Monday, 20 May 2024
บิ๊กตู่

'ลุงตู่' ฝากฝัง 'เศรษฐา' รักษาสถาบันฯ  วอนคนไทย 'เลิกแบ่งสี-แบ่งฝ่าย' ได้แล้ว 

(24 ส.ค. 66) ที่กระทรวงกลาโหม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการประชุมสภากลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ถ่ายรูป และเซลฟี่ กับสื่อมวลชนอย่างชื่นมื่น ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก พร้อมทั้งกล่าวหยอกล้อว่า "ฉันยังไม่ได้ไปไหนหรอกนะ" 

โดยสื่อมวลชนได้ร้องเพลง ‘แม้ไม่ใช่คนโปรด อย่างคนอื่นเขา’ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีรอยยิ้มออกมาพร้อมทั้งกล่าวว่า "ร้องเพลงให้นายกฯ คนนี้แล้ว ก็ให้ไปร้องเพลงนี้ให้นายกฯ คนใหม่ด้วย"

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน ว่าที่นายกฯ คนที่ 30 เข้าพบเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า ได้ฝากดูแลทุกอย่าง ซึ่งท่านก็รับไป ตนก็ไม่ได้ไปก้าวล่วงอำนาจ ซึ่งตนพร้อมส่งมอบงานและข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ ในการบริหารราชการต่อไป

เมื่อถามว่า มีงานที่คั่งค้างและฝากนายกฯ คนใหม่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มี ท่านก็คงนำไปพิจารณาและทำต่อ อะไรที่ต้องปรับ ก็ปรับ ส่วนเรื่องสถาบันฯ ฝากแล้ว

เมื่อถามว่าได้มีการมองหา รมว.กลาโหมคนใหม่ เพื่อดูแลกองทัพต่อไปหรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ยังไม่ทราบว่าใครเป็น" 

เมื่อถามว่าถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่นายกฯ ทั้งสองคนมาเจอกันเพื่อสลายขั้ว สร้างความสามัคคี หรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "อย่าไปมองว่าสีไหนเป็นสีไหน เลิกแบ่งสีได้แล้ว วันนี้บ้านเมือง เดินไปข้างหน้ามีรัฐบาลใหม่มา"

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่ากรณีที่นายเศรษฐาได้เป็นนายกฯ เพราะได้รับการสนับสนุนจากพล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็อย่าไปมองอย่างนั้นซิ รัฐบาลมาตามขั้นตอนและกระบวนการ เรื่องต่าง ๆ ในสภาก็เป็นเรื่องของรัฐสภา ตอนนี้อย่าไปสร้างประเด็น หรือคิดเอาเองกัน เขียนออกมาก็ต้องระมัดระวังด้วย วันนี้ขัดแย้งกันไม่ได้แล้ว แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการ"

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินเข้าไปนั่งในรถประจำตำแหน่ง พร้อมลดกระจกลง พร้อมโบกมือให้สื่อพร้อมทั้งกล่าวว่า "ยังไม่ได้ไปไหนสักหน่อยนึง วันนี้ข้าราชการอำลาเกษียณฯ 60 ฉันเกษียณ 70" 

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าจะไปทำอะไรดี? พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า "พักผ่อน" ก่อนเดินขึ้นรถไป ก่อนจะเปิดกระจกรถยกมือบ๊ายบายพร้อมกล่าวว่า “ยังไม่ได้ไปไหน”

นายกรัฐมนตรีชื่อ 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' ทำงานหนัก มีเมตตา รับฟังผู้อื่น

นี่เป็นอีกหนึ่งข้อความบอกเล่าถึงบางสิ่งบางอย่างจากคนที่ได้มีโอกาสทำงานและพบเห็น ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

1. ท่านเป็นคนทำงานหนักมาก แทบจะไม่เคยเห็นว่ามีการพักผ่อน ลาไปเที่ยวไหนเลย (ไม่เหมือนผู้นำหลายคน หรือของต่างประเทศที่มีการพักร้อน) ก็คงเพราะท่านต้องประชุมเยอะมากทุกวัน และเป็นประธานด้วย และก่อนประชุม โดยเฉพาะประชุมครม. ท่านต้องอ่านทุกวาระก่อนในวันจันทร์ และมีโน้ตลายมือส่งกลับมาให้ฝ่ายเลขา (ซึ่งจะมีผู้ชำนาญการถอดลายมือท่านโดยเฉพาะถ้าคำไหนอ่านไม่ออก 555) 

โดยเฉพาะช่วงโควิด คือทำงานทุกวันจริง ๆ พวกเรา (ทีมโฆษก ศบค.) และคนทำงานอื่น ๆ ก็ต้องตามท่านให้ทันเพราะมักจะมีบัญชา หรือข้อเสนอแนะส่งมาให้พวกเราตลอด บางทีท่านก็เดินจากตึกไทยคู่ฟ้ามาเยี่ยมมาให้กำลังใจพวกเราที่ตึกสันติไมตรีด้วย แต่ด้วยความที่ท่านเน้นการทำ ไม่เน้นการพูดหล่อ ๆ ไปเรื่อยเปื่อยเหมือนนักการเมืองอาชีพ ไม่เน้นออกอีเวนต์โชว์ตัวให้เป็นกระแสในโซเชียล การไปไหนคือไปงานราชการทั้งสิ้น (และผมก็สัมผัสได้ว่าช่วงเวลาที่ท่านผ่อนคลายและมีความสุขที่สุดก็คือเวลาได้ไปพบปะพี่น้องประชาชนในต่างจังหวัด) หลาย ๆ คนก็เลยไม่ได้รับรู้ว่าท่านทำอะไรบ้าง (และก็ไม่คิดจะหาข้อมูล สื่อก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่) 

