Friday, 17 May 2024
บิ๊กตู่

‘ธนกร’ ขอบคุณ ‘บิ๊กตู่’ ปราบจริงยาเสพติด-อาวุธปืน ตบหน้าฝ่ายค้าน หลังกล่าวหาไม่แยแสปัญหา

'ธนกร' ขอบคุณ 'บิ๊กตู่' ลุยปราบยาเสพติด-อาวุธปืน เป็นวาระแห่งชาติ ชี้ตั้งคณะกรรมการใหญ่อีกคณะคุมการทำงานทุกหน่วยที่มีในปัจจุบัน เท่ากับตบหน้าฝ่ายค้านหลังกล่าวหาไม่แยแสปัญหา

นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขอขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งสั่งให้ตั้งคณะกรรมการใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งคณะเพื่อติดตามตรวจสอบการทำงานของทุกคณะที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีมาตรการเกี่ยวกับอาวุธปืนที่เข้มงวดชัดเจน อาทิ กวดขันการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนและกระสุนปืน เข้มงวดในการออกใบอนุญาต การต่อใบอนุญาต และการพกพา เพิกถอนใบอนุญาตพกพาอาวุธปืนเมื่อพบปัญหาทางจิต พฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสังคม และการใช้ยาเสพติด รวมถึงกวาดล้างจับกุมอาวุธเถื่อนและการซื้อขายออนไลน์อย่างจริงจัง และทบทวนกฎหมายที่จำเป็นให้มีความทันสมัย มาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เร่งติดตาม สืบสวนขยายผล ทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดและยึดอายัดทรัพย์สิน มาตรการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด และการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาก็เพื่อมากำกับดูแลหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ทำงานอย่างเข้มข้น และเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น และยังเป็นการตบหน้าฝ่ายค้านที่มักจะกล่าวหามั่วๆ ว่ารัฐบาลไม่จริงจังกับการแก้ปัญหา

‘บิ๊กตู่’ ห่วง!! พบคนไทยป่วย 'เมลิออยด์' 2,314 ราย กรมควบคุมโรคเตือนหากติดเชื้อมีโอกาสตายได้

‘บิ๊กตู่’ ห่วงประชาชนเสี่ยงป่วยโรค 'เมลิออยด์' เผยไทยพบผู้ป่วยในปีนี้ถึง 2,314 ราย กรมควบคุมโรคเตือนหากติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตได้ แนะหลีกเลี่ยงเดินลุยน้ำย่ำโคลน เกษตรกร-ผู้ป่วยเบาหวานหากมีไข้สูง-ประวัติสัมผัสดินและน้ำให้รีบพบแพทย์

(22 ต.ค.65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยประชาชน ที่อาจเจ็บป่วยด้วยโรคเมลิออยโดสิส (MELIOIDOSIS) หรือโรคติดเชื้อเฝ้าระวัง ที่เกิดในช่วงนี้ที่ยังคงมีฝนตกในบางพื้นที่ ตามคำเตือนของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้ป่วยเบาหวาน ให้ระวังป่วยโรคเมลิออยด์ สามารถพบการติดเชื้อได้ตลอดทั้งปี แต่พบมากในช่วงฤดูฝน เชื้อสามารถเข้าทางผิวหนัง การดื่มน้ำไม่สะอาด หรือการหายใจเอาฝุ่นดินที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป ควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน หากจำเป็นต้องลงพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ควรใส่รองเท้าบูทเพื่อป้องกัน และหลังขึ้นจากน้ำให้รีบทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที

นายอนุชา กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้ออกคำเตือนพร้อมให้ข้อมูลว่า ในช่วงนี้ยังคงมีฝนตกในบางพื้นที่ ทำให้มีน้ำท่วมขังหรือดินชื้นแฉะ ซึ่งประชาชนที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมและเกษตรกร หรือผู้ที่ต้องทำงานสัมผัสดินและน้ำโดยตรง รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง และโรคธาลัสซีเมีย จะมีความเสี่ยงป่วยโรคเมลิออยด์สูง เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุจะอยู่ในดินและในน้ำจะเข้าสู่ร่างกายได้ทางการดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ และทางผิวหนัง หรือการสูดหายใจเอาฝุ่นจากดินที่มีเชื้อเจือปนเข้าไป หลังติดเชื้อประมาณ 1-21 วันจะมีอาการเจ็บป่วย แต่บางรายอาจนานเป็นปี ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับและภูมิต้านทานของแต่ละคน อาการของโรคนี้ไม่มีลักษณะเฉพาะ จะมีความหลากหลายคล้ายโรคติดเชื้ออื่นๆ หลายโรค เช่น มีไข้สูง มีฝีที่ผิวหนัง มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ อาจติดเชื้อเฉพาะที่หรือติดเชื้อแล้วแพร่กระจายทั่วทุกอวัยวะและเสียชีวิตได้ ส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากอาการไข้เป็นหลัก จึงทำให้วินิจฉัยโรคได้ยาก ต้องอาศัยการตรวจเพาะเชื้อทางห้องปฏิบัติการเป็นหลัก เพื่อใช้ประกอบการตรวจวินิจฉัยและรักษา

“สำหรับสถานการณ์โรคเมลิออยด์ในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-10 ตุลาคม 2565 พบผู้ป่วย 2,314 ราย เสียชีวิต 34 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ อายุมากกว่า 65 ปี รองลงมา 55-64 ปี และ 45-54 ปี ตามลำดับ พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตกระจายอยู่ทุกภาคของประเทศไทย แต่พื้นที่ที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อัตราตายสูงสุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้

กรมควบคุมโรคได้แนะวิธีการป้องกันโรคเมลิออยด์สามารถทำได้ ดังนี้...

1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรง หากจำเป็นขอให้สวมรองเท้าบูท ถุงมือยาง กางเกงขายาวหรือชุดลุยน้ำ หลังสัมผัสดินและน้ำให้ทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที

'นิด้าโพล' เผยผลสำรวจ 'คนที่ใช่พรรคที่ชอบของคนใต้' พบ 'คนใต้' ยังหนุน 'บิ๊กตู่' นั่งนายกฯ เป็นอันดับ 1

(23 ต.ค.65) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น 'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง 'คนที่ใช่ พรรคที่ชอบ ของคนใต้' ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 17-20 ตุลาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในภาคใต้ กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,001 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคนที่ใช่ พรรคที่ชอบ ของคนใต้ การสำรวจอาศัย การสุ่มตัวอย่าง โดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ 'นิด้าโพล' สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่คนใต้จะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 23.94 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะ ซื่อสัตย์สุจริต มีความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ และต้องการให้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง อันดับ 2 ร้อยละ 13.24 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะ เป็นคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย นโยบายพรรคเพื่อไทยสามารถแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางการเกษตรได้ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบผลงานของตระกูลชินวัตร อันดับ 3 ร้อยละ 12.79 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4 ร้อยละ 11.24 ระบุว่าเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะ ต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ เป็นคนมีวิสัยทัศน์ ชื่นชอบนโยบายและอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคก้าวไกล อันดับ 5 ร้อยละ 6.14 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) เพราะ เป็นคนตรงไปตรงมา มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน มีความซื่อสัตย์สุจริต และชื่นชอบวิธีการทำงาน

อันดับ 6 ร้อยละ 5.95 ระบุว่าเป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์) เพราะ ชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา และชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 7 ร้อยละ 5.30 ระบุว่าเป็น นายกรณ์ จาติกวณิช (พรรคชาติพัฒนากล้า) เพราะ มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และเป็นคนสุขุมรอบคอบ อันดับ 8 ร้อยละ 5.10 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะ มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน มีประสบการณ์ด้านการบริหาร ชื่นชอบนโยบายของพรรค ขณะที่บางส่วนระบุว่า ต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ อันดับ 9 ร้อยละ 4.00 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะ ชื่นชอบนโยบายของพรรคภูมิใจไทย เป็นคนพูดจริงทำจริง และลงพื้นที่ดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง

อันดับ 10 ร้อยละ 2.90 ระบุว่าเป็น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) เพราะ เป็นคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง อันดับ 11 ร้อยละ 2.40 ระบุว่าเป็น ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (พรรคสร้างอนาคตไทย) เพราะ มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และมีประสบการณ์ด้านการบริหาร

