Friday, 17 May 2024
บิ๊กตู่

‘บิ๊กตู่’ หนุน ศึกษาสร้างฐานปล่อยยานอวกาศในไทย หวังพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนแข่งกับนานาประเทศ

(6 ส.ค. 66) สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งขับเคลื่อนนโยบายอวกาศของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากกิจการอวกาศ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยได้สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ ในการสร้างจัดตั้งท่าอวกาศยานในประเทศไทย คือ ฐานสำหรับการส่งและรับยานอวกาศ (spaceport) เนื่องจากหากประเทศไทยมีท่าอวกาศยานของเราเอง จะก่อให้เกิดความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอวกาศ ทั้งยังเกิดการสร้างรายได้ทางตรงจากอุตสาหกรรมอวกาศ

ซึ่งอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ หรือ ‘Aerospace Industry’ ถูกกำหนดให้เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ส่งผลไปถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ จึงเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ เน้นย้ำให้ศึกษารายละเอียดรอบด้าน อย่างรอบคอบและระมัดระวังที่สุด ทั้งความคุ้มค่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ตั้งแต่ปลายปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาอีกประมาณ 1-2 ปี โดยเบื้องต้นพบว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่มีความเหมาะสมถึง 5 คุณสมบัติ ได้แก่

1.) การอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มีผลต่อการนำส่งอวกาศยานที่จะช่วยลดการสิ้นเปลืองของพลังงาน
2.) มีทะเลขนาบ 2 ฝั่งซ้าย-ขวา มีมุมปล่อยอวกาศยานได้หลากหลายแบบ
3.) มีแนวชายฝั่งที่เป็นคาบสมุทร สามารถกำหนดจุดหรือ Drop Zone ที่ไม่กระทบกับพื้นที่บนฝั่ง และยังสามารถออกเก็บกู้วัตถุที่ตกลงมาได้ง่าย
4.) มีระบบโลจิสติกส์ที่เข้าถึงง่าย หลายหลาย มีระบบท่าเรือน้ำลึกและท่าอากาศยาน
5.) ไม่มีภัยพิบัติรุนแรง ซึ่งทำให้ไทยมีโอกาสและแนวโน้มที่จะเกิดโครงการนี้ได้จริง

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า หากท่าอวกาศยานในประเทศไทย จัดตั้งได้สำเร็จจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางอวกาศขนาดใหญ่ นอกจากจะยกระดับวิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีอวกาสแล้ว ยังส่งเสริมและผลักดัน ธุรกิจอวกาศ อุตสาหกรรมอวกาศ ยกระดับเศรษฐกิจและสังคมและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ อุตสาหกรรมการผลิตอุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นต้น เกิดอาชีพใหม่เพิ่มขึ้นอีกกว่า300-400 อาชีพ อาทิ ช่างประกอบจรวด ช่างประกอบเพย์โหลด ช่างขัดท่อจรวด ช่างอิเล็กทรอนิกส์ระบบจรวด ช่างไฟฟ้าระบบจรวด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการนำเข้าจรวด พนักงานขายตั๋วเที่ยวบินไปอวกาศฯลฯ ซึ่งยังไม่เคยมีเกิดขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัย นำไปสู่ความการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน และยังทำให้ประเทศไทย เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจอวกาศแห่งภูมิภาคเอชีย-แปซิฟิกได้

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ริเริ่มวางรากฐานพัฒนาด้านอวกาศไทยมาโดยตลอด เช่น ผลักดันให้มี ร่างกฎหมายอวกาศหรือพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... และผลักดันให้เกิดแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ พ.ศ.2566 - 2580 (National Space Master Plan 2023 - 2037) ขึ้นเพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากกิจการอวกาศเพื่อความมั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน ของประเทศไทย ให้แข่งขันกับนานาประเทศได้

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! ค่ายรถเมืองจีนเลือก ‘ไทย’ เป็นฐานผลิตใหญ่ ประเดิมลงทุนเฟสแรก 8.8 พันล้าน เดินหน้าดันไทยสู่ฮับ EV

(16 ส.ค. 66) สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มุ่งเน้นให้ไทยเดินตามนโยบาย 30@30 คือการตั้งเป้าการผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ.2030 หรือ พ.ศ. 2573 เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาค (EV Hub) ซึ่งขณะนี้มีบริษัทผู้ผลิตรถ EV หลายสัญชาติ ได้ตัดสินใจเข้ามาสร้างโรงงานในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

“คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน ได้รายงานผลสำเร็จของการเดินทางเข้าพบกับนาย Zhu Huarong ประธานกรรมการและคณะผู้บริหาร บริษัท ฉางอัน ออโตโมบิล จำกัด (Changan Automobile) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของจีน เมื่อเดือน มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา โดยได้นำเสนอภาพการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย มาตรการสนับสนุน รวมทั้งให้ความมั่นใจเรื่องความต่อเนื่องของนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย ทำให้รัฐบาลจีนเห็นชอบให้บริษัทดังกล่าวยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอแล้ว โดยมีการลงทุนในเฟสแรกมูลค่ากว่า 8,800 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาทั้งประเภท BEV, PHEV, REEV (Range Extended EV) กำลังการผลิตในระยะแรก 1 แสนคันต่อปี เพื่อตอบสนองความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจะจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปยังกลุ่มอาเซียน รวมถึงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ แอฟริกาใต้ และตลาดอื่นๆ โดยบริษัทมีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในไทยช่วงปลายปีนี้” สำนักนายกรัฐมนตรี เผย

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นอกจากจะมาตั้งฐานผลิตที่ประเทศไทยแล้ว บริษัท ฉางอัน ออโตโมบิลยังมีแผนจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนสำคัญ ซึ่งจะเป็นการเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและถ่ายทอดเทคโนโลยีความรู้ให้กับคนไทยอีกด้วย ซึ่งบริษัท ฉางอัน เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและระบบขับขี่อัจฉริยะ และเป็น 1 ใน 4 ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีน

“การที่ บริษัท ฉางอัน ตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานการผลิต สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อมาตรการส่งเสริมการลงทุนของไทย รวมถึงศักยภาพและความพร้อมในด้านต่างๆ ที่สนับสนุนการแข่งขันอันเป็นผลงานเชิงประจักษ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเชื่อว่าจะผลักดันให้ไทยก้าวสู่เป้าหมายการเป็นฮับ EV ได้ไม่ยาก ทั้งยังช่วยส่งเสริมลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระจายรายได้ พลิกโฉมประเทศไทยตามกลยุทธ์ 3 แกนขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสำหรับอนาคต” สำนักนายกรัฐมนตรี เผย

'บิ๊กตู่' ลงพื้นที่สระบุรี ตรวจโครงข่ายคมนาคมระบบราง ดูความคืบหน้า ‘รถไฟทางคู่ - รถไฟไฮสปีดไทย-จีน’

(17 ส.ค. 66) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ จ.สระบุรี ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ อุโมงค์ที่ 1 (อุโมงค์ผาเสด็จ) ณ พื้นที่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ฯ สถานีรถไฟหินลับ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี รับฟังรายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ จากนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย

จากนั้น นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากพื้นที่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ฯ ไปยังอุโมงค์มวกเหล็ก ต.มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-จีน (ไฮสปีด) ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพฯ - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา) (เฟส 1) แล้วเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ต.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

‘บิ๊กตู่’ ควงคณะรัฐมนตรีคู่ใจ ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เยี่ยมชมโครงการรถไฟทางคู่ ‘มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ’

(17 ส.ค. 66) ที่จังหวัดสระบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางลงพื้นที่จังหวัดสระบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าโครงข่ายคมนาคมระบบราง งานอุโมงค์รถไฟผาเสด็จช่วงมาบกะเบา-หินลับ ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ

และตรวจเยี่ยมงานอุโมงค์มวกเหล็ก และลำตะคอง ช่วงอุโมงค์มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ในโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา สัญญาที่ 3-2 งานอุโมงค์มวกเหล็ก และลำตะคอง ตามนโยบายรัฐบาลที่ได้วางแผนและเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ผลักดันให้เกิดโครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง เพื่อรองรับและสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยกระดับการเดินทางและศักยภาพการให้บริการขนส่งระบบราง เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ทั่วประเทศและรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ลดต้นทุนการขนส่งระบบโลจิสต์ติก เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ลดระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างชัดเจน และมีความปลอดภัย

โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย

โดยจุดแรก นายกรัฐมนตรีและคณะ ตรวจติดตามความก้าวหน้างานอุโมงค์รถไฟผาเสด็จ (อุโมงค์ที่ 1) ช่วงมาบกะเบา-หินลับ ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 ซึ่งสัญญาที่ 3 เป็นงานอุโมงค์รถไฟ จำนวน 3 อุโมงค์ ได้แก่

อุโมงค์ที่ 1 ตั้งอยู่ระหว่างสถานีมาบกะเบา สถานีผาเสด็จ และสถานีหินลับ จ.สระบุรี มีความยาว 5.85 กิโลเมตร มีความกว้างประมาณ 7.50 เมตร สูง 7.00 เมตร มีลักษณะเป็นอุโมงค์คู่ รางเดี่ยว ซึ่งเป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เป็นการออกแบบที่มีระบบความปลอดภัยค่อนข้างสูง โดยภายในอุโมงค์มีช่องอพยพผู้โดยสารทุก ๆ ระยะ 500 เมตร ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 98.130

