Wednesday, 15 May 2024
พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค

‘รมว.พีระพันธุ์’ โพสต์รำลึกถึงคุณพ่อ ‘พลโท ณรงค์ สาลีรัฐวิภาค’ ผู้ก่อตั้งปั๊มน้ำมัน ‘สามทหาร’ ปั๊มน้ำมันแห่งแรกของคนไทย เพื่อคนไทย

(5 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ ‘วันพ่อแห่งชาติ’ ระบุว่า...

ก่อนนี้ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันที่ชาวไทยร่วมกันเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิธ พร้อมไปกับเป็นวันแสดงออกถึงความรักกับพ่อเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ

วันนี้ วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันที่เราชาวไทยทั่วแผ่นดินร่วมกันน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พ่อของแผ่นดินที่สถิตอยู่กลางใจของปวงชนของพระองค์ชั่วนิจนิรันดร์ ไม่เสื่อมคลาย และขอถวายความจงรักภักดียิ่งชีวิตตลอดไป และยังเป็นวันพ่อแห่งชาติ ให้เรารำลึกถึงพ่อผู้ให้กำเนิดอีกด้วย

ผมขอใช้โอกาสนี้ บันทึกถึงพ่อที่เป็นที่เคารพรักยิ่ง ผู้ให้กำเนิดและวางรากฐานชีวิตของผมจนถึงวันนี้

เป็นที่ทราบกันในหมู่ญาติและคนใกล้ชิดว่าผมเป็นคนที่รักคุณพ่อและรักคุณแม่มาก ทุกอย่างในชีวิตของผมมาจากท่าน ผมซาบซึ้งในความรักและบุญคุณของท่านเป็นที่สุด

คุณพ่อของผม ‘พลโท ณรงค์ สาลีรัฐวิภาค’ เป็นอดีตเจ้ากรมการพลังงานทหาร และผู้อำนวยการองค์การเชื้อเพลิง เป็นผู้บุกเบิกการสำรวจและผลิตน้ำมันในยุคเริ่มต้นด้านพลังงานของประเทศตั้งแต่ยุคก่อน พ.ศ. 2500 เป็นผู้สร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของไทย ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ สามารถขุดและผลิตน้ำมันเพื่อกองทัพ และยังมีเหลือมากพอที่จะนำมาให้คนไทยได้ใช้น้ำมันราคาถูก โดยการก่อตั้งปั๊มน้ำมัน ‘สามทหาร’ ปั๊มน้ำมันแห่งแรกของคนไทย เพื่อคนไทย สามารถให้บริการขายน้ำมันราคาถูก ให้คนไทยใช้มานานนับสิบๆ ปี เพราะเป็นน้ำมันที่ผลิตเองในประเทศ ก่อนที่รัฐบาลจะเปลี่ยนองค์การเชื้อเพลิงของกรมการพลังงานทหารมาเป็น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ‘ปตท.’ เมื่อ พ.ศ. 2521 แล้วในที่สุดก็กลายมาเป็น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัทที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันว่า เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องหากำไรให้องค์กรและผู้ถือหุ้น 

ผมผูกพันกับเรื่องพลังงานมาโดยไม่รู้ตัว

ตอนเด็กๆ ผมชอบคุยกับคุณพ่อเรื่องทหาร และผมก็ซนมากด้วย ซนจนคุณพ่อไปไหนต้องหนีบเอาผมไปด้วยเสมอ เพราะกลัวจะหัวร้างข้างแตกหรือไม่ก็ทำของที่บ้านพัง ผมเลยมีโอกาสนั่งคุยกับคุณพ่อในรถไปตลอดทางบ้าง ได้ยินการประชุมการหารือเรื่องน้ำมันและพลังงานของคุณพ่อบ้าง เพราะวิ่งป้วนเปี้ยนอยู่ข้างคุณพ่อตอนคุณพ่อประชุมมาตั้งแต่เด็กๆ แม้ตอนนั้นจะไม่เข้าใจมากนักเพราะความเป็นเด็ก แต่ผมก็ได้รับทราบถึงความมุ่งมั่นของคุณพ่อและรัฐบาลในสมัยนั้น ที่มีความตั้งใจสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ประเทศและคนไทย โดยไม่มีเรื่องการทำมาหากินกับพลังงาน และไม่มีเรื่องหากำไรจากประชาชนด้านพลังงานเลย 

