Tuesday, 14 May 2024
ทรงพระเจริญ

เผยความจริง ‘ในหลวงรัชกาลที่ 10’ ทรง 'สืบสาน-รักษา-ต่อยอด' ตามรอยพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อปวงชนชาวไทย

(1 ส.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี @user4667894730230 ได้แชร์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงปิดทองหลังพระและทรงทำงานอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด เพื่อให้เข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะทุรกันดารแค่ไหน ตามพระราชปณิธาน ‘สืบสาน รักษา ต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป’ โดยในคลิปได้ระบุว่า…

ส่วนใหญ่คนที่อ้างว่า ‘ในหลวงรัชกาลที่ 10’ ไม่เห็นทําอะไรเลย เราต้องดูว่าท่านขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลปัจจุบันมาแล้วกี่ปี หากจะไปเปรียบเทียบกับรัชกาลที่แล้วของพ่อท่าน ก็คงไม่ได้ เพราะสิ่งที่ท่านทํา ท่านได้เคยพูดเอาไว้แล้วตั้งแต่วันนั้น คือ ‘การสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป’ ซึ่งขณะนี้ท่านก็ได้ทรงต่อยอดอยู่ ไม่ว่าจะเป็น โครงการเกษตรวิชญา, โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่ แก้ปัญหาภัยแล้ง, โครงการก่อสร้างระบบประปาบ้านผัง 16, โครงการฝายห้วยโสกรังพร้อมระบบส่งน้ำ ซึ่งโครงการเหล่านี้ที่เราได้นำเสนอมา คือโครงการในรัชกาลปัจจุบันที่พระองค์ท่านทรงทําและริเริ่มขึ้นมาในสิ่งที่ประชาชนเดือดร้อนจริงๆ แล้วพวกเราเดือดร้อนเรื่องอะไร? ดูได้จากเรื่องน้ำ ตรงไหนที่แห้งแล้ง น้ำก็ไปถึงประชาชน จนสามารถอยู่ดีกินดี และมีน้ำใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อเลี้ยงสัตว์ หรือทําการเกษตร มีฝาย มีโคกหนองนา เคยรู้หรือเปล่าว่าสิ่งเหล่านี้คือของในหลวงรัชกาลที่ 10 หากศึกษาให้ดี ยังสามารถลองเอามาปรับใช้ในชีวิตจริงได้อีกด้วย อย่างน้ำบาดาล ภาคอีสาน และภาคกลาง ที่ไหนแห้งแล้งน้ำก็ไปถึง จนสามารถทําการเกษตรได้แบบที่เปลี่ยนไปเลย จากที่ทําแล้วเก็บเป็นรายปีไป ตอนนี้สามารถทําได้ทุกวันแล้ว

“ทุกวันนี้สบายกันเร็ว ตั้งแต่มีโครงการพระราชดําริเข้ามา ทำให้เราเลือกกินเลือกใช้ได้ จนสามารถใช้คําว่าสบายได้เลย” ชาวบ้านท่านหนึ่ง ได้กล่าว

นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดทางด้านอาชีพได้อีกด้วย จากสิ่งที่เห็นในรัชกาลปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำบาดาล ทําฝาย โคกหนองนา หรืออื่นๆ สำหรับคนที่มองว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 ไม่ทําอะไร อยากให้ไปดูและท่านจะได้เบิกเนตรว่าของจริงเป็นแบบนี้ ถ้าไม่รู้จริงๆ ไม่ควรพูด และไม่เปรียบเทียบดีกว่า เพราะสิ่งที่ได้เห็นจากการไปลงพื้นที่ และคิดว่าหลายๆคนอาจยังไม่ทราบ อย่างโครงการน้ำบาดาล ที่จังหวัดกาญจนบุรี ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเสด็จเปิดพิธีเอง แต่หากพูดถึงเรื่องน้ำอยากจะบอกว่ามันชัดเจนมากสำหรับบ้านเราในหลายๆที่ที่ขาดแคลนน้ำ ทั้งนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเสด็จไปถึง แล้วไปดูว่าประชาชนได้เขียนจดหมายถึงในหลวงว่าพวกเขาเดือดร้อนอะไรกันบ้าง แล้วท่านก็รับทราบปัญหานี้ ซึ่งก็อยู่ในพระเนตรพระกรรณมาตลอด จากนั้นท่านก็ทรงแก้ปัญหาให้ 

