‘นักวิชาการ’ เผย เห็นด้วย รบ.ใหม่ปรับแก้เก็บภาษีไม่เป็นธรรม แนะ โครงสร้างส่วนใหญ่ดีอยู่แล้ว ปรับเปลี่ยนแค่บางเรื่องก็พอ

เมื่อไม่นานมานี้ นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pat Hemasuk’ ถึงประเด็น นโยบายปรับโครงสร้างภาษีที่ไม่เป็นธรรม ของแคนดิเดตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ภายใต้การทำงานของรัฐบาลชุดใหม่ โดยระบุว่า…

“ในสังคมคอมมิวนิสต์ยังทำไม่ได้เลยครับ ลองคิดดูว่าข้าวในจานของวิศวกรสร้างจรวด กับข้าวในจานของคนสานตะกร้า คุณภาพอาหารมันยังไม่เท่าเทียมกันเลย ถึงแม้จะกินอิ่มเหมือนกันก็ตาม 

สิ่งที่ควรคิด คือ ทำอย่างไรให้มีช่องทางหาข้าวจากนอกบ้าน มาเติมเพิ่มให้จานทุกใบในบ้านกินได้ดีขึ้น อิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่ไปแย่งเอาข้าวในบ้านจากจานของคนทำงานหนักกว่า มาใส่ในจานคนทำงานน้อย

แบบนี้ใครจะอยากทำงานหนักตอนหนุ่มเพื่ออนาคตตอนแก่ของตัวเอง ที่เงินถูกสูบออกไปในรูปของภาษีที่เกินกว่าเหตุในทุกช่องทางอยู่ตลอดเวลา อีกสิบปีข้างหน้า คนแก่ที่ไม่ได้ทำงานแล้วจะเหลือเงินให้กินใช้เพียงพอก่อนตายหรือเปล่าก็ไม่รู้

ผมไม่แปลกใจหรอกนะ ที่ตลาดหุ้นตลาดทุนมันเจริญลงฮวบๆ อย่างที่เห็นในเวลานี้ คงได้เห็นการดิ่งลงทะลุแนวต้านที่พันห้าร้อยในเวลาอันใกล้

ทุกรัฐบาลในอดีตเน้นการเรียกทุนต่างชาติจากภายนอกให้เข้ามาในประเทศ ไม่ต่างกับการหาข้าวนอกบ้านมาเติมให้จานข้าวทุกใบมีอาหารมากขึ้น

ผมเห็นด้วยในนโยบายบางเรื่องของแคนดิเดต รมว.คลังของรัฐบาลใหม่ ที่จะปรับโครงสร้างภาษีที่ไม่เป็นธรรม ผมเน้นอีกที่ว่า ‘บางเรื่อง’ เท่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง เพราะบางเรื่องไปแตะมันแล้ว คือ การสร้างความวิบัติให้ระบบโครงสร้างหลักที่กำลังเดินมาดีแล้วให้หยุดลง

ผมรู้ ทุกคนรู้ ว่าการออกไปหาข้าวนอกบ้านมาเติมในจานทุกคน มันยากกว่าที่จะแย่งข้าวในจานคนอื่นบนโต๊ะอาหารเดียวกัน ถ้ายังไม่เลิกความคิดแบบนี้ ระบบเศรษฐกิจจะล้มจากภายใน ที่เป็นการล้มที่แก้คืนได้ยากมาก สำหรับรัฐบาลที่จะเข้ามาใหม่ในอีกหลายปีข้างหน้า ที่ต้องมาเช็ดขี้รัฐบาลก่อนหน้า คือ รัฐบาลที่กำลังจะมีในเวลานี้ที่ขี้แตกทิ้งไว้เต็มเก้าอี้ไปหมด

รถเมล์สายประเทศไทยคันเดิมมันดีอยู่แล้ว ส่วนที่เสียต้องซ่อมไม่ถึง 5% หรอกครับ ซ่อมได้ แต่อย่าไปรื้อเครื่องยนต์เก่าออกหมด แล้วเอาเครื่องใหม่ที่ยังไม่รู้เลย ว่าจะติดเครื่องได้หรือเปล่ามาฝันละเมอว่าดีกว่าแล้วใส่แทน นั่นคือความวิบัติของประเทศจากคนด้อยประสบการณ์ แต่คิดว่าตัวเองเก่งสุดในสามโลก”