ครอบครัวเราเห็นคุณพ่อทำงานหนัก เดินทางไปที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เพื่อเสาะแสวงหาและขุดเจาะน้ำมันให้ได้ตามที่รัฐบาลมอบหมาย

ระหว่างทางพวกเราได้ยินคุณพ่อเล่าเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ครอบครัวเราที่รับรู้ แต่คนที่นั่นต่างก็รับทราบกันถ้วนหน้า จนถึงวันนี้ยังมีตำนานเล่าขานเรื่อง ‘เจ้าพ่อข้อมือเหล็ก’ ที่เป็นที่มาของศาลเจ้าพ่อข้อมือเหล็กที่โรงกลั่นน้ำมันฝางจนทุกวันนี้

ในปี พ.ศ. 2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงกลั่น คุณพ่อคุณแม่ของผมรวมทั้งทุกคนที่เกี่ยวข้องเฝ้ารับเสด็จด้วยความปลาบปลื้ม ในพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการพลังงานไทยเป็นที่สุด

ความสำเร็จของการขุดเจาะน้ำมันและกลั่นน้ำมันใช้เองครั้งนั้น เป็นการปลดแอกการผูกขาดของบริษัทน้ำมันต่างชาติ ยกเลิกข้อผูกพันที่ทำไวักับบริษัทต่างชาติ เรื่องห้ามมิให้รัฐบาลจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแก่ประชาชน สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ให้กับกองทัพ ไม่ต้องง้อต่างชาติหากเกิดศึกสงครามและต่างชาติบีบไม่ส่งน้ำมันให้ ขณะเดียวกันก็สร้างทางเลือกให้กับประชาชนมีน้ำมันใช้ในราคาถูก

พลังงานเพื่อผลประโยชน์ชาติและประชาชน คือ จิตวิญญานพื้นฐานของการจัดการพลังงานไทย ในยุคตั้งต้นที่ผมซึมซับจากพ่อเสมอมา

ต่อมา ในปี พ.ศ.2521 องค์การเชื้อเพลิงได้ถูกเปลี่ยนมือจากกองทัพมาเป็นการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ปั๊มน้ำมัน ‘สามทหาร’ ทุกแห่งทั่วประเทศถูกปลดป้ายชื่อเปลี่ยนเป็นปั๊ม ‘ปตท.’ หลังจากนั้นจิตวิญญาณของปั๊ม ‘สามทหาร’ และ ‘องค์การเชื้อเพลิง’ ที่มุ่งมั่นตั้งใจผลิตน้ำมันเพื่อความมั่นคงของประเทศ และเพื่อให้คนไทยได้ใช้น้ำมันในราคาถูกก็ค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นธุรกิจการค้าเพื่อหากำไรเต็มรูปแบบ โดยรัฐฯ เข้าไปมีบทบาทกำกับควบคุมได้น้อยมากอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  

ผมไม่คิดไม่ฝันว่า วันหนึ่งต้องมารับผิดชอบดูแลพลังงานของชาติเหมือนคุณพ่อในอดีต 

สิ่งที่ต่างไป คือ วันนี้พลังงานกลายเป็นเรื่องธุรกิจ เป็นเครื่องมือทำมาหากินของคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง บริหารน้ำมันและพลังงานในเชิงธุรกิจการค้า ทำมาหากินกับน้ำมันและพลังงาน ไม่มีการบริหารจัดการพลังงานในด้านความมั่นคงของประเทศอย่างจริงจัง 

ผมต้องยอมรับว่าผมตกใจและแปลกใจ ที่มีหลายต่อหลายเรื่องที่ถูกปล่อยให้เป็นมาแบบนี้ ภาระทุกอย่างมาตกที่รัฐบาลและประชาชน ขณะที่กำไรมหาศาลตกอยู่กับผู้ประกอบการ ประชาชนแบกรับภาระกันไป ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศทั้งก๊าซและน้ำมันก็มีปัญหา และไม่มีระบบรองรับ  

ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ไม่มีการสำรองน้ำมัน เพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ หรือ ‘SPR’ (Strategic Petrolium Reserve) น้ำมันสำรองที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ของรัฐบาลและที่มีสำรองอยู่ก็เพื่อการค้า ไม่ใช่เพื่อความมั่นคงทางด้านยุทธศาสตร์ของประเทศ (SPR) การจัดสัดส่วนก๊าซและรายได้ของรัฐฯ จากก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยก็ไม่เหมาะสม 

แต่ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจครับว่า ตราบใดที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อนำจิตวิญญาณของพลังงาน เพื่อความมั่นคงของประเทศและประชาชน เหมือนในอดีตยุคคุณพ่อผมกลับคืนมาให้ได้ 

เพราะในยามคับขันไม่มีใครช่วย เราต้องเตรียมความพร้อมและยืนบนขาตัวเองให้ได้

ปัญหาพลังงานของประเทศวันนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ปัญหาโครงสร้าง ตามที่หลายคนชอบพูดชอบเรียกร้องเอาเท่ๆ ว่าให้ปรับโครงสร้างๆๆ ทำไมไม่ทำสักที ทำไมช้าจัง

ผมขอเรียนว่า ผมคงไม่ทำแค่ปรับโครงสร้างหรอกครับ เพราะปัญหาในภาพรวมมันไกลเกินกว่าจะทำเพียงแค่ปรับโครงสร้างแล้ว แต่มันต้อง ‘รื้อ’ ทั้งระบบ และเป็นการ ‘รื้อครั้งใหญ่’ ครับ 

เพราะมันจะเป็นการ ‘รื้อครั้งใหญ่’ ไม่ใช่แค่ปรับโครงสร้าง จึงต้องรอบคอบ และแก้ทุกอย่างอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แก้ตรงนี้แล้วไปสร้างปัญหาตรงโน้น หากแต่ต้องแก้ตรงนี้แล้วตรงโน้นได้รับการแก้ไขต่อกันไปด้วย ตอนนี้ผมและทีมงานได้ข้อมูลเกือบเพียงพอที่จะเริ่มเดินหน้าเรื่องนี้ได้แล้ว อีกไม่นานครับ… เมื่อถึงเวลานั้น ผมจะเป็นผู้นำ ‘รื้อครั้งใหญ่’ นี้เอง 

ผมไม่ค่อยชอบพูด ไม่ชอบให้สัมภาษณ์ แต่ชอบลงมือทำ ขอให้เชื่อมั่นครับ ว่าเรื่องนี้ผมทำจริงแน่นอน และจะทำเพื่อให้ประโยชน์ตกอยู่กับประเทศและประชาชนทุกคน 

สุดท้ายนี้ ผมขอให้คุณพ่อทุกคนมีความสุขในวันพ่อแห่งชาติ และขอให้ลูกทุกคนเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ รัก เคารพ และเชื่อฟังพ่อแม่ตลอดไปทุกๆ วันครับ

‘พีระพันธุ์’ หารือแนวทางกดค่าไฟเหลือ 3.99 บาท/หน่วย ย้ำ!! เร่งทำงานเต็มที่ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

(6 ธ.ค. 66) รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน แจ้งว่า กรณีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดแรกของปี คือ มกราคม-เมษายน 2567 ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟทุกประเภทอยู่ที่เฉลี่ย 4.68 บาทต่อหน่วย เป็นไปตามกระบวนการทางกฏหมายที่จะต้องเปิดรับฟังความเห็นก่อนจะมีมติ แต่ยังไม่ถือเป็นการสิ้นสุด

โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีอำนาจบริหารจัดการเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพประชาชนและดูแลเศรษฐกิจโดยตรง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางที่จะไม่ให้ค่าไฟขึ้นไปถึงระดับ 4.68 บาทต่อหน่วยแน่นอน หากเป็นไปได้จะพยายามตรึงราคา 3.99 บาทต่อหน่วย หรือหากที่สุดต้องปรับขึ้นจะไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย

“ขณะนี้คณะทำงานกำลังเร่งหาแนวทางลดค่าไฟฟ้าจากหลายเครื่องมือ อาทิ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ ‘กฟผ.’ แบกรับภาระหนี้บางส่วนออกไป ให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รับภาระส่วนของต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ รวมไปถึงอาจหาเงินงบประมาณมาสนับสนุน ซึ่งนายพีระพันธุ์จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องใช้เวลาช่วงเดือนธันวาคมนี้ในการเร่งทำงาน มั่นใจว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับประชาชนในช่วงปีใหม่นี้แน่นอน” รายงานข่าวระบุ

