Tuesday, 14 May 2024
ท่องเที่ยว

สมาคมหนังสือพิมพ์เวียดนามให้การต้อนรับคณะสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย ในการแลกเปลี่ยน วัฒนธรรม ข่าวสาร และ การท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สนพท.)โดยนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมฯได้นำคณะกรรมการบริหารและที่ปรึกษาฯ จำนวน 9 คน ประกอบด้วยนางวิลาสินี เจริญสุข เลขาธิการฯ,นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ อุปนายก ,นายนพดล แสงวิลัย,นายชัชวาล คำไท้ ,นายณรงค์ ภัยกำจัด กรรมการบริหาร ,นางอารยา ณ วงศ์ดี ผช.เลขาธิการ ,นายบุญสืบ แก้วกล้า และนายนิรุทธ์ ลี้ปัทมากุล 2 ที่ปรึกษาสมาคมฯ ซึ่งเป็นนักธุรกิจ นำเข้า-ส่งออก สินค้า

คณะของ สนพท, เดินทางโดยสายการบินไทยจากสนามบินสุวรรณภูมิมายังสนามบินโหน่ยบ่าย กรุงฮานอย เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม โดยมีนาย บุย ง็อก กวาง นายกสมาคมนักข่าวนิญบิ่ญ (ninh Binh) และคณะกรรมการสมาคมฯให้การต้อนรับ ก่อนที่จะนำคณะของ สนพท.เดินทางไปยังเมืองซาปา จังหวัดลาวกาย ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของเวียดนามตอนเหนือติดชายแดนประเทศสาธรณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้คณะของ สนพท.ได้สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองท่องเที่ยว เป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว โดยเดินทางไปชมความสวยงามของทิวทัศน์ด้วยการนั่งกระเช้าไฟฟ้าสู่ยอดเขาฟานซีปัน และเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาวบนสกายวอล์คที่สวยงามและอลังการ ซึ่งทั้งยอดเขาฟานซีปันและสกายวอล์ค เป็นสถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวจากประเทศต่าง โดยเฉพาะคนไทยเดินทางไปเที่ยวเป็นจำนวนมาก 2 คืนที่เมืองซาปา ทำให้คณะของ สนพท.ได้สัมผัสกับบรรยากาศการท่องเที่ยว การแสดงของชนเผ่า ที่เป็นวัฒนธรรมของเมืองซาปาและได้ลิ้มรสอาหารพื้นเมือง เป็นการแลกเปลี่ยนข่าวสารวัฒนธรรมของทั้งสองสมาคมอย่างใกล้ชิด

หลังจากนั้นในวันที่ 22 ตค,คณะของ สนพท.ก็ได้เดินทางออกจากเมืองซาปามายังจังหวัดนิญบิ่ญ โดยเข้าพักโรงแรม BAI DINH ซึ่งเป็นโรงแรมที่รัฐบาลเวียดนามใช้ในการต้อนรับแขกบ้าน แขกเมือง  และได้เลี้ยงรับรองอาหารเย็นคณะ สนพท.ก่อนที่จะนำไปเยี่ยมชมและไหว้พระที่เจดีย์ไบดิงห์ ซึ่งมีพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ และมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ ณ ยอดเจดีย์ชั้นสูงสุด

วันที่ 23 ต.ค.คณะเจ้าภาพจากสมาคมนักข่าวนิญบิ่ญ ได้นำคณะของ สนทพ.ไปล่องเรือเพื่อชมทิวทัศน์ตรังอัน( TRANG AN) หรือที่คนไทยเรียกว่า "ฮาลองบก"ที่สวยงาม และตอนบ่ายวันเดียวกันได้นำคณะของ สนพท.ล่องเรือชมทิวทัศน์ตามก๊อก-บิชดง (TAM COC -  BICH DONG )  สร้างความตื่นตาตื่นใจและประทับใจแก่คณะ สนพท.เป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นได้เข้าพักที่โรงแรม THE REED HOTEL นายกสมาคมนิญบิ่ญ พร้อมคณะกรรมสมาคมฯได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่คณะของ สนพท.ส่วนในวันที่ 24 ต.ค. คณะเจ้าภาพจะได้นำคณะของ สนพท.เดินทางไปเยี่ยมชมอาสนวิหารพัทเดียม (PHAT DIEM STONG CATHEDRAL ) และตอนเย็นจะไปเยี่ยมชมเมือง tUYET TiNH COC และเมืองหลวงโบราณ HOA  LO