อุโมงค์ที่ 2 ตั้งอยู่ระหว่างสถานีหินลับ และสถานีมวกเหล็กใหม่ จ.สระบุรี มีความยาว 650 เมตร กว้าง 11.00 เมตร สูง 7.30 เมตร มีลักษณะเป็นอุโมงค์เดี่ยว รางคู่ โดยช่องอุโมงค์ที่มีขนาดใหญ่กว่าอุโมงค์อื่น ๆ ทำให้มองเห็นปากอุโมงค์ทั้งสองฝั่งได้อย่างชัดเจน ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ

อุโมงค์ที่ 3 ตั้งอยู่บริเวณเขื่อนลำตะคอง ระหว่างสถานีคลองขนานจิตร อ.ปากช่อง และสถานีคลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา มีความยาวประมาณ 1.4 กิโลเมตร กว้าง 7.50 เมตร สูง 7.00 เมตร ลักษณะเป็นอุโมงค์คู่ รางเดี่ยว ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยอุโมงค์ทั้ง 3 แห่ง มีศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ ซึ่งในอนาคตได้มีการวางแผนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่มีทิวทัศน์สวยงาม เนื่องจากโดยรอบเป็นภูเขาและป่าร่มรื่น

นายกรัฐมนตรี รับฟังรายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ จากนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และได้ขึ้นขบวนรถไฟไปยังอุโมงค์ผาเสด็จ ระยะทาง 300 เมตร เพื่อเยี่ยมชมอุโมงค์ผาเสด็จ ก่อนขึ้นขบวนรถไฟกลับไปยังบริเวณพื้นที่โครงการฯ โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยกันดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ มีความก้าวหน้าเกิดผลสำเร็จเป็นไปแผนที่กำหนดไว้ และเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ได้วางแผนและเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ ระบบราง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับการพัฒนาประเทศ ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่รัฐบาลได้วางแผนไว้

พร้อมย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศจะได้รับจากโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ รวมถึงโครงการอื่น ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการไว้สำหรับประชาชนและประเทศชาติ ในการพัฒนาไปสู่อนาคต ส่วนบางโครงการที่อยู่ในระหว่างการศึกษา ก็ขอให้ดำเนินการต่อให้เกิดผลสำเร็จตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป

หากโครงการฯ แล้วเสร็จจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการเดินขบวนรถได้อย่างสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถรองรับขบวนรถเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว โดยขบวนรถโดยสาร จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เฉลี่ย 100-120 กม./ชม. จากเดิม 50 กม./ชม. และขบวนรถสินค้า จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เฉลี่ย 60 กม./ชม. จากเดิม 29 กม./ชม. ลดระยะเวลาการเดินทาง มีความตรงต่อเวลาของขบวนรถ เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ ลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ และประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางมากยิ่งขึ้น อีกทั้งช่วยเพิ่มความปลอดภัยทั้งผู้ใช้รถใช้ถนนกับผู้โดยสารรถไฟ ด้วยการแก้ปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟกับถนนให้เป็นทางต่างระดับทั้งหมด ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาอุบัติเหตุได้อย่างยั่งยืน โดยคาดว่าจะก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ และเปิดเดินรถในทางคู่ใหม่บางส่วนได้ภายในปี 2567 นี้

‘บิ๊กตู่’ เปรียบประเทศไทยเป็นรถไฟ ต้องเดินไปข้างหน้า หัวขบวนต้องดี ไม่งั้นล้มทั้งขบวน

(17 ส.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เดินทางตรวจราชการ จ.สระบุรี เข้าตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ณ พื้นที่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ฯ สถานีรถไฟหินลับ ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี 

ทั้งนี้ระหว่างรับฟังบรรยายสรุปนายกฯ กล่าวว่า ให้ผู้มีรายได้น้อยได้เข้าใจว่ารัฐบาลได้ทำอะไรให้เขาต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจนี่คืออนาคตประเทศ ซึ่งหลายๆอย่างทำมาได้ดีแล้ว ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหน้าทำอะไรได้มากกว่า ซึ่งรัฐบาลวางยุทธศาสตร์ไว้แล้ว ต้องขอบคุณกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทยและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งมีหลายเรื่องเดินตามยุทธศาสตร์ชาติไม่ใช่ไปห้ามใครทำอะไรอยากจะทำอะไรก็ทำไปตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ 6 ข้อ ก็สามารถทำได้หมด เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า และทั้งหมดตอบคำถามได้ก็จบ ไม่ได้ไปห้ามให้ทำอะไร ยุทธศาสตร์ชาติสามารถปรับได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มียุทธศาสตร์ชาติก็จะเดินสะเปะสะปะไป ซึ่งก็แล้วแต่แล้วกัน หลายคนก็บอกว่ามีไว้ทำไม ขอให้อ่านดูก่อน ทุกเรื่องถ้าไปจับเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่เข้าใจกัน ต้องอ่านกฎหมายก็ต้องอ่านให้หมด

