Tuesday, 14 May 2024
ท่องเที่ยว

‘ไทย’ คว้าอันดับ 63 ‘พาสปอร์ตทรงอิทธิพล’ 2024 อันดับดีขึ้นจากปีก่อน ส่วนอันดับ 1 ครองร่วม 6 ชาติ

(11 ม.ค. 67) ‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 63 ในการจัดอันดับดัชนีพาสปอร์ตของเฮนลี่ย์ (Henley Passport Index) ประจำปี 2567 โดยขยับขึ้นจากอันดับ 64 ในปี 2566 และ 70 ในปี 2565

โดยปัจจุบันพาสปอร์ตของไทยสามารถใช้เดินทางสู่จุดหมายต่าง ๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ทั้งสิ้น 82 จุดหมายปลายทาง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย ตุรกี อิรัก และบราซิล ซึ่งเพิ่มจาก 79 ประเทศในปีที่แล้ว

ขณะที่อันดับ 1 ในปีนี้เป็นการครองอันดับร่วมกันถึง 6 ประเทศด้วยกันคือ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 4 ประเทศ ได้แก่ ‘ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน’ ซึ่งครองอันดับหนึ่งร่วมกับ ‘ญี่ปุ่น’ และ ‘สิงคโปร์’ ขึ้นแท่นพาสปอร์ตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

พลเมืองของประเทศเหล่านี้สามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้มากถึง 194 แห่งจาก 227 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะญี่ปุ่นและสิงคโปร์นั้น ครองอันดับ 1 ในดัชนีดังกล่าวมา 5 ปีแล้ว

ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวจัดอันดับหนังสือเดินทางทั่วโลก โดยประเมินตามจำนวนจุดหมายปลายทางที่ผู้ถือหนังสือเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า

ทางด้านเจ้าของสมญานามเสือเอเชียอย่าง ‘เกาหลีใต้’ ตามมาเป็นอันดับ 2 ร่วมกับ ‘ฟินแลนด์’ และ ‘สวีเดน’ ซึ่งสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า 193 แห่ง

ส่วนอีก 4 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปอย่าง ออสเตรีย เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ครองอันดับ 3 โดยสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ ได้ 192 แห่ง

ขณะที่อันดับที่เหลือใน 10 อันดับแรกส่วนใหญ่ตกเป็นของประเทศในแถบยุโรป โดยพาสปอร์ตของ ‘สหราชอาณาจักร’ ไต่ขึ้นสองอันดับมาอยู่ที่อันดับ 4 ซึ่งสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 191 แห่ง เทียบกับเพียง 188 แห่งในปีที่แล้ว

ผู้ถือหนังสือเดินทางของ ‘ออสเตรเลีย’ และ ’นิวซีแลนด์’ ต่างไต่ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 6 ซึ่งสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 189 แห่ง ส่วนหนังสือเดินทางของ ‘สหรัฐ’ ยังรั้งอันดับ 7 โดยสามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ได้ 188 แห่งโดยไม่ต้องขอวีซ่า

ทั้งนี้ นับมาเป็นเวลาถึงหนึ่งทศวรรษแล้วนับตั้งแต่ที่สหราชอาณาจักรและสหรัฐร่วมกันครองอันดับ 1 ในดัชนีดังกล่าวเมื่อปี 2557

สำหรับ 10 ชาติในกลุ่มประเทศ ‘อาเซียน’ นั้น นำโดยสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ไทย และอินโดนีเซีย 

'สุดาวรรณ' ประกาศพลิกโฉมท่องเที่ยวและกีฬาไทยในปี 2567

'สุดาวรรณ' ประกาศเป้าหมายการทำงานปี 2567 สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท เพิ่มส่วนแบ่งมูลค่ากีฬาไทยให้ได้ 1% ของอุตสาหกรรมกีฬาโลก คิดเป็น มูลค่า 455,800 ล้านบาท วาง 7 นโยบายขับเคลื่อนท่องเที่ยวและกีฬา ใช้ซอฟต์พาวเวอร์เป็นขุมพลังใหม่