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ‘รทสช.’ ยึดมั่น 3 สถาบันหลัก ‘ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์’ ลั่น!! พร้อมเดินหน้าต่อแม้ไร้ ‘ลุงตู่’ ปัดตอบ ปม ‘ปชป.’ บางส่วนจ่อย้ายซบอก

(8 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการทำงานของพรรค รทสช. ที่จะยึดเหนี่ยวฐานเสียงเดิมของพรรคเป็นอย่างไรต่อไป หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นองคมนตรี ว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นพรรคก็ไม่ได้มีท่านอยู่ และท่านได้ลาออกจากสมาชิกพรรคเป็นเวลาพอสมควรแล้ว แต่พรรคยังเดินหน้าไปตามปกติ ทุกคนทำงานทางการเมือง ส่วนตนในฐานะหัวหน้าพรรค พยายามทำหน้าที่ให้ดีทั้งการดูแลพรรคและ ดูแลประชาชนในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากจะต้องเปลี่ยนจุดขายจะเปลี่ยนอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวยืนยันว่า “ไม่ครับ จุดขายของเราคือเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่คือจุดขายหลัก”

เมื่อถามถึงการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ถูกจับตามองว่า อาจจะมีสมาชิกบางส่วนไหลมาอยู่กับพรรค รทสช. นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ไม่ทราบ อันนี้ไม่ทราบ ไม่มีความเห็น”

เมื่อถามย้ำว่า พรรค รทสช.พร้อมที่จะเปิดรับหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ยังไม่มีความเห็นใดๆ อะไรยังไม่เกิด ก็ไม่พูด”

พีระพันธ์ุ ชี้!! 3 ข้อ ที่สามารถหนุนลดค่าไฟได้

(9 ธ.ค.66) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party’ ได้โพสต์ข้อความของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงค่าไฟฟ้าที่ลดได้จะเกิดจาก 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่…

1.) การขยายหนี้ กฟผ. ออกไปอีก 1 งวด 2.) การปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ และ 3.) การกำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติของ ปตท.

‘พีระพันธุ์’ เปิดอาคาร ‘Net zero energy building’ ใหญ่สุดในไทย หนุน ไทยมีอาคารใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ 2,000 แห่ง ภายในปี 79 

(10 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารต้นแบบสาธิตการใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ ‘Net Zero Energy Building’ (อาคาร 70 ปี พพ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการสร้างอาคารใหม่ ๆ ของไทยได้นำแนวคิดด้านการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน โดยการทำให้การใช้พลังงานสุทธิเท่ากับศูนย์ (Net Zero Energy Building : NZEB) เริ่มถูกนำมาประยุกต์ใช้ในอาคารและที่อยู่อาศัยมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาอาคารที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์การสหประชาชาติ (United Nations) ที่จะลดก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกลงให้ได้ 45% ในปี พ.ศ. 2573 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2593

ในขณะที่ประเทศไทยในฐานะสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ได้มีการประกาศแผนการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20% ถึง 25% ภายในปี พ.ศ. 2573 ทำให้ทุกภาคส่วนในประเทศไทยได้มีการประกาศแผนการลดก๊าซเรือนกระจกไว้ในแผนธุรกิจและแผนการบริหารจัดการองค์กรมากขึ้น

ดังนั้น กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จึงได้เห็นความสำคัญที่จะต้องวางแผนและเริ่มการศึกษา ออกแบบ และก่อสร้างอาคารที่ใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Energy Building) ซึ่งมีการดำเนินการในต่างประเทศอย่างแพร่หลาย แต่ในประเทศยังไม่มีตัวอย่างที่สมบูรณ์ให้ศึกษาเรียนรู้

โดยในปี 2562 พพ. ได้เริ่มศึกษาและได้จัดสรรงบประมาณกว่า 81,600,000 บาท เพื่อสร้างอาคารต้นแบบสาธิตการใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ ‘Net Zero Energy Building’ หรือ ‘อาคาร 70 ปี พพ.’ แห่งนี้ โดยมีการออกแบบภายใต้หลักการการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อลดการใช้พลังงานอาคารผ่านการออกแบบที่ใช้ประโยชน์จากสภาวะแวดล้อม และการใช้วัสดุอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง พร้อมการใช้พลังงานทดแทนจากระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้เกิดอาคารพลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Energy Building : NZEB)