โดยในวันที่ 25 ต.ค. คณะเจ้าภาพจะได้นำคณะของ สนพท.เดินทางไปยังจังหวัดฮานาม ซึ่งนายกสมาคมนักข่าวจังหวัดฮานาม จะทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพให้การต้อนรับ และนำคณะไปเยี่ยมชมเจดีย์ TAM CHUC ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมีความเก่าแก่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของ จังหวัดฮานาม ในในตอนเย็นจะได้มีการสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างสมาคมทั้งสามสมาคม เพื่อประโยชน์ในการเดินทางมาเยือนในครั้งนี้

กรุ๊ปไกด์จอร์เจีย ตีแผ่!! นทท.ไทย เริ่มโดนปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ หวั่น!! แอบหนีเข้าไปทำงาน พร้อมเผย 'จอร์เจีย' ไม่น่าเที่ยวเหมือนเก่า

(24 พ.ย.66) แหล่งข่าวจากไกด์ท่านหนึ่งในจอร์เจีย ได้เปิดเผยว่า เริ่มมีดรามาในกรุ๊ปจอร์เจีย เหตุเกิดจากนักท่องเที่ยวโดนปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ 

นั่นก็เพราะคนไทยหนีเข้าไปทำงานแบบผิดกฎหมายกันเป็นจำนวนมาก ช่วงนี้เลยโดนเพ่งเล็ง โดยส่วนใหญ่คนที่โดน จะพบเหตุผลเหมือนกันคือ แลกเงินมาน้อยเกินไป เช่น 300USD/EUR สำหรับเที่ยว 1 อาทิตย์

ไกด์ดังกล่าว เผยต่ออีกว่า จอร์เจียเริ่มไม่น่าเที่ยวเหมือนเมื่อก่อน เข้าประเทศยากขึ้น ค่าใช้จ่ายหลายอย่างขึ้นราคาแบบแพงมาก ถนนไป Juta ที่พังเป็นปีจนตอนนี้ก็ยังไม่ซ่อม ไว้มีตั๋วไปสวิตฯ ราคางามๆ จะพาไปเที่ยวสวิตฯ แทน

"ใครมีแพลนไปช่วงนี้ก็แลกเงินไปเผื่อเยอะๆ หน่อย ถ้าไม่ได้เข้าประเทศคงเซ็งน่าดู กลายเป็นมีประวัติโดนปฏิเสธติดตัวไปอีก

"ส่วนทริปสเปนทำเสร็จแล้ว เป็นทริป 3 ประเทศ ฝรั่งเศส อันดอร์ร่า สเปน แต่ค่าใช้จ่ายแรงเหมือนกัน ลังเลอยู่ว่าจะเปิดทริปดีมั้ย..."

สตม. มอบเทียนกระทงน้อยกระตุ้นท่องเที่ยว เปิดแผนลอยกระทงสุวรรณภูมิ

ตามนโยบายนายกรัฐมนตรีที่เร่งกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศโดยได้มีการลดเงื่อนไขการขอวีซ่าเข้าประเทศไทย สําหรับนักท่องเท่ียว สัญชาติจีน อินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน ในช่วงเดือนท่ีผ่านมาโดยคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดิน ทางเข้ามาเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยเป็นจํานวนมาก ซึ่งสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองได้จัดทํามาตรการในการ สนองตอบตามนโยบายดังกล่าวโดยเฉพาะการเร่งปรับปรุงการอํานวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองภายใต้หลัก ความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง

วันนี้ (24 พ.ย.66) พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย รอง ผบช.สตม. ได้มาเป็นประธานปล่อย แถวกําลังพล ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ที่อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมี พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัดกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 เข้าร่วมพิธี

ซึ่งการปฏิบัติตามแผนดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามแผนการอํานวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองในช่วง เทศกาลลอยกระทง 2566 โดยจะมีการปฏิบัติในช่วงวันที่ 24 – 28 พ.ย.2566 ซึ่งคาดการว่าจะมีนักท่องเที่ยว เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงเวลาดังกล่าวจํานวนกว่าวันละ 50,000 คน

โดยสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองได้มีมาตรการในการเตรียมความพร้อมรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทาง เข้ามาในประเทศไทยทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ที่สําคัญ ดังนี้
1. จัดกําลังพลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ เข้าเสริมกําลังพลที่ขาดแคลนกว่า 150 นาย
2. มีการจัดกําลังพลให้เต็มอัตรากําลังทุกช่องตรวจในช่วงที่มีเที่ยวบินลงพร้อมกันหนาแน่น เพื่อเร่งระบาย
ปริมาณผู้โดยสารที่สะสมในโถงพักรอให้ได้ภายใน 30 นาที
3. รับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่อาสาจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ช่วยให้คําแนะนําและจัดเตรียมเอกสารให้แก่
ผู้โดยสารรอรับการตรวจหนังสือเดินทาง เพื่อลดระยะเวลาระหว่างตรวจหนังสือเดินทางไม่เกิน 45 วินาที/คน

ทั้งนี้ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. ได้มอบอาหารสําเร็จรูปและเครื่องดื่มแก่กําลังพลเพื่อเป็น ขวัญกําลังใจ และมอบของที่ระลึกเป็นเทียนรูปกระทงให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในช่วงเทศกาล ลอยกระทงเป็นที่ระลึก ช่วยสร้างสีสันและบรรยากาศที่น่าชื่นชมแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา

'อินฟลูฯ ลาว' เคลียร์ประโยค "เวียงจันทน์ก็แค่ปากซอย" ให้คนลาวรู้ ที่แท้ 'คนไทย' เชิญชวนให้ไปเที่ยว มิใช่การเหยียดตามการตีความผิดๆ

หลังจากกรณีดรามา 'ไทย-ลาว' เกี่ยวกับประเด็นคำพูดของผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ 'พระราม เดินดง' ที่ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพประตูชัย ว่า... "เวียงจันทน์ก็แค่ปากซอย" ลงกลุ่ม 'เที่ยวลาว ด้วยตัวเอง' จนเกิดเป็นกระแสดรามาในหมู่คนลาวขึ้นมาทันที เพราะชาวลาวบางกลุ่มตีความว่า เป็นคำพูดดูถูกประเทศลาว ไม่เจริญ มีความเจริญน้อยเหมือนแค่ปากซอยหน้าบ้าน ไม่ได้เข้าไปในตัวเมือง"

ล่าสุด (13 ธ.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ເຮົາຄົນລາວ ຮັກແພງກັນເດີ່' ได้ออกมาแจงแก่พี่น้องชาวลาวที่เข้าใจผิดกับประโยคดังกล่าว ว่า...

"ปากซอยหมายความว่า ใกล้ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบเชิงอุปมาอุปมัย และเจตนาของคนไทยที่กล่าวประโยคนี้ คือ การเชิญชวนไปเที่ยวลาว ซึ่งอยู่ใกล้ไทยแค่นี้ สามารถไปเที่ยวเมื่อไรก็ได้ สามารถไปเที่ยวเวียงจันทน์ได้ง่าย ๆ มิใช่การต่อว่าหรือดูถูกประเทศลาวแต่อย่างใด"

ทึ่ง!! ‘หนุ่มกระบี่’ ขี่มอเตอร์ไซค์จากไทยไปยุโรป 1.8 หมื่นกิโล ใช้เวลาเดินทาง 1 เดือน 17 วัน กับค่าน้ำมัน 6 หมื่นบาท

(18 ธ.ค.66) ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่ง โพสต์คลิปพร้อมระบุข้อความว่า “เดินเล่นอยู่ยุโรปก็ได้เจอทะเบียนรถประเทศไทยรีบเข้าไปทักทายเลยค่า ดีใจมาก ๆ เวลาไปเที่ยวต่างประเทศแล้วเจอคนไทยหรือได้ยินภาษาไทย” และ “เจอพี่คนไทยขับรถจากไทยมายุโรป 18,000 กิโล!!”

ซึ่งในคลิปเป็นภาพที่เจ้าของคลิปกำลังเดินเล่นอยู่ และพบว่ามีรถมอเตอร์ไซค์แนวแอดแวนเจอร์ (Adventure) ยี่ห้อ BMW ป้ายทะเบียนกระบี่ ประเทศไทย จอดในสถานที่แห่งหนึ่งในยุโรป จึงเดินเข้าไปสอบถามและพูดคุย ซึ่งเจ้าของมอเตอร์ไซค์ได้ให้ข้อมูลว่า ตนขี่มอเตอร์ไซค์มาจากไทยและขี่มาเรื่อย ๆ จนถึงยุโรป ซึ่งตนเดินทางมาเป็นเวลา 1 เดือน 17 วันแล้ว!!