2. ท่านเป็นคนมีเมตตาสูง อันนี้ผมขอท้าให้ไปสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาท่านได้เลย ท่านจะมีความเป็นห่วงเป็นใยช่วงเบรกประชุม ครม. ท่านก็จะเดินไปตามโต๊ะเพื่อทักทายและถามไถ่เจ้าหน้าที่ และสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ภาวะผู้นำของท่านก็คือ ลองไปหาข่าวย้อนหลังดู ว่าเคยมีสักครั้งไหม ที่ท่าน ‘โทษ’ ลูกน้อง ในสิ่งที่อาจจะทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้ทำ 

แม้กระทั่งเรื่องโควิด ท่านก็ต้องออกมาขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ ในที่ประชุม ท่านเด็ดขาด หรือบางทีก็พูดตรง ๆ แต่ก็ไม่เคยหักหน้าใคร หลายครั้งพูดไปแล้วต้องพูดตามว่า ผมไม่ได้ว่าท่านนะ หรือ หากทำให้ใครไม่สบายใจก็ต้องขออภัยด้วย จนเกือบจะถึงขั้นเกรงใจคนอื่นเลยทีเดียว ในการพบกันครั้งแรกของผมกับพี่ก้อยกับท่าน ท่านถามเราสองคนว่ามีครอบครัวหรือยัง พอบอกว่ามี ท่านก็มอบกระเป๋าสานฝากไปให้ภรรยาผมด้วย 

ทั้งหมดนี้คือการแสดงว่าท่านคิดถึงคนอื่น และคิดถึงความรู้สึกคนอื่น ดังนั้นผมจึงเชื่ออย่างจริงใจว่าท่านจะมีความทุกข์และกังวลขนาดไหน ในช่วงโควิด ที่ประชาชนเจ็บป่วย เสียชีวิต ร้านปิดกิจการ ในขณะที่ท่านเป็นผู้นำประเทศและการกล่าวหาว่าท่านไม่เห็นใจชาวบ้าน นั้นเป็นการโจมตีท่านอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่ง ‘ความผิด’ ของท่านข้อเดียวที่ผมมักจะได้ยินจากผู้สนับสนุนท่านก็คือ การไม่จัดการม็อบให้เด็ดขาด แต่ในข้อนี้ก็คงอธิบายได้ประมาณหนึ่ง ว่าท่านไม่ได้เห็นเยาวชนเป็นศัตรูคู่อาฆาต ที่ต้องไปจัดการฆ่าให้ตายเหมือนใครบอกไว้ แต่เป็นลูกเป็นหลานที่อาจจะหลงผิดโดยการปลุกปั่น เพราะท่านเองก็มีลูกสาว เป็นพ่อคนเช่นกัน

3. ท่านเป็นคนรับฟังคนอื่นอย่างมาก ซึ่ง pattern ของการประชุมส่วนมาก ในวาระพิจารณาคือ ท่านจะให้ผู้เข้าประชุมแสดงความคิดเห็นกันให้ทั่วถึง รวมถึงคนที่อาจจะไม่เห็นด้วย หรือโจมตีนโยบายท่าน ก็เชิญมาแสดงความเห็นด้วยและท่านก็ให้ความเคารพทุกคน ทุกความเห็น แล้วจึงค่อยสรุป แล้วถามว่า ทุกคนเห็นว่าอย่างไร หากไม่เห็นด้วยให้บอกมาเลย แล้วจึงค่อยออกมาเป็นคำสั่งการและนโยบาย (ซึ่งบางคนในห้องไม่กล้าค้าน แต่ออกมาแล้วโพสต์ด่าเฉย) 

ดังนั้นการโจมตีท่านว่าเป็น ‘เผด็จการ’ จึงเป็นการกล่าวหาที่ ‘เพ้อเจ้อ’ และเป็นเพียงวาทกรรมที่พยายามผลักท่านให้‘ไม่เป็นประชาธิปไตย’ ผมสังเกตว่า ท่านจะรับฟังและให้เกียรติ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เป็นอย่างมาก (เช่น แพทย์ นักวิชาการอาจารย์ ซึ่งทั้งแม่และภรรยาของท่านก็เป็นครู) และแทบจะไม่เคยขัดคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเลย (ข้อเสนอและนโยบายช่วงโควิด ส่วนมากก็มาจากคำแนะนำของฝ่ายสาธารณสุขทั้งสิ้น) และในบางโอกาสที่ผมได้มีข้อเสนอแนะทางการสื่อสาร ท่านก็ยังให้เกียรติสอบถามและรับฟังผม และขอบคุณผมด้วย (ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้) และก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะตำหนิอะไรผมหรือทีมโฆษกฯ เลย ท่านเดินผ่านมาทางเราเมื่อไหร่ ก็มีแต่คำขอบคุณ ซึ่งทำให้คนทำงานมีกำลังใจ และสามารถซื้อใจคนเก่งหลาย ๆ คนนอกวงการเมืองมาช่วยงานได้ด้วยความจริงใจ ทำให้เกิดโครงการดี ๆขึ้นมากมายโดยที่ไม่มีปัญหาประโยชน์ทับซ้อน 

