Wednesday, 15 May 2024
พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค

‘อิทธิพัทธ์’ เปิดบิลค่าไฟ เทียบเดือนต่อเดือน ลดไปเกือบ 2 พัน!! พร้อมขอบคุณนโยบายดีๆ จาก ‘รมว.พีระพันธุ์’ ที่ช่วยลดภาระคนไทย

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 66 นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ หรือ ‘บอย’ อดีตผู้สมัคร สส.กทม พรรครวมไทยสร้างชาติ คณะทำงานของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Itthipat Settayukanon’ ชื่นชม ‘นโยบายลดค่าไฟ’ โดยระบุว่า…

“Itthipat update 👍🏻
มาแล้วครับไม่พูดเยอะ ดูจากรอบบิลครับ ค่าไฟเดือนตุลาคม เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ลดลงจาก 16,926.08 เป็น 14,954.59 ลดลง 1,972.49 บาท

สืบเนื่องจากนโยบายของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่อยากลดค่าไฟให้พี่น้องประชาชนคนไทย จากความต้องการดังกล่าวทำให้ กกพ. มีมติลดค่า FT จาก 4.45 บาทต่อหน่วย เป็น 3.99 บาทต่อหน่วย ต้องขอบคุณท่านพีระพันธุ์ ที่นึกถึงพี่น้องคนไทยทั้งประเทศนะครับ

ลองไปเช็กบิลค่าไฟแล้วดูว่าของแต่ละท่านลดลงเท่าไหร่ ส่วนของผมลดลงเรียบร้อย ขอขอบคุณท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ที่ทำงานหนักเพื่อประชาชนมาโดยตลอดครับ”

‘พีระพันธุ์’ เปิดแผน ‘รื้อ-ทุบ-ปลด-สร้าง’ แก้กฎหมายเอื้อกำกับราคาน้ำมัน เร่งปรับโครงสร้างตั้งแต่ฐานราก พร้อมยัน!! ลดโซฮอล์ 91 ก่อน ชนิดอื่นต่อคิว

(23 ต.ค. 66) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงข้อเสนอแนะจากประชาชนบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการลดราคาน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ 91 และเสนอลดโซฮอล์ 95 แทน ว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังยืนยันลดโซฮอล์ 91 อัตรา 2.50 บาทต่อลิตร เพราะการลดครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นลดน้ำมันเบนซิน หลังจากนั้นจะทยอยลดสูตรอื่น อาทิ โซฮอล์ 95 เป็นต้น ไม่ได้แปลว่าไม่ลดชนิดอื่นแล้ว

ทั้งนี้ มี 2 เหตุผลในการเลือกลดโซฮอล์ 91 เพราะ 1.) เป็นน้ำมันที่ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ใช้กันมากสุด จึงจำเป็นที่ต้องเยียวยาไวกว่ากลุ่มอื่น 2.) เป็นน้ำมันที่ราคาหน้าโรงกลั่นถูกที่สุดคือ 22.21 บาทต่อลิตร ต้นทุนถูกกว่าทั้งน้ำมัน อี 20 และ อี 85 โดยนายพีระพันธุ์เข้าใจความเป็นห่วงของทุกฝ่าย แต่การลดราคาเชื้อเพลิงนั้นเป็นแค่มาตรการระยะสั้นที่จะทำให้พลังงานเป็นธรรมสำหรับทุกคน

นายพงศ์พลกล่าวว่า ขณะนี้นายพีระพันธุ์มีแผนลดราคาพลังงานทั้งระยะสั้น กลาง ยาว วางไว้ทุกสเต็ป โดยระยะสั้นคือ ลดค่าพลังงาน ชนิดไหนทำก่อนจะทำเลยอย่างน้อยได้ประวิงหนี้ ลดค่าใช้จ่ายค่าไฟน้ำมัน ต่อลมหายใจให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย

ขณะที่ระยะกลางจะเดินหน้าแก้กฎหมายอุปสรรค เรื่องนี้ใช้เวลาแต่จะเห็นผลชัดภายในปีนี้แน่นอน เพราะจะมีการรื้อ ทุบ ปลด สร้าง คือ แก้กฎหมายที่เอื้อให้มีการกำกับโครงสร้างราคาน้ำมันให้โปร่งใส ราคาไม่เอาเปรียบผู้บริโภค เพิ่มกฎหมายใหม่น้ำมันราคาถูกเฉพาะทาง มี พ.ร.บ.น้ำมันเพื่อการเกษตรและการแก้กฎเรื่องมาตรฐานน้ำมัน ฯลฯ