โดยล่าสุดได้เจอวาร์ปเจ้าของมอเตอร์แล้ว ซึ่งเจ้าของมอเตอร์ไซค์นั้นให้ข้อมูลว่า ตนเป็นคนกระบี่ ขี่มอเตอร์ไซค์โดยใช้เส้นทาง “ไทย ลาว จีน คาซัคสถาน รัสเซีย จอเจีย ตุรกีย์ กรีซ บัลแกเรีย นอร์ทมาเซโดเนีย อัลแบเนีย โคโซโว มอนเตรเนโกร เซอเบีย บอสเนีย โครเอเชีย สโลวาเนีย”

พร้อมกับระบุว่า ค่าน้ำมันที่เสียไปตอนนี้อยู่ในราคา 60,000 บาทแล้ว!

‘ถ้ำหลวงฯ’ เตรียมเก็บค่าเข้าคนไทย 950 ต่างชาติ 1,500 โซเชียลรุม!! “ราคาแพงเกิน แถมกิจกรรมก็ไม่เยอะ”

(18 ธ.ค. 66) จากกรณีอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เปิดให้ท่องเที่ยวบริเวณโถงที่ 2 และ 3 หลังจากปิดการท่องเที่ยวบริเวณดังกล่าวจากเหตุการณ์ภารกิจช่วยเหลือทีมฟุตบอลเยาวชนหมูป่า เมื่อปี 2561

สำหรับการเปิดสถานที่ท่องเที่ยวสายผจญภัย ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ในโถงที่ 2 และ 3 นักท่องเที่ยวสามารถจองคิวผ่านเพจอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน หรือเว็บไซต์กรมอุทยานฯ โดยเปิดให้ท่องเที่ยวแบบกรุ๊ป ไม่เกิน 10 คน ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ คอยดูแลตลอดทาง

ค่าบริการของนักท่องเที่ยวชาวไทย คนละ 950 บาท นักท่องเที่ยวต่างชาติ คนละ 1,500 บาท ยังไม่รวมค่าอุปกรณ์ และค่าประกัน โดยจะเปิดบริการให้เข้าถ้ำในโถง 2 และ 3 วันละ 2 รอบ ใช้เวลารอบละประมาณ 2.30 ชั่วโมง

จากนั้นมีหลายคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลจำนวนมาก ถึงราคาค่าบริการ โดยหลายคนแสดงความคิดเห็นว่า ราคาแพงเกินไป เพราะกิจกรรมไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แต่ก็มีบางส่วนบอกว่า ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามโอกาส

โดยรายละเอียดกิจกรรมจากทางอุทยานฯ ถ้ำหลวง มีดังนี้ รูปแบบการท่องเที่ยว เป็นการท่องเที่ยวในเส้นทางของถ้ำหลวง เริ่มต้นตั้งแต่ปากถ้ำ จนถึงโถงที่ 3 ของถ้ำหลวง มีระยะทางรวมประมาณ 700 เมตรจากปากถ้ำ ใช้เวลาในการเดินทางราว 2-3 ชั่วโมง

เส้นทางดังกล่าวนักท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น เช่น เดินตามพื้นถ้ำที่มีหินถล่ม มุดลอดรู ปีนป่ายก้อนหินขนาดใหญ่ เป็นต้น และ ตลอดเส้นทางจะพบกับประติมากรรมถ้ำ ได้แก่ หินย้อย ม่านหินย้อย หลอดหินย้อย นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังจะได้รับความประทับใจจากประสบการณ์ย้อนรอย 13 หมูป่า

สำหรับการจองนั้น จะต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 อาทิตย์ (7 วันทำการเท่านั้น) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ให้จองในช่องทางเพจในเฟซบุ๊กชื่อ ‘อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน’ และเว็บไซต์สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยในช่วงแรกเปิดให้เที่ยวชมเฉพาะในวันอังคาร พุธ และพฤหัสบดี เท่านั้น และสิ่งที่จะได้คือ กระเป๋า ผ้าบัฟ ถุงมือ สกรีนโลโก้ถ้ำหลวง ประกันอุบัติเหตุ