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในปี 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอประกาศนโยบายที่สำคัญที่จะ “พลิกโฉมการท่องเที่ยว และกีฬาของไทย” ด้วยการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท และเพิ่มส่วนแบ่งมูลค่ากีฬาไทยที่มีเพียง 0.58% ในขณะนี้ให้เป็น 1% จากอุตสาหกรรมกีฬาโลกที่มีขนาด 45.58 ล้านล้านบาท คิดเป็นมูลค่า 455,800 ล้าน บาทให้ได้

“เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มอบนโยบายให้หัวหน้าส่วนราชการทุกหน่วยงานในสังกัด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแล้ว มีความมุ่งมั่นและตั้งใจว่าในปี 2567 เราจะเติบโต ไปพร้อมๆ กัน จับมือไปด้วยกันกับทุกภาคส่วน ดิฉันจะเน้นการบูรณาการกับทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ จะพูดจากันมากขึ้น บูรณาการกันมากขึ้น เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้อย่างว่องไว” สำหรับนโยบายที่กระทรวงฯ จะขับเคลื่อนในปี 2567 มี 7 นโยบายหลักๆ นโยบายแรก คือ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปี 2567 จากเชิงปริมาณเข้าสู่โหมดของคุณภาพ ทั้งมิติของในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องการให้บรรยากาศการท่องเที่ยวของประเทศไทยคึกคักตลอดทั้งปี ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทย“

“ประเทศไทยต้องมี High season on year round tourism destination คือ เที่ยวได้ทั้งปี หรือเที่ยวได้ ทั้ง 365 วัน จึงได้เตรียม Event ต่างๆ ไว้มากมาย อาทิ เทศกาลตรุษจีน เทศกาลสงกรานต์ ที่จะจัดให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี เพราะยูเนสโก้เพิ่งประกาศขึ้นทะเบียนให้สงกรานต์ในประเทศไทย เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ จึงต้องยกระดับกิจกรรม Event ต่างๆ ในระดับชุมชนให้เป็น Event ในระดับนานาชาติ เป็นการกระตุ้นการไปท่องเที่ยวเมืองรอง จะทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาตลาดเดิม และเจาะตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ๆ ได้ต่อเนื่อง”

นโยบาย 2 กระทรวงฯจะใช้ Soft Power เป็นพลังในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการกีฬาของประเทศไทยให้เป็น “Engine the New Power” และจุดเด่นของ Soft Power ก็จะมีในเรื่องของกีฬาเข้ามาเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนด้วยและเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศไทยในสายตาชาวโลกที่สำคัญ และเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน demand ของการท่องเที่ยวและการกีฬาได้เป็นอย่างดี

นโยบายที่ 3 ประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยทั้ง Hospitality และ Safety โดยต้องทำให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นว่า “เมืองไทยปลอดภัย” มาแล้วได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ต้องเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายและปราบปรามการเอาเปรียบ หลอกลวงนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยของเรา

นโยบายที่ 4 เรื่อง Responsibility เราต้องทำให้การท่องเที่ยวนั้นยั่งยืน ซึ่งเรื่องนี้ เป็นนโยบายที่พูดกันมานานแล้ว แต่ในปี 2567 จะนำเรื่องนี้มาขับเคลื่อนให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นจริงๆ การท่องเที่ยวจะยั่งยืนได้ต่อเมื่อ “ท้องถิ่น” ต้องมาร่วมขับเคลื่อนด้วยกัน

นโยบายที่ 5 จะใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการกระชับความสัมพันธ์ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสานต่อนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการเดินทางเชื่อมโยงภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ปลายเดือนนี้ จะมีประเด็นพูดคุยที่สำคัญคือ ASEAN Connect ที่จะทำให้เกิดการเดินทางเชื่อมโยงทางอากาศ ทางน้ำ และทางบก

นโยบายที่ 6 มีนโยบายที่จะขับเคลื่อนด้านกีฬาพื้นฐาน โดยวางระบบการพัฒนาทั่วประเทศเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริม พัฒนาการการออกกำลังกายและการเล่นกีฬา ทุกคนสามารถออกกำลังกายเป็นวิถีชีวิต สามารถเข้าถึงกีฬาได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งคนทั่วไป ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งจะมีการส่งเสริมกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ กีฬาเพื่อการอาชีพที่จะต้องพัฒนากีฬาทุกระดับและบุคลากร รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และนำวิทยาศาสตร์การกีฬามาเพิ่มสมรรถนะให้กับนักกีฬาไทยให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อแข่งขันในระดับนานาชาติ หรือกีฬาอาชีพ และต้องผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติและระดับโลก สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ สุดท้ายคือ E-Sport ถือเป็นกิจกรรมกีฬาใหม่ที่ต้องส่งเสริมเพราะสามารถสร้างทักษะให้กับเยาวชนและ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างมาก

นโยบายที่ 7 การเตรียมพร้อมสำหรับมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ ซึ่งปี 2567 จะมีรายการแข่งขันระดับนานาชาติหลายรายการทั้งการส่งนักกีฬาไปร่วมแข่งขันกีฬา โอลิมปิกปารีส 2024 และการเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขัน ได้แก่/ เอเชียนอินดอร์ และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์/ จักรยานยนต์โมโตจีพี/ เจ็ตสกีชิงแชมป์โลก/ ฮอนด้า แอลพีจี เอ ไทยแลนด์ 2024/ รวมถึงการเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในปี 2568 ซึ่ง มี 3 จังหวัดร่วมเป็นเจ้าภาพ คือ กรุงเทพ ชลบุรี และสงขลา

รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า สำหรับความสำเร็จของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งสิ้น 28 ล้านคน เศษ เกินกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ส่วนรายได้รวมจากนักท่องเที่ยวปี 2566 ตั้งเป้าไว้ที่ 2.38 ล้านล้านบาท แต่สรุปตัวเลขเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 จากปี 2565

ส่วนผลงานด้านกีฬาในปี 2566 นักกีฬาของเรามีผลงานในชนิดกีฬาสากลที่ดีขึ้น และนอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการจัดกีฬาในระดับนานาชาติ ได้แก่ ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2023 ครั้งที่ 16 การแข่งขันรายการโมโตจีพี 2023 การจัดการแข่งขันรายการวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2023 ซึ่งทุกรายการมีแฟนกีฬาทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศเข้าชมเป็นจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น และผู้ประกอบการได้เป็นจำนวนมาก

‘มาคาเลียส’ จัดโปรฯ ‘Makalius Early Bird’ ลดค่าที่พัก-ที่เที่ยวสูงสุด 50% เริ่ม 31 ม.ค.นี้

(30 ม.ค. 67) มาคาเลียส แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย จัดหนักเอาใจเหล่าทราเวลเลอร์ต้อนรับต้นปีกับโปรโมชั่น ‘Makalius Early Bird’ ที่พักที่เที่ยวลดสุงสุด 50% ฉลองปีใหม่ยาว ๆ ได้แก่ 

-IP Plus Pool Villa Pattaya พัทยา พูลวิลล่าสไตล์บาหลี พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว จากราคา 1,999 บาท/คืน ลดเหลือ 999 บาท/คืน 
-Espana Resort Pattaya Jomtien พัทยา จากราคา 1,219 บาท/คืน ลดเหลือ 609 บาท/คืน 

-Hotel Kuretakeso Thailand Sriracha ที่พักสไตล์ณี่ปุ่น จากราคา 2,199 บาท/คืน ลดเหลือ 1,099 บาท/คืน 

-บัตรสวนน้ำ Vana nava หัวหิน จากราคา 1,190 บาท/ท่าน ลดเหลือ 595 บาท/ท่าน 

-Beach Walk Boutique Resort ที่พักติดทะเลบางแสน จากราคา 3,799 บาท/คืน ลดเหลือ 1,899 บาท/คืน

ด่วน!!! วอร์เชอร์มีจำนวนจำกัด จองก่อนรับสิทธิ์ก่อนเฉพาะที่มาคาเลียสเท่านั้น (www.makalius.co.th) เริ่มตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2024 หรือจนครบสิทธิ์ตามจำนวน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โทร. 02 821 5215 หรือ Line Official @makalius

คุณยายวัย 79 ปี สานฝันวัยเด็กได้สำเร็จ เดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกครบ 193 ประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ ลุยซา ยู (Luisa Yu) ให้สัมภาษณ์กับรายการ Good Morning America ว่า “นี่คือฝันที่เป็นจริง” ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กสาวในฟิลิปปินส์ “เมื่อฉันดูหนัง เห็นฉากที่สวยงามทั้งทิวทัศน์ ธรรมชาติ แม่น้ำ ภูเขา นั่นทำให้ฉันหลงใหลและเป็นเหตุผลที่คิดเสมอว่าสักวันหนึ่งจะไปท่องเที่ยวในสถานที่เหล่านี้”

คุณยายบอกว่า เดินทางไปสหรัฐอเมริกาในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนเมื่ออายุ 23 ปี และเริ่มท่องเที่ยวตอนนั้น เพราะสถานะของนักเรียนแลกเปลี่ยนยังไม่สามารถออกนอกประเทศได้ จึงตัดสินใจนั่งรถบัสเกรฮาวด์ไปทัวร์อเมริกา”

ตอนแรก ยู เรียนจบทำงานในสาขาเทคโนโลยีการแพทย์ ซึ่งไม่สะดวกกับการเดินทาง จนเปลี่ยนมาเป็นอาชีพที่สองในฐานะเอเยนต์ท่องเที่ยว เพื่อที่จะได้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการหาเวลาเดินทาง

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ยู เดินทางไปทุกที่ที่ทำได้ ตั้งแต่ยุโรปไปจนเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย และต่อไปยังประเทศในแอฟริกา และประเทศในตะวันออกกลาง

จนกระทั่งเธอตัดสินใจว่าต้องการไปเยือนให้ครบ 193 ประเทศ (เฉพาะที่ได้รับการรับรองเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ)

“แม้บางแห่งถูกมองว่าอันตราย แต่ฉันพูดเสมอว่าฉันทำได้ ฉันอยากเห็นสถานที่เหล่านี้ ด้วยสายตาของตัวเอง เพราะมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากมายที่นั่น"

จนกระทั่งในวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2023 ประเทศเซอร์เบีย ก็เป็นหมุดหมายที่ 193 ของคุณยายวัย 79 ปี

สำหรับใครก็ตามที่ใฝ่ฝันที่จะได้ท่องเที่ยว ยู สนับสนุนให้พวกเขาลองทำ “ฉันมักจะบอกพวกเขาเสมอว่า อย่ากลัวเลย ออกไปท่องเที่ยวเถอะ อย่ารอใคร เพราะถ้าโอกาสมาถึง มันอาจจะไม่เกิดขึ้นอีก แค่เป็นตัวของตัวเอง และถ้ามีความตั้งใจก็ย่อมมีหนทาง ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ คุณแค่ต้องออกไปที่นั่น”

ตร.ท่องเที่ยวลพบุรี ร่วมภาคีเครือข่าย ติดป้าย เตือนภัย-ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ชุมชน มีส่วนร่วม สร้างแหล่งท่องเที่ยว ที่ปลอดภัย

(16 มี.ค.67) สถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 ลพบุรี ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.แมน รถทอง ผกก.2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 พ.ต.ท.พัฒนพงศ์ ศิริเจริญนำ สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจท่องเที่ยวลพบุรี นำกำลังอาสาสมัครชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง หรือคณะทำงาน S.T.C. นายสถานีรถไฟลพบุรี ผู้นำชุมชนสวนราชา วินมอเตอร์ไซค์ในพื้นที่ ร่วมกันลงพื้นที่บริเวณโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง S.T.C. พระนารายณ์ราชนิเวศน์ เพื่อดำเนินการติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์โครงการ และป้ายเตือนประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยวเพื่อการป้องกันเหตุ ที่บริเวณจุดบริการจอดรถของสถานีรถไฟลพบุรี

และติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ ศูนย์ประสาน ชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง (S.T.C.) ที่บริเวณร้านหนุ่มเกรสเฮ้าส์ ต.ท่าหิน อ.เมือง จว.ลพบุรี เพื่อใช้เป็นศูนย์ประสานงานชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็งพระนารายณ์ราชนิเวศน์

