Tuesday, 7 May 2024
ฝ่ายค้าน

‘ตรีชฎา’ เย้ย ‘ธนกร’ ไม่ประสาทางการเมือง ดีแต่ค่อนแคะ ชี้!! ฝ่ายค้านซักฟอกเพื่อถ่วงดุล ตามหลักการประชาธิปไตย

‘ตรีชฎา’ เย้ย ‘ธนกร’ อย่าเทียบชั้น ‘หมอชลน่าน’ ยันฝ่ายค้านซักฟอกหวังถ่วงดุล เป็นของขวัญปีใหม่ให้ รบ. ‘ประยุทธ์ 

เมื่อวันที่ 31 ต.ค. น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตามที่นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมาระบุว่าการที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เตรียมยื่นญัตติเปิดอภิปรายรัฐบาลโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญเพื่อเรียกคะแนนนิยมให้ตัวเองหวังดิสเครดิตรัฐบาลนั้น ตนรู้สึกอนาถใจต่อทัศนคติของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ส.ส.อย่างนายธนกร ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในบทบาท และหน้าที่ของฝ่ายค้านในการตรวจสอบและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นหลักการโดยทั่วไปของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การตรวจสอบถ่วงดุลกันระหว่างคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้กำหนดให้รัฐสภาซึ่งเป็นองค์กรตัวแทนประชาชนที่มี ส.ส.ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ สามารถควบคุมตรวจสอบคณะรัฐมนตรีได้หลายวิธี ซึ่งหนึ่งในวิธีที่สามารถทำได้โดยทั่วไป คือการเปิดอภิปรายทั่วไป

‘สมคิด’ ชี้!! การเมืองวุ่นวาย ส.ส. ย้ายพรรคเยอะ มั่นใจ!! ยุบสภาฯ ช่วงปีใหม่ จัดเลือกตั้งก่อนสงกรานต์

(31 ต.ค. 65) นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวกรณีการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เพื่ออภิปรายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ รวมทั้งการเสนอแนะและให้คำแนะนำถึงความบกพร่องของรัฐบาล ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทั้งปัญหายาเสพติด อาชญากรรม รวมทั้งการเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม สร้างปัญหาให้กับประชาชน การบริหารประเทศที่ส่งผลกระทบกับสังคมอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมหารือกันว่าจะอภิปรายและให้คำแนะนำกับรัฐบาลในเรื่องใดบ้าง 

“ส่วนที่บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์เข้ามากู้ชาตินั้น อยากถามว่าเข้ามากู้ชาติหรือมากู้เงิน เพราะพล.อ.ประยุทธ์ คนเดียวกู้เงินมหาศาล อย่าไปหลงกับตัวเลขที่รัฐบาลกู้มา หากบอกว่ารัฐบาลพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ทำให้ล่มจมอยากให้ไปศึกษาดูดัชนีตัวเลขทางเศรษฐกิจ ดูว่าต่างจากรัฐบาลนี้อย่างไร จะเชียร์อะไรก็ไม่ว่าเพราะเป็นรัฐบาลด้วยกันก็ต้องอวยกันเป็นธรรมดา แต่มันมีความจริงอยู่พี่น้องประชาชนจะหัวเราะเยาะเอาได้” นายสมคิด กล่าว

‘อัษฎางค์’ ตบหน้า ‘ฝ่ายค้าน’ ปลุกปั่นรัฐกู้จนถังแตก ทั้งที่ทุนสำรองอยู่สูงกว่าหนี้ต่างประเทศถึง 3 เท่า

(4 พ.ย. 65) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ ‘ฝ่ายค้านเบี่ยงประเด็นหรือไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจการเงิน’

ธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันว่า ประเทศไทยยังมีฐานะทางการเงินที่ดี จากระดับเงินสำรองฯ ที่อยู่ประมาณ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ 

ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีเงินสำรองฯ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก 

และเมื่อเทียบเงินสำรองฯ ต่อ GDP จะคิดเป็น 48% ของ GDP ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก 

รวมถึงยังสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นของไทยถึงเกือบ 3 เท่า

ที่ออกมายุยง ปลุกปั่นว่า ‘กู้จนถังแตก’ นั้นคือ ยอดหนี้ 10 ล้านล้านบาทใช่มั้ย

แล้วที่รัฐบาลมีเงินสำรองฯ อยู่ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ (ย้ำว่า หน่วยคือ แสนล้านดอลลาร์) คืออะไร...ทำไมไม่พูดถึง?