อันดับ 12 ร้อยละ 1.50 ระบุว่าเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว (พรรคเพื่อไทย) เพราะ ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย เป็นคนสุขุมรอบคอบ และชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา อันดับ 13 ร้อยละ 1.10 ระบุว่าเป็น ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เพราะ เป็นคนมีความรู้ความสามารถ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ในการทำงาน ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบแนวคิดและวิธีการทำงาน และร้อยละ 4.40 ระบุอื่นๆ ได้แก่ น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ (พรรคไทยศรีวิไลย์) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม (พรรคไทยภักดี) นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) นายเศรษฐา ทวีสิน และไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับพรรคการเมืองที่คนใต้มีแนวโน้มจะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต ในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 27.49 ระบุว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 2 ร้อยละ 14.94 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 3 ร้อยละ 12.09 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ และยังไม่ตัดสินใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน อันดับ 4 ร้อยละ 11.84 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 5 ร้อยละ 7.45 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 6 ร้อยละ 3.60 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชาติ อันดับ 7 ร้อยละ 3.10 ระบุว่าเป็น พรรคเสรีรวมไทย อันดับ 8 ร้อยละ 1.50 ระบุว่าเป็น พรรคชาติพัฒนากล้า และพรรคไทยสร้างไทย ในสัดส่วนที่เท่ากัน อันดับ 9 ร้อยละ 1.05 ระบุว่าเป็น พรรคกล้า อันดับ 10 ร้อยละ 1.00 ระบุว่าเป็น พรรคสร้างอนาคตไทย และร้อยละ 2.35 ระบุอื่นๆ ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคไทยภักดี พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคไทยศรีวิไลย์ พรรครวมพลัง (พรรครวมพลังประชาชาติไทย) พรรคเศรษฐกิจใหม่ และไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘นายกฯ’ โอด เจ็บปวดเห็นปชช.เดือดร้อน ลั่น ดูแลเต็มที่ สั่งผู้ว่าฯย้ายผู้ป่วยติดเตียง ลั่น ขอสู้จนตาย วอน อย่าเทียบน้ำท่วมปี54 เหตุ สภาพอากาศเปลี่ยนไป

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 24 ต.ค. ที่วัดพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เดินทางถึงวัดพิกุลทอง เยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม มีประชาชนมารอต้อนรับ และดีใจที่นายกฯมาเยี่ยม พร้อมขอจับมือและถ่ายรูปด้วย โดยนายกฯกล่าวว่า “มาเยี่ยม เพราะรู้ว่าพวกเราเดือดร้อน นายกฯก็เจ็บปวด ที่มาไม่ได้ทำเพื่ออะไรทั้งสิ้น ถือเป็นความเดือดร้อน ขออย่าไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์น้ำท่วม ปี 54 เนื่องจากสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะสภาพอากาศ ที่สำคัญให้ดูปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา รัฐบาลเข้าใจความเดือดร้อนและจะเร่งแก้ปัญหา ดูแลให้ดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนบางส่วนโอดครวญว่า อยู่กันอย่างลำบากมาก บ้านเรือน ร้านค้า เสียหายจากน้ำท่วม บางคนเดือดร้อนเพราะมีผู้ป่วยติดเตียงอยู่ภายในบ้าน นายกฯกล่าวตอบทันที ว่า ถ้ามีผู้ป่วยติดเตียงต้องเอาออกทันที อย่าให้มีผู้ป่วยติดเตียงอยู่ข้างใน ให้เร่งไปเอาออกมา พร้อมหันไปสั่งการผู้ว่าฯสิงห์บุรี ให้ดำเนินการทันที โดยระหว่างเดินพบประชาชน ชาวบ้านให้กำลังใจ บอกให้สู้ๆ นายกฯจึงตอบกลับว่า "สู้จนตาย"

'นายกฯ' ลั่น!! บริหารชาติแบบมุ่งงานใหญ่เพื่อสร้างอนาคตไทย วอน!! ขอให้ดูผลลัพธ์โครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วจริง