ระยะยาวจะวางโครงสร้างเพื่ออนาคต เน้นปฏิวัติแบบแผนเพื่อความยั่งยืน จะวางรากฐานเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน อาทิ ระบบสำรองน้ำมันประเทศเพื่อความมั่นคงโดยกระทรวง การเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ยุคผลิตพลังงานสะอาดเต็มตัว ศึกษาระบบเน็ต-บิลลิ่ง ระบบกริดแบบใหม่

'รมว.พลังงาน' ตั้งคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมัน คาด 2-3 วัน ปริมาณการใช้น้ำมันจะเข้าสู่สภาวะปกติ

จากกรณีที่มีการเผยแพร่สถานีบริการน้ำมันหลายแห่งไม่มีน้ำมันให้บริการ โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 รวมถึงน้ำมันประเภทอื่นที่ลดราคาตามมาตรการรัฐบาลและกระทรวงพลังงานที่ลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินเพื่อช่วยลดภาระประชาชนจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานนั้น

(8 พ.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวว่าสถานีบริการน้ำมันบางแห่งมีน้ำมันไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่า...

ปริมาณการใช้น้ำมันช่วงก่อนหน้าที่จะมีการลดราคาน้ำมัน โดยเฉพาะในช่วงระหว่างวันที่ 4 - 6 พฤศจิกายน 2566 ตัวเลขเบื้องต้น มีการใช้น้ำมันลดลงกว่า 60% ซึ่งปกติน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 จะมีการใช้ประมาณวันละ 17 ล้านลิตร ก็เหลือเพียงประมาณวันละ 7 ล้านลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงจากวันละ 6 ล้านลิตร เหลือวันละประมาณ 2 ล้านลิตร รวมทั้ง E20 และ E85 ก็มีปริมาณลดลงเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะประชาชนได้รับทราบข่าวสารล่วงหน้าในนโยบายการลดราคาน้ำมันเบนซินของกระทรวงพลังงาน จึงชะลอการใช้บริการ

นอกจากนั้น ก็มีการเปลี่ยนการเติมชนิดน้ำมันจากน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มาเป็น 91 ทำให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ทางกรมธุรกิจพลังงาน ก็ได้มีการสั่งการให้ผู้ค้าน้ำมันให้เตรียมปริมาณน้ำมันสำรองในสถานีบริการให้เพียงพอ แต่เนื่องจากประชาชนได้ชะลอการเติมในช่วงก่อนที่จะมีการลดราคาน้ำมัน ทำให้วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งเป็นวันแรกที่มีการลดราคาน้ำมัน ทำให้ปริมาณการใช้เพิ่มสูงขึ้นมากจนหลายสถานีบริการมีปริมาณน้ำมันไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย 

อย่างไรก็ดี ทางกรมธุรกิจพลังงานได้สั่งการให้ผู้ค้าน้ำมันเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็วเพื่อลดผลกระทบกับประชาชน คาดว่าภายใน 2 - 3 วันนี้ การใช้บริการจะกลับสู่ภาวะปกติ

“หลังจากที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ผมได้สั่งการให้กรมธุรกิจพลังงานเร่งประสานผู้ค้าน้ำมันทุกราย เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบการใช้น้ำมัน ทั้งนี้ จากการตรวจสอบก็พบว่า ปริมาณการเติมน้ำมันในช่วงวันที่ 4 - 6 พฤศจิกายน ลดลงเป็นอย่างมาก คาดว่าน่าจะเกิดจากประชาชนได้ชะลอการเติมน้ำมันเพื่อที่จะมาเติมน้ำมันในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งจะเป็นการลดราคาน้ำมันเป็นวันแรก จึงคาดว่าภายใน 2 – 3 วันนี้ ปริมาณน้ำมันในสถานีบริการจะเข้าสู่ภาวะปกติ และขอย้ำว่าการปรับลดราคาครั้งนี้ เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน สถานีบริการไม่ได้รับการชดเชยจากภาครัฐ ดังนั้น สถานีบริการที่ซื้อน้ำมันในราคาสูงก่อนหน้าวันปรับลดราคาจะขาดทุนในสต๊อก จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะกักตุนน้ำมัน แต่จากราคาที่ลดลงส่งผลให้ประชาชนชะลอการเติมน้ำมันก่อนหน้านี้เพื่อรอเติมน้ำมันราคาต่ำในวันที่เริ่มปรับลดราคาพร้อม ๆ กัน ทำให้สถานีบริการน้ำมันหมด ซึ่งจะเกิดในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ” นายพีระพันธ์ุ กล่าว

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงได้ลงนามคำสั่งกระทรวงพลังงานที่ 47/2566 แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน ติดตามและ ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการไม่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของสถานีน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศขึ้นทันที

“เพื่อดูแลไม่ให้ประชาชนเกิดความเดือดร้อนและได้รับบริการจากสถานีน้ำมันตามปกติ ผมจะให้คณะทำงานชุดนี้รับเรื่องมาและตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน โดยประชุมกันแล้วในบ่ายวันนี้ เพื่อกำหนดแนวทางการตรวจสอบสถานีบริการทั่วประเทศ และจะจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนกรณีเป็นการเฉพาะที่กระทรวงพลังงาน โดยประชาชนสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ที่ โทร. 02 140 7000 และหากพบว่าสถานีบริการหรือผู้ประกอบการใดตั้งใจงดให้บริการประชาชนจะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายทันที” นายพีระพันธุ์กล่าวทิ้งท้าย

‘พีระพันธุ์’ เข้าร่วมประชุม-แสดงวิสัยทัศน์ ตามคำเชิญจีนที่ยูนนาน กร้าว!! จุดยืนไทย มุ่งมั่นพลังงานสะอาด สอดรับทิศทาง BRI

‘พีระพันธุ์’ นำผู้บริหารพรรครวมไทยสร้างชาติร่วมประชุม ‘ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง’ ตามคำเชิญของจีน ย้ำความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา และสร้างความยั่งยืนของพลังงานสะอาดของประเทศสมาชิกและของโลก

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 66 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พร้อมด้วยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค, พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร สส.นครปฐม, นายพงษ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรค และ นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ เหรัญญิกพรรค เข้าร่วมการประชุม Communist Party of China (CPC) in Dialogue with Political Parties from Southeast and South Asian Countries (ในหัวข้อ Enhancing the Pillars of High-quality Development, Embracing a Brighter) โดยมี นายหลิว เจี้ยนชาว รมว.วิเทศสัมพันธ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน และ นายหวาง หนิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนมณฑลยูนนาน ประเทศจีน และผู้แทนจากพรรคการเมืองหลายประเทศ เข้าร่วมประชุมด้วย ณ WYNDHAM GRAND Plaza Royale Colorful Yunnan Kunming ประเทศจีน

นายพีระพันธุ์ ได้รับเกียรติให้ขึ้นกล่าวบนเวทีว่า ตนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้มาร่วมประชุมพร้อมกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคและคณะผู้บริหารพรรค และให้โอกาสตนกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมร่วมของพรรคการเมืองจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ในหัวข้อเรื่อง ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (One belt one road initiative – BRI)

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 10 ปีของการดำเนินการข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มาตั้งแต่สมัยที่เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางในความเป็นจริงคือการเชื่อมโลกเชื่อมประเทศต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาความเจริญของแต่ละประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ให้เดินหน้าไปพร้อมกัน โดยมีประเทศจีนเป็นแกนกลาง

ทั้งนี้ ในอดีตประเทศจีนก็เป็นผู้นำในด้านนี้มาก่อนตามที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘เส้นทางสายไหม’ แต่ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางในครั้งนี้ยิ่งใหญ่และกว้างขวางกว่าเส้นทางสายไหมในอดีตเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเชื่อมประเทศ เข้าต่างๆ ด้วยกันกว่า 100 ประเทศ ทั้งประเทศในทวีปเอเชีย, ยุโรป และแอฟริกาโดยเฉพาะ เมื่อมีการนำเอาเรื่องพลังงานสะอาดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางด้วย ยิ่งทำให้ข้อริเริ่มนี้มีความยิ่งใหญ่และมีความสำคัญต่อโลกมากยิ่งขึ้น 

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่าความจริงใจและเป็นมิตรของจีนจะเป็นแรงผลักดันให้ทุกโครงการของข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางในทุกประเทศสมาชิก ประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายทุกโครงการได้

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ตนรับผิดชอบดูแลภารกิจด้านพลังงานของประเทศไทยจะเดินหน้าพัฒนาพลังงานสะอาดของประเทศไทยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ดังกล่าวอย่างมั่นคงและประสบความสำเร็จตามเป้าหมายโดยเร็ว 

“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนและประเทศสมาชิก จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาและความยั่งยืนของพลังงานสะอาดของโลกไม่ใช่เฉพาะไทยเท่านั้น ผมในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมผู้บริหารพรรคที่มาร่วมงานในวันนี้ ขอขอบคุณพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ให้โอกาสมาร่วมงานในครั้งนี้” นายพีระพันธุ์ กล่าว

ก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์ พร้อมคณะได้เดินทางไป ศึกษาดูงานด้านพลังงานที่ Yunnan Energy Investment ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของประเทศจีน ถือเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ของมณฑลยูนนาน อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของคณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารทรัพย์สินของรัฐของรัฐบาลมณฑลยูนนาน (State-owned Assets Supervision and Administration Commission of Yunnan Provincial People's Government) ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน ‘บริษัทยอดเยี่ยม 500 อันดับแรกของจีน’ ติดต่อกัน 7 ปี

นอกจากนี้ ยังได้มีการประชุมหารือทวิภาคีก่อนการประชุม ‘ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง’ ร่วมกับนายหวาง หนิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำมณฑลยูนนาน ประธานสภาประชาชนมณฑลยูนนาน และเลขาธิการพรรค คอมมิวนิสต์จีน ประจำสภาประชาชนมณฑลยูนนาน

‘พีระพันธุ์’ ร่วมศึกษางานบริษัทพลังงานชั้นนำของ ‘จีน’ เล็งพัฒนาความร่วมมือ หนุนพลังงานสีเขียวอย่างยั่งยืน

(11 พ.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ขณะเข้าร่วมการประชุม Communist Party of China (CPC) in Dialogue with Political Parties from Southeast and South Asian Countries (ในหัวข้อ Enhancing the Pillars of High-quality Development, Embracing a Brighter) ณ WYNDHAM GRAND Plaza Royale Colorful Yunnan Kunming ประเทศจีน ระบุว่า…

ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมที่นครคุนหมิงตามคำเชิญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งนี้ ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมและศึกษาดูงานที่บริษัท Yunnan Energy Investment Group จำกัด (YEIG) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ของมณฑลยูนนาน และได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน ‘บริษัทยอดเยี่ยม 500 อันดับแรกของจีน’ ติดต่อกัน 7 ปี

ผมได้รับทราบข้อมูลว่า บริษัท YEIG นี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2557 เดิมชื่อ ‘บริษัท การลงทุนไฟฟ้ามณฑลยูนนาน จำกัด’ อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของคณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารทรัพย์สินของรัฐของรัฐบาลมณฑลยูนนาน (State-owned Assets Supervision and Administration Commissionof Yunnan Provincial People's Government) โดยมีธุรกิจหลัก คือ การผลิตพลังงานสะอาด (น้ำ ลม แสงอาทิตย์ ก๊าซธรรมชาติ และชีวภาพ) และยังดำเนินธุรกิจด้านการเงิน โลจิสติกส์ สารสนเทศ (Big Data) และกิจการอื่นๆ ผ่านบริษัทในเครือกว่า 100 บริษัท 

นอกจากนี้ YEIG ยังได้นำยุทธศาสตร์ ‘ก้าวออกไป’ ของรัฐบาลจีนมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินกิจการในต่างประเทศ โดยการก่อตั้งบริษัท Hong Kong Yunnan Energy International Investment จำกัด เพื่อลงทุนโครงการสถานีไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติและพลังไอน้ำในเมียนมา และโรงงานปูนซีเมนต์ในลาวและอินโดนีเซีย รวมทั้งได้จัดตั้งสำนักงานตัวแทนในต่างประเทศ เช่น ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม ติมอร์-เลสเต บังกลาเทศ และเนปาล รวมถึงในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพื่อแสวงหาความร่วมมือด้านพลังงาน รวมทั้งมุ่งดำเนินการตามวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และแผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์มณฑลยูนนาน และรัฐบาลมณฑลยูนนาน โดยเฉพาะการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานสีเขียวให้เป็นอุตสาหกรรมหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาใหม่ที่ยั่งยืนของมณฑลต่อไป

