Thursday, 2 May 2024
ฝรั่งเศส

‘ฝรั่งเศส’ เริ่มฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกให้ ‘เป็ด’ หวังหลีกเลี่ยงการฆ่าหมู่สัตว์ปีกนับล้านตัวทิ้ง

(3 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ฝรั่งเศสเริ่มการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโรคไข้หวัดนกให้กับเป็ดในวันนี้เป็นวันแรก โดยหวังว่าจะสามารถช่วยป้องกันมิให้ต้องฆ่าหมู่สัตว์ปีกเป็นจำนวนหลายล้านตัว ที่ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมสัตว์ปีกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

การฉีดวันซีน 2 เข็มสำหรับเป็ดจะเริ่มต้นตั้งแต่เป็ดอายุ 10 วัน และจะเป็นข้อบังคับที่ฟาร์มทุกแห่งที่เลี้ยงเป็ดตั้งแต่ 250 ตัวขึ้นไปต้องปฎิบัติตาม โดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป อุตสาหกรรมการเลี้ยงเป็ดของฝรั่งเศสที่เลี้ยงเพื่อใช้เนื้อเป็ดและตับมาทำอาหาร มีความอ่อนไหวต่อเชื้อไข้หวัดนก และมีโอกาสที่จะแพร่ระบาดติดต่อกันทั่วทั้งฟาร์มเลี้ยงได้ ฝรั่งเศสประสบปัญหาการระบาดของไข้หวัดนกในฟาร์มสัตว์ปีกในปี 2015-2017

และหลังจากปี 2020 ก็มีการระบาดต่อเนื่องทุกปี แม้ว่าจะไม่มีจุดที่ทำให้เกิดการระบาด แต่หากมีการค้นพบก็มักจะต้องมีการฆ่าหมู่สัตว์ปีกทั้งฟาร์มที่พบและในบริเวณใกล้เคียงเพื่อควบคุมการระบาด สร้างความเสียหายทางการเงินให้กับเจ้าของฟาร์มอย่างรุนแรง

สัตวแพทย์คาดว่า เป็ดจำนวน 60 ล้านตัว จะได้รับวัคซีนครบถ้วนในช่วงฤดูร้อนปีหน้า

‘รัฐบาล’ เตือน ‘คนไทยในฝรั่งเศส’ เลี่ยงพื้นที่ชุมนุม-สถานที่ท่องเที่ยว  หลังทางการออกประกาศยกระดับเฝ้าระวังเหตุก่อการร้ายสูงสุด

(15 ต.ค. 66) นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประชาสัมพันธ์ข่าวสารจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ประกาศเตือนคนไทยในฝรั่งเศสให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง-ท่องเที่ยว ภายหลังทางการฝรั่งเศสประกาศยกระดับการเฝ้าระวังสถานการณ์การก่อการร้ายเป็นระดับสูงสุด

จากกรณีเกิดเหตุร้ายเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งทางการฝรั่งเศสคาดว่าอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง อีกทั้งต่อมาในวันที่ 14 ตุลาคม 2566 ทางการฝรั่งเศสได้มีการอพยพผู้คนโดยด่วนออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ และพระราชวังแวร์ซาย และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอื่น ๆ เนื่องจากทางการฝรั่งเศสได้รับแจ้งเตือนว่าอาจมีการวางระเบิดในพื้นที่ดังกล่าว

ทางสถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้ประกาศเตือนคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวไทยในฝรั่งเศสให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมชนและสถานที่ท่องเที่ยว ตรวจสอบเส้นทางการเดินทาง และการเปิดทำการของสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการฝรั่งเศสอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากมีเหตุด่วนและฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตฯ กรุณาติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน +33 6 03 59 97 05 และ +33 6 46 71 96 94

“รัฐบาลห่วงใยสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนไทยทุกคนด้วยขอให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางหลักของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการเดินทาง หรือก่อนวางแผนการเดินทางทุกครั้ง” นายสัตวแพทย์ชัย กล่าว

‘ทางรถไฟสายปากน้ำ’ ทางรถไฟเอกชนสายแรกของแผ่นดินสยาม จากแผนยุทธศาสตร์ของ ‘ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5’ ในวิกฤตการณ์ รศ.122

