'ก้าวไกล' ผิดหวัง 'กสทช.' แค่รับทราบควบรวม 'ทรู-ดีแทค' จ่อยื่นป.ป.ช.เอาผิด ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่

(21 ต.ค. 65) ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ประชุมสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติ 3 ต่อ 2 เสียงรับทราบการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือทรู และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค แบบมีเงื่อนไข โดยมีการกำหนดมาตรการเยียวยาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนั้น ว่า เป็นไปตามที่คาดเดา แต่ยังคงผิดหวัง เพราะเราคาดหวังไว้ว่า กสทช.จะใช้อำนาจตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งหากสังเกตมติครั้งนี้ไม่ใช่การอนุญาตให้ควบรวมแต่เป็นการรับทราบ มีการโหวต 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการลงมติว่าสรุปแล้วกสทช.มีอำนาจให้ควบรวมหรือไม่ สิ่งที่ลงมติออกมาเป็น 2 ต่อ 2 เสียง ซึ่งก็เป็นประเด็นว่าในการลงมติเรื่องนี้จำเป็นจะต้องได้เสียงข้างมากของคณะกรรมการทั้งหมด คืออย่างน้อยต้องได้ 3 เสียงแต่กรณีนี้เป็นการที่คะแนนเท่ากัน จึงต้องให้ประธานชี้ขาด ซึ่งจะใช้ในกรณีที่เป็นกรณีพิเศษไม่ใช่ในกรณีนี้ ตามข้อบังคับการประชุมของกสทช.

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า เมื่อมาดูมติเสียงข้างมากบอกว่าตัวเองไม่มีอำนาจที่จะอนุญาตและใช้วิธีเพียงแค่การรับทราบผลการขอควบรวมธุรกิจ แสดงว่ากสทช.ตีความว่า ทรูและดีแทคไม่ได้อยู่ในธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งค้านสายตาคนทั้งประเทศ และการที่ออกมาตรการหรือเงื่อนไขภายหลังแบบนี้ ตนคิดว่าสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีสำหรับกฎหมายกำกับดูแลในประเทศนี้ ถ้าต่อไปเอไอเอสต้องการจะควบรวมกับ 3BB เขาจำเป็นต้องขออนุญาตหรือไม่ และในกรณีนี้จะนับว่าเป็นธุรกิจประเภทเดียวกันอีกหรือไม่ ฉะนั้น ตนคิดว่ามีปัญหาตั้งแต่กระบวนการโหวตและการตีความกฎหมายทั้งคู่ ผลที่ออกมาในส่วนที่เป็นเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะในหลายเรื่องทั้งในเรื่องเชิงโครงสร้างและในเชิงพฤติกรรม ซึ่งหลายคนอาจจะรู้สึกพอใจแล้วว่ามาตรการที่จะช่วยควบคุมราคา แต่ขอบอกว่าไม่มีการตัดสินของการอนุญาตควบรวมใด ๆ ในโลกนี้ที่ให้รัฐเป็นผู้ควบคุมราคา เพราะทราบกันดีว่าในความเป็นจริงทำได้ยากมาก

“ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นจะต้องมีที่สุดคือมาตรการในเชิงโครงสร้างไม่ว่าจะเป็นการขายลูกค้าให้กับเจ้าอื่น หรือขายคลื่นหรือคืนคลื่นออกมาในส่วนที่มีถือครองคลื่นเกินจำนวนที่กสทช.กำหนดไว้ หรือการใช้เสาสัญญาณร่วมในราคาที่เป็นธรรม ที่สำคัญที่สุดคือทำให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ขึ้นเป็นเจ้าที่ 3 ซึ่งในกรณีนี้ต้องมีการกันคลื่นไว้ส่วนหนึ่งเพื่อที่จะนำไปประมูลสัมปทานให้กับรายใหม่ได้ และอาจจำเป็นต้องให้แต้มต่อกับรายใหม่ให้ได้ราคาที่ถูกเป็นพิเศษด้วยซ้ำ เพื่อดึงดูดให้มีรายที่ 3 เข้ามา จึงคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเงื่อนไขและมาตรการที่ไม่เพียงพอที่จะกู้คืนสภาพการแข่งขันที่เคยมีอยู่ 3 เจ้าได้เลย จึงเป็นที่มาของการคัดค้านการตัดสินใจของ กสทช. ในครั้งนี้ต่อไป เนื่องจาก กสทช.ไม่ได้ใช้อำนาจของตัวเองอย่างที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า การฟ้องร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฐานกสทช. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 จะยื่นฟ้องในนามของพรรค ก.ก.ซึ่งจะมีการรวมกลุ่มกับฝ่ายประชาสังคมด้วยเช่นกัน โดยเรื่องนี้เราจะขอเป็นเจ้าภาพ เพียงแต่ว่าเราจำเป็นต้องเห็นคำวินิจฉัยฉบับเต็ม เพื่อทำให้สำนวนคำร้องของเราสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นก่อน พร้อมยืนยันว่า ต้องฟ้องทั้งบอร์ด กสทช. 5 คน เพราะหากกรรมการฯ ประพฤติมิชอบหรือทำผิดขั้นตอนกระบวนการก็อาจทำให้การตัดสินครั้งนี้เป็นโมฆะไปได้ และขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลที่สามารถมีบทบาทแทรกแซงเรื่องนี้ได้ แต่รัฐบาลกลับนิ่งเฉย จนอดคิดไม่ได้ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ นอกจากนี้เรายังจำเป็นต้องนำเรื่องนี้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฉุกเฉิน อย่างไรก็ตามกระบวนการฟ้องจำเป็นต้องมีตัวแทนของผู้บริโภค ตามพระราชบัญญัติ ( พ.ร.บ.) สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ให้อำนาจสภาองค์กรของผู้บริโภคเป็นตัวแทนของผู้บริโภคในการฟ้องแล้ว พรรคก.ก.จะเป็นหน่วยสนับสนุนให้ดำเนินการได้คล่องตัวมากขึ้น

เมื่อถามว่า ที่สังคมเริ่มตั้งคำถามว่าควรต้องมีการทบทวนอำนาจหน้าที่และบทบาทของ กสทช. น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า อาจต้องทบทวนไปถึงกฎหมายที่ว่าด้วยที่มาของ กสทช. ซึ่งมาจากกรรมการสรรหา และต้องได้รับการเห็นชอบจากวุฒิสภาก่อน แต่ที่มาของวุฒิสภาตอนนี้เราก็ทราบดีว่าเป็นอย่างไร ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องทำให้ กสทช. มีความรับผิดชอบกับประชาชน เพิ่มความยึดโยงมากขึ้น อาจจะพิจารณาเพิ่มให้ส.ส.เป็นผู้รับรองแทนวุฒิสภา หรือต้องรับรองทั้ง 2 สภาร่วมกันก็ได้ นอกจากนี้ ยังต้องแก้ไขตัวประกาศต่าง ๆ ที่ออกมาในภายหลัง รวมทั้งแก้ไขบทบาทของกสทช.ที่ริบอำนาจของตัวเองที่จะอนุญาตในการควบรวมออกไป จำเป็นต้องทบทวนในส่วนนี้แน่นอน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอำนาจเต็มของ กสทช. จำเป็นต้องอาศัยแรงกดดันของประชาชน เพื่อให้ กสทช. ตื่น และแก้ไขข้อผิดพลาดที่เคยทำไว้ในอดีต

เมื่อถามถึง การเงื่อนไขและมาตรการที่ กสทช. กำหนดออกมานั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า จะมีหลายส่วนที่เอกชนก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องของเอกชน ส่วนตัวตนมองว่ายังมีมาตรการที่เข้มข้นในบางเรื่อง เช่น การให้แยกแพ็กเกจระหว่างค่าโทรและค่ามือถือ เชื่อว่าภาคเอกชนจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนในกรณีนี้ ซึ่งเราก็ต้องปล่อยให้เอกชนฟ้องร้องกันไป แม้จะมีเรื่องนี้ เมื่อรวมแพ็กเกจทั้งหมดก็ยังไม่สามารถคงสภาพการแข่งขันไว้ได้ ดังนั้น ก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อผู้บริโภคอยู่ หรืออย่างบางมาตรการก็อาจไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ เช่นการให้แยกแบรนด์ก่อนเป็นเวลา 3 ปีก่อนควบรวม เดี๋ยวค่อยให้ผู้บริโภครู้สึกว่ามีทางเลือก หลังบ้าน ก็มีความร่วมมือกันแล้ว สุดท้ายแล้วทางเลือกที่มี ก็เหมือนไม่มี


ที่มา: https://www.thaipost.net/economy-news/246991/