หลังจากนั้นได้มีชาวบ้านต่างเล่าว่าพระองค์จะคอยส่งคนถวายฎีกามาเฝ้าติดตามและมาสอบถามเสมอ “ที่นี่ดีขึ้น เพราะว่าโครงการทำให้ ไม่ว่าอะไรท่านก็ทำให้หมด”

มันมีคนดื้อด้านที่ไม่ยอมรับ ประมาณว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทํามาเยอะแล้ว 4 พัน 5 พันโครงการ ใช่…คุณรู้แค่นั้น แต่รัชกาลปัจจุบันท่านทํา คุณไม่รู้ไง…เพราะท่านทรงทําผ่านโครงการต่างๆ

“มีพื้นที่ทําในหมู่บ้านแล้วไม่ต้องไปที่ไหน เราสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ในหมู่บ้านได้เลย ที่สําคัญเกษตรกรจะมีรายได้ตลอดหมุนเวียน” ทั้งนี้ ได้มีชาวบ้านท่านหนึ่ง เอ่ยพร้อมน้ำตาที่ซึมว่าตนนั้นรักพระมหากษัตริย์มากแค่ไหน 

“เพราะพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด และทรงทํางานอย่างเงียบๆ แต่เข้าถึงความต้องการของคนไทย ไม่ว่าจะถิ่นทุรกันดารแค่ไหน ในหลวงก็ไปถึง”

'ในหลวง ร.10' ไม่ทอดทิ้ง 'ประชาชน-ผู้เดือดร้อน' เหตุพลุระเบิด ทรงรีบจัดหาโรงครัว-รับผู้บาดเจ็บทุกคนไปอยู่ในความดูแล

(2 ส.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ปริม พาดาฤดี' ได้โพสต์ข้อความถึงการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุพลุระเบิดที่นราธิวาส โดยในหลวง ร.10 ทรงรีบให้การช่วยเหลือประชาชนของท่านทันที ระบุว่า...

ในวันที่พลุระเบิด มีคนตายนับสิบ บาดเจ็บนับร้อย ก็มีแต่พระเจ้าอยู่หัวนี่แหละ ที่ทรงรีบจัดหาโรงครัวไปช่วยเหลือ รับผู้บาดเจ็บทุกคนไปอยู่ในความดูแล

ส่วนนักการเมืองนั้น เขาห่วงพวกคุณได้แค่หน้าเฟสหรือบนทวิตเตอร์ ไข่สักฟองเขายังไม่สละมาช่วยเลย

'ในหลวง' ทรงช่วยเด็กชาย 9 ขวบเมืองคอน หลังถวายฎีกาขอพระเมตตาซ่อมแซมบ้าน

เมื่อวานนี้ (3 ส.ค. 66) นายโสภณ พรหมแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ช่าง เดินทางไปตรวจความคืบหน้าการซ่อมแซมเปลี่ยนซ่อมหลังคาบ้านให้ใหม่ ที่บ้านเลขที่ 180 หมู่ 9 ต.ขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ภายหลัง ด.ช.ธีธัช ทองเพชร อายุ 10 ปี นักเรียน ชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านคดศอก ต.ขุนทะเล ซึ่งอาศัยอยู่บ้านเลขที่ดังกล่าวได้เขียนจดหมายถวายฎีกาถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีข้อความลงวันที่ 4 เม.ย 2566 ว่า 