เรามีเงินทุนสำรองฯ อยู่สูงกว่าหนี้ต่างประเทศถึงเกือบ 3 เท่า...ทำไมไม่พูด?

การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อุบัติขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2019 ได้สร้างผลกระทบรุนแรงทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ, สังคม ความเป็นอยู่ของผู้คน

IMF รายงานว่า สภาวการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอและถดถอยไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทย แต่กระทบไปทั่วโลก โดยส่งผลให้ภาระหนี้เอกชนและภาครัฐในหลายประเทศทั่วโลกเพิ่มขึ้น 35% หรือกว่า 355% ของ GDP

ภาระหนี้สิ้นทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้นนี้มาจากภาครัฐเกินครึ่งหนึ่ง อันเป็นผลจากการใช้มาตรการในหลายด้าน ทั้งการสนับสนุนทางการเงินให้กับระบบสุขภาพ การเยียวยาให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ รวมทั้งการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและการจ้างงานที่ลดลง

สำหรับประเทศไทย หนี้รัฐบาลก็เป็นเงินกู้เพื่อใช้ในมาตรการรับมือกับโควิด เช่น การสนับสนุนทางการเงินให้กับระบบสุขภาพ การเยียวยาให้กับภาคครัวเรือนและเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 

ฝ่ายค้านไร้ความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองแบบนี้ ประชาชนยังหลงเชื่อให้ทำหน้าที่บริหารประเทศอยู่ได้อย่างไร

หรือว่าฝ่ายค้านรับรู้สถานการณ์อย่างดี แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้และพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อยุยง ปลุกปั่นให้ประชาชนหลงเชื่อ ว่ารัฐบาลกู้เงินมาผลาญ หรือบริหารราชการผิดพลาดจนล้มละลาย จะได้ล้มรัฐบาลลงโดยง่าย

‘จิรายุ’ เผย เตรียมร้อง ‘ป.ป.ช.-ปปท.’ เอาผิด ‘รัฐมนตรี’ ออกนโยบายผิดพลาด

(10 พ.ย. 65) เมื่อเวลา 12.50 น. ที่รัฐสภา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ในเดือนธ.ค. จะมีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 แม้จะไม่มีการลงมติ ฝ่ายค้านก็จะทำงานอย่างเต็มที่ โดยหลังการอภิปรายจะนำรวบรวมข้อมูลทำเป็นสำนวนร้องไปที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) โดยในวันจันทร์ ที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนและกองทุน สภาผู้แทนราษฎร ต้องเข้าชี้แจงต่อป.ป.ช. ในกรณีเขียนคำร้องไปยังรัฐมนตรีหลายคน ในขณะเดียวกัน ดีเอสไอ ได้แจ้งเป็นเอกสารกลับมาหลังจากกมธ.ฯ ได้ส่งสำนวน พยานหลักฐาน เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงต่างๆ ซึ่งดีเอสไอได้บรรจุเป็นวาระพิจารณาแล้ว

‘ชัยวุฒิ’ ลั่น รัฐบาลไม่กลัวอภิปราย พร้อมตอบทุกเรื่อง มั่นใจ!! พรรคร่วมฯ ยังช่วย ‘บิ๊กตู่’ แม้ย้ายไป รทสช.

