'ไบเดน' รับหวั่น!! Omicron แต่ยังไงก็ไม่ล็อกดาวน์ แนะ!! ปชช.สหรัฐฯ อย่าตื่นตระหนกเกินเหตุ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เผย ตัวกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ Omicron เป็นบ่อเกิดแห่งความกังวล แต่แนะพลเมืองอเมริกาอย่าได้ตื่นตระหนก และเผยว่าอเมริกากำลังจัดทำแผนฉุกเฉินกับบริษัทยาทั้งหลายหากว่าวัคซีนใหม่มีความจำเป็น
ไบเดนระบุว่าสหรัฐฯ จะไม่กลับเข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์เพื่อหยุดการแพร่ระบาดของ Omicron และจะเปิดตัวกรอบยุทธศาสตร์ในวันพฤหัสบดี (2 ธ.ค. 64) สำหรับต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่ในช่วงฤดูหนาว พร้อมเรียกร้องประชาชนเข้ารับวัคซีน ฉีดเข็มกระตุ้นและสวมหน้ากาก
"ตัวกลายพันธุ์นี้เป็นบ่อเกิดแห่งความกังวล แต่ไม่ได้ก่อความตื่นตระหนก" ไบเดนกล่าวที่ทำเนียบขาว หลังประชุมร่วมกับคณะทำงานด้านโควิด-19 ของเขา "เรากำลังจะสู้และเอาชนะตัวกลายพันธุ์ใหม่นี้" ไบเดนระบุ
ทั้งนี้ Omicron กำลังกระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงสหรัฐฯ จำกัดการเดินทางจากภูมิภาคทางใต้ของทวีปแอฟริกา หลังจากพบไวรัสตัวดังกล่าว ผนวกกับในวันจันทร์ (29 พ.ย.) องค์การอนามัยโลกเตือนว่า Omicron มีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อพุ่งพรวดขึ้นในหมู่นานาประเทศ แม้จนถึงตอนนี้จะยังไม่พบผู้เสียชีวิตที่เชื่อมโยงกับตัวกลายพันธุ์ล่าสุดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ดังกล่าวก็ตาม
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดน ยอมรับว่า เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เคสผู้ติดเชื้อ Omicron จะเกิดขึ้นในสหรัฐฯ แต่ เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวยืนยันว่าตัวกลายพันธุ์นี้ไม่ควรเป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันชนเปลี่ยนแผนการเดินทางช่วงวันหยุดยาว ตราบใดที่พวกเขาฉีดวัคซีนแล้วและสวมหน้ากาก
ไบเดนเชื่อว่าวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะยังคงปกป้องการติดเชื้ออาการรุนแรง แต่ระบุรัฐบาลของเขากำลังทำงานร่วมกับบรรดาผู้ผลิตวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นไฟเซอร์, โมเดอร์นา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เพื่อร่างแผนฉุกเฉิน
"ในกรณีที่...ซึ่งหวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น วัคซีนรุ่นอัปเดตหรือเข็มกระตุ้นมีความจำเป็นสำหรับตอบโต้ตัวกลายพันธุ์ใหม่นี้ เราจะเร่งพัฒนามันและใช้งานมันร่วมกับทุกเครื่องไม้เครื่องมือที่สามารถหยิบหาได้" เขากล่าว พร้อมระบุว่าเขาจะสั่งการไปยังสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) เพื่อให้วัคซีนเหล่านี้หยิบหาได้โดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ (29 พ.ย.) คำสั่งแบนด้านการเดินทางของสหรัฐฯ ก็ได้มีผลบังคับใช้แล้ว โดยมาตรการนี้เป็นการห้ามพลเมืองจาก 8 ชาติทางใต้ของทวีปแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศ แต่ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไม่ได้กำหนดมาตรการคัดกรองหรือออกข้อบังคับติดตามตัวใหม่ ตอบสนองต่อตัวกลายพันธุ์โอมิครอนที่กระตุ้นให้รัฐบาลของไบเดนออกข้อจำกัดด้านการเดินทาง
ไบเดนระบุว่าข้อจำกัดด้านการเดินทางถูกนำมาใช้ เพื่อเปิดทางให้ประเทศมีเวลาเพิ่มเติมในการฉีดวัคซีนประชาชนมากยิ่งขึ้น
สำหรับความลังเลไม่ยอมฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ และทั่วโลก เป็นบ่อนทำลายความพยายามของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการควบคุมโรคระบาดใหญ่ จนถึงตอนนี้มีประชากรเพียง 1 ใน 4 ของแอฟริกาใต้ที่ฉีดวัคซีนครบเข็มแล้ว ส่วนประเทศยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนประชาชนแล้วมากกว่า 2 ใน 3
จากข้อมูลของรอยเตอร์ พบว่ามีชาวอเมริกันฉีดวัคซีนครบเข็มแล้วเพียง 59% แม้เกือบ 70% ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม และเวลานี้มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ เกือบ 782,000 คน
พื้นที่เกือบทั้งหมดของสหรัฐฯ เข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์ในช่วงต้นปี 2020 ในช่วงต้นของโรคระบาดใหญ่ แต่กิจกรรมเศรษฐกิจและการงานกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้มาตรการสวมหน้ากากและบังคับฉีดวัคซีนถูกต่อต้านจากบรรดานักการเมืองรีพับลิกันบางส่วน แม้พวกผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเน้นย้ำว่ามันมีประสิทธิภาพในการสกัดโควิด-19
ที่มา : รอยเตอร์
https://mgronline.com/around/detail/9640000118522