"กระผมชื่อ ด.ช.ธีธัช ทองเพชร อายุ 9 ปี 7 เดือน อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 180 หมู่ 9 ต.ขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช มีความจำเป็นเกี่ยวกับบ้านของกระผม บ้านของกระผมปลวกกินไม้ กระผมนอนตอนกลางคืนกลัวไม้จะหล่นใส่หัวของกระผมวันไหน กระผมหารู้ไม่ กระผมเขียนหนังสือขอความช่วยเหลือจากพระองค์ท่าน ร.10 กระผมไม่มีแม่ ซึ่งแม่กระผมเสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2561 ด้วยเนื้องอกในสมอง ตอนนี้กระผมอยู่กับป้า กระผมไม่มีเงินซ่อมแซมบ้าน ขอให้พระองค์ท่านทรงเมตตาเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างกระผมด้วย...."

ต่อมาสำนักงานองคมนตรี ได้มีหนังสือลงวันที่ 4 พ.ค. 2566 ถึง ผวจ.นครศรีธรรมราช กรณี ด.ช.ธีธัช ทองเพชร อยู่บ้านเลขที่ 180 หมู่ 9 ต.ขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาถึง กรณีบ้านพักอาศัยหลังคาบ้าน ที่ทำจากไม้และมีสภาพทรุดโทรมเกรงว่า จะเกิดอันตรายกับครอบครัวของ ด.ช.ธีธัช มีความประสงค์ขอพระราชทานความช่วยเหลือเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยจึงขอพระมหากรุณาเป็นที่พึ่งดังกล่าว

ล่าสุด จังหวัดนครศรีธรรมราช สั่งการเทศบาลตำบลขุนทะเล ดำเนินการช่วยเหลือเบื้องต้นแล้วโดยทาง นายโสภณ พรหมแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลขุนทะเล ลงพื้นที่สำรวจ ซ่อมทันที โดยให้เจ้าหน้าที่ช่าง ดำเนินการรื้อหลังคาไม้ทั้งหมดออกแล้วเปลี่ยนเป็นหลังคาเหล็กที่มั่นคงถาวร โดยใช้งบประมาณซ่อมแซมกว่า 6 หมื่นบาท คาดว่าจะเสร็จภายใน 1 อาทิตย์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ ด.ช.ธีธัช ซึ่งอาศัยอยู่กับป้า สร้างความปลาบปลื้มปิติดีใจให้กับ ด.ช.ธีธัช และนางพรทิพย์ อัฐพร อายุ 54 ปี ผู้เป็นป้า ในความเมตตาของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงมีเมตตาสั่งซ่อมหลังคาบ้านในครั้งนี้

‘อาร์ต พศุตม์’ เผยวินาทีรับเสด็จ ‘ในหลวง-พระราชินี’ แสนปลื้มใจ ทั้งสองพระองค์ทรงจำตนได้

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวสุดปลื้มปิติ เมื่อล่าสุดนักแสดงหนุ่มชื่อดังอย่าง “อาร์ต พศุตม์” ได้ออกมาได้เผยภาพขณะเฝ้าฯ รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์

โดยเจ้าตัวโพสต์ข้อความระบุว่า “ทรงพระเจริญ… ดีใจที่สองพระองค์ท่านจำได้ มาออกบูธ คุณชายหมูกรอบ ที่ CTW โชคดีมาก ท่านเสด็จพอดี ก็เลยรอรับเสด็จ อยากเอาหมูกรอบถวายท่าน แต่คิดแล้วคงไม่เหมาะ ไม่สมควร”

นอกจากนี้ ‘อาร์ต พศุตม์’ ยังได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ขณะเฝ้าฯ รับเสด็จ โดยในหลวงและพระราชินี ทรงทักทายและแย้มพระโอษฐ์ ระหว่างเสด็จฯ ผ่านหน้าตนเอง พร้อมเปิดใจว่า “ทรงพระเจริญ… ปลื้มใจเป็นที่สุด สองพระองค์ท่านจำได้”