(23 ต.ค. 66) นายวินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และนักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คือห้วงยามที่ฝรั่งเศสกับอังกฤษรุกรานไทย หาเรื่องยึดครองประเทศตลอดเวลา

การล่าอาณานิคมของชาวุโรปในภูมิภาคนี้ ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักความสำคัญของการคมนาคม เวลานั้นการเดินทางข้ามจังหวัดใช้เกวียนและเรือเป็นหลัก ในภาวะฉุกเฉินย่อมใช้รับมือศัตรูไม่ทันการ

ไทยต้องปรับตัวเรื่องการเดินทาง… รถไฟอาจเป็นคำตอบ

ทรงเห็นควรที่จะสร้างทางรถไฟขึ้นในประเทศ เพื่อจะติดต่อกับมณฑลชายแดนง่ายขึ้น ปกครองสะดวกขึ้น และยังสามารถดูแลสอดส่องผู้รุกรานได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การค้าขาย

รถไฟสายแรกเป็นของเอกชน กรุงเทพฯ ไปสมุทรปราการ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ทางรถไฟสายปากน้ำ’ ระหว่างสถานีรถไฟหัวลำโพงกับสถานีรถไฟปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ระยะทาง 21.3 กิโลเมตร โดย ‘พระยาชลยุทธโยธินทร์’ แม่ทัพเรือคนหนึ่งของกองทัพเรือสยามชาวเดนมาร์ก (ชื่อเดิม ‘อองเดร รีเชอลีเยอ’ (Andreas Richelieu))

ทางรถไฟสายนี้มีวิศวกรเดินรถชื่อ ‘ร้อยเอก ที. เอ. ก็อตเช’ (T.A. Gottsche) ทหารชาวเดนมาร์ก ได้รับการชักชวนจากพระยาชลยุทธโยธิน มาช่วยกิจการทหารเรือในสมัยรัชกาลที่ 5

ก็อตเชเป็นผู้บังคับการป้อมผีเสื้อสมุทรในเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ต่อมาได้รับราชทินนามเป็น ‘ขุนบริพัตรโภคกิจ’ ต้นสกุล ‘คเชศะนันทน์’ (เสียงพ้องกับ Gottsche) เป็นฝรั่งที่อยู่เมืองไทยนานจนกลายเป็นคนไทยไปแล้ว ตั้งรกรากในเมืองไทย

3 เดือนหลังจากเปิดรถไฟสายปากน้ำ วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) กองเรือรบฝรั่งเศสแล่นถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา

ทหารไทยสู้ ฝรั่งเศสจมเรือปืนฝ่ายสยามได้ 1 ลำ แต่เรือฌอง บัปติสต์ เซย์ ถูกปืนใหญ่สยามยิงเกยตื้นที่แหลมลำพูราย ทหารไทยเสียชีวิต 8 คน บาดเจ็บ 14 คน ทหารฝรั่งเศสเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 3 คน

เรือแองกองสตองต์และโกแมตแล่นฝ่าปราการต่างๆ เข้ามาได้ ทั้ง 2 ลำแล่นฝ่ากระสุนไปจอดที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส ถนนเจริญกรุง จ่อปืนใหญ่ไปที่พระบรมมหาราชวัง แล้วยื่นคำขาดหกข้อต่อรัฐบาลสยาม ให้ตอบภายใน 48 ชั่วโมง

1 ใน 6 ข้อคือสยามต้องชดใช้ค่าเสียหายต่อฝรั่งเศสเป็นเงิน 2 ล้านฟรังก์

สยามจ่ายเงินให้ฝรั่งเศสก้อนหนึ่งชำระด้วยเหรียญนกจากท้องพระคลังจำนวน 801,282 เหรียญ หนักถึง 23 ตัน

‘เหรียญนก’ ก็คือ ‘เงินถุงแดง’ ที่รัชกาลที่ 3 ทรงสะสมไว้ซื้อเอกราชให้ประเทศ…

เจ้าหน้าที่ขนเหรียญนกออกจากวังทางประตูต้นสน ไปลงเรือที่ท่าราชวรดิฐตลอดวันตลอดคืน
บันทึกฝรั่งเศสเขียนว่า “ด้วยนายทหารฝรั่งเศสเพียง 50 นาย ทหารญวน 150 นาย และผู้เชี่ยวชาญทางปืนใหญ่อีก 4-5 นาย ก็สามารถยึดสยามทั้งประเทศไว้ได้สำเร็จ”

