‘วิชัย ทองแตง’ อุทิศตนช่วย ‘ลดเหลื่อมล้ำ’ เดินหน้าปั้นธุรกิจสตาร์ตอัปไทยให้แข็งแกร่ง

เมื่อวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดงาน 2 ทศวรรษแห่งการแบ่งปัน 9 ทศวรรษแห่งการสร้างสรรค์สังคม เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี กองทุนทำบุญวันเกิดกับธรรมศาสตร์ และ 90 ปี การสถาปนามหาวิทยาลัย โดยมีทั้งศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบันเข้าร่วมงานคับคั่ง

พร้อมกันนี้ ภายในงาน ยังได้จัดเวทีเสวนาพิเศษ “มุมมองฅนธรรมศาสตร์ มองปัญหาสู่ทางออกสังคมไทย ปัญหาคอร์รัปชัน เศรษฐกิจและตำรวจ” โดยศิษย์เก่าธรรมศาสตร์หลายรุ่น ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คุณวิชัย ทองแตง ทนายความ และนักลงทุน และ คุณศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมเสวนา

ทั้งนี้ คุณนายวิชัย ทองแตง ได้ให้มุมมองทางด้านเศรษฐกิจในโลกยุคใหม่ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยตกอยู่ในกับดักบางอย่าง คนไทยมีรายได้เฉลี่ยปานกลาง 2.4 แสนบาทต่อปี ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วมี 4.5 แสนบาทต่อปี ซึ่งตนเองสนใจตัวเลขนี้แล้วก็ติดตามตัวเลขนี้มาตั้งแต่จบมหาลัยธรรมศาสตร์ ทุกวันนี้ยังสะเทือนใจอยู่ว่า เส้นแบ่งแห่งความยากจนอยู่ที่ 2,802 บาท หรือปีละ 30,000 กว่าบาทเท่านั้นเอง คนไทยส่วนใหญ่อยู่ภายใต้กับดักความเหลื่อมล้ำนี้ แน่นอนว่า สิ่งที่คนไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ เป็นเรื่องที่ตนเองยอมรับไม่ได้ จึงได้ออกเดินสายบรรยายฟรีทั่วประเทศ เพื่อที่จะลดความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ให้ได้ ส่วนจะได้มากหรือน้อยไม่ว่ากัน

ขณะเดียวกัน ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสะเทือนใจ ก็คือ ตอนที่รัฐบาลประกาศให้ประชาชนเข้ามาจดเข้ามาลงทะเบียนรับสิทธิ์เรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ ที่เรียกทั่วไปว่า บัตรคนจนนั้น มีผู้ยื่นลงทะเบียนถึง 22,293,473 ล้านราย นับเป็นสัดส่วนถึง 30% ของประเทศนี้

ขณะที่ จีดีพีภาคเกษตรไทยไตรมาสที่หนึ่งปี 66 มีสัดส่วนประมาณ 6.2% ของจีดีพีประเทศไทย ในขณะที่เนื้อที่ทางการเกษตรมีถึง 149.25 ล้านไร่ หรือ 46% ของทั้งประเทศ ตรงนี้คือความเหลื่อมล้ำหรือไม่ และด้วยความเหลื่อมล้ำที่ยังแผ่ขยายอยู่ในสังคมไทย จึงมีแนวคิดที่จะช่วยปั้นธุรกิจของคนไทยให้เติบโตและอยู่รอดต่อไป

คุณวิชัย ระบุว่า ตนเองผ่านอุปสรรคผ่านการทําธุรกิจมามากมาย โดยยึดมั่นในหลักการ 2 อย่าง Execution การลงมือปฏิบัติทำให้บรรลุผล และ implementation กระบวนการที่เริ่มตั้งแต่เอาความคิดมาวางแผนขึ้นโครงการให้สามารถปฏิบัติให้เกิดผลได้ ซึ่งทั้ง 2 ข้อนี้คือหัวใจสำคัญที่จะให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