ย้อนฟังคำสัมภาษณ์ ‘อดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน’ เผยความจริงเกี่ยวกับพระราชอำนาจของสถาบันฯ

จากคลิปเมื่อนานมาแล้ว นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 18 ของไทย ได้ออกมาพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านรายการ ‘สยามวาระ’ ตอน ‘สถาบันพระมหากษัตริย์กับประวัติศาสตร์การเมืองไทย’ เมื่อวันพุธที่ 12 ธ.ค.2555 ทางไทยพีบีเอส โดยระบุว่า…

“ผมมองว่าพระองค์ท่านนั้น ทรงเป็น ‘นักประชาธิปไตย’ นะครับ แต่ท่านมีขอบจํากัด อย่าไปนึกว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา หรือพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หรือพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ท่านเป็นชนชาวไทย แต่ท่านขาดสิทธิมากมาย สิทธิอันหนึ่งที่ท่านทั้งสามพระองค์ทรงขาดไปอย่างมาก คือท่านไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เลยครับ สมมติท่านรู้ดีว่า นายกฯ รัฐมนตรี หรืออธิบดีคนนั้นคนนี้ก็ดี หรือเหล่านักธุรกิจ เวลาเขาพูดไม่จริง ท่านก็ออกมาบอกไม่ได้ หรือถ้าเขาดีท่านก็ชมไม่ได้อีก เพื่อรักษาความเป็นกลาง”

“เพราะฉะนั้น การเป็นพระเจ้าแผ่นดิน หรือเป็นเจ้านายอื่นๆ นั้นมีข้อจํากัดมาก ท่านไม่สามารถใช้สิทธิตามสิทธิมนุษยชน เยี่ยงปวงชนชาวไทยได้เลยนะครับ เพราะท่านมีหน้าที่ที่ท่านต้องทำ ปัจจุบันท่านอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ท่านไม่มีพระราชอํานาจอะไรจริงจัง ส่วนพระราชอํานาจลงนามแต่งตั้งอธิบดีคนนั้น นายพลคนนี้ เป็นอํานาจซึ่งมาจากการเสนอของรัฐบาลและของนายกรัฐมนตรี และเมื่อพระองค์ท่านลงพระปรมาภิไธยไปแล้ว ก็จะต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือประธานสภา หรือรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งที่รับมอบหมายเป็นผู้สนองรับพระบรมราชโองการ สืบมาว่าผู้รับสนองนั้น คือผู้รับผิดชอบโดยตรง”

“ซึ่งในสังคมไทยยังคงมีความสับสนกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวของเมืองไทยนั้นมีพระราชอํานาจมาก แต่พระราชอํานาจจริงๆ ตามรัฐธรรมนูญนั้น ท่านไม่มีเลย แต่ที่ท่านดูมีพระราชอํานาจมากนั้น เป็นเพราะท่านมีบารมีมาก เพราะท่านปกครองประเทศชาติมาตั้ง 60-70 ปี ท่านทําดีไว้มาก และท่านยังเข้าถึงประชาชน อีกทั้งประชาชนคนไทยทุกคนก็เทิดทูนท่าน รักท่านมาก จนอาจจะทำให้มีประชาชนส่วนหนึ่งที่ไม่ชอบท่าน ก็ไม่ใช่เป็นของแปลกอะไร

แต่หากเราดูดีๆ ว่าเมืองไทยมีพลเมืองมากกว่า 70 ล้านคน ถ้าไปเปรียบเทียบกับพลเมืองของประเทศอังกฤษหรือประเทศอื่นๆ ที่เขามีพระมหากษัตริย์เหมือนกัน ความจงรักภักดีที่ราษฎรถวายให้กับพระมหากษัตริย์ของแต่ละประเทศนั้น ผมว่าเมืองไทยสูงสุดนะครับ แต่สิ่งที่สําคัญคือ พระองค์ท่านมีพระบารมีมากและตลอดเวลาที่ท่านทรงทํางานมานั้น ท่านนึกถึงแต่ทุกข์สุขของประชาชนคนไทยอย่างเดียว”