แต่ฝรั่งเศสไม่พอใจแค่นั้น ขอเพิ่มเติมเงื่อนไขคือ ขอยึดปากน้ำและเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกัน จนกว่าสยามจะชดใช้ค่าเสียหายครบ ฝ่ายไทยก็ต้องยอมรับอีก…

สยามสูญเสียดินแดนครั้งใหญ่ รวมเนื้อที่ประมาณ 143,800 ตารางกิโลเมตร การเสียดินแดนสยามจากวิกฤตการณ์ครั้งนั้น ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสียพระราชหฤทัยอย่างสุดซึ้ง จนทรงพระประชวร

‘นายช่างเยอรมัน ลูอิส ไวเลอร์’ ที่มาทำงานรถไฟในไทยบันทึกไว้ในอนุทินของเขาว่า เวลานั้นคนไทยเกลียดชาวฝรั่งเศส เพราะคิดกลืนกินดินแดนไทย หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสในตังเกี๋ยเขียนใส่ร้ายคนไทย รวมถึงพฤติกรรมของพวกทูตฝรั่งเศสในสยาม ทำให้ไม่เพียงคนไทยไม่ชอบคนฝรั่งเศส พวกยุโรปชาติอื่นๆ ก็ไม่ชอบเช่นกัน

บันทึกของ ‘ลูอิส ไวเลอร์’ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2451 เขียนว่า “ชาวสยามเป็นชนชาติที่รักสงบมากที่สุดในโลกอย่างไม่น่าสงสัย แต่ทว่าผมจะไม่ประหลาดใจเลย หากชาวสยามจะลุกขึ้นมาจับดาบต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชของตน ภายหลังจากที่ประเทศสยามค่อยๆ ถูกตัดแบ่งออกไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 15 ปีมาแล้ว” (จากหนังสือ กำเนิดการรถไฟในประเทศไทย ลูอิส ไวเลอร์ เขียน แปลโดย ถนอมนวล โอเจริญ และ วิลิตา ศรีอุฬารพงศ์)

วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักว่า “ไม่มีผู้ใดช่วยเราได้ มีแต่มหาอำนาจหลายชาติต้องการกินเรา เราต้องมีแผนการที่ดีเพื่อรักษาเอกราชของชาติ”

ทางหนึ่งคือการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก เป้าหมายเพื่อหาพันธมิตรมาคานอำนาจศัตรู ก็คือ ‘พระเจ้าซาร์ นิโคลาสที่ 2’ แห่งรัสเซีย

อีกทางหนึ่งคือปรับปรุงทางรถไฟของสยามให้ดีขึ้น พร้อมรับมือกับข้าศึกได้ทุกเมื่อ

เหตุการณ์ ร.ศ. 112 ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนแผน เลือกสร้างสายอีสานก่อน เพราะเรื่องยุทธศาสตร์ เส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปแม่น้ำโขงจำต้องผ่านโคราช

ฝ่ายไทยโชคดีมากที่ได้ ‘คาร์ล เบธเกอ’ และนายช่างเยอรมันหลายคนมาทำงานนี้ รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินไปดูการสร้างรถไฟเสมอ

รถไฟสายอีสานแล้วเสร็จในปี 2443 รวมระยะทางทั้งสาย 265 กิโลเมตร หลังจากนั้นก็ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างทางรถไฟสายอื่นๆ ต่อไป เช่น ทางรถไฟสายเหนือจากชุมทางบ้านภาชีถึงเชียงใหม่ ระยะทาง 661 กม. เสร็จในรัชกาลต่อมา

ทรงมีวิสัยทัศน์ไกล จะต่อสู้กับอำนาจมารนอกประเทศ ต้องเตรียมพร้อมทุกด้าน ทั้งเชิงรับและเชิงรุก ทั้งทางทหาร การเมืองระหว่างประเทศ การคมนาคม ไปจนถึงการปฏิรูประบบต่างๆ