จากนั้นนายกรัฐมนตรี ขึ้นขบวนรถไฟหมายเลข 3 บชส.1221 จัดเฉพาะระยะทาง 300 เมตร ไปยังบริเวณอุโมงค์ผาเสด็จ โดยพล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่ได้นั่งมาหลายปีแล้ว ซึ่งเราชอบขนมอาหารที่ขาย ข้างทางรถไฟเช่น ข้าวเหนียวเนื้อ

ผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกภูมิใจหรือไม่กับผลงานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องภูมิใจไปด้วยกัน ไม่ใช่จะว่ากันไปกันมามันก็จะไม่เสร็จ เมื่อถามว่าถือเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายของรัฐบาลนี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อะไรสุดท้ายมีตั้งหลายขบวน รถไฟมันไม่มีวันสิ้นสุดอยู่แล้ว ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าไม่มีวันสิ้นสุดอยู่แล้ว ถ้าทุกคนช่วยกันทำมันก็ไปข้างหน้าได้ มันถึงเกิดได้ไงฉะนั้นรถไฟยังมีหัวขบวน ถ้าหัวขบวนดีก็ไปได้ตลอด ถ้าหัวขบวนไม่ดีก็ล้มทั้งขบวน มันไปไม่ได้เข้าใจหรือเปล่า เข้าใจไหม

เมื่อถามว่าจะฝากไปถึงรัฐบาลใหม่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ไปเกี่ยวกับเขาหรอก ก็เรื่องของเขาสิ เราทำไว้ให้หมดแล้ว

เมื่อถามว่าวันนี้ถือว่าอากาศดีแล้วใช่หรือไม่ เพราะบนท้องฟ้าพระอาทิตย์กำลังทรงกลด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เหรอ โชคดีของพวกเธอ ขอให้ประเทศชาติโชคดีด้วยก็แล้วกัน

เมื่อถามว่าถือว่าโครงการรถไฟนี้เป็นไปตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าก็ใช่ ในเร็ว ๆ นี้ก็จะเสร็จอีกหลายช่วง มันก็ไม่ง่ายนักการก่อสร้างอะไรแต่ละอย่าง ซึ่งจากเดิมวิ่ง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เวลานี้วิ่งได้ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตรงนี้เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ได้สรุปให้ฟัง การเดินทางจะเร็วขึ้น และจะไปเชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูงด้วย ที่จังหวัดหนองคายคู่ขนานกันไปจะทำให้คอขวดจุดนี้หายไป เพราะก่อนหน้านี้ตรงนี้เป็นพื้นที่คอขวดที่เดินทางขึ้นเขาไม่ได้ การเดินทางช้า ขอให้ลงรายละเอียดจะได้เข้าใจกัน การที่เราพูดเยอะเพราะอยากให้ได้รับรู้รายละเอียด ถ้าจับตรงนั้นตรงนี้ของคนนั้นคนนี้มาพูดมันก็ตีกันอยู่อย่างนี้ สื่อก็ต้องช่วยกันหาเหตุผลว่ามันใช่หรือไม่ใช่ มันเป็นอย่างไรข้อเท็จจริงก็จะไม่ทะเลาะกันเข้าใจหรือไม่ สิ่งนี้ใครได้ประโยชน์ นายกฯ ได้หรือ ตรงนี้นายกฯ ไม่ได้ แต่คนที่ได้คือประชาชนรัฐบาลก็ต้องทำแบบนั้น ใช้งบประมาณให้เกิดความสมดุลพูดง่าย ๆ

เมื่อถามว่าเป็นการฝากไปยังรัฐบาลใหม่ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ต้องฝากก็ส่งต่อไปบางอันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและบางอันเป็นโครงการอยู่แล้วก็หวังว่าเขาจะทำต่อ

จากนั้นขบวนรถไฟได้เคลื่อนตัวออก ผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่าขบวนรถไฟนี้ยังมีเสี่ยหนูนั่งอยู่ด้วย ขณะที่ นายอนุทิน นั่งอยู่ด้านหลังนายกฯ ถึงกับหัวเราะเสียงดังชอบใจ 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า จะต่อขบวนกันไปแบบนี้ไปตลอดหรือเปล่า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถาม 