4. ท่านอาจจะเป็นคนที่ดูหงุดหงิดง่าย แต่ท่านเป็นคนพูดตรง ๆ ไม่ประดิษฐ์วาทกรรมสวยหรู คิดอย่างไรพูดไปอย่างนั้น จริง ๆ แล้วนักข่าวทำเนียบต่างชอบเวลาสัมภาษณ์ท่าน เพราะไม่มีเล่ห์เหลี่ยม หรือพูดแล้วกลับไปกลับมา แต่สิ่งที่สื่อต่าง ๆ ชอบนำไปออกก็คือเวลาท่านดูหงุดหงิด ซึ่งอาจเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์แค่นั้น จึงทำให้คนทั่วไปมองว่าท่านเป็นอย่างนั้น ซึ่งเชื่อหรือไม่ครับ ว่าท่านเองก็รับทราบ และก็พยายามจะข่มอารมณ์เวลามีคำถามที่ไม่ค่อยน่าฟัง แต่ด้วยความที่ตัวตนของท่านเป็นคนไม่เสแสร้ง บุคลิกแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้เก่งการละครหรือการพูด ท่านดีใจท่านก็ยิ้ม หงุดหงิดก็ขึ้นเสียง ซึ้งใจก็มีน้ำตา 

5. เห็นท่านดูใจร้อน โผงผาง แต่จริง ๆ แล้วเวลาส่วนใหญ่ ท่านเป็นคนมีอารมณ์ขัน มุกตลกเยอะ (ตลกหน้าตายด้วย) เวลาอารมณ์ดี ชอบแซวชอบแหย่คนอื่น ๆ ในห้องประชุม นักข่าว หรือคนรอบข้างอยู่เสมอ บางเรื่อง ครม. ตกลงกันไม่ได้ โต้กันไปมา ท่านยิงมุกทีนึงฮากันครืนทั้งห้อง บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงทันที และท่านก็ยังมาพูดคุยกับทีมงานแบบไม่ถือตัว (นะจ๊ะ นั่นแหละครับ 55) ซึ่งอันนี้เราเห็นกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว

สิ่งเหล่านี้ (และจริง ๆ ยังมีอีกมาก) คือตัวตนของ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย ที่ผมได้เคยสัมผัสในช่วงสั้น ๆ แต่เป็นช่วงที่มีความประทับใจ และเชื่อโดยสนิทใจว่าท่านเป็นคนดี มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันที่เราเคารพรักจริง ๆ (หากจะพูดว่าตายแทนได้ผมก็เชื่อ) ทำให้ผมและคนเก่ง ๆหลาย ๆ คนอาสาเข้ามาช่วยท่าน (ถ้าดูไม่ดีผมคงเผ่นไปตั้งแต่แรกแล้ว) และสำหรับผม และในกาลเวลาข้างหน้า ก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต และเก่งในการบริหารที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ที่ทำให้เราฝ่าวิกฤตซ้อนวิกฤตซ้อนวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง มิได้หวังลาภยศสรรเสริญ แต่เสียสละด้วยความจำเป็นเข้ามารับความเสี่ยงในยามที่ประเทศถึงทางตัน ตามคำขวัญของกองทัพที่ว่า “มิเคยหวังจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดทนเห็นชาติพินาศสลาย”

 

'ลุงตู่' ยก 9 ประเด็นสำคัญในช่วงระยะเวลา 9 ปี 'ทุกแรงขับเคลื่อน' เกิดขึ้นได้ เพราะคนไทยร่วมใจเป็นหนึ่ง

(26 ส.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์จันทร์โอชา Prayut-Chan-o-cha’ โดยระบุว่า…

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

ตลอดระยะเวลา 9 ปี ของการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายมากที่สุดของชีวิต เป็น 9 ปีที่ได้ทำงานเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผม และของเราทุกคน เป็น 9 ปีที่ผมได้ใช้สติปัญญา ทุ่มเททุกศักยภาพและกำลังความสามารถ สานพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งเชิดชูสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย และเป็น 9 ปีของประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีความเจริญก้าวหน้าในหลายด้านทัดเทียมนานาอารยประเทศ และพร้อมยกระดับไปสู่ประเทศชั้นนำของโลก ในอนาคตอันใกล้นี้ ด้วยเหตุผลสำคัญได้แก่

1. เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมี ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ระยะยาว 20 ปี เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางและกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนได้ทำงานร่วมกัน ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ

2. มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกระบบ ทั้งทางถนน ทางราง ทางทะเล และทางอากาศรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ยกบทบาทของประเทศจากความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ ให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้านการบิน ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ

3. มีความพร้อมเรื่อง ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ และ ‘เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม’ โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล และ 5G ที่โดดเด่นในภูมิภาค เป็นที่ดึงดูดการลงทุนบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน 5G - Data center - Cloud services ที่สำคัญในภูมิภาค มีการใช้ประโยชน์ของประชาชนในชีวิตประจำวัน การศึกษาหาความรู้ การประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนและสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ

4. มีการกำหนด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้งมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการพิเศษ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านนวัตกรรม ด้านดิจิทัล เป็นต้น ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะแรงงานทักษะสูง-แรงงานแห่งอนาคต รวมถึงเกษตรอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคตและการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21

5. สร้างกลไกในการบริการจัดการทรัพยากรที่สำคัญของชาติ (1) ‘น้ำ’ ออกกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ มีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานน้ำในทุกระดับ (2) ‘ดิน’ ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และจัดทำแผนที่ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนมาหลายสิบปี รวมทั้งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้-เกษตรกร (3) ‘ป่า’ เช่น ออกกฎหมายป่าชุมชน ไม้มีค่า และตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ

6. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น (1) ส่งเสริมสวัสดิการกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ (2) ส่งเสริมบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กองทุนยุติธรรม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (3) การยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา รองรับความท้าทายใหม่ๆ ของโลกในอนาคต

7. ปฏิรูปกฎหมายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถแก้ไขวิกฤตชาติได้ในหลายเรื่อง เช่น ปลดธงแดง ICAO และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย IUU สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก

8. ประยุกต์เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบราชการไทย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนและเอกชน ที่เข้าถึงง่าย- สะดวก - โปร่งใส เช่น (1) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้การจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตรงเป้าหมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรวจสอบได้ (2) UCEP สายด่วน 1669 บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกสิทธิ์ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น

9. สร้างความสัมพันธ์ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบทวิภาคี-พหุภาคี และเขตการค้าเสรี (FTA) รวมทั้งรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และตลาดการค้าระหว่างกัน

ทั้งนี้ การเดินทางของประเทศไทยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ราบรื่น หรือง่ายดาย ยังคงมีวิกฤตโควิด วิกฤตความขัดแย้งในโลก ที่ส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ช่วยให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ และฟื้นตัวมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงผันผวน

ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อนข้าราชการ และทุกภาคส่วน ที่ได้เสียสละและอดทนในทุกสถานการณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ซึ่งผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าประเทศไทยนับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป หากทุกอย่างที่เราสร้างกันมานั้นได้รับการต่อยอด ก็จะทำให้เราเดินทางเข้าสู่ ‘เส้นชัย’ ได้เร็ววันขึ้นครับ

'บิ๊กดุง' นั่ง ผบ.ทร. ส่วน 'พล.อ.เจริญชัย' ผบ.ทบ. ด้าน 'บิ๊กตู่' พร้อมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ใน 1-2 วันนี้

(25 ส.ค.66) ความคืบหน้าการจัดทำบัญชีปรับย้ายนายทหารประจำปี หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เรียกประชุมคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหม หรือ 7 เสือกลาโหมไปเมื่อวันที่ 24 ส.ค.66 ที่ผ่านมา 

โดยมี...

- พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ตท.24) เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
- พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รองผู้บัญชาการทหารบก (ตท.23) เป็นผู้บัญชาการทหารบก
- พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ (ตท.24) เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ
- พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือ ยุทธการ (ตท.23) เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมนำขึ้นทูลเกล้า ภายใน 1-2 วันนี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนทางธุรการ

‘ฟองสนาน’ โหรดัง น้ำตาซึม!! เล่าถึงนายกฯ ในดวงใจ เผย นายกฯ ท่านนี้เคยปฏิเสธคอมมิชชัน ‘พันล้าน’ มาแล้ว

(28 ส.ค. 66) ฟองสนาน จามรจันทร์ นักพยากรณ์ชื่อดัง อดีตนักข่าวสายการเมือง และนักจัดรายการวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Fongsanan Chamornchan’ ในหัวข้อ ‘นายกฯ ในดวงใจท่านนี้เคยปฏิเสธคอมมิชชั่นประมาณพันล้านขึ้นมาแล้ว’ มีรายละเอียดดังนี้

‘อดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน’ ผู้ดีรัตนโกสิทร์ เคยพูดไว้ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์นานมาแล้วว่า นักการเมืองและข้าราชการต้องไม่รับทั้งคอร์รัปชันและคอมมิชชัน

และแล้ววันหนึ่งที่ห้องโหรเล็กๆ ของแม่หมอที่ตลาดบองมาเช่ ห้องบี 263 ห้องนี้ วันๆ เจอข่าวเต็มไปหมด ทั้งดี-ร้าย… เพราะเป็นศูนย์รวมข่าวซุบซิบจากลูกค้าเพียบ

แต่รู้อะไรมามักจะเงียบ อย่างน้อยก็แค่คุยกันในครอบครัวสามคน พ่อคุณหนุ่ย-ลูกพราวฟอง-แม่หมอ

แต่คราวนี้-ถึงวันลา… คนแม่ขอเป็นลำโพงปากแตกหน่อยว่า…

มีเหตุการณ์หนึ่ง เจ้าของโปรเจกต์ที่ค่อนข้างจะเข้าท่า ทะลุไปพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้

แต่ท่านปฏิเสธ… ไม่สนคอมมิสชันมหึมาหรือตามน้ำ… เป็นมูลค่าพันล้านขึ้น แล้วโครงการนี้ก็ไปลงประเทศอื่น