“ทหารมีไว้ทำไม?”
“กษัตริย์มีไว้ทำไม?”
… หากไม่มีป่านนี้คนไทยคงพูดภาษาฝรั่งเศสกัน

วินทร์ เลียววาริณ
23 ตุลาคม 2566

‘เพจสานต่อเจตนารมณ์ อ.สมเกียรติ’ เผยอีกมุมเรื่องตึกในฝรั่งเศส ปชช.จะไม่มีเสรีภาพให้ก่อสร้างได้ตามใจชอบ แม้จะเป็นที่ของตัวเอง

(4 พ.ย.66) เพจเฟซบุ๊ก ‘สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา’ ได้โพสต์อธิบายความ หลังมีการเปรียบเทียบภาพตึกอาคารในฝรั่งเศสและเมืองไทยในเชิงด้อยค่า ว่าตึกในไทยดูด้อยพัฒนา โดยระบุว่า…

บางโซนของปารีสจะถูกบังคับไว้เลย ว่าตึกต้องทรงไหน สีอะไร สูงได้เท่าไหร่ เพื่อให้ดูเหมือนกันทั้งโซน ตามวัตถุประสงค์ด้านทัศนียภาพนี่แหละ

จะไม่มีเสรีภาพให้ก่อสร้างได้ตามใจชอบ แม้จะเป็นที่ของคุณเอง

ถ้าจะเอาเสรีภาพ แต่อยากให้รัฐฯ บงการแม้แต่สีของตึก มันจะย้อนแย้งนิดนึง

ฝรั่งเศสที่คนไทยไปหลงเอาเองว่าเป็น ‘ประเทศแห่งเสรีภาพ’ จริงๆ แล้วเป็นประเทศที่รัฐฯ คุมเข้มแทบทุกเรื่อง และตำรวจไล่ทุบม็อบได้โหดที่สุดในบรรดาประเทศยุโรปด้วยกัน

แล้วถ้าจะเทียบอะไรกับปารีส เอารถใต้ดินมาเทียบกันหน่อยไหม ที่เมืองไทยไม่มีเหม็นเยี่ยวแน่นอน

ขนาดสถานี ‘Paris Metro’ ของย่านผู้ดี Passy ที่ Arrondissemont 17 ยังไม่น่าขึ้นเลย 

ย่านนั้นเป็นย่านสวยๆ สบายๆ ของคนมีตังค์ในปารีสอยู่กัน มีความเป็นคอมมิวนิตี้ ดีทุกอย่าง แต่ขนาดย่านคนรวยสถานีรถใต้ดินยังไม่ไหวเลย

ถ้าไม่ขึ้นแท็กซี่ ก็เดินไปขึ้นรถเมล์สบายใจกว่าเยอะ

เล่าจากประสบการณ์ตรงที่เคยไปอยู่

'เศรษฐีนีมาเลเซีย' กรี๊ด!! แหวนราคา 36 ล้านหายในโรงแรมหรูที่ปารีส เจ้าหน้าที่พลิกโรงแรมหานาน 2 วัน สุดท้ายพบอยู่ในเครื่องดูดฝุ่น

สื่อฝรั่งเศสรายงานเหตุวุ่นวายใน The Ritz โรงแรมสุดหรูในใจกลางนครปารีส ของฝรั่งเศส เมื่อมีนักท่องเที่ยวสาวชาวมาเลเซียออกมาโวยวายว่าแหวนเพชรเม็ดโต ราคาหลัก 1 ล้านเหรียญ (ประมาณ 36 ล้านบาท) ถูกขโมยจากห้องพักในโรงแรมหรูชั้นนำของฝรั่งเศส และกลายเป็นคดีที่มีการพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ของฝรั่งเศสในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 

หญิงสาวชาวมาเลเซียรายนี้ ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม เป็นนักธุรกิจหญิงชั้นนำ ที่สามารถเรียกได้ว่ามีฐานะในระดับเศรษฐีนีของมาเลเซียเลยทีเดียว โดยเธอเข้าพักในโรงแรม Ritz ที่ตั้งในย่านหรูของกรุงปารีส จนเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม เธอได้ถอดแหวนเพชรเม็ดโต ราคาถึง 1 ล้านเหรียญวางทิ้งไว้บนโต๊ะข้างหัวนอน ก่อนที่จะออกจากโรงแรมไปชอปปิงเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาพบว่า แหวนเพชรของเธอได้หายวับไปจากห้องแล้ว 

และในวันนั้น เธอได้แจ้งตำรวจในทันที โดยเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษก็รีบรุดมายังที่เกิดเหตุ เพื่อสอบสวน และประสานงานกับทางโรงแรมว่ามีบุคคลแปลกปลอมเข้ามาขโมยของในโรงแรมหรือไม่?