เมื่อถามย้ำว่าจะฝากนายอนุทินไปสานงานต่อในรัฐบาลหน้าหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ฝากทุกคนนั่นล่ะ ฝากเสี่ยหนูก็ฝาก 

เมื่อถามว่าฝากไปถึงรัฐบาลหน้าด้วยหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไปถามนายกฯ ใหม่เขานู้น จังหวะนี้ทำให้นายอนุทินถึงกับหัวเราะ ก่อนที่นายอนุทินจะพูดกระเซ้านักข่าวพร้อมโบกมือกล่าวว่า “ลาก่อน”

อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินลอดใต้แม่น้ำแห่งแรกของไทย แค่ 2 นาที เชื่อมความเจริญสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

'บิ๊กตู่' ชวนประชาชนนั่งข้ามเจ้าพระยาผ่านรถไฟฟ้าใต้ดินลอดอุโมงค์แม่น้ำเจ้าพระยา ความสำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ ที่ใช้เวลาเพียง 2 นาที เชื่อมฝั่งธน-เกาะรัตนโกสินทร์ สู่มหานครแห่งความสุข 

(20 ส.ค.66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่งของประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยได้ติดตามทุกโครงการของรถไฟฟ้ามหานคร ให้การก่อสร้างเป็นไปตามแผนและมีความสำเร็จให้ตรงตามเวลาตามเป้าหมาย

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้หนึ่งในสายรถไฟฟ้าที่เป็นเส้นทางการเดินทางและใกล้แหล่งท่องเที่ยวชุมชนเก่าคือ สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วง หัวลำโพง-บางแค เป็นโครงการเชื่อมต่อจากรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ไปฝั่งธนบุรี ความพิเศษของเส้นทางระหว่างสถานีสนามไชยกับสถานีอิสรภาพ เป็นเส้นทางผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของประเทศไทย เป็นระยะทางประมาณ 200 เมตร โดยพล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นประธานในพิธีเปิดเดินเครื่องหัวเจาะอุโมงค์รถไฟฟ้าลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา (Eastbound TBM Launching Ceremony) โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายฯ สัญญา 2 ช่วงสถานีสนามไชย - สถานีท่าพระ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2558 กระทั่งแล้วเสร็จสามารถเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา

ตรงนี้เป็นเส้นทางที่สะดวกในการเชื่อมระหว่างพระนคร (เกาะรัตนโกสินทร์) ไปยังฝั่งธนบุรี และเป็นจุดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญระดับโลกของไทย แหล่งสถานศึกษา 3 มหาวิทยาลัย (ม.ศิลปากร วังท่าพระ-ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์-คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล วังหลัง) และโรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่ง จึงทำให้เส้นทางนี้สามารถลดปัญหาการจราจร ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยเป็นอย่างมาก

“โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงสถานีสนามไชย-สถานีอิสรภาพ รถไฟฟ้าจะต้องผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งใช้เวลาเพียง 2 นาที แต่ต้องก่อสร้างด้วยเทคนิคพิเศษ เนื่องจากเป็นการขุดอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีความลึกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 เมตร และตัวอุโมงค์รถไฟฟ้าขุดลึกลงไปจากก้นแม่น้ำอีก 10 เมตร หรือลึก 30 เมตรจากผิวดิน โดยในบางช่วงที่ลึกที่สุดจะลึกไปถึง 38 เมตรเทียบเท่าตึก 10 ชั้น โดยที่บริเวณจุดกลางแม่น้ำเจ้าพระยาจะมีความลึก 30.86 เมตรใต้ท้องน้ำและลึก 9.71 เมตรจากใต้ท้องน้ำถึงหลังอุโมงค์ พิกัดจุดกลางแม่น้ำเจ้าพระยาห่างจากสถานีสนามไชย 323.92 เมตร“ น.ส.ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายฯ นี้ ผ่านย่านเมืองเก่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จึงมีความตั้งใจที่จะให้มีแผนพัฒนาให้มีการออกแบบสถาปัตยกรรมที่วิจิตรทั้งภายนอกและภายในให้สอดรับกับบริบทในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งมีความสวยงามมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมผสมเข้าไปด้วย เช่น สถานีวัดมังกร, สถานีสนามไชย, สถานีอิสรภาพ, สถานีสามยอด จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าแวะชมไปด้วย