ยกตัวอย่าง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้จัดงานครั้งแรกที่เชียงใหม่ เกี่ยวกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ติดอันดับเมืองที่มีฝุ่นควันติดเป็นอันดับ 1 ของโลกมา 20 ปีแล้ว แม้จะมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้าไปประชุมหาทางแก้ไขมาตลอด แต่ปัจจุบันฝุ่นควัน PM2.5 ก็ยังเป็นปัญหาของจังหวัดเชียงใหม่อยู่เช่นเดิม ทั้งนี้ ตนเองได้เข้าไปทำโครงการที่เรียกว่า “หยุดเผา เรารับซื้อ” ซึ่งเป็นการลงทุนสร้างโรงงานรับซื้อสิ่งที่ชาวบ้านเผา ไม่ว่าจะเป็น ฟางข้าว ใบไม้ และตอซังข้าวโพด นำมาขายเข้าโรงงาน เพื่อที่จะนำไปผลิตชีวมวลอัดเม็ดส่งขายต่างประเทศต่อไป 

ซึ่งชีวมวลอัดเม็ด กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นมีความต้องการอย่างสูง มีออเดอร์มาแล้ว 10 ล้านตันต่อปี แต่ประเทศไทยสามารถผลิตและส่งออกไปได้ไม่ถึงปีละ1 แสนตัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ในวิกฤตฝุ่น PM2.5 ได้สร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับประเทศไทย และเกษตรกรไทย เพียงแต่ยังไม่มีใครมาพลิกใช้วิกฤตที่เกิดขึ้นนำไปสร้างโอกาสต่อเท่านั้น

พร้อมกันนี้ คุณวิชัย ยังระบุถึงภารกิจในปัจจุบันซึ่งก็คือ การเป็นนักปั้น หมายถึงปั้นธุรกิจสตาร์ตอัปไทยให้ประสบความสำเร็จ เพราะจากสถิติที่ผ่านมา มีสตาร์ตอัปไทยเกิดขึ้นมานับหมื่นราย แต่มีศักยภาพเหลือรอดแค่ 1% ทั้ง ๆ ที่มีกลุ่มธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital : VC) มาลงทุนร่วมกับสตาร์ตอัปไทยจำนวนเยอะมาก แต่กลับไปไม่ถึงไหน 

“จากการที่ได้เข้ามาช่วยปั้นธุรกิจมาหลายปี พบว่า อุปสรรคสำคัญที่สตาร์ตอัปไม่สามารถเติบโตต่อไปได้ คือ เมื่อไหร่ที่บริษัทจะเพิ่มทุนหรือขยายธุรกิจ จะต้องมาขอความเห็นชอบ (consent) จากผู้ร่วมลงทุนก่อน ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่สําหรับคนปฏิบัติงาน เพราะไม่มีสิทธิ์ตัดสินได้เอง ก่อนหน้านี้เคยลงไปช่วยปั้นสตาร์ตอัป 2 ราย แต่ไม่สำเร็จ เพราะติดปัญหาต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ลงทุน ซึ่งถือหุ้นอยู่เพียง 5% เท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำหรับผู้ที่จะเข้าไปลงทุนในสตาร์ตอัปต้องพิจารณาให้ดี”

นายวิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของเงื่อนไข การปั้นธุรกิจนั้น ได้วางไว้เป็นพื้นฐาน 3 ข้อ ประกอบด้วย 1. เราจะไม่ใช้เทคโนโลยี เพื่อโกง หรือหลอกลวงผู้อื่น 2. เราจะเรียนรู้ เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดี มีคุณธรรม และ3. เราจะแบ่งปันความรู้ และโอกาส แก่ผู้ที่ด้อยกว่า ซึ่งเงื่อนไขนี้ เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ตนเองจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับ บริษัท บิทคับ จํากัด เมื่อปี 2565 ขณะนั้นมีคนในเครือข่าย 1,500 คน ตนได้บอกกับ คุณท็อป (จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา) ไปว่าหากคนในเครือข่ายปฏิญาณยอมรับในเงื่อนไข 3 ข้อนี้ได้ ตนเองจะช่วย ซึ่งทางกลุ่มบิทคับยอมรับในเงื่อนไขนี้ จึงเกิดการทำงานร่วมกันในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน 