ผมขอขอบคุณท่าน หู จวิน ประธานบริษัทฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกๆ ท่าน ที่ให้การต้อนรับผมและคณะเป็นอย่างดี และทาง YEIG ยังพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับกระทรวงพลังงานในภารกิจต่างๆ ด้านพลังงาน โดยจะให้ตัวแทนในประเทศไทยติดต่อผม เพื่อประสานงานแนวทางต่าง ๆ กันต่อไป ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ

‘พีระพันธุ์’ ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมแก้ปัญหา ลั่น!! ตอนนี้ทุกปั๊มมีน้ำมันพร้อมให้บริการ

(13 พ.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า จากกรณีที่สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดปัญหาน้ำมันในสถานีบริการมีไม่เพียงพอต่อการจำหน่ายเนื่องจากประชาชนตอบรับนโยบายลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน ทำให้ก่อนวันลดราคาในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ประชาชนชะลอการเติม และมาเติมพร้อมกันในวันที่ 7 พฤศจิกายน ซึ่งมียอดเติมน้ำมันเบนซินทุกชนิดรวมกันสูงถึงเกือบ 70 ล้านลิตรในวันเดียว จากปกติมีการเติมเฉลี่ยวันละ 30 ล้านลิตร

โดยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลังทราบปัญหา จึงได้มีการสั่งการตั้งคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันขึ้นทันที และมีการจัดประชุมในเย็นวันเดียวกันเพราะเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งสำนักงานพลังงานจังหวัด พาณิชย์จังหวัด และเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม ก็ได้เร่งลงพื้นที่ พร้อมกำชับสถานีบริการน้ำมันที่มีน้ำมันไม่เพียงพอจำหน่ายเร่งซื้อน้ำมันเข้ามาเติมเพื่อให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบ 

ทั้งนี้ ต้องขอบคุณทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ทุกฝ่าย ที่เร่งดำเนินการแก้ปัญหา รวมทั้งขอบคุณเจ้าของสถานีบริการน้ำมันและผู้ค้าน้ำมัน ที่เร่งดำเนินการ ทั้งการเพิ่มรอบส่งน้ำมัน การปรับแผนกระจายน้ำมันให้ทั่วถึง จากการตรวจสอบก็พบว่า สถานีบริการที่อยู่ในเมือง สามารถแก้ปัญหาได้ภายใน 1-2 วัน ยกเว้นสถานีบริการน้ำมันที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่จำเป็นต้องจ้างรถเอกชนเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ใน 3-4 วัน

"ผมยังยึดมั่นคำเดิม อะไรที่ทำได้ ทำก่อน อย่างกรณีวันแรก (7 พ.ย.66) ทันทีที่มีการแชร์ข้อมูลเรื่องสถานีบริการมีน้ำมันไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย ผมได้สั่งการให้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันขึ้นทันที ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการลงพื้นที่ตรวจสอบสถานีบริการน้ำมัน และส่งข้อมูลเข้าส่วนกลาง เพื่อแจ้งไปยังกรมธุรกิจพลังงานให้เร่งประสานผู้ค้าน้ำมันในการเพิ่มรอบการส่ง กระจายปริมาณน้ำมันจากคลังให้เพียงพอและทั่วถึง ซึ่งบางสถานีบริการอยู่ในพื้นที่ห่างไกล จึงอาจเกิดความล่าช้าในการขนส่ง และบางสถานีระบบสั่งจ่ายน้ำมันก็เกิดเหตุขัดข้อง ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาและสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้ว กระทรวงพลังงานจะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หากประชาชนพบว่าปัญหาเรื่องการจำหน่ายน้ำมัน สามารถแจ้งเรื่องได้ที่ศูนย์บริการร่วมกระทรวงพลังงาน โทร 02-140-7000” นายพีระพันธุ์กล่าว

'พีระพันธุ์' โพสต์ยินดี 'ลุงตู่' ได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรี เชื่อ!! ท่านจะเป็นกำลังสำคัญของสถาบันสูงสุดของชาติ

(30 พ.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความยินดีกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีวานนี้ (29 พ.ย.2566) โดยระบุว่า…

เมื่อคืนผมดีใจมากพอทราบข่าวพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ให้เป็นองคมนตรี ผมรีบติดต่อท่านทันทีเพื่อแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่และภารกิจใหม่อันมีเกียรติยศและมีความสำคัญยิ่งทั้งต่อตัวท่านเอง ต่อประเทศ และต่อสถาบันหลักของชาติ