ชัยวุฒิ ย้ำ ประวิตร ลุย เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายแน่ บอก ชอบชื่อนี้ ลั่น รัฐบาล พร้อมตอบอภิปรายทุกเรื่อง ปล่อยฟรีฝ่ายค้าน ชี้ มีข้อบังคับสภาเป็นกรอบ แนะสื่อ ให้เกียรตินายกฯ อย่าถามเสียดสีให้มีอารมณ์

(26 ม.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการประชุมและได้กำหนดการพิจารณาญัตติตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 15 - 16 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ ว่า เชื่อว่ารัฐบาลอยากให้มีการอภิปรายเกิดขึ้น เพื่อที่จะได้รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลพร้อมชี้แจงอยู่แล้วว่าทำอะไรไปบ้าง มีแนวทางอย่างไรที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอนใช่หรือไม่ เพราะขณะนี้มีกระแสข่าวว่าจะยุบสภาก่อน ที่จะอภิปราย นายชัยวุฒิ กล่าวว่า มีการบรรจุวาระการประชุมไปแล้วในวันที่ 15-16 กพ. ซึ่งตนเองก็อยากฟังฝ่ายค้านพูด เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาก็มีข้อมูลดี ๆ เยอะ แต่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องก็เยอะ รัฐบาลก็จะได้ชี้แจงด้วย และเรื่องที่เป็นปัญหาของพี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลก็จะได้รับฟังและนำไปแก้ไข ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเพราะปัญหาของประชาชนมีจำนวนมาก ทั่วทุกมุมของประเทศ ถึงอย่างไรก็แก้ไม่หมดใครเป็นรัฐบาลก็ทำไม่ได้ทุกเรื่อง ค่อย ๆ ทำไปแต่อย่างน้อยได้ฟังการอภิปรายแล้วพยายามนำปัญหาไปแก้ไขให้ดีที่สุดเป็นประโยชน์ของกลไกการเมืองในระบบรัฐสภา 

เมื่อถามว่าจะไม่ถือว่าเป็นการเสี่ยงเกินไปใช่หรือไม่หากจะปล่อยให้ฝ่ายค้านอภิปรายโดยอาจถูกหยิบประเด็นที่รัฐบาลไม่ได้เตรียมทำการบ้านขึ้นมา นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ส่วนตัวตนมองว่า รัฐบาลทำหน้าที่ได้ดี ไม่มีอะไรตกหล่น หรือบกพร่อง แต่อย่างที่บอกแล้วว่าอาจจะมีปัญหาบางเรื่องที่ยังแก้ไขไม่ได้ หรืออาจจะมีข้อจำกัดบางอย่างซึ่งจะได้ชี้แจงประชาชนต่อไป 

“ผมว่าอย่าไปกลัวการอภิปราย เพราะเดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นเฉพาะต้องอภิปรายในสภา ในสื่อโซเชียล คนก็รู้ทั่วไปหมดอยู่แล้ว เพียงแต่การอภิปรายเป็นกลไกในสภาตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้โอกาสสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ทำหน้าที่ เราต้องเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา เป็นสิ่งที่ดี อย่าไปกลัว” นายชัยวุฒิกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่าปล่อยฟรีให้ฝ่ายค้านพูดได้เลย นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภา ที่มีข้อบังคับอยู่ว่าบางเรื่องพูดไม่ได้ ห้ามผู้เสียดสี ก็มีข้อจำกัดอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่าส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จะช่วยดูแลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในสภาเหมือนเดิมหรือไม่ ในเมื่อพล.อ.ประยุทธ์ย้ายสังกัดพรรคแล้ว นายชัยวุฒิ กล่าวว่า อย่าบอกเพียงพรรคพลังประชารัฐเลย คิดว่าทุกพรรคจะต้องช่วยกัน เพราะเป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาก็ช่วยกันทำงานในสภาอยู่แล้ว ทั้งชี้แจง ตอบโต้ แก้ปัญหาในสภา ผ่านวิปพรรคร่วมรัฐบาล

‘หมอชลน่าน’ เสนอญัตติด่วน ช่วย ‘แบม-ตะวัน’ โยงแผนร้าย ใช้ชีวิตเด็กแลกการไม่มีเลือกตั้ง