(อนึ่งปารีส มักมีข่าวนักท่องเที่ยวถูกลักเล็ก ขโมยน้อยอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชียที่ดูมีฐานะ ซึ่งถูกตั้งฉายาว่า 'Crazy Rich Asians' มักเป็นเป้าหมายของกลุ่มมิจฉาชีพอยู่เสมอ)

แต่หลังจากพลิกโรงแรมหาอยู่นานถึง 2 วัน พนักงานโรงแรมก็พบแหวนเพชรหรูของเศรษฐีนีมาเลเซียอยู่ในถุงภายในเครื่องดูดฝุ่น สร้างความโล่งใจทั้งลูกค้า ทั้งทีมตำรวจที่สามารถปิดคดีได้ และได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่โรงแรมที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์และเป็นมืออาชีพ 

นับเป็นความโชคดีของเศรษฐีนีมาเลเซียที่ไม่สูญแหวนเพชรหรูของเธอในทริปที่ปารีส เพราะถึงแม้ทางโรงแรมจะยืนยัน มั่นใจเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยเพียงใดก็ตาม แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุโจรปล้นภายในโรงแรมแห่งนี้ 

เมื่อย้อนกลับไปช่วงเดือนกันยายน ปี 2018 เจ้าหญิงองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์ซาอุฯ เคยแจ้งตำรวจว่าเครื่องเพชรมูลค่ามากกว่า 8 แสนยูโร (ประมาณ 30 ล้านบาท) ได้สูญหายไปจากห้องสูท ของโรงแรม The Ritz แห่งนี้เช่นเดียวกัน และไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ ซึ่งในปีเดียวกัน ก็เคยเกิดเหตุแก็งโจรบุกปล้นร้านเครื่องเพชรที่อยู่ในโรงแรม โดยใช้ค้อนทุบตู้กระจก กวาดเครื่องเพชร และนาฬิกาแบรนด์เนมไปได้ถึง 4 ล้านยูโร (154 ล้านบาท) ก่อนจะถูกจับตัวได้ในเวลาต่อมา 

ดังนั้น ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัย สำหรับทรัพย์สินมีค่าของคุณ แม้ว่าสถานที่นั้นจะเป็นโรงแรม 5 ดาวหรูหราที่สุด ในย่านคนรวยที่สุด แต่ถ้าคุณประมาทก็หนีไม่พ้นมือโจรอยู่ดี 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘4 ชาติยุโรป’ ยกระดับความปลอดภัยช่วง ‘คริสต์มาส-ปีใหม่’ หวั่น!! ภัยคุกคามจากก่อการร้าย หลังพบความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

หลายชาติในยุโรปตรึงมาตรการการรักษาความปลอดภัยเข้มในช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่ เนื่องจากหวั่นภัยก่อการร้าย หลังพบความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และเกิดเหตุทำร้ายชาวยุโรปในกรุงปารีสก่อนหน้านี้ 

(25 ธ.ค.66) ก่อนหน้านี้มีการรายงานว่า สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ส่งผลให้ยุโรปเสี่ยงภัยก่อการร้ายมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปก็ตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าวและได้หารือถึงการยกระดับการรักษาความปลอดภัย

ต่อมามติชนรายงานว่า ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย และสเปน เป็นหนึ่งในชาติยุโรปที่เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มข้นขึ้นรับช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ท่ามกลางความกังวลเรื่องภัยคุกคามจากการก่อการร้าย 

ที่ฝรั่งเศส นายเฌราลด์ ดาร์มาแนง รัฐมนตรีมหาดไทยโพสต์บน X เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม สั่งการให้ตำรวจและสารวัตรทหารเพิ่มการรักษาการณ์ตามโบสถ์ต่างๆ ทั่วประเทศ “เพื่อปกป้องชาวคริสเตียนที่จะมาร่วมเฉลิมฉลองคริสมาสต์ในเย็นวันนี้และเช้าวันพรุ่งนี้”