ส่วนการคัดเลือกบริษัทที่จะปั้นนั้น จะโฟกัสที่ 3 ส่วน คือ สตาร์ตอัป, SME และบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยธุรกิจที่จะเข้าไปสนับสนุนหรือไปปั้นต่อนั้น จะต้องมี 2G ก่อน G แรกคือ Growth ต้องมีการเติบโต รายได้มากน้อยไม่ว่ากัน และ G ที่สอง คือ Gain ต้องมีกำไร เพราะนั่นแปลว่าเข้าใจวิธีการบริหารและต้นทุนธุรกิจดีถ้ามี 2G แล้ว ก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก จากนั้นก็จะหาช่องทางระดมทุน หรือแนะนำกลุ่ม VC พร้อมทั้งช่วยวางแผนทางการเงินให้ ปัจจุบันมีทีมงานช่วยวิเคราะห์จำนวน 90 คน ทำเรื่องวิเคราะห์ธุรกิจเอสเอ็มอี หรือสตาร์ตอัป ที่ต้องการความช่วยเหลือโดยเฉพาะ 

คุณวิชัย ย้ำว่า นอกเหนือจากเงินทุน และแผนธุรกิจที่จะทำให้สตาร์ตอัปประสบความสำเร็จแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างมากนั่นคือ “เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่” เพื่อนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ และทุกครั้งที่ไปบรรยายจะเน้นให้ทุกคนคำนึงถึง 3 เรื่องหลัก ๆ คือ Collaboration การทํางานร่วมกันเป็นพันธมิตรกัน, Connection การเชื่อมต่อทางธุรกิจ และ Mergers & Acquisition (M&A) การควบรวมกิจการ เพราะการทำธุรกิจไม่ต้องไปแย่งชิงกัน แต่ต้องจับมือกันแบ่งปัน ใครเก่งด้านใดก็ทำเรื่องนั้น ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้จะนำพาธุรกิจไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมทำให้หลายบริษัทสามารถจับมือเป็นพันธมิตรกันแล้วเพิ่มความแข็งแกร่ง ส่วนการเชื่อมต่อธุรกิจต่อธุรกิจนั้น ไม่จําเป็นต้องเป็นธุรกิจเดียวกัน บางครั้งการที่นักธุรกิจสองฟากฝั่งคนละธุรกิจมานั่งคุยแลกเปลี่ยนกันก็อาจจะเกิดนวัตกรรมใหม่เกิดความคิดใหม่ ๆ ส่วนเรื่อง M&A หากต้องการเติบโตไปกว่าเดิมจะต้องทำเรื่องนี้ ยกตัวอย่าง กลุ่มโรงพยาบาลของผม กลุ่มพญาไทและเปาโว ซึ่งตอนนั้นมี 8 โรงพยาบาล ได้ร่วมกับอาจารย์ประเสริฐ ประสาททองโอสถ ซึ่งขณะนั้นมี 22โรงพยาบาล ทำการควบรวมกิจการกันเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2553 ทำให้มีจำนวนโรงพยาบาล 30 โรงพยาบาล และหลังจากนั้น เกิดกระแสเงินสดใหม่เข้ามาในธุรกิจเยอะมาก ทําให้เราสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว จนถึงวันนี้เรามี 53 โรงพยาบาล รวมถึงโรงงานผลิตยา 2 โรงงาน และร้านขายยาอีก 1,100 แห่ง ทำให้กลุ่มของเราสามารถก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับหนึ่งของเอเชีย และเป็นอันดับ 5 ของโลก แต่หากพิจารณาด้าน Hospitality หรือความมีไมตรีจิตในการบริการ เราเป็นอันดับหนึ่งของโลกแทบจะทุกครั้งที่มีการประกวด ซึ่งตรงนี้คือจุดแข็งและศักยภาพของคนไทย ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้”

คุณวิชัย ยังให้มุมมองต่อธุรกิจในอนาคตด้วยว่า ปัจจุบันบริบทของโลกได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานด้น ESG คือ ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ล่าสุดในการประชุม COP28 ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้มีข้อตกลง เรียกร้องให้เปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในระบบพลังงาน ในลักษณะที่ยุติธรรม เป็นระเบียบเรียบร้อยและเท่าเทียมกันเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ตามหลักวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นภาคธุรกิจจะต้องตื่นตัวในเรื่อง ESG แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็จะต้องทำ เพราะถ้าเราไม่ทำ ในวันข้างหน้าเราจะถูกชาวคนทั้งโลกแบน และอยากให้ทุกธุรกิจยึดมั่นว่าสโลแกน มุ่ง Net Zero, GO Green, Lean เหลื่อมล้ำ, ย้ำความร่วมมือ แล้วทุกธุรกิจจะบรรลุเป้าหมายและช่วยรักษาโลกไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย