Tuesday, 14 May 2024
ท่องเที่ยว

วันหยุดแรงงานคึกคัก นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ แห่เที่ยวเกาะล้านพัทยา และหาดนางรำสัตหีบ แน่น

วันที่ 1 พ.ค. 2566   ที่บริเวณท่าเรือแหลมบาลีฮาย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เก็บภาพบรรยากาศ วันหยุดวันแรงงาน พบว่านักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต่างเดินทางไปเที่ยวเกาะล้านกันเป็นจำนวนมาก ทำให้จุดขึ้นเรือสปีดโบ๊ท เดินทางจากฝั่งพัทยาไปเกาะล้านดูคึกคักอีกครั้ง ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่จะเดินทางมาเป็นครอบครัว กรุ๊ปทัวร์ ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่จะเดินทางมาทั้งแบบครอบครัว และเป็นกลุ่มเพื่อน โดยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมีจุดหมายเพื่อที่ต้องการจะเดินทางไปพักผ่อนในช่วงวันหยุด และเที่ยวชมความสวยงามของเกาะล้าน ทั้งนี้กรมเจ้าท่าสำนักพัทยา ได้เข้มงวดให้นักท่องเที่ยวส่วมใสเสื้อชูชีพ เพื่อสร้างภาพลักษณ์และสร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ในขณะที่เดินทางไปเกาะล้าน
     

ส่วนในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตรงกับวันหยุด วันแรงงานแห่งชาติ ที่หยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ตั้งแต่ เสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศนับพัน หมุนเวียนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อน ชมบรรยากาศธรรมชาติ และเล่นน้ำทะเล บริเวณชายหาดนางรำ พื้นที่ดูแลของกองทัพเรือ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ทำให้ถนนเส้นทางเข้าหาดนางรำ เข้าช่องแสมสาร และท่าเรือจุกเสม็ด รถติดยาวเหยียดหลายกิโลเมตร


นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645

‘พงษ์ภาณุ’ ชี้!! รายได้ท่องเที่ยวไทยยังกระจุกตัว แนะใช้แพลตฟอร์มระดับโลก หนุนเที่ยว ‘เมืองรอง’

(14 พ.ค. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองต่อเศรษฐกิจของไทย ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 66 โดยระบุว่า...

แม้ประเทศไทยจะเผชิญกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในระดับสูง แต่การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ภาคการท่องเที่ยวนับเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ซึ่งในอดีตช่วงที่การท่องเที่ยวประเทศไทยเติบโตสุดขีด เคยสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 2 ล้านล้านบาท และจากคนไทยเที่ยวไทยอีกราว 1 ล้านล้านบาท รวมเป็น 3 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็น 20% ของจีดีพี ขณะเดียวกัน ก็มีการจ้างงานถึง 10 ล้านคน แต่หลังจากเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ในส่วนนี้หายไปเกือบหมด ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก

นายพงษ์ภาณุ ระบุว่า ภายหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย เชื่อว่า การท่องเที่ยวไทยจะกลับมาคึกคัก และสร้างรายได้เข้าประเทศได้เช่นในอดีต พร้อมทั้งเป็นปัจจัยหนุนหลักให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ และ ส่งผลดีต่อไปยังตลาดแรงงาน รวมถึงเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ที่จะได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยว เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่เงินไหลตรงไปยังกลุ่มรากหญ้าจริงๆ ซึ่งจะแตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ

แต่ทว่า ในปัจจุบัน การท่องเที่ยวไทยกระจุกตัวอยู่เพียง 7 จังหวัดเท่านั้น ประกอบด้วย กรุงเทพฯ, ภูเก็ต, ชลบุรี, เชียงใหม่, ประจวบคีรีขันธ์, สุราษฎร์ธานี และกระบี่ โดยจังหวัดเหล่านี้มีครองสัดส่วนรายได้ถึง 80% ส่วนอีก 20% กระจายไปยังอีก 70 จังหวัดที่เหลือ