ผมดีใจมากเพราะมีคนดีอีกคนหนึ่งได้รับโอกาสนี้ โดยเฉพาะเมื่อท่านไม่ใช่เพียงเป็นแค่คนดีจริงๆเท่านั้น แต่เป็นคนดีที่มีความสามารถมีความรอบรู้ในการบริหารและการพัฒนาบ้านเมืองเป็นที่ประจักษ์ ที่สำคัญที่สุดคือเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต

ผมเชื่อมั่นและมั่นใจว่าท่านจะเป็นกำลังสำคัญของสถาบันสูงสุดของประเทศในการสร้างความมั่นคงและนำพาบ้านเมืองไปสู่ความร่มเย็นและความเจริญมากยิ่งขึ้น ผมขอแสดงความยินดีกับท่านเป็นที่สุดครับ ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’

นอกจากนี้ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ เคยเป็นสมาชิกพรรคอยู่ ก็ได้แสดงความยินดี กับพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเช่นกัน โดยนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม เพราะได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติมานาน สร้างคุณูปการให้กับสังคม และประชาชนไว้อย่างมากมาย

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยทำงานร่วมกับพรรคมาระยะหนึ่ง พวกเราได้เห็นความตั้งใจจริงในการเข้ามาทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และประชาชนคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เมื่อวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้พ้นจากการเมืองไปแล้ว พร้อมทั้งได้รับโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งองคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทำงานสนองพระเดชพระคุณในตำแหน่งองคมนตรีต่อไป

'พีระพันธุ์' ไล่บี้ 'กกพ.' ลดค่าไฟเหลือไม่เกินหน่วยละ 4.20 บาท พร้อมเร่งหาวิธีลดภาระปชช. ไม่ให้เจอแรงปะทะหลังปีใหม่

(30 พ.ย. 66) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศค่าไฟงวดใหม่ 4.68 บาทต่อหน่วย งวดมกราคม-เมษายน 2567 ว่า ราคานี้เป็นแค่ตัวเลขเสนอแนะ คำนวนเบื้องต้นจากกกพ.ยึดตัวแปรหลักตัวแปรเดียว คือการชำระหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ส่วนราคาสุดท้ายอยู่ที่ฝ่ายบริหาร กระทรวงพลังงาน ภายใต้การกำกับของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะเคาะอย่างไร ขอยืนยันว่าราคาขายไฟฟ้าจริงจะไม่ใช่ตัวเลขนี้ และประชาชนผู้ใช้ไฟจะไม่ต้องรับภาระ จนหน้ามืดอย่างแน่นอน

"นายพีระพันธุ์ กำลังหาแนวทางลดภาระค่าไฟประชาชน ไม่ให้เจอแรงปะทะหลังปีใหม่ และจะพยายามทำตัวเลขให้ลดลงได้มากที่สุด ใกล้เคียงความเป็นจริงที่กระทรวงจัดการได้ ประมาณ 4.20 บาทต่อหน่วย ใช้กลไกจัดการผสมผสาน หลายขั้นตอนกว่าการลดราคาค่าไฟปกติทั่วไป ไม่ได้ใช้แค่เรื่องประวิงหนี้กฟผ.อย่างเดียว" นายพงศ์พล กล่าว

นายพงศ์พล กล่าวว่า ราคานี้เป็นการบริหารลดค่าครองชีพระยะสั้นให้ประชาชนเท่านั้น ทางกระทรวงพลังงานยังยืนยันจะแก้ไขเชิงโครงสร้าง ก๊าซธรรมชาติ ต้นตอของปัญหาราคาไฟฟ้า และสนับสนุนพลังงานไฟฟ้าสะอาดระยะยาวต่อไป

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ‘ค่าไฟฟ้า’ จะไม่แพงตามมติ กกพ. ลั่น!! จะดึงราคาลงมาให้ได้ เพื่อไม่ให้ปชช.ลำบาก

(2 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กว่า "ขอให้มั่นใจค่าไฟจะไม่สูงอย่างที่เป็นข่าวครับ ผมเข้าใจถึงความกังวลใจของพี่น้องประชาชนที่ถามกันมามากเรื่องราคาค่าไฟฟ้าภายหลังจากสิ้นสุดระยะเวลามาตรการลดค่าไฟฟ้าในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ว่าราคาอาจกระโดดสูงขึ้นถึงหน่วยละ 4.68 บาท หรือ 17% จากราคาปัจจุบันหน่วยละ 3.99 บาทตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ได้เปิดให้มีการสอบถามและมีมติไป