“เมื่อครั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1950 ท่านก็มีพระบรมราชโองการที่ทรงตรัสมาอย่างแน่ชัดว่า…

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

ดังนั้น คนไทยต้องถามตัวเองว่าตลอดกว่า 60-70 ปี ที่ท่านครองราชย์มานั้น ท่านทรงทําตามสิ่งที่ท่านตรัสไว้หรือเปล่า ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่จะเห็นว่า ท่านแน่วแน่ในคําสัญญาที่ท่านให้ไว้กับประชาชนชาวไทย แต่หากจะถามต่อว่า ทุกอย่างที่ท่านทํานั้นสําเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ ก็คงไม่ใช่ เพราะตัวพระองค์ท่านเองก็ทรงเคยบอก

แต่ทุกอย่างที่ท่านทรงทํานั้น ก็เพื่อประโยชน์สุขของชาวสยาม และเพื่อความเป็นธรรม ความถูกต้อง อันนี้เราไม่สามารถหาข้อโต้แย้งได้ และจากเหตุผลเหล่านี้ก็ทำให้มีคนที่รักท่านมาก และคนที่ไม่ชอบท่านก็คงจะมี แต่ผมคิดว่ามีส่วนน้อยมาก”

‘พล.อ.ประวิตร’ นำคณะกรรมการมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

(12 ส.ค. 66) ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด นำคณะกรรมการ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางพานพุ่มเฉลิมพระเกียรติ ถวายเครื่องราชสักการะ ถวายราชสดุดี และถวายพระพรชัยมงคลหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 91 พรรษา เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

โดยพล.อ.ประวิตร กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงว่า ทรงรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า แหล่งต้นน้ำลำธาร นำมาซึ่งความผาสุขร่มเย็นโดยถ้วนหน้า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ จึงทรงเป็นพระแม่แห่งแผ่นดินที่สถิตย์สถาพรอยู่กลางใจพสกนิกรทั่วทั้งแผ่นดิน

พร้อมกันนี้พล.อ.ประวิตร ยังเปิดให้ข้าราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอดีตผู้ใต้บังคับบัญชามอบกระเช้าดอกไม้ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบ 78 ปี ย้อนหลัง 11 สิงหาคม 2566 เช่น  คณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ตัวแทนกรมป่าไม้ และหน่วยบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด

‘หมอวรงค์’ ยินดี ‘ทักษิณ’ ยอมรับผิด โชคดีที่เรามีในหลวงเป็นที่พึ่ง

(2 ก.ย.66) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Warong Dechgitvigrom’ ระบุว่า...

“ทักษิณสำนึกผิด ยอมรับผิดในการกระทำ จึงได้รับพระมหากรุณา โชคดีที่เรามีในหลวงเป็นที่พึ่ง ยินดีด้วยครับ”

'อ.เทพมนตรี' ดึงสติ!! คนรักเจ้ามิใช่แค่เปล่งเสียงคำว่า "ทรงพระเจริญ" แต่จง 'รัก-สรรเสริญ' อย่างเข้าใจใน 'ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา-กาลเวลา'

(3 ก.ย. 66) อาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'Thepmontri Limpaphayorm' ว่า...