ภายหลังกระแสวิจารณ์ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ออกมาเปิดเผยว่า เกี่ยวกับการตั้งราคา สำหรับการเข้าไปในพื้นที่ถ้ำหลวงนั้น มีการปรึกษากันหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายจอร์ช แบรชลีย์ นักประดาน้ำชาวอังกฤษผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในภารกิจช่วยทีมนักฟุตบอลหมูป่าจากถ้ำหลวง ที่ให้คำแนะนำว่า พื้นที่ถ้ำหลวง เป็นพื้นที่ที่มีคุณค่า เป็นพื้นที่พิเศษ เสี่ยงอันตรายสำหรับการเข้าไป ต้องมีอุปกรณ์พิเศษ และอาศัยทีมที่เชี่ยวชาญสำหรับการนำทางเข้าไป โดยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องการจะเดินทางมา ซึ่งราคา 1,500 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ 950 บาท สำหรับคนไทยนั้น ถือว่าไม่สูง

“สำหรับ ราคา 950 บาท ที่กำหนดไว้เป็นค่าเข้าไปชมในถ้ำนั้น อุทยานฯ ไม่ได้นำเข้าเป็นรายได้ของอุทยานทั้งหมด แต่แบ่งเป็น 1. ให้บุคคลากรนำเที่ยว 500 บาท ซึ่งแบ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญและผู้ช่วย 350 บาท เจ้าหน้าที่กู้ภัย 2 คน ๆ 100 บาท และผู้นำเที่ยวท้องถิ่น 50 บาท 

2.นำเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่า และเจ้าหน้าที่ ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตของกรมอุทยานฯ 150 บาท และ 3.นำเข้ากองทุนสวัสดิการถ้ำหลวง 300 บาท ซึ่ง จะนำไปใช้ เป็นสวัสดิการของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ในถ้ำและบริเวณด้านนอกที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ค่าประกันชีวิตเจ้าหน้าที่และ บุคคลากรนำเที่ยว เป็นต้น” นายอรรถพล กล่าว

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่บริเวณ โถงที่ 1 ซึ่งมีระยะทาง 200 เมตร ของถ้ำหลวงนั้น ประชาชนยังสามารถเข้าเที่ยวชมได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และ โถงที่ 2 และ3 เนื่องจากเป็นพื้นที่พิเศษ ต้องมีคนนำทาง ประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปคนเดียวได้

'รมว.ปุ้ย' ขานรับ Soft Power สั่ง สมอ. ออกประกาศมาตรฐานท่องเที่ยว 6 ด้าน ดันผู้ประกอบการฯ ช่วยกันกระตุ้นคุณภาพการให้บริการแก่ นทท.

(18 ธ.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้เข้าประเทศ ถือเป็น Soft Power ด้านหนึ่งของประเทศไทย โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม 2566 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว สะสมรวมกว่า 1.045 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 613,030 ล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทย 432,194 ล้านบาท ตนจึงเร่งรัดให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดทำมาตรฐานที่ตอบโจทย์และรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลกที่เน้นคุณภาพ 

โดย สมอ. เตรียมประกาศมาตรฐาน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว จำนวน 6 เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวสถานที่ธรรมชาติ, วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ รวมทั้งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ภายในเดือนธันวาคมนี้ หากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวนำมาตรฐานดังกล่าวไปใช้เป็นแนวทาง จะทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการ และนำไปสู่การกระจายรายได้ให้แก่ชุมชน และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. เตรียมประกาศมาตรฐาน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว จำนวน 6 เรื่อง ภายในเดือนธันวาคมนี้ โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบการจัดการต่างๆ ภายในหน่วยงาน และเป็นมาตรฐานภาคสมัครใจที่ผู้ประกอบการนำไปใช้ได้โดยไม่ได้มีกฎหมายบังคับ ได้แก่...