คนเล่าแม้จะเสียผลประโยชน์ ก็ยังบอกว่า จะเลือกท่าน

แล้วอย่ามาถามว่าคนเล่าเป็นใคร เพราะจำไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป.ป.ช.คณะนี้ อย่าแหยม… ยิ่งหมั่นไส้อยู่

ขอจำแต่คุณงามความดีของคนชื่อ ‘บิ๊กตู่’ … (คนอื่นแม่หมอไม่เรียกบิ๊กหรอกจ้า เพราะโหลมาก)

แม่หมอน้ำตาซึมมาเล่าให้คุณหนุ่ยฟัง เล่าให้พราวฟองฟังเพื่อบอกว่า ทหารเสือท่านนี้ ร้องโฮก ไม่ใช่เอ๋ง

ทหารเสือท่านนี้ขึ้นไปกราบพระบาทในหลวง ร.9 บนสวรรค์ได้เต็มภาคภูมิ

ด้วยรักจากพี่ ที่อกหักเพราะรัก ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’

พี่ฟองสนาน จามรจันทร์ อดีตนักข่าวการเมือง ที่พอจะอวดท่านนายกฯ ของพี่ได้บ้างนิดหน่อยว่า ทำข่าวมาตลอดชีพ เริ่มจากสยามรัฐ ไม่เคยรับซองขาวค่ะ เพราะคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯ+รุ่นพี่สยามรัฐสอนมาดี

ที่เล่าก็เพื่อจะบอกว่า คอมมิชชันที่หากท่านรับกับซองขาว หากพี่จะรับจำนวนต่างกันฟ้ากับเหวเลยเชียวค่ะ

‘ลุงตู่’ ขอบคุณ ครม. - ข้าราชการที่ร่วมมือทำงาน จากนี้ขอพักผ่อน ใช้ชีวิตกับครอบครัวให้มากขึ้น

(29 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เห็นสื่อมวลชนได้กล่าวว่า “สื่อเยอะจริง ๆ เลยวันนี้” พร้อมเดินมาที่โพเดียมและกล่าวอีกว่า “ถ่ายรูปอย่างเดียวดีกว่า เพราะพูดมาเยอะแล้ว”

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าวันนี้เป็นการประชุม ครม. นัดสุดท้ายแล้ว มีอะไรจะพูดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “สุดท้ายอะไร ฉันยังอยู่ตรงนี้อีกตั้งหลายวัน จะรีบเร่งให้ฉันไปไหน แต่วันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของ ครม. โดยประเมินจากสถานการณ์กำหนดการ ขั้นตอน และวิธีการในการดำเนินการ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการทั้งสิ้น โดยถือเป็นไปตามกระบวนการปกติ ขอเรียนว่าวันนี้ยังคงต้องดูแลตามหน้าที่ตามหน้าที่ของของรัฐบาลรักษาการ และนายกฯ รักษาการ ในส่วนที่ทำได้ตามกฎหมาย ต้องขอบคุณทุกคน สื่อมวลชนที่รักทุกคนเราไม่ได้มีอะไรเราไม่ได้มีอะไรกันอยู่แล้ว เรารักกันหลายปีที่ผ่านมา อยู่ด้วยกันมาก็เข้าใจ เป็นการทำงานของสื่อ ตนก็พยายามไม่ไปก้าวล่วงอยู่แล้ว และต้องขออภัยหากดุไปสักนิด นิดเดียวเนอะ”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า “การประชุม ครม. วันนี้ไม่มีอะไร เป็นการเสนอมาตามกระบวนการปกติในการพิจารณา เรื่องก็ค่อนข้างจะน้อยลง เพราะต้องระวังในการใช้อำนาจของ ครม. ตามมาตรา 169 ซึ่งทุกคนทราบดี สื่อมีอะไรจะถามหรือไม่”

เมื่อถามว่าก่อนจะเปลี่ยนไปรัฐบาลใหม่อยากจะฝากอะไรไว้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “คงไม่ต้องฝาก ต้องปล่อยให้รัฐบาลใหม่เขาดำเนินการ นายกฯ ก็มี ครม.ใหม่ก็มี เป็นเรื่องของคนต่อไป และเป็นเรื่องของมารยาท ตนไม่ควรจะพูดอะไรทั้งสิ้น ในเมื่อท่านเข้ามาแล้วก็อยู่ในกระบวนการ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการในระยะต่อไป ทั้งนี้ ขอฝากพวกเราทุกคนด้วยต้องช่วยกันดูแลด้วย”

เมื่อถามต่อว่าห่วงอะไรมากที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่มี”

เมื่อถามย้ำว่าหลังจากนี้จะทำอะไร พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็พักผ่อน ให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น”

เมื่อถามอีกว่านายกฯ ได้อะไรจากการเมืองบ้างในช่วงที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ตนไม่ได้อะไร แต่ต้องถามว่าประเทศชาติได้อะไร ตนทำมาทุกวันก็เพื่อตรงนั้นแหละ เพื่อประเทศชาติและประชาชน พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และวันหน้าก็เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อไปที่จะดำเนินการ”