ตลอดจนมีการออกแบบตามมาตรฐานอาคารเขียวภาครัฐ ‘G–GOODs’ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2562 เพื่อให้การก่อสร้างอาคารมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อีกทั้ง ยังเป็นโครงการที่เข้ารับการประเมินการรับรองมาตรฐานอาคารเขียวไทย (TREES-NC) ให้การรับรองโดยสถาบันอาคารเขียวไทย ระดับ Platinum และยังเป็นอาคารสำนักงาน ‘Zero Energy Building’ ที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกด้วย

นายโสภณ มณีโชติ รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า คาดการณ์ว่าภายในปี 2579 ประเทศไทยจะมีอาคารใช้พลังงานเป็นศูนย์มากกว่า 2,000 อาคาร แม้ต้นทุนในการพัฒนาอาคารใช้พลังงานเป็นศูนย์จะสูงกว่าอาคารทั่วไป แต่ก็มีความคุ้มค่าในระยะยาว ไม่เพียงอาคารใหม่ที่สามารถพัฒนา เพื่อเป็นอาคารใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ อาคารเก่าที่เปิดใช้งานไปแล้ว ก็ยังสามารถปรับปรุงเพื่อเป็นอาคารใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ได้เช่นเดียวกัน

'พีระพันธุ์' เตรียมเสนอลดค่าไฟฟ้างวดใหม่ ครม.พรุ่งนี้  ยัน!! จะทำให้ดีที่สุด ตัวเลขต้องไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย 

(18 ธ.ค.66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผย ว่าการประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ (19 ธ.ค.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เตรียมเสนอปรับลดค่าไฟฟ้างวดใหม่ ม.ค. - เม.ย.67   

โดยตัวเลขค่าไฟจะไม่เกินที่ 4.20 บาทต่อหน่วย ขณะนี้กำลังทำตัวเลขอยู่ว่าจะได้เท่าไหร่ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน ส่วนครัวเรือนที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่เคยใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย ก็จะมีช่วยเหลือ อยู่ที่ราคาเดิม คือ 3.99 บาท ซึ่งสามารถช่วยครัวเรือนได้ประมาณ 17 ล้านราย  

นางรัดเกล้า กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันอยากที่จะให้ค่าไฟฟ้า อยู่ที่ 4.10 บาท แต่จะต้องมีหลายส่วนที่ต้องดูให้สอดคล้องกัน และรัฐมนตรีพลังงานอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะต้องดูทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ปรับโครงสร้างเท่านั้น   

“ขอประชาชนไม่ต้องห่วง รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะพยายามทำให้ดีที่สุด ทั้งเรื่องของพลังงานไฟฟ้า ราคาน้ำมัน โดยจะรื้อทั้งระบบที่เคยมีมากว่า 30 ปี ทั้งนี้เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี ซึ่งจะไม่สร้างภาระให้กับประชาชน และสิ่งใดที่สามารถทำได้จะทำทันที” นางรัดเกล้า กล่าว

'พีระพันธุ์' เผย ไม่แปลกฝ่ายค้านจ้องตรวจสอบรัฐบาลเข้มข้น ย้ำ!! เป็นเรื่องปกติ พร้อมแนะ พิจารณางบปี 67 ควรจะจบให้เร็ว

(21 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศจะตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นหลังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ว่า เป็นเรื่องปกติ ฝ่ายค้านก็ต้องตรวจสอบเข้มข้นทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ถ้าเขาบอกว่าไม่ตรวจสอบเลยถึงจะประหลาด เป็นเรื่องปกติในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส่วนที่มองกันว่าฝ่ายค้านอาจไม่เป็นเอกภาพเท่าไหร่นั้น ก็แล้วแต่คนจะมอง อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้เป็น สส. ไม่ทราบรายละเอียดทางสภา 