1) มาตรฐานการเยี่ยมชมสถานที่ทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับผู้ให้บริการสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการท่องเที่ยวเชิงอุตสาหกรรม โดยพนักงานและไกด์นำเที่ยวต้องมีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ สามารถจัดเตรียมข้อมูลในการท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง รวมถึงมีแผนรองรับเหตุฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว 

2) มาตรฐานการดำเนินงานเกี่ยวกับชายหาด เป็นมาตรฐานสำหรับผู้ดูแล ผู้ประกอบการริมชายหาด และผู้ใช้บริการ โดยต้องมีการสร้างอาคาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยว มีการเตรียมการด้านสุขภาพและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว มีการดูแลความสะอาดของชายหาด รวมถึงมีแผนรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น  

3) มาตรฐานโรงแรมย้อนยุค เป็นมาตรฐานสำหรับเจ้าของกิจการโรงแรม นำไปใช้เป็นแนวทางในการให้บริการนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรมย้อนยุค โดยเน้นที่ความเข้ากันของอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ และรูปแบบการให้บริการของโรงแรมที่ตรงตามยุคสมัยนั้นๆ 

4) มาตรฐานร้านอาหารแบบดั้งเดิม เป็นมาตรฐานการให้บริการด้านอาหารในรูปแบบดั้งเดิม ได้แก่ รูปลักษณ์ภายนอก การผสมผสานทางวัฒนธรรม และการให้บริการที่สอดคล้องกับรูปแบบของร้าน เช่น การจัดสถานที่ อุปกรณ์ การจัดโต๊ะอาหาร การออกแบบรายการอาหาร เป็นต้น รวมทั้งต้องมีการรักษาความสะอาดของอาหาร อุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความปลอดภัยด้วย 

5) มาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เป็นมาตรฐานการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการรักษาทางการแพทย์ สำหรับผู้อำนวยความสะดวกและผู้ให้บริการสามารถใช้เป็นแนวทางในการให้บริการอย่างมีคุณภาพและเป็นไปตามความคาดหวังของนักท่องเที่ยว โดยผู้ให้บริการต้องมีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์ และมีความรู้ด้านการเดินทางและดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละช่วงเวลาการรักษา เพื่อให้การบริการมีความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว 

6) มาตรฐานการบริการนักท่องเที่ยวเพื่อสาธารณะประโยชน์โดยหน่วยงานคุ้มครองพื้นที่คุ้มครองธรรมชาติ เป็นมาตรฐานสำหรับอุทยานหรือหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่คุ้มครองทางธรรมชาติในการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว โดยเน้นการอนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองธรรมชาติ และสร้างความพึงพอใจแก่นักท่องเที่ยว เป็นแนวทางในการจัดเตรียมกิจกรรม ข้อมูลและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างเหมาะสม และมีความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว โดยไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนรอบข้างและสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีการจัดการขยะต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวอย่างถูกต้องด้วย ซึ่งมาตรฐานทั้ง 6 เรื่องนี้ จะประกาศใช้ภายในเดือนธันวาคมนี้ ผู้ประกอบการสามารถนำมาตรฐานดังกล่าวไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานได้ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย และเป็นแรงผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลกได้ต่อไป

‘มาคาเลียส’ ชี้!! ‘ท่องเที่ยว’ ช่วงปีใหม่ในไทยคึกคัก ที่พัก-เรือสำราญริมเจ้าพระยาจองเต็มคืนเคาท์ดาวน์

(19 ธ.ค.66) ​มาคาเลียส แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย ชี้ตลาดท่องเที่ยวสิ้นปีคึกคัก ที่พักหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่-เขาใหญ่-พัทยา-ภูเก็ต จองเต็มแน่น โดยเฉพาะที่พักกทม. ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและกิจกรรมล่องเรือดินเนอร์ถูกนักท่องเที่ยวไทย-เทศ จองคืนเคาท์ดาวน์เพื่อดูพลุเต็มตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2566 แนะผู้ประกอบการอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาเกินความพอดี ภาครัฐควรเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยคุ้มครองนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างชื่อท่องเที่ยวไทยให้กลับมาโดยเร็ว

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย จำกัด (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย กล่าวว่า "ประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เป้าหมายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่และการจัดกิจกรรมเคาท์ดาวน์ที่กำลังจะมาถึงนี้ ส่งผลให้ที่พักตามหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เขาใหญ่ พัทยา และจังหวัดภูเก็ต มียอดจองเต็มแน่นเกือบ 100% รวมถึงกรุงเทพฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งที่พักบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้รับความนิยมสูงมากเป็นพิเศษจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงกิจกรรมล่องเรือดินเนอร์บนแม่น้ำเจ้าพระยาในคือวันสิ้นปีมียอดจองแน่นตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2566 เพื่อมาร่วมเฉลิมฉลองกับครอบครัวและมาร่วมชมความงดงามของการแสดงพลุ บริเวณไอคอนสยาม ซึ่งถือเป็น Global Countdown Destination ของประเทศไทย และได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นจุดดูพลุที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเทียบเท่ามหานครอื่นๆ ทั่วโลก

​ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจท่องเที่ยว อีกทั้งเป็นช่วงสร้างชื่อเสียง สร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้กลับมาโดยเร็ว ดังนั้น ภาคส่วนสำคัญอย่างผู้ประกอบการทั้งโรงแรมที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวจำเป็นต้องรักษามาตรฐานคุณภาพ ไม่อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวเอาเปรียบนักท่องเที่ยวด้วยการขึ้นราคาเกินความพอดี รวมถึงภาครัฐบาลจำเป็นต้องเข้มงวดเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อปกป้องดูแลนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในคืนเคาท์ดาวน์ เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีผู้คนออกมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ด้านระบบขนส่งสาธารณะจำเป็นต้องขยายเวลาและเพิ่มจำนวนรถโดยสารเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง”

ตม.สนามบิน สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว ปล่อยแถวต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่ 2567

ตามที่นายกรัฐมนตรีมีนโยบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย
แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยให้หน่วยงานความมั่นคงดำเนินการเชิงรุกสนองตอบตามนโยบายดังกล่าว

เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค.66) พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย รอง ผบช.สตม.ได้มาเป็นประธานประชุมแถวกำลังพล ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ที่อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมี พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัดกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 เข้าร่วมพิธี

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้จัดทำมาตรการในการรองรับการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองภายใต้หลักความมั่นคง ซึ่งป็นการปฏิบัติตามแผนอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองในช่วงเทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่ 2567 
โดยจะมีการปฏิบัติในช่วงวันที่ 24 ธ.ค.66 – 1 ม.ค.67 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในช่วงเวลาดังกล่าว จำนวนกว่าวันละ 70,000 คน

โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้มีมาตรการในการเตรียมความพร้อมรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทาง
เข้ามาในประเทศไทยทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ทาอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ที่สำคัญ ดังนี้
1. มีการจัดกำลังพลเต็มอัตราทุกช่องตรวจในช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่น เพื่อเร่งระบายผู้โดยสารที่สะสม
ในโถงพักคอยให้ได้ภายในเวลา 30 นาที
2. รับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่อาสา เพื่อจัดเตรียมเอกสารและให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยว เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจหนังสือเดินทางไม่เกิน 45 วินาที/คน
3. เพิ่มศักยภาพในการระบายผู้โดยสารโดยมีการเปิดใช้เครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ Automatic channel นำร่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. ได้มอบของที่ระลึกเป็นสเปรย์แอลกอฮอลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในช่วงวันหยุดยาว เป็นที่ระลึกเพื่อสร้างความประทับและสร้างสีสันให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา

10 อันดับ 'เส้นทางระหว่างประเทศ' ที่มีผู้โดยสารหนาแน่นมากที่สุดในโลก

✈🇹🇭กรุงเทพฯ ติดอันดับ 10 เส้นทางระหว่างประเทศที่หนาแน่นที่สุดในโลก 2 อันดับ

โดย OAG บริษัทให้บริการด้านข้อมูลการบินระดับโลก เปิดเผยเส้นทางระหว่างประเทศที่หนาแน่นที่สุดประจำปีนี้ โดยคิดจากจำนวนที่นั่งของทุกสายการบินรวมกัน (Capacity) มี 10 อันดับดังนี้

1. กัวลาลัมเปอร์ - สิงคโปร์ 4,891,952 ที่นั่ง
2. ไคโร - เจดดาห์ 4,795,712 ที่นั่ง
3. ฮ่องกง - ไทเป 4,568,280 ที่นั่ง
4. โซล - โอซาก้า 4,218,484 ที่นั่ง
5. โซล - โตเกียว 4,155,418 ที่นั่ง
6. ดูไบ - ริยาด 3,990,076 ที่นั่ง
7. จาการ์ตา - สิงคโปร์ 3,910,502 ที่นั่ง
8. นิวยอร์ก - ลอนดอน 3,878,590 ที่นั่ง
9. กรุงเทพ - สิงคโปร์ 3,478,474 ที่นั่ง
10. กรุงเทพ - โซล 3,362,968 ที่นั่ง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top