อย่างไรก็ตาม จากการท่องเที่ยวที่กระจุกตัวอยู่เพียงในเมืองหลัก แม้ว่าจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของจังหวัดนั้นๆ แต่ก็มีผลเสียและปัญหามากมายเช่นกัน ทั้งด้านความแออัด ด้านการกระจายรายได้ที่ไม่สมดุล ด้านการจราจรที่ติดขัด และด้านความปลอดภัย

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลพยายามกระจายการท่องเที่ยว ผ่านนโยบายที่เรียกว่า ‘การท่องเที่ยวเมืองรอง’ ทั้งการไปสร้างแหล่งท่องเที่ยว การมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร 

“จากการที่ได้คุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวของจีน พบว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทยนั้น เขากังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะฉะนั้น หากรัฐบาลต้องการกระจายการท่องเที่ยวไปยังเมืองรอง สิ่งที่ต้องเข้ามาดูแลข้อแรก คือ เรื่องความปลอดภัย ข้อสอง ความสะดวกในการเดินทาง และข้อสาม เรื่องการตลาดที่ต้องโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยว อาหารและกิจกรรมที่รองรับนักท่องเที่ยว ผ่านระบบดิจิทัลที่เข้าถึงได้ง่าย เป็นต้นว่า การนำข้อมูลบ้านพักในภาคอีสานของไทย เข้าไปอยู่ใน Air BNB แพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับโลก พร้อมกับการรับรองความปลอดภัย ความสะอาด และการต้อนรับที่อบอุ่นจากเจ้าของบ้าน หากข้อมูลข่าวสารพวกนี้เข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มระดับโลกได้ เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้การท่องเที่ยวเมืองรองเกิดได้” นายพงษ์ภาณุ กล่าว

ลูกทัวร์กว่า 600 ชีวิต โดนลอยแพ แถมเสียเงินเป็นแสน หลังเรือสำราญอ้าง บริษัททัวร์ไม่ได้ส่งรายชื่อมาให้

เมื่อไม่นานมานี้ ทางเพจเฟซบุ๊ก ‘โหนกระแส’ ได้ออกมาเผยแพร่เรื่องราวของลูกทัวร์ 500-600 ชีวิตที่โดนลอยแพ หลังจ่ายเงินเป็นแสน แต่ทางเรืออ้างว่าไม่มีการส่งรายชื่อมา จนทำให้เกิดเหตุชุลมุนที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี หลังบริษัทเรือสำราญแห่งหนึ่ง ลอยแพผู้โดยสารจำนวน 500-600 คน โดยอ้างว่าบริษัททวร์ไม่ได้ส่งรายชื่อมาให้

ผู้เสียหายรายหนึ่งได้ให้ข้อมูลกับทีมเพจโหนกระแสว่า ทำไมลูกค้าทัวร์ที่ซื้อโปรฯ ลดราคา หรือโปรฯ 1 แถม 1 ถึงมีรายชื่อขึ้นเรือได้ แต่อีกหลายคนที่ซื้อหลักแสน ซื้อทั้งครอบครัว ไม่ได้ขึ้นเรือ

นอกจากนี้ ยังมีครอบครัวพ่อ แม่ ลูก ที่มีรายชื่อพ่อและลูกให้ขึ้นเรือ แต่กลับไม่มีชื่อของแม่ รวมถึงศิลปินนักร้องที่ต้องทำการแสดงบนเรือ ก็ไม่มีรายชื่อด้วยเช่นกัน จึงสงสัยในการจัดการว่าเป็นอย่างไร ผิดพลาดที่อะไรกันแน่ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว แต่จำนวนผู้เสียหายไม่มากเท่าครั้งนี้

ขณะนี้มีผู้เสียหายบางส่วนที่ดำเนินการเข้าแจ้งความแล้ว มูลค่าความเสียหายน่าจะมากพอสมควร