ผมเองก็รับไม่ได้ถ้าราคาค่าไฟจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างนั้น เพราะถึง กกพ.จะมีมติแบบนั้น แต่เราก็ต้องบริหารจัดการเอาราคาค่าไฟลงมาให้ได้ ซึ่งผมได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ เร่งประสานทุกจุดล่วงหน้าด้วยวิธีการใหม่ๆ หลายรูปแบบแล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนไม่แบกรับค่าไฟฟ้าที่มากเกินไป จะพยายามทำให้ใกล้เคียงกับที่จ่ายอยู่ในปัจจุบันให้มากที่สุด

ผมขอให้ความมั่นใจว่ากระทรวงพลังงานยุคนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจและทำงานล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้วเพื่อให้ราคาค่าไฟอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ซึ่งต้องใช้หลายกลไกพร้อมๆ กันภายใต้โครงสร้างในปัจจุบันที่ไม่ได้ให้อำนาจกับฝ่ายนโยบายมากนัก แต่จะพยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ การที่ กกพ.ประกาศให้ประชาชนเห็นชอบแนวทางในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าก่อนหน้านี้ เป็นเงื่อนไขตามกฎหมายที่จะต้องมีการประกาศเพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดก่อนที่จะมีมติ แต่ทั้งนี้ไม่ได้เป็นที่สุด จะต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดต่อไป ทั้งหมดนี้จะเตรียมการให้เสร็จสิ้นและประกาศโดยเร็วที่สุด

ผมพูดเสมอว่านี่คือการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนภายใต้โครงสร้างแบบปัจจุบัน แต่ที่กำลังดำเนินการแบบเข้มข้นที่สุด และทำงานกันไม่หยุดหย่อนทุกวัน คือการเร่งรวบรวมข้อมูลทุกด้านเกี่ยวกับพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า พลังงานทดแทน และพลังงานสะอาด ให้ครบทุกมิติ เพื่อนำไปสู่การ รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานให้มั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืนทั้งระบบ

ไม่ยากครับถ้าแค่พูดเอาเท่ ฟังดูดีทรงภูมิ คนทำแบบนั้นมีเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเห็นรูปธรรม พูดไปเรื่อยๆ ใช่ครับ อะไรๆ ก็แก้โครงสร้าง แต่จะแก้อะไร แก้อย่างไรครับ ส่งผลกระทบแบบไหน จะทดแทนด้วยอะไร ทั้งระบบต้องสอดคล้องและไม่ก่อภาระเพิ่มให้กับประชาชน

ย้อนกลับไปดูกันนะครับ กฎหมายแต่ละฉบับ รูปแบบที่ใช้กันอยู่ ใช้มานานเท่าไร ปล่อยกันมาสี่สิบปีแล้วนะครับ

ผมเองหลังแถลงนโยบายมาสองเดือนเศษ ผมไม่พูดมากแต่ลงมือทำ อย่างน้อยผมก็พยายามลดภาระให้ประชาชนไม่ว่าจะตามโครงสร้างแบบไหน ทั้งน้ำมันดีเซล เบนซิน ค่าไฟฟ้า ตรึงราคาค่าแก๊ส ผมดีใจที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เวลาเดียวกันก็เร่งดำเนินการรวบรวมข้อมูลชนิดลงลึกทุกขั้นทุกตอน ทำงานกันหลายคณะ ทำมากกว่าพูดลอยๆ ว่า “ปรับโครงสร้างๆๆ”

เมื่อข้อมูลครบถ้วนแล้ว ไม่นานครับ เพราะผมและคณะจะร่างกฎหมายเอง เป็นชุดและครอบคลุมทั้งหมด ตอบได้ทุกคำถาม เพราะยึดเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ผมศึกษา หาข้อมูล ถกเถียง คิดวิเคราะห์ คืบหน้าไปมากแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะนี่คือการลงมือทำจริง ไม่ใช่เพียงแค่พูดแล้วเสกออกมา ขอให้มั่นใจ ผมเอาจริงแน่นอน"

‘รมว.พีระพันธุ์’ เป็นประธานหล่อองค์พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ พร้อมเปิดมูลนิธิฯ ให้ความช่วยเหลือ ปชช.ที่ประสบภัยใน จ.ราชบุรี