ฝ่ายค้าน เสนอญัตติด่วน ‘ตะวัน-แบม ม.112’ อดอาหาร ‘ชลน่าน’ ขอศาลเมตตาวางเงื่อนไขประกันตัวเหมาะสม ชี้ติดกำไลอีเอ็มควบคุมพื้นที่ 24 ชม. เกินขอบเขต ลั่นคนไม่ใช่สัตว์ โยงแผนอำมหิต เอาชีวิตเด็กแลกกับการสืบทอดอำนาจเพื่อไม่มีเลือกตั้ง ‘รมว.ยุติธรรม’ พร้อมทบทวนระเบียบคุมขังที่บ้านได้

(1 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา เวลา 10.49 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ภายหลังจากสมาชิกหารือปัญหาเรื่องต่าง ๆ แล้ว นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า กรณี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ภู่พงศ์ หรือแบม ผู้ต้องคดีมาตรา 112 ที่อดอาหารประท้วงนั้น หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้จะเกิดอันตราย และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ฝ่ายค้านจึงมีความเห็นร่วมกัน อาศัยข้อบังคับการประชุมสภาฯ ข้อที่ 54 (5) ให้นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องสิทธิประกันตัว และการใช้กฎหมายล้มเกินแก่ผู้แสดงออกและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เพื่อให้ที่ประชุมได้พิจารณาเสนอเป็นเรื่องด่วน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื่องจากญัตติด่วนดังกล่าวเป็นการแทรกการพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. ... ที่รออยู่ ทำให้ส.ส.พรรคภูมิใจไทย คัดค้าน และขอให้เลื่อนเสนอญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่องนี้เป็นวันที่ 2 ก.พ. แทน แต่ส.ส.ฝ่ายค้านยืนยันจะต้องเสนอวันนี้ เพราะเป็นความปลอดภัยของเยาวชน กระทั่งนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พรรคไม่ติดใจแล้ว แต่ขอให้ฝ่ายค้านอยู่เป็นองค์ประชุมในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชาฯ ด้วย โดยขอให้ถือเป็นสัจจะลูกผู้ชาย ซึ่งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะวิปฝ่ายค้าน รับปากจะอยู่เป็นองค์ประชุมให้ถึงช่วงเย็นวันนี้

จากนั้น นพ.ชลน่าน กล่าวเสนอญัตติด่วนด้วยวาจาว่า ขอให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังทางการเมือง น.ส.ทานตะวัน และน.ส.อรวรรณ ที่กำลังอดอาหารประท้วง เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 และการปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคน แม้เด็ก 2 คนได้สิทธิประกัน แต่ภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดสิทธิเสรีภาพาเกินขอบเขต เช่น ติดกำไลอีเอ็ม ควบคุมพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเรื่องรับไม่ได้ นี่คือคนไม่ใช่สัตว์ เป็นการจำกัดสิทธิเกินเหตุ ขอให้ผู้มีอำนาจทั้งคณะผู้พิพากษา ศาลใช้ดุลยพินิจพิจารณาให้ดี การให้ประกันตัวผู้ต้องขังทางการเมืองต้องมีเงื่อนไขเหมาะสม มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และขอให้พรรคการเมืองประกาศนโยบายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน โดยเฉพาะคดีการเมือง การยกเลิกมาตรา 112 ทุกพรรคควรพิจารณาจะตอบสนองข้อเรียกร้องได้อย่างไร หลายมาตราเป็นเครื่องมือกำจัดผู้เห็นต่างทางการเมือง เช่น แค่มีขันแดงในมือก็เป็นภัยความมั่นคง บางคนอาศัยกฎหมายเหล่านี้เป็นเครื่องมือทำลายคู่แข่งทางการเมือง มาตรา 112 เป็นกฎหมายอาญา แต่ถือเป็นกฎหมายความมั่นคง ถ้าเอามาใช้ไม่ถูกทาง ปัจจุบันนำมาใช้ล้นเกิน ขาดหลักนิติธรรม จนเกิดผลกระทบต่อประชาชนและสถาบัน ปากบอกจงรักภักดี แต่การกระทำไม่ใช่ ขอให้สภาช่วยหามาตรการแก้ไขด้วย