เมื่อถามถึงกรณีพรรคฝ่ายค้านขอเลื่อนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 67 จากวันที่ 3-5 ม.ค. เป็นวันที่ 9-11 ม.ค.67 นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เป็นเรื่องของสภา ในส่วนของรัฐบาลก็ทำปกติ สภาจะเห็นว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สภาไปหารือกันเอง 

เมื่อถามย้ำว่า การเลื่อนออกไปจะทำให้งบประมาณที่จะออกมาล่าช้าไปอีกหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า วันนี้เราก็ใช้งบของปี 67 อยู่แล้ว แต่โดยหลักการมันก็ไม่ควรเท่านั้นเอง ทุกอย่างมันควรจะรีบ จะจบให้เร็ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภาที่จะต้องหาประโยชน์สูงสุดของประชาชน เพราะทั้งหมดนี้มันคือประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ประโยชน์ของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ซึ่งไม่ว่าเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ต้องทำงานร่วมกันเพื่อประชาชน อะไรที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดก็ทำตามนั้น เท่านั้นเอง

'พีระพันธุ์' ยัน!! ดรามาเติมน้ำมันได้ไม่ถึง 5 ลิตร ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ควรปรับเกณฑ์ ช่วยลดความคลาดเคลื่อน เพื่อประโยชน์ผู้บริโภค

(22 ธ.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

จากกรณีที่มีข่าวว่าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งเติมน้ำมัน 5 ลิตร แต่ได้น้ำมันไม่ถึง 5 ลิตร เจ้าหน้าที่ปั๊มตอบว่า ตามกฎกระทรวงให้สามารถทำได้กรณีน้ำมัน บวก/ลบ ไม่เกิน 50 มิลลิลิตรนั้น

ผมได้ตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์ครับ ในเรื่องของชั่งตวงวัด

การกำกับดูแลมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ภายใต้ภารกิจของสำนักชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยจากกฎกระทรวงกำหนดเครื่องวัดที่อยู่ในการบังคับแห่ง พรบ.ชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 สำหรับมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง กรณีใช้ถังตวงขนาด 5 ลิตร มีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด +/- 25 mL สำหรับการตรวจสอบเพื่อรับรอง และ +/- 50 mL สำหรับการตรวจสอบระหว่างใช้งาน 

ดังนั้น กรณีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในคลิป ซึ่งเป็นมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับใช้งาน มีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด +/- 50 mL จึงไม่ได้ทำผิดตามกฎหมายดังกล่าวตามที่ปั๊มน้ำมันอ้างจริง

อย่างไรก็ตาม ผมเองเห็นว่าในปัจจุบันความสามารถของเครื่องมือในการชั่งตวงวัดดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก มีความเที่ยงตรงสูงกว่าแต่ก่อน จึงสมควรมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คลาดเคลื่อนน้อยที่สุดเพื่อประโยชน์ผู้บริโภค

ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผมจะแจ้งประสานไปยังกระทรวงพาณิชย์ให้พิจารณาทบทวนอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดดังกล่าวให้แคบลง และจะนำเรื่องนี้ไปรวมไว้ในการแก้ไขกฎหมายน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งระบบ ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการ และในฐานะที่ผมเป็นประธานคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติด้วย ก็จะนำเรื่องนี้ไปพิจารณาว่าจะสามารถแก้ไขมาตรฐานของเครื่องมือชั่งตวงวัดได้อย่างไรบ้าง 

ล่าสุดประธานที่ปรึกษาของผม ท่านณอคุณ สิทธิพงศ์ ได้ประสานงานกับอธิบดีกรมธุรกิจพลังงานว่าจะสามารถดำเนินการแก้ไขเยียวยาอะไรก่อนได้บ้างหรือไม่ ก่อนที่จะมีการปรับกฎเกณฑ์ต่อไป

'พีระพันธุ์' ยัน!! กฎหมาย 'เผื่อเหลือเผื่อขาด' ไม่ใช่เจตนาให้ขาย 'น้ำมัน' ไม่เต็มลิตร

(26 ธ.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - Pirapan Salirathavibhaga’ ดังนี้...