อยากบอกคนรักเจ้า ราชาธิปไตยที่มีพระราชภาระ

คนรักเจ้ามิใช่แค่เปล่งเสียงคำว่าทรงพระเจริญ แต่ต้องรักเจ้าบนพื้นฐานความเข้าใจทั้งประวัติศาสตร์ความเป็นมาของราชวงศ์ ทั้งขนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณี ทั้งรัฐธรรมนูญ เลือดขัตติยะ และพระราชสถานะ กาลเวลาปัจจุบันสมัย

ใครที่รักเจ้าแค่เปล่งเสียงทรงพระเจริญแล้วมาอ้างสิทธิ์จะไม่เอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ พอเจ้าทำอะไรไม่พอใจก็ใช้สิทธิ์ อภิสิทธิ์ที่ได้เปล่งเสียงทรงพระเจริญมาด่าทอ ทำตัวสิ้นศรัทธา เขาไม่ได้เรียกว่า รักเจ้า

นอกจากนี้คนประเภทที่ว่าจัดอยู่พวกที่มิได้ศึกษาหาความรู้จริง แม้แต่รัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจในรัฐธรรมนูญที่เจ้ามีอยู่อย่างจำกัด ก็ยังไม่พยายามทำความเข้าใจ หรือได้อ่านหรือเปล่าไม่ทราบ

นี่แหละคนรักเจ้าที่อ้างสิทธิ์ อภิสิทธิ์กัน แท้ที่จริงเขาไม่ได้รักเจ้าแต่รักตัวเอง โดยอ้างว่าเจ้าต้องมีความเป็นธรรม ต้องยุติธรรม ต้องเป็นแบบอย่าง

ถ้าเขาได้ศึกษาอย่างถ่องแท้แแล้ว เขาจะเข้าใจ ดูตัวอย่างในหลวงรัชกาลที่ 7 กับคณะราษฎร

เมื่อคณะราษฎรก่นด่าพระองค์ท่านชนิดป่าวประกาศไปทั่วขยายผลลงด่าในหนังสือพิมพ์ พระองค์ท่านก็มีวิริยะอุตสาหะที่จะอุเบกขา คนในคณะราษฎรก็ไม่เข้าใจว่าพระองค์ท่านทำไมทรงวางพระราชหฤทัยเช่นนั้น นั่นก็เป็นเพราะทรงมีพระราชภาระอันยิ่งใหญ่กว่าใครๆ การได้รับพระราชมรดกให้ดำรงสถานะเป็นพระมหากษัตริย์เหนือผู้คนทั้งผอง มันหนักหน่วงเสียยิ่งกว่า

คนทั่วไปจึงไปคิดแต่เพียงว่าพระองค์ท่านทรงร่ำรวยแต่เปล่าเลยนั่นน่ะเป็นพระราชภาระ ลดลงไม่ได้ สูงกว่าไม่ได้

เมื่อมีสายพระโลหิตเป็นเลือดขัตติยะ จำต้องคำนึงถึงบ้านเมืองประเทศชาติ และความรักที่มีต่อพสกนิกรเสียยิ่งกว่าใครๆ

พระมหากษัตริย์ที่รับพระราชมรดกต้องรักษาพระราชวงศ์ ต้องรักษาซึ่งปฐมบรมราชโองการที่ตกทอดกันมาตั้งแต่รัชกาลต้น

การทำให้ราชวงศ์และพระนครล่มสลายเป็นตราบาปที่ไม่มีสิ่งใดมาลบล้างออกไปได้ เช่นเดียวกันกับกรณีกรมขุนอนุรักษ์มนตรี หรือพระเจ้าเอกทัศ ที่คนไทยยังจดจำว่าเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์อยุธยา ที่ทำให้ราชวงศ์ล่ม อยุธยาแตกพ่าย

จนพวกเราจำกันจนถึงทุกวันนี้และตราบนานเท่านาน…

ดังนั้นการรักเจ้า มิใช่เพียงแค่เปล่งเสียงทรงพระเจริญเท่านั้น เพราะพวกล้มเจ้าหรือคิดร้ายต่อพระบรมราชจักรีวงศ์ก็เปล่งเสียงทรงพระเจริญเช่นกัน บางคนอาจเปล่งเสียงทรงพระเจริญอยู่บ่อยด้วยซ้ำ

