระทรวงพลังงานโดยเฉพาะปลัดกระทรวง นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรี (นายณอคุณ สิทธิพงษ์) และประธานคณะกรรมการ กกพ., นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ รวมทั้งคณะกรรมการ กกพ. และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านได้ร่วมกันพยายามหาทางให้อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนมกราคมถึงเมษายน 2567 ไม่สูงถึงหน่วยละ 4.68 บาท อย่างที่เคยเป็นข่าว 

แม้จะมีปัจจัยลบจำนวนมาก โดยเฉพาะปัญหาการขุดก๊าซจากอ่าวไทยที่ขาดหายไปเป็นจำนวนมากพอสมควร ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซที่มีราคาแพงมาชดเชยในช่วงเวลาดังกล่าว แต่เมื่อทุกฝ่ายช่วยกันบริหารจัดการปัจจัยต่าง ๆ อย่างจริงจังแล้ว ก็สามารถทำให้อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท และยืนอัตราหน่วยละ 3.99 บาทสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง ทำให้ประชาชนไม่เดือดร้อนจากอัตราค่าไฟฟ้าในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2567 มากนัก 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก กกพ. จะมีการปรับค่าเอฟทีสำหรับการกำหนดค่าไฟฟ้าทุก 4 เดือน ดังนั้นอัตราค่าไฟฟ้าหน่วยละ 4.18 บาท ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนเมษายน 2567 นี้ ก็จะต้องมีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดต่อไปคือ งวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2567 กันใหม่อีกในเร็ว ๆ นี้ 

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า จะพยายามคงอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2567 ไว้ในอัตราเดิม คือหน่วยละ 4.18 บาท ให้ได้มากที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้เพราะทาง ปตท. สผ. ยืนยันว่าจะสามารถขุดก๊าซจากอ่าวไทยที่ขาดหายไปจำนวนมากกลับคืนมาได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป ซึ่งตนเองจะเดินทางไปดูการทำงานของ ปตท.สผ. ที่หลุมขุดเจาะเอราวัณกลางอ่าวไทยในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อให้มั่นใจว่า ปตท.สผ. จะสามารถดำเนินการได้ตามที่รับปากไว้ และยังมีแนวโน้มว่าปัจจัยอื่นน่าจะเป็นบวกมากกว่าในงวดเดือนมกราคมถึงเมษายน 2567 อีกทั้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับปากว่าจะพยายามยืนอัตราค่าไฟฟ้าไว้ในอัตราเดิม ตนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนจะไม่เจอกับปัญหาการขึ้นค่าไฟฟ้าในงวดระยะเวลาดังกล่าว 

“เราเป็นห่วงประชาชน จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานของประชาชนซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญลงให้ได้ โดยใช้มาตรการทุกอย่างที่ทำได้ภายใต้โครงสร้างปัจจุบันก่อนที่จะรื้อทั้งระบบภายในปีนี้” นายพีระพันธุ์ กล่าวทิ้งท้าย

'พีระพันธุ์' ให้คำมั่น!! ยืนหยัดแก้ปัญหาพลังงาน เพื่อ 'ชาติ-ประชาชน' ตามรอย 'พลโทณรงค์' ในงานสมาคมนักเรียนเก่าฟิลิปปินส์ในพระบรมราชูปถัมภ์

(2 มี.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ได้รับเชิญจากสมาคมนักเรียนเก่าฟิลิปปินส์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ไปบรรยายเรื่องพลังงาน ในฐานะที่คุณพ่อ 'พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค' เคยเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ และยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเรียนเก่าฟิลิปปินส์ในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นคนแรก  

โดยนายพีระพันธุ์ได้เล่าถึงเรื่องราวของ พลโทณรงค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกกิจการพลังงานของไทย รวมทั้งเป็นผู้บุกเบิกการก่อสร้าง 'โรงกลั่นน้ำมัน' แห่งแรกของประเทศไทย ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และเป็นผู้ก่อตั้งปั๊มน้ำมัน 'สามทหาร' ที่ปัจจุบันแปรสภาพเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อจำหน่ายน้ำมันที่ขุดและกลั่นได้เองจากโรงกลั่นน้ำมันที่อำเภอฝางให้ประชาชนใช้ในราคาถูก และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมสมัยใหม่ของประเทศไทย

นายพีระพันธุ์ กล่าวย้ำว่า พลังงานคือความมั่นคงของประเทศ แต่ปัจจุบันกิจการด้านพลังงานได้แปรเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของธุรกิจ ตนในฐานะ รมว.พลังงาน จึงตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน ตามแนวทาง รื้อ ลด ปลด สร้าง ที่ได้เริ่มต้นดำเนินการแล้ว

‘นายกฯ’ ชี้!! รอ ‘พีระพันธุ์’ ชงต่ออายุมาตรการพลังงานอยู่ หลังราคา ‘น้ำมันดีเซล-ค่าไฟฟ้า’ ใกล้สิ้นสุดมาตรการ

เมื่อวานนี้ (3 มี.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับประชาชน โดยมติครม. ตรึงราคาน้ำมันดีเซล 30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.นี้ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้ากลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านพักอาศัยไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ที่จะสิ้นสุดมาตรการในเดือนเม.ย.นี้ ว่ารัฐบาลมีแนวโน้มจะต่ออายุมาตรการดังกล่าวหรือไม่ ว่า รอ รมว.พลังงาน เป็นผู้เสนอ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top