“เมื่อคืนผมมีโอกาสพบกับท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่งานแต่งงานบุตรสาวของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือกันเรื่องปัญหาปั๊มน้ำมันเติมน้ำมันไม่เต็มลิตร ซึ่งท่านเองก็เป็นห่วงเรื่องนี้มากและได้สั่งการให้หน่วยงานของท่านทำงานจริงจังในเรื่องนี้ เราทั้งสองกระทรวงจะช่วยกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังต่อไป ต้องขอขอบคุณท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นอย่างยิ่งครับ

อีกเรื่องหนึ่งครับ ผมได้รับรายงานว่าปั๊มน้ำมันบางแห่งที่เรามีการออกตรวจตรากันนั้น มีเจตนาตั้งหัวจ่ายให้จ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตรโดยอ้างกฎกระทรวงของกระทรวงพาณิชย์ที่ให้มีอัตรา ‘เผื่อเหลือเผื่อขาด’ ที่ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย

ผมเลยต้องขออธิบายเพื่อความเข้าใจกฎหมายที่ถูกต้องครับ

คือ กฎหมายมาตราชั่งตวงวัดและกฎกระทรวงที่อ้างถึงกันนั้นไม่ได้มีเจตนาให้ขายน้ำมันไม่เต็มลิตรนะครับ แต่กฎหมายเข้าใจว่าหัวจ่ายหรือเครื่องชั่งตวงวัดแต่ละเครื่องอาจมีความผิดเพี้ยนจากการวัดปริมาตรที่แท้จริงได้ ซึ่งเป็นไปตามปกติของเครื่องมือแต่ละเครื่อง จึงกำหนดค่า ‘เผื่อเหลือเผื่อขาด’ ไว้ ซึ่งหมายความว่าปริมาตรที่ขาดหายไปนั้นเป็นผลของความผิดเพี้ยนของหัวจ่ายหรือเครื่องตรวจวัดเอง ไม่ใช่โดยเจตนาจงใจปรับแต่งหัวจ่ายให้จ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตร เช่นนี้จึงไม่เป็นความผิดครับ 

แต่หากตามกรณีที่เกิดขึ้นหรือปั๊มไหนจ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตรโดยเจตนาจงใจปรับแต่งหัวจ่ายแล้ว จะมาอ้างกฎกระทรวงไม่ได้ และยังเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนที่มีโทษจำคุกถึง 5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 อีกด้วยนะครับ

ผมจะดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ต่อครับ”

'กระทรวงพลังงาน' ลุย!! 'ไฟฟ้าสีเขียว' แพงกว่าแต่รักษ์โลก เตรียมเปิดขายให้โรงงานอุตฯ ขนาดใหญ่ช่วง ก.พ. 2567

​’พีระพันธุ์’ เดินหน้า ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ ต่อเนื่อง ล่าสุดสร้างมาตรฐาน ‘ไฟฟ้าสีเขียว’ เป็นครั้งแรกในไทย หนุนนโยบายรัฐบาลต้อนรับการลงทุนข้ามชาติขยายฐานเข้าไทย ลดอุปสรรคข้อกีดกันภาษีคาร์บอนข้ามแดนให้ผู้ประกอบการไทย

(16 ม.ค.67) ​นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงาน มีความพร้อมในการจัดหา ‘ไฟฟ้าสีเขียว’ หรือไฟฟ้าที่มีกระบวนการผลิตจากพลังงานสะอาด อย่างมีมาตรฐาน พร้อมด้วยกลไกการรับรองมาตรฐานแหล่งที่มาซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และมั่นใจว่าจะมี ‘ไฟฟ้าสีเขียว’ ในปริมาณเพียงพอสนองตอบต่อความต้องการ และรองรับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเร่งรัดและเพิ่มปริมาณการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในการสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

​“เป็นครั้งแรกที่ไทยจะมีกระบวนการผลิต จัดหา และรับรองไฟฟ้าสีเขียวใช้ และผมมั่นใจว่าประเทศไทย มีความพร้อมด้านการให้บริการไฟฟ้าสีเขียวเพื่อรองรับความต้องการพลังงานของธุรกิจ หรือบริษัทข้ามชาติที่ต้องการขยายการลงทุน หรือย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ทั้งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ขจัดอุปสรรคด้านการค้า การลงทุน จากภาษีคาร์บอนข้ามแดน (CBAM) ได้เป็นอย่างดี” นายพีระพันธุ์ กล่าวระหว่างการแถลงข่าว ‘เดินหน้าพลังงานสะอาด Utility Green Tariff ขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และการลงทุน’

​นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า รัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ตระหนักดีถึงความต้องการใช้พลังงานสีเขียวของภาคธุรกิจ รวมถึงพันธกิจของรัฐบาลในการขับเคลื่อนภาคพลังงานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงมีโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามแผน PDP เพื่อเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในระบบอย่างต่อเนื่อง กระทั่งในขณะนี้สามารถจัดให้มีการให้บริการสองรูปแบบ ทั้งแบบที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสีเขียวจะไม่สามารถเจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้าสีเขียวจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในสัญญาบริการ และแบบที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถเจาะจงแหล่งที่มาได้ ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การให้บริการไฟฟ้าสีเขียว โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถรับรู้แหล่งที่มาของไฟฟ้าสีเขียวจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในสัญญาบริการได้ พร้อมระบบใบรับรองการผลิตไฟฟ้าสีเขียวที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสากล เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าสีเขียวทุกกลุ่ม ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณคณะกรรมการ กกพ. ที่สนับสนุนและร่วมกันทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนอย่างต่อเนื่อง

​นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การจัดหาไฟฟ้าสีเขียวด้วยกระบวนการรับรองอย่างมีมาตรฐาน และมีปริมาณเพียงพอรองรับแนวโน้มความต้องการพลังงานสะอาดของภาคอุตสาหกรรมไทยและต่างชาติ นอกจากจะเป็นการยกระดับภาคการผลิตของอุตสาหกรรมไทยให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลแล้ว ยังจะเป็นการสร้างความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศ สร้างโอกาสให้กับประเทศในการเป็นฐานการผลิตรองรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่จากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี

​“กระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 รวมถึงส่งเสริมการประกอบกิจการอุตสาหกรรมตามโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green (BCG) และโครงการ UGT ของภาครัฐจะเป็นการต่อยอดและยกระดับอุตสาหกรรมให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียวของภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้มากยิ่งขึ้น” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

​นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า ขณะนี้ กกพ. ได้ประกาศหลักเกณฑ์การให้บริการและการกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวแล้ว และอยู่ระหว่างนำ (ร่าง) ข้อเสนออัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวซึ่งกำหนดภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งจะเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนที่จะเปิดบริการไฟฟ้าสีเขียวให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนได้อย่างเป็นทางการ

​“ในการเตรียมความพร้อมในการจัดหาไฟฟ้าสีเขียว อัตราค่าบริการ และมาตรฐานกระบวนการรับรองแหล่งกำเนิดไฟฟ้าสีเขียว กกพ. ได้ทยอยดำเนินการมาเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าพลังสะอาดภายใต้โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 - 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง จำนวน 5,203 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดให้ผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้รับคัดเลือกจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) กว่า 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573  ควบคู่ไปกับการออกแบบกำหนดหลักเกณฑ์การคิดอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียว และแนวทางการกำกับดูแลให้กระบวนการบริหารจัดการและรับรองแหล่งกำเนิดไฟฟ้าสีเขียวให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานสากล ซึ่งขณะนี้เสร็จเรียบร้อยทั้งหมด และพร้อมให้การไฟฟ้าให้บริการแล้ว” นายเสมอใจ กล่าว

​สำหรับขั้นตอนสำหรับผู้ประกอบการภาคเอกชนที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียวนั้น การไฟฟ้าซึ่งเป็น
ผู้ให้บริการในแต่ละพื้นที่จะประกาศให้ทราบต่อไป

​อย่างไรก็ตาม การประกาศโครงการ UGT นับเป็นจุดเริ่มต้นโดยภาครัฐ เพื่อให้ผู้ให้บริการพลังงานทุกภาคส่วนเข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน ในระยะเริ่มต้นอาจยังมีข้อจำกัด โดย กกพ. เล็งเห็นว่าจะสามารถขยายโครงการนี้ให้ครอบคลุมความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าได้หลากหลายขึ้นและปรับปรุงข้อจำกัดต่างๆ ในระยะถัดไปได้ โดยอาศัยความร่วมมือของหลายหน่วยงาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงต้องได้รับความเห็นและเสียงสะท้อนจากผู้ใช้ไฟฟ้าสีเขียวด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top