เมื่อถามต่อว่าทราบว่าในอนาคตนายกฯ จะมีงานที่ใหญ่กว่านี้ทำต่อ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “ยังไม่รู้เลย ไม่ทราบทั้งสิ้น เพราะตนก็เป็นประชาชนพลเมืองไทยธรรมดา ไม่ได้มียศอย่าง หรือเจ้ายศ เจ้าอย่าง หรือเกียรติยศอะไรต่าง ๆ ตนก็กลายเป็นคนธรรมดาเหมือนพวกท่านนั่นแหละ ตนตั้งใจมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา เมื่อถึงเวลาที่ตนต้องพักผ่อนหรือหยุด ตนก็เป็นประชาชนพลเมืองไทยคนหนึ่งธรรมดา ไม่มีสิทธิพิเศษอะไร ที่จะต้องมาเคารพยกย่องไม่ต้องหรอก”

เมื่อถามว่า นายกฯ คิดว่าถ้ามองย้อนกลับไปมีอะไรที่อยากจะทำใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ ถ้าคิดอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่ ไม่ต้องย้อนกลับไปแล้ว เดินหน้าอย่างเดียวอย่างระมัดระวังในการเดินหน้าว่าจะต้องไม่มีอันตราย เพราะไม่ใช่ตนคนเดียว แต่จะต้องรักษาในส่วนของทุกคนด้วย ที่ร่วมงานกันมาให้พวกเขาปลอดภัย ไม่มีอันตรายต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันมา และวันนี้ต้องขอบคุณ ครม. ทั้งหมดทุกคนและข้าราชการทุกคนที่ช่วยตนทำงานมาโดยตลอด ด้วยความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เพราะเราทำตามกฎหมายและระเบียบทุกประการที่มีอยู่”

เมื่อถามต่อว่า 9 ปีที่ผ่านมารู้สึกประทับใจอะไรมากที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “คงต้องพูดในภาพรวมมากกว่า เราก็อยู่กันมาในรัฐบาล 4 ปีเต็ม ทุกคนให้ความร่วมมือพูดจากัน ทักท้วงกัน ให้เหตุผลซึ่งกันและกัน ซึ่งตนก็รับได้ นั่นคือความผูกพันในสิ่งที่ทำร่วมกันมา ไม่ได้มุ่งหมายผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น และตนก็มีนโยบายอย่างนั้นมาตลอด และสามารถทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้มากพอสมควร นั่นคือความประทับใจของตนทั้ง ครม. และสิ่งที่ตนวาดหวังจะเห็น อนาคตต่อไปตนก็พยายามเดินหน้ามาอย่างนั้น ทั้งนี้การเดินหน้าเพื่ออนาคตไม่ได้อยู่ที่ตนเพียงคนเดียว ก็ต้องถ่ายทอดกันต่อไปเรื่อย ๆ ไปสู่อนาคตคนรุ่นใหม่ ซึ่งวันนี้ก็ต้องสร้างความเข้าใจกันให้มากยิ่งขึ้น”

เมื่อถามย้ำว่า 9 ปีถ้าย้อนกลับไปได้ อยากทำอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ย้อน ไม่มีเวลาไหนเขาย้อน มันย้อนไม่ได้อยู่แล้ว”

เมื่อถามอีกว่าใจหายหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่หาย เราต้องพร้อมรับสถานการณ์เหล่านี้ ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะตนบอกแล้วเข้ามาด้วยอะไร และไปด้วยอะไร ก็แค่นั้นเอง”

เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหมเป็นห่วงอะไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ห่วงเป็นเรื่องของขั้นตอน ที่ดำเนินการตามกฎหมาย”

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ตนไม่มีคำตอบเรื่องนี้ บอกแล้วเป็นกระบวนการทางการเมือง การตั้ง ครม. เป็นเรื่องของกระบวนการ ตนพูดอะไรไม่ได้และคงไม่มีคำแนะนำอะไรทั้งสิ้น เพราะยังไม่เห็นโผ เห็นแต่ในหน้าสื่อ”

เมื่อถามอีกว่าดูจากการที่มายื่นให้ตรวจสอบคุณสมบัติ มองว่าหน้าตา ครม. เป็นอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เท่าที่ดูเห็นว่าเขามาเป็นการส่วนตัว บางคนก็มาเอง บางคนก็ไม่มา ไปดูอีกทีตอนโน้นที่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมาดีกว่า ซึ่งเราอย่าไปก้าวล่วงพระราชอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางเราต้องทำขึ้นไปไม่ได้เกี่ยว เป็นขั้นตอนทางกฎหมาย”

เมื่อถามย้ำว่าเท่าที่ดูรายชื่อ ครม.ใหม่หน้าตาดีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็ดูหล่อดีทุกคน”

เมื่อถามอีกว่าถ้าจะร้องเพลงหลังจากนี้สักเพลงจะร้องเพลงอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ขอนึกดูก่อน มีหลายเพลง โอเค ขอบคุณ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าว สื่อมวลชนได้ขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับนายกฯ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่นนายกฯ ได้เดินถ่ายภาพในหลายจุด และหลายมุม รวมทั้งร่วมถ่ายเซลฟี่กับผู้สื่อข่าวด้วย พร้อมทั้งส่งสัญลักษณ์มือมินิฮาร์ท ไอเลิฟยู และโบกมือให้กับผู้สื่อข่าวก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ยก 'ลุงตู่' ที่รู้จัก ต่างจากนักการเมืองทั่วไป 'แข็งนอก-อ่อนใน-ไม่สร้างวาทกรรม' ผู้ร่วมงานด้วยล้วนหลงเสน่ห์