ขณะที่ทางการเยอรมนีได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้นบริเวณมหาวิหารเมืองโคโลญ โดยนายไมเคิล เอสเซอร์ ผู้บัญชาการตำรวจเมืองโคโลญจ์ แถลงว่า ตำรวจจะทำทุกอย่างเพื่อรับรองความปลอดภัย โดยผู้ที่เดินทางมายังโบสถ์ทุกคนจะถูกตำรวจค้นอย่างเข้มข้น

ทั้งนี้ ตำรวจพร้อมสุนัขดมกลิ่มได้ตรวจค้นหา หลังจากมีรายงานกลุ่มติดอาวุธอิสลามิกมีแผนที่จะก่อเหตุโจมตีโบสถ์ในช่วงวันคริสต์มาสอีฟ หรือช่วงปีใหม่

ที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ตำรวจได้เพิ่มการวางกำลังรักษาความปลอดภัยช่วงฉลองเทศกาลคริสต์ โดยตำรวจออสเตรีย ระบุว่า ในขณะที่ผู้ก่อการร้ายทั่วยุโรปเรียกร้องให้มีการโจมตีงานฉลองของชาวคริสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราววันที่ 24 ธันวาคม เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจึงได้เพิ่มมาตรการป้องกันที่สอดคล้องในพื้นที่สาธารณะในกรุงเวียนนาและรัฐต่างๆ

นอกจากนี้ มีรายงานว่า ตำรวจออสเตรียได้จับกุมผู้ต้องสงสัย 4 คน ที่ต้องสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกองกำลังรัฐอิสลามแห่งโคราซาน ซึ่งแตกหน่อมาจากกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง

'กรณ์' มอง 'เลือกตั้ง ปธน.ไต้หวัน' ควรเลือกให้ผู้ชนะได้เกิน 50%  รอบแรกเลือกคนที่รัก รอบสองเลือกคนที่รับได้มากกว่า

(15 ม.ค.67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ระบุว่า...

เห็นผลการเลือกตั้งไต้หวันแล้วทำให้คิดว่า ชอบระบบของฝรั่งเศสที่มีการเลือกสองรอบ คือรอบสองตัดคนที่สามออก 

คะแนน (ยังไม่ 100%) DPP 42% KMT 33% TPP 27%

ถ้าเป็นการเลือก สส. ยังไม่เท่าไร แต่การเลือกผู้นำประเทศ ควรเลือกให้ผู้ชนะได้เกิน 50% 

รอบแรกเลือกคนที่รัก รอบสองเลือกคนที่รับได้มากกว่า

‘ฝรั่งเศส’ เตรียมทดลอง ‘แต่งชุด นร.’ หวังลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมเพิ่มวิชาให้ศึกษาความหมายของ ‘เพลงชาติ’ ให้ลึกซึ้ง

เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 67 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง กล่าวถึงเครื่องแบบนักเรียน ว่าสามารถลดความไม่เท่าเทียม หรือความเหลื่อมล้ำระหว่างครอบครัว... 

ในเวลาเดียวกัน เครื่องแบบนักเรียนคือการกำหนดแนวทาง ที่เป็นเงื่อนไขของการเคารพและการให้เกียรติ ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่ปีการศึกษาปัจจุบันเป็นต้นไป กระทรวงศึกษาธิการฝรั่งเศส มีแผนการให้สถานศึกษาของรัฐ 100 แห่งในประเทศ ร่วมโครงการนำร่องการสวมเครื่องแบบนักเรียน โดยสถานศึกษาสามารถเข้าร่วมได้ตามความสมัครใจ

หากการทดลองดังกล่าวได้ผลดี จะมีการบัญญัติเป็นกฎหมาย และบังคับใช้ในระดับเดียวกัน สำหรับสถานศึกษาของรัฐทั่วประเทศ ในปี 2569 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มาครงจะดำรงตำแหน่งผู้นำฝรั่งเศส ก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ ในปี 2570 และจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส ที่นักเรียนในโรงเรียนของรัฐต้องสวมเครื่องแบบ