คนรักเจ้าที่แท้จริงต้องทำความเข้าใจ ต้องรู้จักวางใจตนเอง เมื่อรักเจ้าจริงๆ ก็ต้องรักด้วยหัวใจ ต้องเข้าใจพระราชหฤทัยของเจ้าที่มีพระราชภาระอันหนักหน่วงดังที่ว่ามา

‘พีระพันธุ์’ เผย ‘ในหลวง’ รับสั่ง ครม.ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ นำพาประเทศชาติเดินหน้า ประชาชนมีความสงบสุข-ร่มเย็น

‘พีระพันธุ์’ รับสนองพระบรมราโชวาท ทำให้บ้านเมืองเดินหน้า-ประชาชนมีความสงบร่มเย็น พร้อมย้ำ ‘นายกฯ’ เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือ ปชช.เรื่องพลังงานในการประชุม ครม.นัดแรก ด้าน ‘วราวุธ’ เผย ‘ในหลวง’ ทรงให้ซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อประชาชน

(5 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่า พวกเราจะต้องรับสนองพระบรมราโชวาทพระองค์ท่าน เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า พัฒนาต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ให้พวกเราปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มที่ ทำให้บ้านเมืองเดินหน้า พี่น้องประชาชนมีความสงบร่มเย็น”

เมื่อถามว่า ดูเหมือน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ระบุขอให้เชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้ ในส่วนของกระทรวงพลังงาน เรื่องของพลังงานจะบอกกับประชาชนอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนคิดว่านโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ ที่ได้บอกไปแล้ว ซึ่งมีนโยบายที่จะปรับลด โดยได้ไปดูเบื้องต้น โครงสร้างของราคาพลังงานทั้งหลาย โดยมี 2 ส่วน บางส่วนอยู่เหนือการควบคุม เช่น ราคาแก๊ส ซึ่งปรับลดในส่วนนั้นไม่ได้ แต่ในโครงสร้างราคาทั้งหมด มีหลายส่วนที่จะไปดู เบื้องต้นสามารถปรับลดได้อย่างแน่นอน

เมื่อถามว่า การประชุม ครม.นัดแรก ในวันที่ 12 ก.ย.จะมีมาตรการบางส่วนก่อนเลยหรือไม่ หรือต้องรอก่อน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า หลังจากแถลงนโยบายเสร็จ และการประชุม ครม.นัดแรกก็ต้องมีมาตรการออกมา ซึ่งนายกฯ และกระทรวงพลังงานได้เตรียมการเรื่องนี้แล้ว ส่วนเรื่องของรูปแบบในการช่วยเหลือประชาชน อันดับแรก เพื่อให้เกิดความรวดเร็วจะใช้โครงสร้างเดิมก่อน ดูว่าส่วนไหนสามารถปรับลดลงไปได้ เพราะโครงสร้างราคาต่างๆ เหล่านี้ ประกอบไปด้วยหลายส่วน ส่วนไหนที่ปรับลดได้ก็ปรับลด ปรับลดราคาสุดท้ายที่ขาย เพียงแต่รัฐฯ ก็ต้องยอมเสียสละในส่วนที่เคยได้อยู่ ต้องยอมเสียสละออกไป

เมื่อถามว่า งบประมาณที่อยู่ จำเป็นต้องกู้ยืมหรือใช้งบประมาณในส่วนอื่น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตรงนั้นเป็นเรื่องที่กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ก็ต้องเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด และคุ้มค่าที่สุด ที่สำคัญ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง พยายามหาทางลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน หลักเกณฑ์ต่างๆ ของรัฐบาล คือ การไม่ไปสร้างอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตของประชาชน ต้องเป็นรัฐบาลที่สร้างการสนับสนุนให้ภาคเอกชนเดินหน้าต่อไปในทุกเรื่อง