“การเชื่อมความเจริญใต้น้ำเจ้าพระยา ขยายความเจริญสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งฝั่งธนบุรีและเกาะรัตนโกสินทร์ ฝั่งพระนคร เป็นการเชื่อมสู่มหานครแห่งความสุข เชื่อมคนสองฝั่งเมืองเข้าด้วยกันอย่างลงตัวเป็นความทันสมัยที่ไม่หลงลืมวัฒนธรรมความเป็นไทยที่จะสอดแทรกไว้ตามสถานีต่างๆ ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่อนุมัติงบประมาณและเป็นผลงานการพัฒนาของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีความมุ่งมั่นให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบรถไฟฟ้าได้มากขึ้น และยกระดับเชื่อมการเดินทาง ล้อ-ราง-เรือ ได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมกับส่งเสริมการท่องเที่ยวและการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย” น.ส.ทิพานัน กล่าว

‘ตู่-ป้อม’ ดาวคนละดวง ปชป.แหกโค้ง หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี…

บันทึกเอาไว้ว่า วันที่ 22 ส.ค.2566 เหตุการณ์ใหญ่ทางการเมืองสองเหตุการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดี  มีความน่าระทึกใจอยู่บ้าง แต่มันก็ผ่านไปแล้ว… ตถตา… มันเป็นเช่นนั้นเอง…

เรื่องแรก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย หลังบำเพ็ญเพียรเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ 15 ปีเศษ ได้เดินทางกลับบ้าน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เข้าไปอยู่ในเรือนจำรับโทษ 3 คดีที่ถึงที่สุดแล้วจำนวน 8 ปี อนาคตจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ หรือลดโทษอย่างไรหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกที ส่วนจะอยู่กินอย่างไรในคุกนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง มาวันแรกก็ได้ใช้สิทธิ์กลุ่มเปราะบางวัย 74 ปี นอนเตียงเดี่ยวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว แต่ไม่ทันย่ำรุ่งก็ย้ายไปนอนเกาสะดืออยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เรียบร้อยโรงเรียนชินวัตรไปแล้ว

กรณีทักษิณกลับบ้าน… ถ้าไม่คิดอะไรให้มากความ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยยุทธการป่วนไทยอยู่ในต่างแดนก็หายไป… ยิ่งวันนี้พรรคเพื่อไทยที่ตัวเองสร้างมากับมือได้หวนคืนมาเป็นรัฐบาล ก็คงไม่กล้าด่าหรือทำมิดีมิร้ายกับประเทศ… ความสงบเรียบร้อยก็เกิดขึ้น และอาจจะตามมาด้วยการปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติครั้งใหญ่ หากรัฐบาลชุดใหม่คิดใหญ่-ทำเป็น… นิรโทษกรรมคดีการเมืองที่ไม่เกี่ยวคดีทุจริตและอาญาฆ่าคนให้เป็นเรื่องเป็นราว

เรื่องที่สอง การโหวตนายกรัฐมนตรีประเภทม้วนเดียวจบ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับคะแนนสนับสนุนหรือเห็นชอบท่วมท้น 482 เสียง ไม่เห็นชอบ 165 งดออกเสียง 81 โดยในส่วนคะแนนที่เห็นชอบนั้น เป็นคะแนนของสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.ถึง 152 เสียง ไม่เพียงเท่านั้นรัฐบาลที่กำลังรวมตัวกันอยู่มีเสียงสนับสนุน 314 เสียง แต่ปรากฏว่ามีเสียงสนับสนุนจาก สส.สูงถึง 330 เสียง ตรวจสอบพบว่าเป็นเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ 16 เสียง…

กรณีพรรคประชาธิปัตย์นั้นอ่านไม่ยาก… สาระสำคัญก็คือที่ประชุม สส.มีมติให้งดออกเสียง แต่นายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้ขออนุญาตที่ประชุมว่าจะลงมติ ‘ไม่เห็นชอบ’ ไว้แล้ว แต่กลุ่ม สส.ภายใต้ร่วมธงของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน และนายเดชอิศม์ ขาวทอง โหวตเห็นชอบแบบเย้ยฟ้าท้าดินนั้น เจตนาก็ชัดเจนเป็นการตีตั๋วเข้าร่วมรัฐบาล ยอมเป็นยางอะไหล่ไปพลางก่อน… ทำให้สถานภาพพรรคประชาธิปัตย์นาทีนี้ดิ่งเหว… หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี… มันจบแล้วครับนาย!!

