ชื่อที่ไม่รู้จัก จากเสียงเรียกของ 'พ่อหนุ่มคนขายเสื้อ' สู่ความสัมพันธ์คลุมเครือที่ทำให้ 'มึนตึ้บ'

เสียงเรียกของพ่อหนุ่มคนขายเสื้อดังจน เราต้องหยุดชะงักและหันหลังกลับไปมอง นึกในใจว่าเราคงหยิบของในร้านเขาติดมือมาโดยไม่รู้ตัว เขาจึงจะเรียกเราให้หยุดเพื่อเอาของคืน หรือเรียกยามมาสอยเราไปให้ตำรวจ 

แต่ที่ไหนได้ พ่อหนุ่มรับอาสาจะพาเราไปเที่ยววันรุ่งขึ้นเพราะรู้ว่าเราอยู่คนเดียวกลัวจะเหงา ถึงเราจะมีแฟนแล้วแต่แฟนของเราอยู่เมืองไทย เลยคิดเข้าข้างตัวเองตามประสาคนเจ้าชู้ว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวแฟนเรามาเราค่อยทำตัวดี 

หลังจากคิดได้แบบนั้น เราทั้งสองคนต่างก็แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ จึงได้รู้ว่าเขาชื่อเจมส์ หลังจากที่ออกมาจากร้าน Le Château ที่เจมส์ทำงาน เราก็เดินเล่นในศูนย์การค้า Copley Place อย่างเป็นทางการ เพราะมัวแต่ยุ่งทำธุระสารพัดสิ่งตั้งแต่ได้มาที่บอสตันจนไม่มีเวลาสำรวจแหล่งช็อปปิงเลยสักครั้ง

เอาจริงๆ ร้านค้าในศูนย์การค้าแห่งนี้ไม่ค่อยมีอะไรพิเศษ นอกจากร้าน Tiffany Gucci และ Louis Vuitton ซึ่งแต่ละร้านเป็นร้านเล็กๆ สินค้าในร้านจะเป็นแบบเรียบๆไม่ค่อยหวือหวาเท่าไหร่ เพื่อเอาใจคนบอสตันซึ่งรักสไตล์อนุรักษ์นิยม 
 
ส่วนห้างสรรพสินค้า Neiman Marcus ที่อยู่ในมอลล์ขายของหรูหราราคาสูง แต่จะไม่ค่อยมีเสื้อผ้าที่มีไซส์คนเอเชียเนื่องจากจะเน้นขายคนอเมริกันซึ่งชอบใส่เสื้อผ้าหลวมโคร่ง ถ้าหากเดินออกจากมอลล์นี้จะมี Saks Fifth Avenue ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าคู่แข่งของ Neiman Marcus ที่มีของขายคล้ายๆ กัน 

พนักงานขายทั้งสองแห่งนี้จะเชิดมองคนเอเซียหัวจรดเท้า คงนึกว่าพวกเราไม่มีเงินที่จะซื้อของเขา ส่วนใหญ่นักเรียนต่างชาติที่ชอบเสื้อผ้าเครื่องประดับดีไซเนอร์มักจะพากันไปที่ร้าน Riccardi ที่อยู่บน Newbury Street เพราะเจ้าของ Riccardo Dalai ชาวอิตาเลียนซึ่งมาจากเมือง Florence มาตั้งรกรากที่บอสตันหลังจากที่แต่งงานกับสาวเปรี้ยวชาวอเมริกัน 

Riccardo เป็นคนมีอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มยินดีต้อนรับทุกคนที่เดินเข้ามาในบูติก ธุรกิจของเขาจึงเป็นที่รู้จักกันดีด้วยปากต่อปากของเหล่านักเรียนต่างชาติจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ 
 
ใครจะเดาได้ว่ายื่สิบปีให้หลัง แหล่งช็อปปิงในบอสตันจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ถ้าใครอยากซื้อเสื้อผ้าดีไซเนอร์ชื่อดังสามารถไปที่ Copley Place ซึ่งนอกจากเป็นของ Herb Simon สามีของคุณปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก นางงามจักรวาลปี พ.ศ.2531 แล้ว ยังเป็นแหล่งรวมบูติกชั้นนำของโลก เช่น Christian Dior, Gucci, Fendi, Louis Vuitton, Salvatore Ferragamo, Versace ด้วย 

ส่วน Neiman Marcus และ Saks Fifth Avenue ยังดำเนินธุรกิจอยู่เช่นเดิม แต่ตอนนี้ลูกค้าไม่ต้องเดินตากแดดตากลมหนาวอีกแล้ว เพราะเขาสร้างศูนย์การค้าใหม่ Prudential Center ที่มีสะพานปล่องแก้วเชื่อม แถมตอนนี้เหล่าคนขายพากันอ้าแขนรับลูกค้าชาวเอเชียจนแทบจะปูพรมแดงให้เดินในร้าน เพราะเขาตระหนักแล้วว่าพวกเราคือนักช็อปตัวยง ซื้อของทีเหมือนซื้อลูกกวาด (กวาดซะเกือบหมดร้าน) 