Soft Power ที่สร้างสรรค์ ไอศกรีมลายกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณ มีให้อร่อยกันแล้วที่ร้าน Arun Cafe ในวัดอรุณ

ศิลปะของไทยนั้น ขึ้นชื่อในเรื่องของความวิจิตรงดงามและประณีตเป็นอย่างมาก ซึ่งในยุคสมัยนี้หากจะทำให้คุณค่าของงานศิลปะยังคงอยู่ การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ ดั่งเช่นเรื่องราวที่เราจะพาทุกคนไปชมกันในวันนี้กับไอศกรีมลายกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณ ที่ถูกเผยแพร่โดยคุณ Vipavee Kittitien ซึ่งได้ไปเที่ยวที่วัดอรุณและซื้อไอศกรีมนี้ที่ร้าน Arun Cafe ในวัดอรุณ

ตัวไอศกรีมจะมีลวดลายคล้ายกับกระเบื้องที่ประดับบนพระปรางค์วัดอรุณ มีความละเอียดอ่อนช้อยสวยงาม จนแทบจะไม่กล้ากินกันเลยทีเดียว

ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่สร้างสรรค์ และทำออกมาได้อย่างสวยงาม หากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มีโอกาสมาซื้อทานก็จะได้เห็นถึงความสวยงามของศิลปะไทยในไอศกรีมไปด้วย
ไอศกรีม 3 มิติลายกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณนี้จะมีขายเฉพาะที่ในวัดอรุณเท่านั้น หากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยววัดอรุณ ก็อย่าลืมแวะไปอร่อยกันได้

เปิดมุมมืดในอเมริกา อันตราย ต้องระวังตัวไว้  ต้องมีสติในการท่องเที่ยว และต้องดูแลตัวเองให้ดี

ผู้ใช้ TikTok ที่มีชื่อว่า bemolibeam (เบโมลิบีม) ได้โพสต์คลิปสั้น เกี่ยวกับ ประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีใจความว่า ...

รวมมุมมืดในอเมริกา 
1 ทุบรถคือเรื่องปกติ สามารถพบเจอเศษกระจกได้โดยทั่วไปแจ้งตำรวจก็ไม่ได้ความคืบหน้า ไม่ค่อยจะได้อะไรเท่าไหร่ ที่ท่องเที่ยว แม้จะคนเยอะแต่ก็ไม่ปลอดภัย อาจจะต้องจ้างคนเฝ้ารถไว้ตลอดเวลา เราจึงไม่ควรเลือกขับรถเที่ยวที่ซานฟรานซิสโก 
2 คนไร้บ้านคือเรื่องปกติ สามารถพบเจอคนไร้บ้านทะเลาะกับคนกวาดถนนได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะทำอะไรเราเท่าไหร่ แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เพราะบางคนอาจจะมาตื้อขอเงิน 
3 รถไฟฟ้าใต้ดินเก่าและน่ากลัวมากๆ เป็นที่เสียขวัญของเรามากที่สุด จากประสบการณ์ที่ได้เข้าเมืองมาจากสนามบิน ก็ได้พบเจอกับแก๊งคนผิวสีที่ถือวิทยุและเปิดเพลงดังๆ กำลังรีดไถเงินคนอเมริกา อยู่ 
4 ถนนไม่ค่อยสะอาด สามารถเจอเศษอาหาร คราบขนม หรือบางครั้งก็เป็นรอยของสีที่คนเอามาสาดเล่น 
5 บางครั้งย่านอันตรายก็อยู่ติดกับย่านที่ปลอดภัยแค่เพียง 1 ช่วงตึก 
6 ป้ายรถเมล์ไม่มีบอกว่าเป็นป้ายรถเมล์ มีแค่กระดาษติดไว้แค่แผ่นเดียว ถ้าไม่มองให้ดีก็จะไม่เห็น 
7 อย่าเดินคนเดียวตอนกลางคืนเพราะยิ่งดึกยิ่งไม่ปลอดภัย 
8 เจอรถตำรวจเปิดไซเรนวิ่งอยู่ตลอดเวลา สำหรับที่นี่คือเรื่องปกติเพราะอาชญากรรมเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ต้องดูแลตัวเองให้ดี 
9 ตามสถานที่ท่องเที่ยวชอบมีคนมาพ่นสี เลยทำให้สถานที่สวยงามต้องเสียไปหมด 