'บิ๊กตู่' ลั่น บริหารประเทศ ยึด 3 คำ 'ทำให้สำเร็จ' มุ่งงานใหญ่สร้างอนาคตไทย ‘โว’ ทำระบบขนส่งรางกทม.เทียบโตเกียว-ลอนดอน 'ชี้' เป็นผู้นำต้องอดทน ยอมรับแนวการทำงาน ทำคนอึดอัด แต่มั่นใจสังคมจะเดินหน้าได้ไม่ทิ้งรอยแตกร้าวอย่างถาวร แจงใจร้อนใจเย็นเกินไป แค่หวังทุกฝ่ายเดินไปด้วยกัน ‘ยอมรับ’ ความแข็งกร้าวทำให้เสียเพื่อน แต่ต้องแลกเพื่อทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นจริง มองเสียงวิจารณ์เป็นปกติของปชต.ที่แข็งแรง แค่ไม่ไขว้เขว-เสียสมาธิ ขอบคุณพรรคร่วมฯ เสียสละร่วมงานมาด้วยกัน 

(27 ต.ค. 65) ที่ห้อง A1 บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นประธานในงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ 'Accelerating Thailand (พลิกโฉมประเทศไทย)' ตอนหนึ่งว่า...

"วันนี้ขอแชร์วิสัยทัศน์ของตนที่มีต่อประเทศไทย และแนวทางในการทำงานของตนในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าให้ทุกคนได้ทราบ ซึ่งหลักการสำคัญ ที่เป็นแนวทางการทำงานของตนสรุปได้ในสามคำ คือ 'ทำให้สำเร็จ' (GET THINGS DONE) คือการทำสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ และเตรียมประเทศให้พร้อม สำหรับอนาคต"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลายปีมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลไทยหลายยุคหลายสมัย มีความยากลำบากอย่างมาก ในการทำเรื่องสำคัญ ที่จำเป็นต่อการเดินหน้าประเทศให้เกิดขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาคือทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย บนเวทีระดับโลกค่อยๆ ลดลง และคนไทยกว่า 70 ล้านคนสูญเสียโอกาสมากมายที่ควรจะมี ทั้ง ๆ ที่พวกเราอยู่ในประเทศที่มีพร้อมทุกอย่าง อย่างประเทศไทย

“การที่ผมต้องทำสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ เพราะผมมีเป้าหมายเพื่อทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า บนเส้นทางที่จะเติบโต และเจริญรุ่งเรืองไปทั่วทุกหย่อมหญ้า อย่างยั่งยืน เป็นเส้นทางที่เราคนไทยจะต้องจับมือไปด้วยกัน และจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านและสังคมโลกด้วย แต่เรื่องใหญ่ๆ ที่เราต้องทำมีเยอะมากเกินกว่าที่เราจะทำได้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน ผมจึงต้องเรียงลำดับความสำคัญ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการพุ่งเป้าไปที่การยกระดับความมั่งคั่งของทั้งประเทศ แบบที่จะกระจายความเจริญรุ่งเรืองไปทั่วทุกพื้นที่ เพิ่มเติมจากพื้นที่ ที่มีความเจริญอยู่แล้ว เราต้องทำเรื่องที่จะสร้างประโยชน์ ให้กับคนทุกระดับในสังคมทั้งประเทศ สร้างพื้นฐานที่เอื้อให้ประชาชนสามารถทำมาหากิน สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับตัวเขาเองได้ บนเส้นทางที่ยั่งยืน ดังที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสไว้เมื่อ 24 ปีก่อนว่าเราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้เขารู้จักวิธีตกปลา 

ที่ผ่านมา ได้ให้ความสำคัญอย่างมาก กับการสร้างความรุ่งเรืองให้กับคนไทย ในทุกระดับของสังคมเพราะมันคือการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงแข็งแรง ให้เกิดขึ้น เพื่อที่เราจะเดินหน้าไปสู่การปรับแก้สิ่งต่างๆ ที่เป็นประเด็นทางสังคม ทั้งเรื่องความยุติธรรมในสังคม และความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงโอกาสทำมาหากิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานที่จะทำให้สังคม อยู่กันอย่างสงบสุขและมั่นคง และเป็นหนทางที่ดีที่สุด ที่จะนำพาประเทศเดินไปข้างหน้า  ซึ่งสาเหตุที่ได้ขับเคลื่อนกลยุทธ์ 3 แกนอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงวิกฤตโควิดก็ตาม