'ชัยวุฒิ' ขอบคุณฝ่ายค้าน ชี้ข้อเสนอแก้กลุ่มทุนสีเทา ยันรัฐบาลเร่งแก้อยู่ แนะ!! ต้องมี 'กม.-ระเบียบ' เอื้อ

'รมว. ดีอีเอส' ขอบคุณฝ่ายค้านที่ให้ข้อเสนอแนะหลายด้าน โดยเฉพาะประเด็นกลุ่มทุนจีนสีเทา ซึ่งรัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหา ด้วยการออก พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

(16 ก.พ.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส กล่าวถึงการอภิปรายทั่วไปเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นวันแรก ว่า ขอบคุณฝ่ายค้านที่ได้พูดประเด็นปัญหาหลายอย่าง ซึ่งหลายเรื่องเป็นเรื่องที่สะสมมานาน รัฐบาลพยายามแก้ไขอยู่ นำไปสู่นโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนในรัฐบาลสมัยหน้า โดยเฉพาะธุรกิจสีเทา ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามมาอย่างต่อเนื่อง และที่มีข่าวในช่วงนี้ เนื่องจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ตำรวจไปปราบปรามและดำเนินคดีอย่างจริงจัง แต่ธุรกิจสีเทาเหล่านี้ได้ทำมานานแล้วกว่า 10 ปี ไม่ได้พึ่งมีในสมัยนี้ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะทุนจีนสีเทาเหล่านี้มักชอบวิ่งไปหาผู้มีอำนาจ ดังนั้น ต้องแก้ที่กฎหมาย และกฎระเบียบ เพื่อลดปัญหาดังกล่าว

‘ก้าวไกล’ ร่วม 3 พรรค ร้อง กกต.ปมเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร แนะ ใช้วิธีเลือกตั้งทางไปรษณีย์-ไม่เลือกตั้งกระทบวันทำงาน

‘ก้าวไกล’ ร่วมอีก 3 พรรคการเมือง ยื่น กกต. ประสานกระทรวงการต่างประเทศ อำนวยความสะดวกเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ‘ชัยธวัช’ ชี้ ตอนนี้ปัญหาเพียบ สร้างความลำบากผู้ใช้สิทธิ สงสัยเอื้อประโยชน์ผู้มีอำนาจกลุ่มใดหรือไม่ เรียกร้องใช้วิธีเลือกตั้งทางไปรษณีย์-ไม่เลือกตั้งวันทำงาน

(31 มี.ค. 66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ร่วมกับตัวแทนอีก 3 พรรคการเมือง ประกอบด้วย นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ตัวแทนพรรคเพื่อไทย, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย ยื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อขอให้แก้ไขวิธีการเลือกตั้งของคนไทยนอกราชอาณาจักร

นายชัยธวัช กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนมีความคาดหวังสูงมาก เพราะมองเป็นโอกาสเปลี่ยนชีวิตและเปลี่ยนประเทศ แต่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเท่าไร ประชาชนกลับยิ่งไม่เชื่อมั่นมากขึ้น ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะดำเนินไปอย่างเสรีและเป็นธรรมได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การจัดการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร การพิมพ์บัตรเลือกตั้ง การรายงานผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ วันนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร

ปัญหาของการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร มีทั้งการกำหนดวันหย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นวันทำงาน เช่น เบลเยียม มาเลเซีย การไม่มีการเลือกตั้งทางไปรษณีย์ ประชาชนต้องไปใช้สิทธิด้วยตัวเองที่สถานทูตหรือหน่วยเลือกตั้ง เช่น เนเธอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์ หรือต่อให้มีการเลือกตั้งแบบไปรษณีย์ ก็กำหนดวันส่งบัตรเลือกตั้งกลับไปที่สถานทูต เร็วอย่างไม่สมเหตุสมผล ไม่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้สิทธิ เช่น ญี่ปุ่นและนอร์เวย์ กำหนดส่งบัตรกลับถึงสถานทูตวันที่ 28 เมษายน ซึ่งเป็นเวลาที่เหลือมากเกินความจำเป็นในการส่งบัตรกลับประเทศไทย ที่จะต้องส่งถึงเขตเลือกตั้งก่อน 17.00 น. ของวันที่ 14 พฤษภาคม