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 66 ที่พุทธสถานเต๋อฮว่า อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางมาเป็นประธานในพิธีหล่อองค์พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมพันกร พร้อมทั้งเปิดมูลนิธิวงษ์พิทักษ์ร่วมประชาชนสงเคราะห์ เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย และประสบอุบัติเหตุ โดยมี นายอัครเดชร วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้การต้อนรับ

ทั้งนี้ ในพิธีดังกล่าว นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค นำทีม สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ อาทิ นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ รองหัวหน้าพรรค, น.ส.กุลวดี นพอมรบดี สส.ราชบุรี, พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร สส.นครปฐม พร้อมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ใน จ.ราชบุรี นำโดยนายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผวจ.ราชบุรี พ่อค้า ประชาชนชาว จ.ราชบุรีร่วมงานจำนวนมาก

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณชาว จ.ราชบุรี ที่ได้เลือกนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ เป็น สส.ราชบุรี ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้ามาเป็นตัวแทนรับใช้ประชาชนในพื้นที่ นายอัครเดชถือว่าเป็นกำลังสำคัญของตนและพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และมีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อพี่น้องชาวราชบุรีอย่างจริงจังตลอดมา 

สำหรับ พรรครวมไทยสร้างชาติมุ่งมั่นที่เข้ามาทำงาน โดยนโยบายหนึ่งที่ตนตั้งใจจะทำก็คือ การแก้ปัญหาราคาพลังงานให้กับประชาชนเพราะปัญหาพลังงานเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของประชาชน ตนมุ่งมั่นตั้งใจว่าถ้าได้มาเป็นรัฐบาลจะพยายามปรับปรุงแก้ไขอย่างเต็มที่ เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติได้เป็นรัฐบาล และมีโอกาสมาทำงานตรงนี้จะทำตามที่ได้พูดไว้ ตั้งใจจะแก้ปัญหานี้ให้ยั่งยืน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่ไม่มีใครเคยทำได้มา 40 ปีจนเกิดปัญหากับประชาชน ตนและพรรครวมไทยสร้างชาติจะเข้ามาทำให้ได้ ทำให้ดี และยั่งยืนเพื่อลดภาระด้านพลังงานให้กับประชาชนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเสร็จพิธี นายพีระพันธุ์พร้อมคณะได้มอบเครื่องอุปโภค-บริโภคให้กับประชาชนผู้ยากไร้ เพื่อช่วยเหลือในการดำรงชีวิต

ด้านนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า เนื่องจาก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีชาวไทยเชื้อสายจีนมาตั้งรกรากอาศัย และทำมาหากินมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว จะเห็นได้ว่าในพื้นที่มีสถาปัตยกรรมจีนต่าง ๆ ปรากฎให้เห็นมากมาย  ดังนั้นนายวุฒิพงศ์ และคุณแม่สมจิตต์ วงษ์พิทักษ์โรจน์ บิดาและมารดาของตน ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน จึงได้มีดำริในการก่อตั้งศาลาแปดเหลี่ยมในรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน เพื่อประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันกร และศาลทีกง หรือ ‘ศาลเทียนสี่ฟูมู่’ หรือ ‘ศาลเทวดา ฟ้าดิน’ รวมทั้งยังได้ก่อตั้งศาลหลวงปู่ไต่ฮงกง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะแบบหลวงพ่อพระใส พร้อมองค์ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือ ‘เทพเจ้าแห่งโชคลาภ’ ให้พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปได้มากราบสักการะบูชา 

“นอกจากนี้ ยังเป็นการเริ่มต้นในการก่อตั้งมูลนิธิวงษ์พิทักษ์ร่วมประชาสงเคราะห์ เนื่องจาก อ.จอมบึง ยังไม่มีอาสาสมัครกู้ภัยอย่างเป็นทางการ ดังนั้น คุณพ่อวุฒิพงศ์ และคุณแม่สมจิตต์ มีความประสงค์ที่จะร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิฯ เพื่อให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยและประสบอุบัติเหตุ และช่วยเหลือทางราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต เราหวังว่ามูลนิธิวงษ์พิทักษ์ร่วมประชาชนสงเคราะห์ จะได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับชาว จ.ราชบุรีอย่างเต็มที่ ตามวัตถุประสงค์ของคุณพ่อวุฒิพงศ์ และคุณแม่สมต่อไป” นายอัครเดชกล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top