โดยวัตถุประสงค์ของโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง ตามนโยบายของพล.ต.ท.ศักย์ศิลา เผือกอำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ที่ต้องการให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ ดูแลช่วยเหลือนักท่องเที่ยว สร้างแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย โดยมีตำรวจท่องเที่ยวเป็นผู้ประสานงาน ซึ่งโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง ได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 20 แห่ง ทั่วประเทศ ได้มีประชาชนและ ผู้ประกอบการในพื้นที่ให้ความสนใจและเข้าร่วมเป็นอาสาสมัคร S.T.C. ได้มีประชุมภาคีเครือข่ายรับฟังปัญหาในชุมชนร่วมกันเพื่อนำไปแก้ไขตามความต้องการของชุมชนและนักท่องเที่ยว มีการอบรมให้ความรู้แก่อาสา S.T.C. เพื่อสร้างเครือข่ายอาสาสมัครที่มีจิตอาสาช่วยกันสอดส่องดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ตำรวจท่องเที่ยว ก็ได้ฝากประชาสัมพันธ์โครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง S.T.C. สำหรับท่านที่สนใจก็สามารถสมัครเข้าร่วมเป็น อาสาสมัคร S.T.C. ได้

20 สถานที่ประวัติศาสตร์ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต

การได้ท่องเที่ยวรอบโลก คงเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน เชื่อว่าหาก มีกำลังทรัพย์ มีร่างกายที่แข็งแรง และมีโอกาสที่เหมาะสม ก็พร้อมพาตัวเองไปท่องโลกกว้าง หาประสบการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งวันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวม 20 สถานที่ประวัติศาสตร์ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต บอกเลยว่า เป็นสถานที่สวยงาม คุ้มค่าแก่การไปเยี่ยมชมสักครั้ง จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกัน!!

‘นักท่องเที่ยว’ แห่เที่ยวเชียงใหม่ ‘ใส่ชุดไทย-กินอาหารพื้นเมือง-ซื้องานคราฟต์’  ยอดจองห้องพักเพิ่ม เพราะเป็น ‘ช่วงปิดเทอมของจีน-โกลเด้นวีคของญี่ปุ่น’

(12 พ.ค.67) อากาศที่สดใสไร้มลพิษหลังฤดูฝุ่นควันสิ้นสุดลง ส่งผลบรรยากาศตามแหล่งท่องเที่ยวในเมืองเชียงใหม่คึกคักมากขึ้น  โดยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่ตลาดจริงใจมาร์เก็ต อ.เมืองเชียงใหม่ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่พากันมาเดินเที่ยวชมงานศิลปะและเลือกซื้อสินค้างานคราฟต์ ที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร รวมทั้งลิ้มลองอาหารพื้นเมืองเลื่องชื่อของเมืองเชียงใหม่ สภาพอากาศที่ปลอดโปร่งแจ่มใสยังทำให้นักท่องเที่ยวพากันเลือกมุมถ่ายภาพและไลฟ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อวดคนที่บ้านด้วย

นายพัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ บอกว่า การท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝนของจังหวัดเชียงใหม่เป็นอีกเทรนด์ท่องเที่ยวที่ได้รับความที่นิยม หลายคนต้องการมาสัมผัสความสดชื่นและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติในช่วงฤดูฝน วันนี้ยอดจองห้องพักเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักกว่าร้อยละ 80 ยังเป็นนักท่องเที่ยวจีนจากแผ่นดินใหญ่

คาดการว่ากรีนซีซั่นเชียงใหม่ปีนี้การท่องเที่ยวจะคึกคัก โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนที่เป็นทั้งช่วงปิดเทอมของจีนและโกลเด้นวีคของญี่ปุ่นที่มีวันหยุดยาวหลายวัน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวบินตรงเข้าสู่เชียงใหม่ประมาณ 9 หมื่นคน ไม่นับรวมกับกลุ่มชาติตะวันตกที่บินต่อเนื่องมาจากกรุงเทพมหานคร

ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ บอกด้วยว่า พฤติกรรมการเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนปัจจุบันนิยมมาด้วยตัวเองกันมากถึงร้อยละ 80 เนื่องจากมีข้อมูลมากขึ้นรวมทั้งความสะดวกสบายในการเดินทาง จากเส้นทางบินตรงหลายจากหลายเมืองของจีน  ล่าสุดจังหวัดเชียงใหม่ยังเชิญติ๊กต๊อกเกอร์ชื่อดัง ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคนจากประเทศจีน มาเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง และสัมผัสกับกิจกรรมยอดนิยม ทั้ง ปางช้าง ซิปไลน์ คุ๊กกิ้งคลาส นวดสปา และ แหล่งเที่ยวไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกเผยแพร่เพื่อเชิญชวนและดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาอีกจำนวนมาก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top