สำหรับกรณีที่เสียง สว.โหวต ‘เห็นชอบ’ ท่วมท้นนั้น พบว่า สว.สายบิ๊กตู่ ‘พรึ่บ’ หนุนเศรษฐา ทวีสิน ทำให้ สว.บางส่วนที่ทำการบ้านเพื่อคว่ำเศรษฐา รู้สึกว่าตัวเองโดน ‘เท’ เกิดอาการน้อยอกน้อยใจกันพอประมาณ บางกลุ่มก็ตั้งคำถามในเชิงไม่เข้าใจว่า ‘บิ๊กตู่’ เล่นเกมอะไร… โดยเฉพาะกลุ่ม สว.ที่ทำการบ้านรุกฆาตให้พรรคเพื่อไทยรับปากไม่รื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น ค่อนข้างผิดหวังกับบิ๊ก สว.สายบิ๊กตู่… ดังกรณี สว.สมชาย แสวงการ โพสต์ในเฟซบุ๊กตัวเองตั้งแต่ผลโหวตยังไม่จบว่า…

“#สงสารประเทศไทย” และต่อมาโพสต์อีกว่า “#เสียของ” เป็นต้น…

ทราบว่าขณะนี้กำลังเคลียร์ใจล้างใจกันยังไม่จบ..!!

ส่วน สว.สายบิ๊กป้อม… ซึ่งมีอยู่ประมาณ 40-50 คนนั้น ปรากฏว่าส่วนใหญ่จะงดออกเสียง แม้แต่ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ‘บิ๊กปุ้ม’ น้องชายแท้ๆ บิ๊กป้อมก็ไม่ไปร่วมประชุม… วิเคราะห์กันว่า สว.สายบิ๊กป้อมพยายามลากเกมให้ไหลไปถึงคิว ‘บิ๊กป้อม’ แต่ สว.สายบิ๊กตู่ไม่เล่นด้วย ก็เลยปิดเกมโหวตให้เศรษฐา ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องหมายเหตุเอาไว้ว่า กลุ่มทุนพลังงานและรถไฟฟ้ามีบทบาทไม่น้อย ที่ทำให้พรรคการเมือง 3-4 พรรคประสานผลประโยชน์กันแบบ ‘มองตาก็รู้ใจ’

สวัสดี

‘บิ๊กตู่’ มอบเงินช่วยเหลือชาวมูโนะ เหตุโกดังพลุระเบิด 107 ล้านบาท เร่งฟื้นฟูทุกมิติ ทั้งทรัพย์สิน-สภาพจิตใจ ยัน!! พร้อมเยียวยาเต็มที่

(23 ส.ค. 66) ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบเงินช่วยเหลือจากกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย สำนักนายกรัฐมนตรี กรณีเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บดอกไม้เพลิงระเบิดและเกิดอัคคีภัย ในตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จำนวน 107,881,995.23 บาท แบ่งแยกออกเป็น 2 รายการ ดังนี้

1.) ซ่อมและสร้างบ้านจำนวน 100,466,995.23 บาท
2.) ช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 7,415,000 บาท ให้กับนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ผู้แทนรับมอบเงินดังกล่าว เพื่อนำไปมอบให้ผู้ประสบภัยและครอบครัวผู้ประสบภัยต่อไป

โดยมี พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย สำนักนายกรัฐมนตรี และนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาศ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยาน

ภายหลังการมอบเงิน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ ทั้งด้านทรัพย์สิน และจิตใจ พร้อมให้กำลังใจผู้ประสบภัยและครอบครัวผู้สูญเสีย รวมถึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทุกคน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่เสียสละ ทุ่มเท ทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อแก้ไขปัญหา โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาล พร้อมให้ความช่วยอย่างเต็มที่ในทุก ๆ ด้าน อย่างดีที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประสบภัย ให้มีกำลังใจและกำลังกายที่ดีขึ้น กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว

ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพิจารณาเงินช่วยเหลือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้นแล้ว ส่วนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล โดยกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีกก้อนหนึ่ง สำหรับเงินบริจาคจากประชาชน ขอให้บริหารจัดการใช้เงินให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประสบภัย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอส่งความปรารถนาดี และความห่วงใย ในนามของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และประชาชนคนไทยทุกคนไปยังผู้ประสบภัยและพี่น้องชาวมูโนะ ให้เข้มแข็งก้าวผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกัน พร้อมกับเน้นย้ำ ให้ทุกภาคส่วนระมัดระวัง ไม่ให้เหตุการณ์สูญเสียแบบนี้เกิดขึ้นอีก

‘บิ๊กตู่’ ยินดี ‘เศรษฐา' ได้ตำแหน่งนายกฯ อวยพรขอให้บริหารราชการราบรื่น-สำเร็จด้วยดี

(23 ส.ค.66) หลังการประชุม ครม. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย, นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินมาพร้อมกัน 

วันนี้นายกรัฐมนตรี มีท่าทียิ้มแย้ม และก่อนที่จะให้สัมภาษณ์ กลับพบว่า นายกฯ ถอนหายใจ พร้อมมองไปบนฟ้า ก่อนจะพูดว่า "เฮ้อ อากาศมันก็ดีเนาะ ฝนไม่ค่อยตกดีนะ”

ก่อนจะกล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมครม.ปกติ ในฐานะรัฐบาลรักษาการ ช่วงนี้ก็มีหลายเรื่องที่จะต้องพิจารณา ซึ่งไม่ได้มีผลผูกพันอะไร เป็นเพียงการประชุมเวทีต่างประเทศเป็นเรื่องของกำหนดการที่วางไว้ก่อนแล้ว จึงไม่มีผลผูกพันอะไรทั้งสิ้น เป็นแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ที่เราจะต้องร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งจะต้องมีการสานต่อในรัฐบาลต่อไป 

นายกรัฐมนตรี ได้ถอนหายใจ ก่อนที่จะบอกว่า เรื่องที่สื่อมวลชนต้องการจะถามตนในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการอยู่ในขณะนี้ และ ครม.รักษาการ ก็ขอแสดงความยินดีกับนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ได้ผ่านการพิจารณาในกระบวนการรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็มีกระบวนการขั้นตอนต่อไป

วันนี้ได้นายกรัฐมนตรี ก็รอโปรดเกล้าฯ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจและพระราชวินิจฉัยของพระองค์ท่านอยู่แล้ว ต่อไปก็เป็นการจัด ครม. ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ได้เสนอทูลเกล้าขึ้นไป และเมื่อได้มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ลงมา ก็จะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ส่วนรัฐบาลตนก็จะหมดหน้าที่พร้อมกันตรงนั้น

“และเมื่อมีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนเรียบร้อย ผมก็หมดหน้าที่ ซึ่งต้องมีพิธีถวายสัตย์ฯ มี ครม.ให้เรียบร้อย จากนั้นผมก็หมดหน้าที่ของผมไปแล้ว ก็คงแสดงความยินดีกับคุณเศรษฐา อีกครั้งหนึ่ง ขอให้ประสบความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดินในโอกาสต่อไป" 

พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อยและอีกไม่กี่วัน โดยเฉพาะการตรวจคุณสมบัติของคณะรัฐมนตรี จะต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งถือว่าดำเนินการตามขั้นตอน ดังนั้น ขอให้ใจเย็น ๆ ส่วนตัวไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น และอย่านำปัญหาไปใส่ให้กับใคร ซึ่งตนเองยอมรับในกติกาทั้งหมด เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยทั้งหมด การเมืองก็ว่ากันไป 

ส่วนจะริเริ่มประเพณีเชิญนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาพูดคุยที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนรับหน้าที่หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอดูสถานการณ์ก่อน ขณะที่วันนี้ตนเองได้แสดงความยินดีไปแล้ว ในนามคณะรัฐมนตรี 

ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงขณะนี้ ยืนยันว่าสิ่งไหนที่ทำได้ ก็จะทำไปตามกฎหมาย แต่หลายอย่างจำเป็นจะต้องทำ เพราะมีระยะเวลา สิ่งไหนทำได้ก็ทำ สิ่งไหนที่ทำไม่ได้ก็ให้รัฐบาลใหม่ 

ส่วนการฝากงานรัฐบาลใหม่นั้นวันนี้ไม่ต้องฝาก เพราะทั้งหมดอยู่ที่คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานต่าง ๆ โดยหลายแผนงานที่ทำในปัจจุบัน ทำใหม่ ทำต่อ ก็สุดแล้วแต่รัฐบาลใหม่จะพิจารณา 

ส่วนจะฝากงานนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่จะเข้าร่วมกับรัฐบาลใหม่หรือไม่ พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ขอฝาก และไม่ขอตอบ เพราะตนเองไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้อง 

เมื่อถามว่า เมื่อวานนี้ มีปรากฏการณ์ สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี โหวตสนับสนุนนายเศรษฐา พลเอกประยุทธ์ ยืนยันว่า ตนเองไม่เกี่ยวข้อง 

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า สว.สายพลเอกประยุทธ์ กับ สว. สายพลเอกประวิตร หักกันใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบทันทีว่า ไม่มี ทุกคนมีวุฒิภาวะอยู่แล้ว ก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า

24 สิงหาคม พ.ศ. 2557 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

วันนี้เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ในหลวง รัชกาลที่ 9 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

ประกาศราชกิจจานุเบกษา พระบรมราชโองการ ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มีเนื้อหาดังนี้

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

จึงทรงพระราชดำริว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ที่สมควรไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2557 เป็นปีที่ 69 ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ 
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top