และนี่คือตัวอย่างแต่ถ้ามีสติและดูแลตัวเองให้ดี ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรมาก

‘Mastercard’ จัดอันดับ ‘ไทย’ ติด 1 ใน 10  ปลายทางยอดฮิตในเอเชียแปซิฟิก ปี 66

(19 มิ.ย. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานของสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economics Institute) ถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวทั่วโลกประจำปี 2566 จากรายงาน Travel Industry Trends 2023 พร้อมยินดีที่ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของจุดหมายปลายทางยอดนิยม ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economics Institute) ระบุในปี 2566 ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของจุดหมายปลายทางยอดนิยม Travel Industry Trends 2023 Mastercard Data & Services เพราะเสน่ห์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยจัดอันดับจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตั้งแต่ปลายปี 2565 นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ด้านวัฒนธรรม และสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ขณะเดียวกันก็มีนักท่องเที่ยวที่ต้องการกลับมาสัมผัสกับเสน่ห์ของประเทศไทยที่คุ้นเคยเป็นจำนวนมาก ไทยจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการใช้จ่ายด้านประสบการณ์การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 40.5% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อซื้อสิ่งของเพิ่มขึ้น 24%

นายอนุชา กล่าวว่า รายงานของมาสเตอร์การ์ดระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้แก่ 

1.) การท่องเที่ยวพักผ่อนและการเดินทางเชิงธุรกิจมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกัน ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคมมีอัตราการจองเที่ยวบินเพิ่มสูงขึ้น 31% เมื่อเทียบกับปี 2562 และยังพบว่าช่วงต้นปี 2566 อัตราการจองเที่ยวบินขององค์กรมีการเติบโตเทียบเท่ากับการจองเที่ยวบินเพื่อการพักผ่อนส่วนบุคคล

2.) การเปิดประเทศของจีนมีผลดีต่อการท่องเที่ยว เศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกจะได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากการเปิดประเทศของจีน เพราะเป็นประเทศที่มีความเชื่อมโยงอย่างมากกับการค้า การท่องเที่ยว และการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์กับประเทศอื่น ๆ ของโลก

3.) นักท่องเที่ยวออกท่องโลกไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ซึ่งเสน่ห์ที่โดดเด่นและประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ไทยติดอันดับหนึ่งในสิบของจุดหมายปลายทางยอดนิยม ซึ่งจัดอันดับจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

4.) นักท่องเที่ยวยังต้องการเดินทางเพื่อสัมผัสประสบการณ์ โดยเดือนมีนาคม 2566 ยอดการใช้จ่ายต่อการท่องเที่ยวเพื่อประสบการณ์ทั่วโลกสูงขึ้นถึง 65% ในขณะที่การใช้จ่ายในสิ่งของเพิ่มขึ้นเพียง 12% เมื่อเทียบกับปี  2562 

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวประจำปี 2566 จะสร้างประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมมั่นใจในศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของไทย ทั้งด้านสถานที่ และการจัดการ รวมทั้ง เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนติดตามกระแสการท่องเที่ยว สกัดเอกลักษณ์ความเป็นไทย วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และศิลปวัฒนธรรม มาประกอบกับแนวทางการท่องเที่ยวสมัยใหม่ ปรับตัวและออกแบบบริการการท่องเที่ยวให้สอดคล้อง และตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง

กรุงเทพฯ ครองแชมป์ เมืองที่นักท่องเที่ยว จองมาพักมากที่สุดในโลก จากข้อมูลของ Agoda

ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องน่ายินดีของวงการท่องเที่ยวไทย เมื่อล่าสุดทาง Agoda แพลตฟอร์มจองที่พักยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ออกมาเผยข้อมูลการจองที่พักของนักท่องเที่ยว โดยเมืองที่นักท่องเที่ยวจองมาพักมากที่สุดเป็นอันดับ 1

นั่นก็คือกรุงเทพมหานครนั่นเอง นอกจากเมืองกรุงเทพฯ แล้ว ประเทศไทยยังได้ถูกจัดอันดับเป็นที่ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอีกด้วย

‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 2 ปลายทางยอดนิยม นทท. ทั่วโลก ‘กรุงเทพฯ’ คว้าอันดับ 1 เมืองถูกจองเข้าพักมากที่สุด

วันที่ (22 มิ.ย. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าประเทศไทย เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยผลสำรวจ เดือนม.ค. - พ.ค.ปี 2566 ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นบนหลายแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยว ทั้ง Agoda และ Klook สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสะสม 5 เดือน กว่า 10.6 ล้านคน สะท้อนศักยภาพด้านการท่องเที่ยวไทย และการดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล

โดย Agoda แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวระดับโลก เปิดเผยสถิติข้อมูลนักท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์มในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า การท่องเที่ยวโดยรวมของไทยฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่น จากการที่ไทยเปิดประเทศเร็ว โดยเฉพาะการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีน ประกอบกับ ไทยมีเที่ยวบินรองรับนักท่องเที่ยวเพียงพอ

ประเทศไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น และมีนักท่องเที่ยวเดินทางภายในประเทศมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 รองจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และมาเลเซีย

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีการจองเข้าพักบนแพลตฟอร์มมากที่สุดในโลก โดย Agoda เชื่อมั่นว่า กรุงเทพฯ สามารถพัฒนาเป็น ศูนย์กลางเทคโนโลยีของเอเชียได้ ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ และสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมที่ทำให้ไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

นายอนุชา กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กับ Klook แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย ในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดภายใต้แคมเปญ ‘Let Your Journey be THAI’ โดยส่งเสริมต่างชาติให้เดินทางมาเที่ยวไทย ผ่านการประชาสัมพันธ์ 5F Soft Power ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยว

โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติจองกิจกรรมในไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 1,200 จากช่วงเดียวกันของปี 2565 โดย ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และมาเลเซีย มีการจองกิจกรรมไทยบนแพลตฟอร์ม Klook มากที่สุดเป็น 5 อันดับแรก กิจกรรมยอดนิยม ได้แก่ ทัวร์แบบ Day trip กิจกรรมชมความสวยงามของเมืองไทย และสปา เป็นต้น

‘พงษ์ภาณุ’ มองเศรษฐกิจไทยเติบโตน่าพอใจ ภาคอสังหาฯ แนวโน้มสดใส ทั้งบ้านเดี่ยว-คอนโด

(25 มิ.ย. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้พูดคุย ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2566 โดยได้ให้มุมมองถึง เศรษฐกิจของประเทศไทยในเวลานี้ ซึ่งผ่านมาแล้วครึ่งปี การวิเคราะห์ในตัวเลขที่ผ่านมาครึ่งปีนั้น ส่งผลอย่างมากในการที่จะพยากรณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง
โดยนายพงษ์ภาณุมองว่า ...

เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตได้อย่างน่าพอใจ ที่ระดับใกล้ๆ 4% ต่อปี ทั้งนี้สำนักพยากรณ์ทั้งไทยและเทศยังไม่มีการปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 ช่วงกลางปี (mid year review) อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะมี downside risk อยู่มากมาย อาทิเช่น ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก การส่งออกขยายตัวได้ต่ำ และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ

การเติบโตในปีนี้ไม่เพียงแต่ได้รับการขับเคลื่อนจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังมาจากส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มมีแนวโน้มสดใสตั้งแต่กลางปีที่แล้ว โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยทั้งประเภทบ้านเดี่ยวและคอนโด ทั้งนี้แรงซื้อจากลูกค้าต่างชาติก็มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพปริมณฑลและเมืองหลักทั่วประเทศ หากมีการเปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้เพิ่มขึ้น ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปได้เป็นอย่างดี จึงขอฝากเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับรัฐบาลหน้าด้วย

ท่องเที่ยวเสียวหลัง บนเกาะช้างที่ ‘โรงแรมกาแลคซี่’ เรือร้างในมุมลับ กับตำนานเล่าขานแห่ง ‘ความหลอน’

เรือสำราญความสูง 7 ชั้นแห่งนี้ คือ ‘โรงแรมกาแลคซี่’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Koh Chang Grand Lagoona ปัจจุบันอยู่ในสภาพร้างไม่มีการประกอบกิจการแต่อย่างใด แต่เจ้าของก็ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมชมสภาพโรงแรมและเล่นน้ำทะเล พักผ่อนได้

โรงแรมเรือร้างสุดหลอนแห่งนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะเรียกกันติดปากว่า ‘Ghost Ship’ หรือว่า ‘เรือผี’ ซึ่งการเดินทางมาสถานที่แห่งนี้หากเริ่มต้นจาก ที่ท่าเรือเฟอร์รี่อ่าวสับปะรด ต.เกาะช้าง อ.เกาะช้าง จ.ตราด ต้องเลี้ยวขวาขับรถตามทางไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณ 27 กิโลเมตร จะพบกับจุดหมายปลายทาง โครงการ Koh Chang Grand Lagoona ซึ่งเป็นโรงแรมสุดท้ายของเกาะช้างฝั่งขวา

ค่าเข้าชมนั้น จะแบ่งเป็น 2 ประเภท ก็คือ เข้าชมพื้นที่โครงการ Koh Chang Grand Lagoona หรือเที่ยวชายหาดราคา 100 บาทต่อคน แต่หากต้องการเข้าชมโรงแรมเรือร้าง 7 ชั้น จะต้องจ่ายเพิ่มอีก 50 บาท สามารถเข้าชมได้ไม่จำกัดเวลา ไปได้ทุกชั้น

โดยชั้น 1-2 เป็นห้องประชุมและพื้นที่พนักงาน ชั้นที่ 3-5 เป็นห้องพัก ราว 200 ห้องบางห้องถูกล็อกไว้ บางห้องเปิดไว้ บางห้องอุปกรณ์ห้องพัก เช่น ทีวี ตู้เย็น น้ำดื่มผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว เครื่องเล่น ยังคงอยู่สภาพเดิม ชั้น 6-7 เป็นภัตตาคารเป็นห้องครัว นอกจากนี้สภาพภายในบางจุดชำรุด บางจุดยังใช้การได้ ซึ่งทุกจุดทั้งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ทุกห้องทุกชั้น

สำหรับโครงการ Koh Chang Grand Lagoona ตั้งอยู่ที่หาดคลองกลอย ต.เกาะช้างอ.เกาะช้าง จ.ตราด ได้เริ่มโครงการเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในสมัยที่เกาะช้างกำลังได้รับความสนใจ เป็นโรงแรมระดับไฮเอนด์ โดยตัวโรงแรมนั้นออกแบบจำลองเรือสำราญลำใหญ่ให้เป็นที่พักสุดหรู ในสมัยนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก กระทั่งเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้มีการเปลี่ยนผู้บริหารหลายครั้ง ประกอบกับเคยมีผู้ที่พลัดตกจากโรงแรมเรือ 7 ชั้นเสียชีวิต ทำให้มีการเล่าขานต่อ ๆ กันมาถึงความน่ากลัว ความหลอน กระทั่งสุดท้ายก็ได้ปิดตัวลงอย่างถาวร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top