ส่วนเรื่องการแถลงนโยบายต่อรัฐสภานั้น ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็เรียบร้อย ไม่มีปัญหา ประเด็นหลักๆ มีหมด เช่น การป้องกันการทุจริต ประพฤติมิชอบ เรื่องของสถาบัน เรื่องของความไม่เป็นธรรม เรื่องของกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปพลังงาน และข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนเคยพูดเอาไว้ทั้งหมด

เมื่อถามอีกว่า ถือเป็นการต่อยอดนโยบายของพรรค รทสช.ด้วยหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถ้าต่อยอดได้ด้วยก็ดี

ด้าน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชวาทว่า ขอให้มีสติปัญญาในการทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และขอให้มีความขยันทำงานเพื่อประเทศชาติ ผู้สื่อข่าวถามว่า มองความท้าทายของรัฐบาลชุดนี้อย่างไรบ้าง นายวราวุธ กล่าวว่า ตนว่าความท้าทายคือ มีปัญหาของประเทศชาติอยู่หลายมิติ ที่เป็นความคาดหวังของพี่น้องประชาชน คงจะต้องเร่งทำงานกันในทุกๆ มิติ

กรมสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานพระราโชวาท ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2565

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ศุกลภัทร์ มะรินทร์' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ... เมื่อวันนี้ของวันศุกร์ที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปยังหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๕ เป็นวันที่ ๒

โดยวันนี้ มีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ปริญญาโท และปริญญาตรี เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย รวม ๓,๖๔๔ คน ประกอบด้วย คณะวิทยาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และสถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สำหรับปี ๒๕๖๖ นี้ พระราชทานพระราโชวาท ความตอนหนึ่งว่า 

คำว่าอิสระทางความคิด ต้องมีอิสระทางความคิด เป็นที่นิยมใช้กันหลายวงการ จนเข้าใจกันไปว่า ไม่ต้องฟังความคิดผู้อื่น ถือความคิดของตนเป็นใหญ่ จริงอยู่ คำว่าอิสระ แปลว่า เป็นใหญ่ เป็นไทแก่ตัว ไม่ขึ้นแก่ใครๆ แต่ความเป็นใหญ่ทางความคิด ไม่สามารถเกิดขึ้นลอยๆ ได้ ความคิดอ่าน ต้องมีพื้นฐานของความรู้ความคิดรอบด้าน จะเป็นใหญ่ทางความคิดได้ ต้องอาศัยการสะสมความรู้ กลั่นกรอง ไตร่ตรองให้ถูกต้องแจ่มชัด จึงจะสามารถเป็นใหญ่ทางความคิด นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ แก่ตนเอง และส่วนรวมได้ เช่นนี้ จึงนับว่า เป็นใหญ่เหนือความคิด บังคับบัญชาความคิดได้ การดื้อดึงถือความคิดของตนเองเป็นใหญ่ ที่ไม่มีรากฐาน ไม่ฟังความคิดผู้อื่น ไม่หาความรู้เพื่อตรวจสอบว่า คิดถูกต้อง สมควรเป็นประโยชน์หรือไม่ เรียกได้ว่า เป็นทาสของความคิด ถูกความคิดอันไม่ได้ไตร่ตรอง ให้ถูกต้องครอบงำ เมื่อนำไปใช้ จึงเกิดความเสียหายเดือดร้อน อาจจะรุนแรงถึงเป็นภัยฆ่าฟันกัน บัณฑิตทั้งหลาย เป็นผู้เล่าเรียนมาก จึงเป็นความหวังของบ้านเมืองว่า จะได้รู้จักใช้ความคิด รู้จักไตร่ตรอง ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักเสาะแสวงหาความรู้ มาพิจารณา ให้ทราบตระหนักว่า ความคิดอ่านของตนถูกต้อง เป็นประโยชน์รอบด้าน เป็นคุณต่อบ้านเมือง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top