ถ้าช็อปเหนื่อยแล้วลองไปหาอาหารทานใน Prudential Center เพราะเต็มไปด้วยร้านอาหารเลิศรส อาทิ Shake Shack ร้านแฮมเบอร์เกอร์ชั้นดีมีคุณภาพ, Anna’s Taqueria ร้านทาโกที่ปรุงรสละม้ายคล้ายเหมือนทานอยู่ที่เม็กซิโก หรือ Eataly แหล่งรวมอาหารอิตาเลียน ถ้าอยากแค่ดื่มกาแฟ อย่าลืมไปจิบ Blue Bottle Coffee ที่อร่อยล้ำจนอาจจะลืมกาแฟนางเงือกเขียวไปเลยเชียว 

ผู้ที่ชอบเดินสูดลมเมืองบอสตัน เมื่อออกจาก Prudential Center จะเจอ Apple Store ใหญ่ยักษ์สามชั้นอยู่ข้างหน้าบน Boylston Street เดินไปอีกบล็อกหนึ่งก็จะเป็น Newbury street ที่เต็มไปด้วยร้านค้าจากแพงหูฉี่จนถูกอย่างไม่น่าเชื่อ ร้านที่ขายเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าราคาสูงเช่น Chanel, Valentino, Giorgio Armani, Loro Piana, และ Rimowa จะอยู่ใกล้กับ Boston Public Garden สวนสาธารณะแสนงามดั่งสวนสวรรค์ของเมือง 

ในบล็อกเดียวกันคือที่ตั้งของร้านเครื่องประดับระดับแนวหน้า เช่น Tiffany, Bulgari, Cartier และ Van Cleef & Arpels ถ้าไม่ชอบเทกระเป๋าเงิน เดินลงมาสักสองบล็อกก็จะเจอร้านขายของลดราคา Nordstrom Rack หรือ H&M ร้านขายเสื้อผ้าทันสมัยราคาไม่เว่อร์ 

ถ้าชอบทานของหวานก็อย่าลืมไปแวะ Georgetown Cupcake ที่เน้นขายคัปเค้กหลากหน้า หรือ JP Licks ร้านไอศกรีมชื่อดังของบอสตัน ลืมบอกไปว่าภาษีมูลค่าเพิ่มของบอสตันอยู่ที่ 6.25% แต่ถ้าซื้อเสื้อผ้าต่ำกว่า $175 ต่อชิ้น จะไม่เสียภาษี ถ้าเกิน$175ไป จะคิดแค่ภาษีจากจำนวนที่เกินนะ

เวลาพูดถึงเรื่องช็อปปิงทีไรลืมตัวเองทุกที ต้องขออภัยและขออนุญาตวกกลับเข้าเรื่อง ที่จริงเรานัดกับเจมส์ไว้วันรุ่งขึ้นหลังจากวันที่เราสองคนเจอกันเป็นครั้งแรก แต่แล้วเราก็ประหลาดใจเมื่อเจมส์โทรศัพท์ขึ้นมาจากข้างล่างให้เราเปิดประตู เรางงๆแต่ก็บอกให้เขาขึ้นมา เราเป็นคนคอไม่แข็งเมื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จึงไม่มีเครื่องดื่มประเภทนี้ไว้ในบ้าน

พอเจมส์เข้ามาเราก็แค่เสิร์ฟน้ำเปล่าให้เขาดื่ม เขานั่งได้สักพักหนึ่งก็จ้องหน้าเราตาไม่กะพริบ เราก็เขินเลยสิ หลบสายตาเขาไป เขาชมว่าเราหน้าตาน่ารักมากจนเขาอดไม่ไหวที่จะรออีกวันหนึ่ง 

เราได้ยินอย่างนั้นหัวใจพองโต เกิดมาไม่เคยถูกคนต่างชาติชม เคลิ้มจนลืมแฟนที่เมืองไทยไปหมดจนและลงเอยที่เราทั้งสองมีความสัมพันธ์ต่อกัน และได้สานต่อไปอีกหลายครั้ง

แต่แล้วคืนหนึ่งเจมส์โทรมาหาและบอกว่าไมเคิลจะขอคุยด้วย เรามึนหนักเลย เพราะเราไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้มาก่อน ทำไมเขาถึงอยากจะพูดกับเรา และทำไมต้องให้เจมส์เป็นคนโทรมาหา 

เราก็ถึงบางอ้อเมื่อไมเคิลพูดต่อจากเจมส์ว่า...เขาเป็นแฟนของเจมส์ 


เรื่อง: ดร.ชัยวุฒิ จิตต์กุศล
อักษรจรัสรุ่นที่ 55 อดีตเคยเป็น Senior Lecturer ที่ University of Massachusetts, Boston (สอนเฉพาะวิชาภาษาสเปน) ปัจจุบันหันมาทำไร่ดอกไม้และผลไม้