“การใช้ความสะดวกความสบายของผู้จัดการเลือกตั้งมากำหนดการเลือกตั้ง แทนที่จะมุ่งรักษาสิทธิคนไทยในต่างประเทศ ตั้งคำถามได้ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจคนใดคนหนึ่งหรือไม่ เพราะผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ชัดเจนมากว่าคนไทยนอกราชอาณาจักรส่วนใหญ่ ไม่ได้เลือกผู้มีอำนาจในปัจจุบัน จึงเป็นไปได้หรือไม่ ที่มีความพยายามจะลดสัดส่วนคะแนนจากคนกลุ่มนี้ แทนที่จะส่งเสริม” นายชัยธวัช กล่าว

ดังนั้น จึงขอเสนอให้ กกต. ประสานกระทรวงการต่างประเทศ นำวิธีเลือกตั้งทางไปรษณีย์กลับมาเป็นวิธีหลัก ส่วนกรณีเลือกตั้งที่สถานทูต ไม่สมควรจัดการเลือกตั้งในวันธรรมดา และขอให้มีการกำหนดวันส่งบัตรเลือกตั้งกลับมายังสถานทูตไทย โดยมีระยะเวลาที่ไม่เร่งรัดประชาชนมากเกินไป เช่น ให้ส่งกลับมาสถานทูต วันที่ 4 พฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่เพียงพอในการส่งบัตรกลับประเทศไทย อีกทั้งขอให้สถานทูตที่มีความพร้อม สามารถนับคะแนนที่สถานทูตและส่งผลการนับคะแนนที่รับรองกลับประเทศไทย โดยไม่ต้องส่งบัตรกลับมานับในประเทศ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไม่สามารถส่งบัตรเลือกตั้งกลับประเทศทันเวลา

เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องบัตรเลือกตั้งในประเทศ โดยเฉพาะบัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต ที่ระบุแค่หมายเลข ในชั้นกรรมาธิการร่างกฎหมายเลือกตั้ง พรรคร่วมฝ่ายค้านได้พยายามผลักดันให้หมายเลขผู้สมัคร ส.ส.เขต และหมายเลขพรรคการเมือง เป็นเบอร์เดียวกัน เพื่อสะดวกต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และแสดงความยึดโยงระหว่างพรรคกับผู้สมัคร แต่ก็ไม่สำเร็จ

‘ซูเปอร์โพล’ เผย ผลสำรวจเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 2 กลุ่มหนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้น ฝ่ายค้านลดลง ชี้พลังเงียบเป็นตัวแปร

เมื่อวานนี้ (1 เม.ย. 66) สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง โพลเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 1 (ฉบับเต็ม) กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 53,094,778 คน ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,257 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 26 - 31 มีนาคม พ.ศ.2566 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนจากขนาดตัวอย่างบวกลบร้อยละ 5 ในช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95

เมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจจุดยืนทางการเมืองของประชาชนระหว่าง โพลเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 พบว่า กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.1 เป็นร้อยละ 39.1 ในขณะที่กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาลลดลงจากร้อยละ 29.6 เป็นร้อยละ 24.5 และกลุ่มพลังเงียบยังคงเป็นตัวแปรสำคัญไม่เปลี่ยนแปลงคือร้อยละ 36.3 ในการสำรวจครั้งที่ 1 และร้อยละ 36.4 ในการสำรวจครั้งที่ 2

ที่น่าสนใจคือ ความตั้งใจจะเลือกพรรคการเมือง แบ่งออกระหว่างกลุ่มแฟนคลับพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล กับ กลุ่มแฟนคลับพรรคร่วมฝ่ายค้าน เปรียบเทียบครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 พบว่า ในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลรวมกันเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 51.6 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 55.7 ในครั้งที่ 2 โดยพบว่าเป็นการเทคะแนนมาจากกลุ่มพลังเงียบ

ในขณะที่ พรรคร่วมฝ่ายค้านตอนนี้รวมกันลดลงจากร้อยละ 43.3 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 36.3 ในการสำรวจครั้งที่ 2 โดยในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล อันดับหนึ่งได้แก่ พรรคภูมิใจไทยเพิ่มจากร้อยละ 19.1 ในครั้งที่ 1 มาเป็น ร้อยละ 20.5 ในครั้งที่ 2 รองลงมาคือ พรรคประชาธิปัตย์เพิ่มจากร้อยละ 13.4 ในครั้งที่ 1 มาเป็นร้อยละ 14.2 ในครั้งที่ 2 อันดับสามได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.1 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 10.9 ในครั้งที่ 2 อันดับที่สี่ ได้แก่ พรรครวมไทยสร้างชาติเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.3 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 9.3 ในครั้งที่ 2 เป็นต้น

ในขณะที่ ความตั้งใจของประชาชนจะเลือก ส.ส. ในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่า อันดับแรก พรรคเพื่อไทย ลดลงจากร้อยละ 36.9 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 29.1 ในการสำรวจครั้งที่ 2 รองลงมาคือ พรรคก้าวไกล ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.9 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 6.7 ในครั้งที่ 2 ส่วนพรรคเสรีรวมไทยยังคงเท่าเดิมคือ ร้อยละ 0.5 ในการสำรวจทั้งสองครั้ง

'วราวุธ' ยัน!! พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาฯ ย้ำจุดยืนพรรค 'เทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์'

(16 พ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคก้าวไกลเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งถือเป็นการพลิกขั้วทางการเมือง ว่า วันนี้ ชทพ.ยังเป็นรัฐบาลและมีงานที่ต้องทำไปจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนจะมีรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมา เพราะปัญหาของประชาชนไม่ได้ถูกแบ่งแยกว่ามีรัฐบาลหรือไม่มีรัฐบาล เรายังเป็นรัฐมนตรีจึงต้องทำงานให้ประชาชนจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามารับไม้ต่อ

เมื่อถามถึงกรณีที่มีเสียงเรียกร้องให้พรรคการเมืองเคารพมติประชาชน ร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีที่มาจากเสียงของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย นายวราวุธ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนและมีความอ่อนไหวพอสมควร ตนจึงยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้หากยังไม่มีการพูดคุยกันในพรรค ชทพ. เสียก่อน ต้องคุยกันภายในพรรคให้ตกผลึก จึงจะเป็นแนวทางของพรรค อย่างไรก็ตาม จากนี้ยังมีเวลา เพราะขั้นตอนในการยกมือโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นต้องผ่านกระบวนการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาฯ เสียก่อน จึงยังมีเวลาให้คิด ซึ่งตนเองคิดคนเดียวไม่ได้ ต้องหารือในพรรคก่อน

ถามว่า จนถึงขณะนี้ทางพรรคก้าวไกลมีการติดต่อให้เข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า “ชาติไทยพัฒนาเราพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เพราะเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้ประกาศชัดเจนว่า จะเอาพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยเองตอบรับ ดังนั้น ไม่มีปัญหา ชาติไทยพัฒนาพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และจุดยืนของเรายังเหมือนเดิม คือ นโยบายยั่งยืนและเทิดทูนสถาบัน”

เมื่อถามว่า ถ้าพรรคก้าวไกลติดต่อมาเพื่อจะรวมเสียงให้ชนะโหวต ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ชทพ. พร้อมหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า “เราบอกแล้วว่าเราไม่ได้เดือดร้อนในการที่จะต้องเป็นรัฐบาล และเราพร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ดังนั้น ถ้าเป็นอะไรที่ขัดหลักการของชาติไทยพัฒนา เราก็ไม่เห็นด้วย ส่วนการยกมือสนับสนุนโหวตให้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องไปหารือกันในพรรคก่อน แต่จุดยืนของเราชัดเจนมาตลอดตั้งแต่หาเสียงแล้ว”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top