อลเวง!! กฎหมายต่างชาติซื้อที่ดินยุค 'ประยุทธ์' ความรู้ตีบตันจากสายมั่นที่เมาท์ว่าเป็น 'การขายชาติ'

ด่ากันเสียงขรม โดยที่ไม่ตรวจสอบกันเลยว่าความจริงคืออะไร ทันทีที่ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ให้สิทธิถือครองที่ดินแก่ชาวต่างชาติ 4 กลุ่ม ทั้งที่เป็นการอนุมัติหลักการตามที่ได้เห็นชอบไปแล้วนั่นเอง เท่านั้นแหละบรรดาพวกที่เกลียดชังความเป็นไทยก็ดิ้นเร่าเกิดอาการรักชาติแบบฉับพลัน ด่าทอต่าง ๆ นานาจนน่าปวดหัว

กฎหมายที่ดินที่ให้สิทธิคนต่างชาติซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกิน 1 ไร่นั้น มีอยู่ในประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 96 ทวิ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 โน่นแล้ว และไม่ใช่ฝรั่งต่างชาติคนไหนจะมาซื้อได้ ต้องผ่านกฎเกณฑ์ ข้อบังกับ เช่น กลุ่มที่มีสิทธิ์คือให้สิทธิการถือครองที่ดินคือกลุ่มที่รวย, กลุ่มเกษียณอายุ, กลุ่มที่ต้องการทำงานในไทย และกลุ่มมีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ แถมจะต้องนำเงินมาลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาท โดยลงทุนดำเนินกิจการมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ถึงจะมีสิทธิซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกิน 1 ไร่ ต้องเป็นที่ดินในเขตที่อยู่อาศัยตามกฎหมายผังเมือง จะไปซื้อที่ดินแบบอื่นไม่ได้

ถ้านำที่ดินไปใช้ผิดเงื่อนไข เช่น เอาไปทำธุรกิจ, การค้า, เก็งกำไร อาจจะถูกบังคับขายคืน ให้ซื้อเป็นที่อยู่อาศัยอย่างเดียว ห้ามขาย หากขายหรือแบ่งขาย จะถูกระงับสิทธิทันที ตามที่ระบุในสัญญาซื้อขาย ที่ดินสามารถโอนให้ลูกหลานได้ แต่ลูกหลานห้ามขายต่อเช่นกัน

จะชักดิ้นชักงอไปทำไมนักหนา รัฐบาลที่ผ่าน ๆ มาเปิดทางให้ชาวต่างชาติ สามารถซื้อคอนโด และซื้อที่ดินในประเทศไทยได้นานแล้ว เช่น กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไข การได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว พ.ศ. 2545 คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 153/2546 ลงวันที่ 21 เมษายน 2546 มาตรา 96 ทวิและมาตรา 96 ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการได้มาซึ่งที่ดิน เพื่อใช้เป็นที่อยูอาศัยของคนต่างด้าว พ.ศ. 2545 และกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497 ออกตามความใน พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497

ประเทศอื่นก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น หันไปดูเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียสิ เพิ่งประกาศหมาด ๆ เลยว่า จะออกวีซ่า 'บ้านที่สอง' สำหรับชาวต่างชาติซึ่งประสงค์พักอาศัยระยะยาวบนเกาะบาหลี เป็นเวลานานระหว่าง 5-10 ปี

โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องมีเงินฝากในบัญชีธนาคารอย่างน้อย 2,000 ล้านรูเปียห์ ( ราว 4.84 ล้านบาท ) และหนังสือเดินทางซึ่งมีอายุการใช้งานคงเหลือไม่น้อยกว่า 36 เดือน

สหภาพยุโรป (EU) มีการออกสถานะผู้อยู่อาศัยพิเศยที่เรียกว่า 'วีซ่าทองคำ' ให้แก่พลเมืองต่างชาติกว่าแสนคน และมอบสัญชาติกิตติมศักดิ์ ให้แก่ชาวต่างชาติที่มีฐานะร่ำรวย ที่เรียกว่า 'หนังสือเดินทางทองคำ' แก่พลเมืองมากกว่า 6 พันคนที่เข้ามาลงทุน โดยสร้างรายได้มากกว่า 2.5 หมื่นล้านยูโร (2.8 หมื่นล้านเหรียญ)

8 วาทะเด็ด 'บิ๊กตู่' ความสำเร็จที่อยากบอกให้คนไทยได้รู้ | THE STATES TIMES Y WORLD EP.13

นายก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นประธานในงาน และกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ 'Accelerating Thailand (พลิกโฉมประเทศไทย)' และได้แชร์ถึงแนวทางในการบริหารประเทศ ที่ยึด 3 คำ 'ทำให้สำเร็จ' มุ่งงานใหญ่สร้างอนาคตไทย

.