ไม่นานมานี้ นายนันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ดังนี้…

ลุงตู่ที่รู้จัก

วันนี้จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งอาจจะเป็นนัดสุดท้ายของรัฐบาลลุงตู่ จะเล่าเรื่องลุงตู่ที่ผมรู้จัก

แม้จะไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับลุงตู่มากนัก แต่มีแง่มุมที่พอเล่าสู่กันฟังได้ แต่จะไม่เขียนถึงผลงานของลุงตู่ เพราะมีหลายท่านเขียนผลงานลุงตู่กันมากพอสมควรแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นการสร้างกระแสลุงตู่

แน่นอน ในสมัยแรกลุงตู่เป็นนายกมาจากการยึดอำนาจ แต่ลุงตู่ยึดอำนาจเพื่อยุติการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างคนเสื้อแดงและเสื้อเหลือง ที่มีการชุมนุมทางการเมืองด้วยมวลชนจำนวนมากและมีทีท่าที่จะเกิดสงครามกลางเมือง ลุงตู่จัดให้ฝ่ายการเมืองพูดคุยกันเพื่อหาทางออกแต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ จึงนำมาสู่การยึดอำนาจ เพื่อรักษาชีวิตและเป็นการยึดอำนาจที่ไม่มีการเสียชีวิตและเลือดเนื้อของคนในชาติ

ลุงตู่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว ลุงตู่เป็นคนแข็งนอกอ่อนใน คือภาพของลุงตู่เป็นคนพูดไม่เพราะ พูดแข็ง ๆ ห้วน ๆ ภาษาแบบคนบ้าน ๆ แต่จริงใจ ไม่สร้างวาทกรรม ไม่มีการประดิดประดอยสรรหาถ้อยคำหวานหู ผิดจากนักการเมือง

หากลุงตู่เป็นเผด็จการอย่างที่ถูกกล่าวหา ม๊อบที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล และชุมนุมตลอดสมัยการเป็นนายกของลุงตู่ ต้องถูกปราบปรามด้วยการเอาจริงเอาจังมากกว่านี้ เหมือนสมัยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่จัดการอย่างรุนแรงต่อผู้ชุมนุมมีคนเจ็บคนตาย 

แต่ลุงตู่กลับให้ตำรวจดำเนินการด้วยกฎหมาย ทำงานด้วยความอดทน จนถูกกองเชียร์ลุงตู่บอกว่า หน่อมแน๊ม ไม่มีน้ำยา 

ลุงตู่เป็นทหารมาตลอดช่วงชีวิต แต่เมื่อมาเป็นนักการเมือง ลุงตู่ใจเย็นมากในการทำงานร่วมกับนักการเมืองและฝ่ายต่าง ๆ แต่เมื่อจะจบการประชุมที่เคร่งเครียด คำพูดของลุงตู่ที่ง่าย ๆ แต่ติดหู คือ ขอบคุณ รู้นะว่าทุกคนทำงานหนักและเหนื่อย ความเรียบง่ายและจริงใจของลุงตู่ทำให้คนที่ทำงานด้วยรักลุงตู่

แม้แต่นักการเมืองจำนวนมากก็หลงเสน่ห์ลุงตู่และย้ายพรรคมาร่วมงาน ร่วมหัวจมท้ายกับพรรคลุงตู่ ไม่ไปไหนทั้ง ๆ ที่รู้ว่า พรรคตั้งใหม่เกิดยากถ้าหัวไม่ลง

ขอบคุณลุงตู่ที่เหน็ดเหนื่อย ช่วงนี้ให้ลุงตู่พักเหนื่อยก่อน

เจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการ

เฉิดฉายในเวทีโลก!! สรุปสุดยอดภารกิจระดับนานาชาติ ใต้ปีก 'รัฐบาลประยุทธ์' เจริญสัมพันธ์ราบรื่น สานเศรษฐกิจยั่งยืน พาไทยฟื้นสถานะสุดแกร่ง

ต้องยอมรับว่า ช่วงสมัยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในซีซัน 2 ระหว่างปี 2562 ถึงปัจจุบันนั้น...ประเทศไทย ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมประชุมและเป็นแขกสำคัญของนานาประเทศ ในการผูกเชื่อมสัมพันธ์ การพูดคุยเจรจาด้านเศรษฐกิจ และการหารือวาระสำคัญระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกงานที่ร่วม ล้วนแล้วแต่ได้รับผลตอบรับ และสานต่อพันธกิจของชาติได้อย่างน่าชื่นชม

โอกาสนี้ THE STATES TIMES เลยขอเปิดไทม์ไลน์ 17 ภารกิจงานประชุมใหญ่ระดับนานาชาติ และการเยือนต่างประเทศของรัฐบาลไทย ภายใต้ 'พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ให้คนไทยทุกคนได้ย้อนรำลึกไปด้วยกัน เริ่มด้วย...