นอกจากนี้ ผู้นำฝรั่งเศสกล่าวถึงแผนการให้นักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา เรียนรู้และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ต่อความหมายของเพลง ‘ลามาร์แซแยซ’ (La Marseillaise) ซึ่งเป็นเพลงชาติ และการกำหนดให้วรรณกรรม ภาพยนตร์ และการละครเป็นวิชาบังคับ ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568 โดยผู้นำฝรั่งเศสเชื่อว่า เป็นวิชาที่จะสามารถสร้างความมั่นใจ ฝึกฝนการพูดในสถานที่สาธารณะ และการเรียนรู้เนื้อหาที่มีคุณค่า

‘ฝรั่งเศส’ เสนอ!! ‘เสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน-กางเกงขายาวสีเทา’ เป็นชุดนร. หลังประกาศเดินหน้าทดลองสวมเครื่องแบบนร. หวังลดความเหลื่อมล้ำ

เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 67 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยอ้างข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ ลา ฟิกาโร ซึ่งสัมภาษณ์แหล่งข่าวในรัฐบาลฝรั่งเศส เกี่ยวกับนโยบายของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ในการให้สถานศึกษาของรัฐ 100 แห่ง ทดลองการสวมเครื่องแบบนักเรียนนั้น ว่าแม้ผู้บริหารของโรงเรียนแต่ละแห่งสามารถกำหนดแนวทางของเครื่องแบบได้เอง

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลฝรั่งเศสเสนอแนะการสวมเสื้อแขนยาวหรือสเวตเตอร์สีน้ำเงิน กับกางเกงขายาวสีเทา เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกัน

ทั้งนี้ มาครงกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าเครื่องแบบนักเรียน สามารถลดความไม่เท่าเทียม หรือความเหลื่อมล้ำระหว่างครอบครัวได้ ขณะเดียวกัน เครื่องแบบนักเรียนคือการกำหนดแนวทาง ที่เป็นเงื่อนไขของการเคารพและการให้เกียรติ สำหรับโครงการนำร่องการสวมเครื่องแบบนักเรียน สถานศึกษาสามารถเข้าร่วมได้ตามความสมัครใจ

หากการทดลองดังกล่าวได้ผลดี จะมีการบัญญัติเป็นกฎหมาย และบังคับใช้ในระดับเดียวกัน สำหรับสถานศึกษาของรัฐทั่วประเทศ ในปี 2569 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มาครงจะดำรงตำแหน่งผู้นำฝรั่งเศส ก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ ในปี 2570 และจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส ที่นักเรียนในโรงเรียนของรัฐต้องสวมเครื่องแบบ

นอกจากนี้ ผู้นำฝรั่งเศสกล่าวถึงแผนการ ให้นักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา เรียนรู้และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ต่อความหมายของเพลง ‘ลา มาร์แซแยซ’ ( La Marseillaise ) ซึ่งเป็นเพลงชาติ และการกำหนดให้วรรณกรรม ภาพยนตร์ และการละครเป็นวิชาบังคับ ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568 โดยมาครงเชื่อว่า เป็นวิชาที่จะสามารถสร้างความมั่นใจ ฝึกฝนการพูดในสถานที่สาธารณะ และการศึกษาเนื้อหาที่มีคุณค่า เกี่ยวกับความเป็นฝรั่งเศส

2 สาวนักเคลื่อนไหว บุกสาดซุปใส่ 'ภาพวาดโมนาลิซ่า' สร้างกระแสเรียกร้องสิทธิเรื่องอาหารให้โลกเหลียว

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เกิดกระแสใหม่ในกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการบุกโจมตี สาดสี สาดโคลนใส่ภาพวาด งานศิลปะชื่อดังระดับโลก เพื่อดึงความสนใจจากสังคม และพื้นที่บนหน้าสื่อในการส่งผ่านข้อเรียกร้องที่พวกเขาต้องการจะสื่อ สู่สังคมทั่วโลกให้ดังที่สุด

แม้ว่า การกระทำของพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นการแสดง 'ความหิวแสง' และไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคมโดยส่วนใหญ่ก็ตาม 