ติดตามสาระดีๆ ได้ใน THE STATES TIMES Y WORLD

ใครที่สนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ อยากให้เรานำมาเล่าก็คอมเมนต์ไว้ใต้คลิปกันได้เลย!

 

นายกฯ เชื่อมั่น ระบบสาธารณสุขไทย หลัง เป็นประเทศแรก ที่เข้ารับการประเมินศักยภาพระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ลี้ภัย ผู้ย้ายถิ่นฐาน แรงงานต่างด้าว จาก WHO ผลมีระบบการดูแลอย่างดี ช่วงโควิด-19 ระบาด

เมื่อวันที่ 30 ต.ค. นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบกรณี ไทยเข้ารับการประเมินศักยภาพระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ลี้ภัย ผู้ย้ายถิ่นฐาน และแรงงานต่างด้าว โดยผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก

นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานว่า ไทยเป็นประเทศแรกที่ได้เข้ารับการประเมินศักยภาพระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ลี้ภัย ผู้ย้ายถิ่นฐาน และแรงงานต่างด้าว เนื่องจากมีระบบการดูแลอย่างดี และมีประสิทธิภาพในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้มีการลงพื้นที่ในจังหวัดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย คณะผู้เชี่ยวชาญของไทยและองค์กรระหว่างประเทศ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม

'บิ๊กตู่' ปลื้ม!! ชาวตากจัดงานลอยกระทงสายไหลประทีป 1,000 ดวง เพื่อสืบสานประเพณี - วัฒนธรรมอันดีงามให้คงอยู่สืบไป

ค่ำคืนวานนี้ (5 พ.ย. 65) เวลา 21.00 น. ที่บริเวณเวทีกลางน้ำปิง เชิงสะพานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป 1,000 ดวง จังหวัดตาก ประจำปี 2565 โดย นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมประเพณีไทย เลยมอบหมายให้ผมมาเป็นตัวแทนเปิดงานในวันนี้ ผมชื่นชม เเละประทับใจ ในความตั้งใจ เเละความสามัคคี ของชาวจังหวัดตากที่ได้ร่วมกันจัดงานสืบสานประเพณีไทยด้วยความตั้งใจ สิ่งนี้เเสดงถึงความพลังสามัคคีที่ยิ่งใหญ่ เเละพลังความจงรักภักดีที่ชาวจังหวัดตาก ที่มีต่อสถาบัน พระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักของเรา พร้อมกับเเสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทยในการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี ได้ฝากคำชื่นชม มาในโอกาสนี้ด้วย ขอบคุณชาวจังหวัดตากทุกคนที่ร่วมกันสร้างเเละสืบสานประเพณีที่ดีงามนี้ให้คงอยู่ตลอดไป

ทั้งนี้ นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก มอบหมายให้ นายสุรพล วงศ์สุขพิศาล และนายสวนิต สุริยกุล ณ อยุธยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ประชาชน และนักท่องเที่ยว เข้าร่วมงานฯ โดยมี นายณพล ชยานนท์ภักดีนายกเทศมนตรีเมืองตาก กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน

สำหรับการจัดงานประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป 1,000 ดวง ของจังหวัดตาก ประจำปี 2565 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 8 พ.ย. 2565  

โดยค่ำคืนแรกของวันที่ 5 พฤศจิกายน 2565 เป็นคืนแรก มีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การจัดขบวนแห่อัญเชิญพระประทีปพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งพระประทีปพระบรมวงศานุวงศ์รวม 9 พระองค์, ขบวนแห่อัญเชิญถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, ขบวนเห่เรือกระทงสาย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top