1. การประชุมระดับประเทศ ณ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21-27 กันยายน 2562

2. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ณ สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 24-27 พฤศจิกายน 2562

3. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 36 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 ทางออนไลน์

4. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 เมื่อวันที่ 12-15 พฤศจิกายน 2563 ทางออนไลน์

5. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 27 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 ทางออนไลน์

6. การประชุม ACMECS ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563 ทางออนไลน์

7. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ทางออนไลน์

8. ประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 ทางออนไลน์

9. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 เมื่อวันที่ 26-28 ตุลาคม 2564 ทางออนไลน์

10. การประชุม COP26 เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2564 

11. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 28 เมื่อวันที่ 11-12 พฤศจิกายน 2564 ทางออนไลน์

12. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เดินทางเยือน ซาอุฯ เมื่อวันที่ 25-26 มกราคม 2565 เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีของรัฐบาลไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน

13. ประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา สมัยพิเศษ ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11-15 พฤษภาคม 2565

14. การประชุม Nikkei Forum ครั้งที่ 27 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 25-27 พฤษภาคม 2565)

15. การประชุมเอเปค ณ ประเทศไทย ครั้งยิ่งใหญ่ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 14-19 พฤศจิกายน 2565

16. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 40 และ 41 กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 10-13 พฤศจิกายน 2565

17. การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ณ ประเทศเบลเยียม (12-15 ธันวาคม 2565)

เรียกได้ว่า ทุกภารกิจด้านการต่างประเทศของไทย ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ระหว่างปี 2562-ปัจจุบันนั้น ได้สร้างผลลัพธ์อันดีต่อประเทศไทยสามารถลุล่วงภารกิจหลากมิติ ทั้งด้านความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า ความมั่นคง วิชาการ สังคม สิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ ระหว่างไทยกับนานาชาติได้อย่างน่าชื่นชม

9 เรื่องดีๆ เกิดได้!! ภายใต้ 9 ปี 'รัฐบาลพลเอกประยุทธ์'

ตลอดระยะเวลา 9 ปี ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย เป็นช่วงเวลา 9 ปีที่ได้ทำงานเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอน เป็น 9 ปีที่ได้ใช้สติปัญญา ทุ่มเททุกศักยภาพและกำลังความสามารถ สานพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งเชิดชูสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย และเป็น 9 ปีของประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีความเจริญก้าวหน้าในหลายด้านทัดเทียมนานาอารยประเทศ และพร้อมยกระดับไปสู่ประเทศชั้นนำของโลก ในอนาคตอันใกล้นี้ ด้วยเหตุผลสำคัญได้แก่

1. เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมี ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ระยะยาว 20 ปี เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางและกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนได้ทำงานร่วมกัน ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ 

2. มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกระบบ ทั้งทางถนน ทางราง ทางทะเล และทางอากาศ รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ยกบทบาทของประเทศจากความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ ให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้านการบิน ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ

3. มีความพร้อมเรื่อง ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ และ ‘เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม’ โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล และ 5G ที่โดดเด่นในภูมิภาค เป็นที่ดึงดูดการลงทุนบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน 5G - Data center - Cloud services ที่สำคัญในภูมิภาค มีการใช้ประโยชน์ของประชาชนในชีวิตประจำวัน การศึกษาหาความรู้ การประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนและสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ  

4. มีการกำหนด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้งมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการพิเศษ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านนวัตกรรม ด้านดิจิทัล เป็นต้น ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะแรงงานทักษะสูง-แรงงานแห่งอนาคต รวมถึงเกษตรอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคต และการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21

5. สร้างกลไกในการบริการจัดการทรัพยากรที่สำคัญของชาติ ได้แก่ ‘น้ำ’ ออกกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ มีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานน้ำในทุกระดับ ‘ดิน’ ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และจัดทำแผนที่ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนมาหลายสิบปี รวมทั้งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้-เกษตรกร ‘ป่า’ ออกกฎหมายป่าชุมชน ไม้มีค่า และตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ

6. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น ส่งเสริมสวัสดิการกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ ส่งเสริมบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กองทุนยุติธรรม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และการยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา รองรับความท้าทายใหม่ๆ ของโลกในอนาคต

7. ปฏิรูปกฎหมายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถแก้ไขวิกฤตชาติได้ในหลายเรื่อง เช่น ปลดธงแดง ICAO และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย IUU สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก 

8. ประยุกต์เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบราชการไทย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนและเอกชน ที่เข้าถึงง่าย - สะดวก - โปร่งใส เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้การจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตรงเป้าหมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรวจสอบได้ และ UCEP สายด่วน 1669 บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกสิทธิ์ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น

9. สร้างความสัมพันธ์ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบทวิภาคี-พหุภาคี และเขตการค้าเสรี (FTA) รวมทั้งรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และตลาดการค้าระหว่างกัน 

ทั้งนี้ การเดินทางของประเทศไทยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ราบรื่น หรือง่ายดาย ยังคงมีวิกฤตโควิด วิกฤตความขัดแย้งในโลก ที่ส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ช่วยให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ และฟื้นตัวมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงผันผวน

ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อนข้าราชการ และทุกภาคส่วน ที่ได้เสียสละและอดทนในทุกสถานการณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ทั้งนี้ประเทศไทยนับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป หากทุกอย่างที่พลเอกประยุทธ์ ได้สร้างมานั้นได้รับการต่อยอด ก็จะทำให้ประเทศไทยเดินทางเข้าสู่ ‘เส้นชัย’ ได้เร็ววันยิ่งขึ้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top