และล่าสุด ภาพวาดที่เรียกได้ว่า โด่งดังที่สุดในโลก อย่าง โมนาลิซ่า ของจิตรกรเอก เลโอนาร์โด ดา วินชี ก็ไม่รอด โดน 2 นักเคลื่อนไหวสาวจากกลุ่ม Riposte Alimentaire (การตอบโต้ด้วยอาหาร) บุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เพื่อสาดซุปฟักทองใส่ภาพวาดชื่อดัง จนเลอะเทอะไปทั้งกำแพง เมื่อวันอาทิตย์ (28 มกราคม 67) ที่ผ่านมา

แต่ทั้งนี้ ภาพวาดโมนาลิซ่า ที่มีความงามเป็นอมตะ ตั้งแต่ยุคศตววรษที่ 16  รวมถึงภาพวาดระดับมาสเตอร์พีซอื่นๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ มีการป้องกันอย่างดีในกรอบกระจกนิรภัย จึงไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด

ด้าน 2 สาว หลังก่อเหตุสาดซุปใส่ภาพวาดชื่อดังแล้ว ก็ออกยืนประกาศผลงานของตนรอสื่อมวลชนมาทำข่าว พร้อมกล่าวว่า "คิดว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างงานศิลปะ กับ สิทธิในการเข้าถึงอาหารที่ยั่งยืน และ ปลอดภัย" 

"ระบบการเกษตรของประเทศเรามันห่วย เกษตรกรจำนวนมากกำลังจะตาย คาสวน คาไร่ของพวกเขา"

และในขณะเดียวกัน ทางกลุ่ม Riposte Alimentaire ก็ได้โพสต์ข้อความผ่าน X ยอมรับว่าการโจมตีภาพวาดโมนาลิซ่าครั้งนี้เป็นฝีมือของทางกลุ่ม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศส บรรจุสวัสดิการด้านอาหารเข้าไปในระบบประกันสังคม เพราะการเข้าถึงอาหารเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน โดยเรียกร้องให้รัฐบาลแจกคูปองมูลค่า 150 ยูโรให้ประชาชนทุกเดือนเพื่อนำไปซื้ออาหาร

Riposte Alimentaire เป็นหนึ่งในเครือข่าย A22 Network อันประกอบด้วยกลุ่มนักเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่ม Just Stop Oil ที่เคยบุกโจมตีภาพ 'ดอกทานตะวัน' ของ 'วินเซนต์ แวนโก๊ะ' ในหอศิลป์แห่งชาติ ที่กรุงลอนดอน เมื่อปี 2022 มาแล้ว 

สำหรับ เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเหตุผลที่ต้องนำภาพวาดโมนาลิซา ไปใส่กรอบกระจกนิรภัยตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 ก็เพราะเคยมีผู้เข้าชม เทกรด ใส่ จนภาพวาดได้รับความเสียหายมาแล้ว

ต่อมาในปี 2019 ทางพิพิธภัณฑ์ ก็ได้มีการติดตั้งกระจกกันกระสุนเข้าไปเพิ่ม เพื่อป้องกันภาพวาดอีกชั้นหนึ่ง และในปี 2022 โดยชายวัย 36 คนหนึ่ง ที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วยเก้าอี้รถเข็น และได้ปาเค้กใส่รูปโมนาลิซ่า พร้อมตะโกนว่า "คิดถึงโลกซะบ้าง ผู้คนมากมายกำลังทำลายมันอยู่" ก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวเข้าศูนย์บำบัดทางจิตในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ ตามระเบียบขั้นตอนต่อไป ทางพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ก็จะทำรายงานร้องเรียนเพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุต่อไป ไม่ว่าเจตนาของกลุ่มนักเคลื่อนไหวจะเพื่อต้องการหาพื้นที่สื่อเพื่อเรียกร้องประเด็นเพื่อสังคมใดๆ ก็ตาม 

ด้าน ราชิดา ดาติ รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X ว่า "ภาพวาดก็เหมือนมรดกของชาติ ที่ควรถนอมรักษาให้รุ่นลูกหลานในอนาคตของพวกเราได้ชมด้วย" 

อยากจะบอกว่า แสงอยู่กับเราไม่นาน และหากต้องการให้เกิดกระแสเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมได้จริงและยาวนาน ควรหาวิธีที่สร้างสรรค์และทำซ้ำๆ อาจจะนานหน่อยกว่าคนจะตระหนัก แต่คงดีกว่ามาทำอะไรที่เป็นการ 'หิวแสง' แบบนี้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top